ภัยแห่งสังสารวัฏนั้น น่ากลัวยิ่งกว่าภัยอื่นใด - อัสติสะ
Group Blog
 
All blogs
 

๐๙๐-ให้คุณค่า…อย่างรู้ค่า



ปีที่ผ่านมาข้าพเจ้าซื้อทองคำเส้นแรกของชีวิต ช่วงนั้นทองคำรูปพรรณกำลังขึ้นราคา แต่ก็ต้องซื้อเพราะคิดว่า ทองคำน่าจะเป็นของขวัญสำหรับคนพิเศษของข้าพเจ้าได้ดีที่สุด โดยปกติแล้ว ข้าพเจ้าไม่ชอบใส่เครื่องประดับทุกชนิด ยกเว้นนาฬิกา แม้แต่สร้อยพระก็ใส่ได้ไม่เกิน ๔ – ๕ เดือน และต้องเลิกใส่เพราะรู้สึกอึดอัดมากกว่าที่จะให้ท่านคุ้มครอง

อีกเหตุผลหนึ่งคือการศึกษาและปฏิบัติธรรมมาได้ระยะหนึ่ง จึงได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร พระแท้จริงอยู่ที่ไหน อะไรคือพุทธแท้และอะไรคือพุทธเทียม แล้วจึงวางใจ น้อมนำพระพุทธเจ้า คำสั่งสอนของพระองค์มาใส่ไว้ในจิตใจ และระลึกถึงพระพุทธองค์อยู่เสมอ ทุก ๆ วัน ทุก ๆ ลมหายใจ จนในที่สุดก็รู้ว่า พระเครื่อง ของขลัง ไม่ได้มีประโยชน์สำหรับข้าพเจ้าอีกต่อไป จึงได้ถอดเก็บไว้และไม่ได้ใส่อีกเลย จนถึงปัจจุบัน

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นวัตถุนั้น มันมีค่ามีราคาเพราะอะไร เพราะว่าเราไปใส่ใจให้ความสำคัญกับมันใช่หรือไม่ อย่างเช่น เพชรกับก้อนหิน ทั้งสองอย่างเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เป็นสสารที่มีคุณสมบัติเป็นของแข็งเหมือนกัน แต่คนให้ความสำคัญกับเพชรมากกว่า เพราะเป็นสิ่งที่สวยงาม หาได้ยาก และมีความทนทาน แข็งแกร่งมากกว่าหินหลายพันเท่า

แต่หากพิจารณาต่อไปว่า ถ้าโลกนี้มีเพชรอยู่จำนวนมากมาย แต่ก้อนหินมีจำนวนน้อยกว่าและหาได้ยากกว่า คนก็คงชื่นชมและให้ราคาก้อนหินมากกว่าเพชรจริงมั้ย…

เราต่างคิดว่าตัวเองเป็นผู้ฉลาด เป็นผู้ที่ครองครองโลกทั้งหมด แต่สุดท้ายจุดจบของมนุษย์ก็ต้องประสบหายนะจากความโลภ ความแก่งแย่งชิงดีกันอย่างแน่นอน

ถ้าหากเราเอาก้อนกรวดผสมกับเพชร เม็ดขนาดเท่าๆ กัน จากนั้นก็นำไปเทลงบนพื้นดิน หาแม่ไก่สักตัวมาทดสอบดูว่า ก้อนหินกับเพชรที่เีจียระไนแล้ว มันจะเลือกอะไร

ข้าพเจ้าเชื่อว่า ตามสัญชาติญาณของสัตว์ประเภทไก่ มันจะเลือกกลืนก้อนกรวด และเขี่ยเพชรที่มนุษย์ชื่นชมนั้นทิ้งไป เหตุผลคือก้อนกรวดนั้นมีประโยชน์ในการบดอาหาร ในกระเพาะของไก่ แต่เพชรมีลักษณะแหลมคม เป็นอันตรายต่อกระเพราะของมันมากกว่าจะมีประโยชน์

คุณอาจจะมองและดูถูกว่า ไก่ตัวนี้โง่จริงหนอ ขนาดเพชรมีราคาหลักแสน มันยังเขี่ยทิ้ง ช่างไม่รู้คุณค่าอะไรเลย

