|
๓๒๗ - ไฟป่าล้าง
ความร้อนจากไฟ ใคร ๆ ก็ต้องทราบดีกว่ามันมีอานุภาพในการทำลายล้างมากมายขนาดไหน แม้ไฟขนาดเล็กเท่าไม้ขีด ซึ่งมีขนาดเล็กนิดหน่อยก็ไม่อาจจะดูถูกได้ เพราะหากได้เชื้อแห่งการลุกไหม้ไปแล้วย่อมทำให้เกิดหายนะได้อย่างคาดไม่ถึง
ฤดูร้อนที่ผ่านมาเราไม่ค่อยได้ยินข่าวเรื่องไฟไหม้ป่ามากนัก อาจจะเป็นเพราะหน้าร้อนที่ผ่านมานั้นมีความชื้นจากมรสุมเข้ามาเยอะ จนทำให้อากาศไม่ค่อยร้อนมาก แต่โดยธรรมชาติแล้ว ป่าก็มักจะเกิดการติดไฟที่เรียกว่า "ไฟป่า” ได้เป็นปกติ (ยกเว้นฝีมือของมนุษย์) การเกิดไฟป่าเหมือนดูจะอันตรายเพราะมันเผาไหม้ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่นั่นก็เป็นการรักษาสมดุลอย่างหนึ่งของธรรมชาติ และเพื่อเป็นการให้โอกาสแก่พืชชนิดอื่นได้มีโอกาสเติบโต หลังจากไฟป่าในหน้าร้อนไม่นาน ก็เข้าสู่ช่วงฤดูฝน ซึ่งเป็นโอกาสของเมล็ดพันธุ์ที่รอดพ้นจากการเผาไหม้ และต้นไม้บางต้นที่ยังไม่ตายจากความร้อนพร้อมที่จะแตกหน่อขึ้นใหม่ เพื่อสร้างสีสันให้แก่โลกต่อไป สิ่งมีชีวิตจำพวกเถาวัลย์ก็จะตายลงไปพร้อมกับไฟ มองในแง่ดีเป็นการช่วยให้ต้นไม้ในป่าได้ขจัดเสี้ยนหนามออกไปได้บ้าง
เรามองว่าภัยพิบัตินั้นไม่น่าจะมีอะไรดี แต่ในความเป็นจริงทุกสิ่งทุกอย่างมันมีความสมดุลกันอย่างน่าประหลาด และเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงอย่างใดอย่างหนึ่ง มันก็จะสามารถปรับตัวตามสภาพได้อย่างลงตัว เป็นอัศจรรย์ของธรรมชาติอย่างหนึ่ง หรือจะเรียกว่าเป็นธรรมชาติของสสารก็ว่าได้ (หมายถึงมีการเปลี่ยนสอดคล้องซึ่งกันและกัน)
คราวนี้มาสำรวจดูจิตใจของเราบ้าง จิตใจของเรานั้น บางครั้งก็ครุกรุ่นไปด้วยไฟโทสะ ราคะ( โลภะ ) โมหะ มันพอกพูลสะสมอยู่ในกมลจิตสันดาน ของเรามานาน เราจะหาสิ่งใดมากวาดล้างสิ่งเหล่านี้ออกมานั้นได้อยากเต็มที ยิ่งคนที่ไม่สามารถมองเห็นกิเลสในตนเองแล้วยิ่งยากแสนยาก ที่จะทำลายสิ่งเหล่านี้ให้สามารถสลายออกจากจิตของเราได้ และสิ่งที่จะมาสลายกิเลสเหล่านี้คือ พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่เราน้อมเข้ามาฝึกอบรมอบรมศีล อบรมสมาธิ และอบรมจิตภาวนา จนเกิดดวงปัญญาในการรู้แจ้งความเป็นไปทั้งหลายของกระบวนการเกิดของสัตว์ และทำลายกิเลสได้อย่างราบคาบเรียกได้ว่า เป็นไฟป่าที่มาครั้งเดียวเผาไหม้หมดเกลี้ยง ไม่เหลือเชื้อให้ต้นไม้ดอกไม้ชนิดใด ๆ ได้เจริญงอกงามได้อีก สิ่งนี้เป็นสุดยอดปลายทางของคำสอนในพุทธศาสนา เป็นสภาวะแห่งการไม่มีเชื้อให้เกิด ส่วนใครจะมาถามว่าตายแล้วไปไหน ก็ไม่มีคำตอบที่ถูกหูให้ฟัง เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัตตัง คือ รู้ได้เฉพาะตัวเราเอง มนุษย์ทั่วไปไม่สามารถรู้ได้ด้วยการนึกคิดธรรมดา ๆ และไม่ใช่การตรึกนึกเอาเอง แต่เป็นปัญญาอันพอกพูลงอกงาม จนสามารถรู้แจ้งในภายใน เผาไหม้ซากแห่งเชื้อที่ทำให้เกิดภพ เกิดชาติได้สำเร็จ
นี่แหละเป็นไฟป่าแห่งวิถีจิตที่สามารถเผาไหม้กิเลสได้อย่างแท้จริง แต่ก็มีลำดับขั้นที่เหมือนจะสามารถเผาทุกอย่างได้จริง แต่คราวที่เกิดพายุฝนมา ต้นไม้ทั้งหลายก็สามารถเจริญงอกงามได้อีก เหมือนกับการทำฌาน สมาธิ จนถึงขั้นที่เรียกว่านิ่งจนกิเลสไม่สามารถงอกเงยได้ แต่ความจริงแล้วเชื้อของมันยังมีอยู่รอการเกิดใหม่อยู่ สภาพนี้ส่วนใหญ่เกิดกับบรรดาเหล่าพรหมทั้งหลาย ที่ไม่ได้สดับฟังพระสัจธรรม และประมาทคิดว่าตนเองนั้นได้มรรคผล นิพพานแล้วนั่นเชียว...
ขอขอบคุณ รูปภาพงาม ๆ จาก //news.mthai.comมากมาย ครับ
Create Date : 17 พฤศจิกายน 2554 |
Last Update : 17 พฤศจิกายน 2554 9:25:21 น. |
|
9 comments
|
Counter : 1642 Pageviews. |
|
|
|
โดย: mcayenne94 IP: 223.205.7.244 วันที่: 17 พฤศจิกายน 2554 เวลา:13:40:56 น. |
|
|
|
โดย: tadatul วันที่: 17 พฤศจิกายน 2554 เวลา:15:40:15 น. |
|
|
|
โดย: Nissan_n วันที่: 17 พฤศจิกายน 2554 เวลา:17:10:23 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 18 พฤศจิกายน 2554 เวลา:6:06:59 น. |
|
|
|
โดย: ร่มไม้เย็น วันที่: 18 พฤศจิกายน 2554 เวลา:12:40:49 น. |
|
|
|
โดย: Nissan_n วันที่: 18 พฤศจิกายน 2554 เวลา:16:18:04 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 19 พฤศจิกายน 2554 เวลา:5:57:50 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 20 พฤศจิกายน 2554 เวลา:5:42:58 น. |
|
|
|
| |
|
|