แต่ข้าพเจ้าคิดว่า แม่ไก่มันมีสัญชาติญาณของการเอาชีวิตรอด มันรู้ว่าอะไรที่เป็นประโยชน์และเป็นโทษต่อชีวิตของมัน มันสามารถแยกแยะได้โดยไม่ลังเล แม้วัตถุนั้นจะมีค่ามากแค่ไหน ผิดกับคนที่คิดว่าตัวเองเป็นสัตว์ประเสริฐ แต่ให้ค่าให้ราคา แก่งแย่ง ฆ่ากันตาย เพียงเพราะต้องการสิ่งที่สัตว์เดรัจฉานนั้นเขี่ยทิ้ง

ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะหันกลับมามอง และพิจารณากันใหม่ ให้เห็นคุณค่าของตัวเราเอง นั่นคือ จิตใจที่ดีงาม การมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อ เมตตาต่อกัน สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เป็นประโยชน์ สำหรับสัตว์ที่เรียกตัวเองว่า ‘มนุษย์’ หาใช่วัตถุที่เราทั้งหลายสร้างราคาหลอกกันขึ้นมา แล้วแก่งแย่ง ชิง รบรากัน เพื่อครอบครองสิ่งที่ไม่เป็นแก่นสาร สุดท้ายผู้ที่มีความโลภมาก ๆ ก็จะไม่ต่างอะไรกับแม่ไก่ ที่เขี่ยก้อนหินทิ้งและกลืนกินเพชรแทน หวังเพื่อว่ามันจะช่วยบดอาหารได้ดีกว่าก้อนกรวด ในที่สุดกระเพาะของมันต้องฉีกขาด เพราะฤทธิ์ความแหลมคมของเพชรนั่นเอง





 

Create Date : 03 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 3 พฤศจิกายน 2551 20:25:12 น.
Counter : 676 Pageviews.  

๐๘๙-หุบเขาวงกต(แยกที่ ๒)



ทันใดนั้นสายฝนก็พลันหยุดตก ข้าพเจ้าและชายชราเดินออกจากศาลาหลังนั้น วกกลับมายังเส้นทางเส้นเดิม ที่ข้าพเจ้าคิดว่ามันเป็นเส้นทางสู่ ‘อนาคตที่สวยงาม’

ชายชราชี้ให้ข้าพเจ้ามองไปยังเส้นทางข้างหน้า ทันใดนั้นก็เกิดกำแพงเหล็กขนาดใหญ่ ยกตัวขึ้น ตามขอบทางเดิน

“นี่มันอะไรกัน…” ข้าพเจ้าร้องถามขึ้นอย่างสงสัย

“มันคือ เขาวงกต…ทุก ๆ เส้นทางที่เราเดินไปข้างหน้า มันถูกปรุงแต่งด้วยสภาพแวดล้อมที่ดูงดงามน่าพอใจ มีป้ายบอกทางชัดเจน มีศาลาที่พัก มีอาหาร ทำให้ดูเหมือนว่าเรามีอิสระที่จะเลือกที่จะเดินไปทางไหนก็ได้ แต่จริง ๆแล้ว ภายใต้การปรุงแต่งนั้นคือกำแพงเหล็กขนาดใหญ่ ที่บีบบังคับ ไม่ให้เราเดินออกนอกเส้นทาง...นั่นเอง” ชายชราตอบ

ภาพธรรมชาติข้างทางที่น่าชมและเจริญตาเจริญใจ มันกลายเป็นกำแพงเหล็กที่สูงจนเกินกว่าที่จะปีนข้ามไปได้ ข้าพเจ้ามองดูกำแพงเหล็ก เอามือไปสัมผัสและพยายาม ผลักดันกำแพงนั้นให้ขยับ แต่ก็ไร้ผล

“ไม่มีใครสามารถทำลายกำแพงเหล็กนี้ได้หรอก คนทั่วไปเขาก็ไม่อยากทำลายมันเพราะเหตุที่พวกเขาไม่ได้มองเหตุความเป็นจริง นี่แหละมันจึงเป็นการสร้างความแข็งแรงให้กำแพงเหล็ก ให้ตั้งมั่นอยู่อย่างถาวร” ชายชราอธิบายเพิ่ม

ข้าพเจ้านิ่งครุ่นคิดอยู่นาน…

นี่มันอะไรกันเส้นทางเราเดิน เราฝ่าฟันมาทั้งชีวิต ปลายทางที่ว่าสวยงาม ที่แท้มันเป็นเพียงแท่งเหล็กที่ บีบบังคับให้เราเดินให้เราคิดหรอกหรือนี่…

สักพักหนึ่ง ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่าตัวเองเบาขึ้น และค่อย ๆ ลอยไปข้างบนเรื่อย ๆ พร้อม กับชายชราคนนั้น ไม่ช้าภาพแห่งเขาวงกตก็ชัดเจน มีทางเดินมากมาย เชื่อมต่อกันจนนับไม่ถ้วน ทุกเส้นทางมีทางแยกที่จะวนกลับมาหากัน อย่างที่ข้าพเจ้าได้คิดไว้ในตอนแรก มีผู้คนมากมาย บ้างก็กำลังเดิน กำลังวิ่ง กำลังคลานอยู่ตามเส้นทางที่ตัวเองเลือก

ข้าพเจ้าพยายามมองหาเพื่อน เพื่อนที่เคยเดินทางมาด้วยกัน ก็พบว่าบางคนกำลังมีความสุข บางคนมีครอบครัว บางคนกำลังสนุกกับการเดินทาง บางคนก็หยุดนิ่งร้องไห้ที่ต้องแยกทางกับคนที่รัก

ข้าพเจ้ามองหาปลายทางที่บอกว่า ‘อนาคตที่สวยงาม’ ได้ลองตรวจสอบเส้นทางดูแล้ว กลับพบว่าไม่มีปลายทาง อย่างที่ป้ายบอกไว้เลย ทุกเส้นทางมีทางแยกที่สามารถเดินย้อนกลับมาที่เก่าเสมอ

“อนาคตที่สวยงามนั้น…ไม่มีจริงเหรอครับ” ข้าพเจ้าถามชายชราอย่างสงสัย

“อย่างที่พ่อหนุ่มได้เห็นนั่นแหละ อนาคตที่สวยงามที่รออยู่ข้างหน้า นั้นไม่มีปลายทางที่แท้จริง หากเราต้องการความสุข ความสงบก็ควรที่จะหาไขว่ขว้า เอาตอนที่เราอยู่ในปัจจุบันนี่แหละ หากเรารอหวังจะหาความสวยงาม ที่อยู่ปลายทางแล้วล่ะก็ พ่อหนุ่มจะไม่ได้อะไรเลย ชีวิตที่เดินทางนั้น มีทางแยกให้เราเลือกเดินเสมอ ขึ้นอยู่กับเราจะเลือกไปทางไหน” ชายชราตอบ

“แล้วมีเส้นทางไหน ที่จะออกจากเขาวงกตนี้ได้บ้างครับ” ข้าพเจ้าถาม

“มันเป็นทางเส้นเล็ก ๆ ที่มีน้อยคนคิดจะเดินเข้า เพราะตามทางมีกรวดหนามคอยทิ่มตำอยู่มากมาย บางช่วงก็เ็ป็นหุบเหวที่น่ากลัว แต่ปลายทางนั้นมีแต่ความสงบ ไม่ต้องเหนื่อยล้า วนเวียนกับการเดินทางอีกต่อไป หากพ่อหนุ่มอยากจะเดิน ให้สังเกตุป้ายเล็ก ๆ ระหว่างทาง ที่เขียนว่า ‘ทางแห่งอริยะ’ เดินไปตามป้ายนั้น สุดท้ายก็สามารถจะออกจากเขาวงกตได้เอง แต่ขอเตือนไว้ก่อนว่า เส้นทางนี้ลำบากมาก มีน้อยคนที่ผ่านไปได้ บางคนไม่มีความอดทน กลับใจที่เลือกที่เข้ามายังเขาวงกตอีก พ่อหนุ่มก็ลองคิดดูดี ๆ แล้วกัน”

ข้าพเจ้ารู้สึกว่าตัวเองหนักขึ้นเรื่อย ๆ และกำลังลดระดับลงมาช้า ๆ ภาพแห่งเขาวงกต กำแพงเหล็ก ค่อย ๆ เลือนลางหายไปต่อหน้า ไม่นานข้าพเจ้ากลับมายืนอยู่บนทางเส้นเดิม สภาพแวดล้อม ป่าไม้ อันสวยงามร่มรื่น ปรากฏกลับมาอีกครั้ง

ภาพชายชราผู้นั้น ค่อย ๆ เดินจากไป และเลือนหายไปจากสายตาของข้าพเจ้าในเวลาไม่นาน ข้าพเจ้าคิดว่ายังไงก็คงต้องเดินทางต่อไป ตามเส้นทางเดิมที่เลือกมาตั่งแต่ต้น แต่ก็พยายาม เสาะหาป้ายบอกทางที่เขียนว่า ‘ทางแห่งอริยะ’ อยู่เสมอ

จนวันหนึ่งข้าพเจ้าก็มาถึงทางแยกอีกครั้ง ข้าพเจ้าหยุดนิ่ง และรู้สึกดีใจมาก ที่ได้พบป้ายเล็ก ๆ เขียนว่า ‘ทางแห่งอริยะ’ มีลูกศรชี้ไปยังเส้นทางแคบ ๆ เส้นหนึ่ง ข้าพเจ้าไม่รอช้า รีบเดินไปตามเส้นทางนั้น มีเงื่อนไขข้อแรกถูกกำหนดขึ้น ก่อนจะถึงทางเข้า

‘กรุณาถอดรองเท้า…ค่ะ’

เมื่อข้าพเจ้าถอดรองเท้าก็พบว่าเส้นทางที่เดินนั้น ขรุขระ เต็มไปด้วยกรวด ทราย และหินอันแหลมคม ตรงตามที่ชายชราผู้นั้นบอกไว้จริง ๆ
- จบ -




 

Create Date : 01 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 1 พฤศจิกายน 2551 17:08:45 น.
Counter : 805 Pageviews.  

๐๘๘-หุบเขาวงกต(แยกที่ ๑)



บนเส้นทางอันเงียบเหงาแห่งหนึ่ง วันนี้ข้าพเจ้าเดินทางอย่างเพียงลำพัง นานมาแล้วที่เคยมีเพื่อนร่วมทางคนอื่นได้เดินทางมาด้วยกัน แต่บัดนี้กาลเวลาทำให้เราต้องแยกทางเดิน เมื่อถึงทางแยกเส้นที่เลยผ่านมา หลายต่อหลายคน เคยใช้ชีวิตร่วมกัน มีแนวคิดเดียวกัน เดินบนเส้นทางเดียวกัน จนบางครั้งทำให้เผลอคิดไปว่า เราคงไม่ต้องแยกจากกัน คงเดินร่วมทางกันอย่างนี้ตลอดไป

แต่แล้วเมื่อกาลเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไป พวกเราเดินมาถึงทางที่เป็นสี่แยก ข้าพเจ้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า เส้นทางนี้มันจะมีทางแยกรอเราอยู่ข้างหน้า มีป้ายเก่า ๆ บอกถึงจุดหมายปลายทาง ช่วงนี้เองทำให้เพื่อนร่วมทางของข้าพเจ้าเกิดการลังเล และเลือกที่จะเดินเส้นทางที่ตนเองปรารถนา

ไม่มีการจับกลุ่ม ไม่มีการเดินร่วมกันอีกต่อไป ต่างคนต่างเลือกเส้นทางที่คิดว่าเหมาะสมกับตัวเอง บางคนหวนคิดถึงอดีต ไม่อยากจะเดินทางต่อ เขาย้อนกลับไปยังเส้นทางเดิมที่ผ่านมา แม้ว่าข้าพเจ้าจะห้ามสักเท่าไหร่ ก็ไม่อาจจะเปลี่ยนใจเขาได้เลย

หลายคนเลือกที่จะเลี้ยวขวา ซึ่งมีป้ายบอกทางว่า ‘อนาคตที่สวยงาม’ ข้างล่างมีป้ายรองลงมาว่า ‘ครอบครัวที่สมบูรณ์’ และมีส่วนขยายต่ออีกมากมาย

อีกคนเลือกที่จะตรงไป ซึ่งมีป้ายบอกทางว่า ‘เรียนต่อ…’

มีคนไม่น้อยเลือกที่จะเลี้ยวซ้าย ซึ่งมีป้ายบอกว่า ‘ทางลัดสู่เศรษฐี’ โดยข้างล่างมีป้ายแสดงทางแยกอีกมากมาย ข้าพเจ้าสังเกตุจากป้ายซึ่งแสดงทางแยกย่อยแล้ว พบว่าบางช่วงไม่ว่าเราจะเลือกไปทางไหน ก็มีโอกาสมีเจอกันอีกอยู่ดี แสดงว่าวันหนึ่งข้างหน้าเราจะได้พบกันอีกเป็นแน่

พวกเราต่างโบกมืออำลาซึ่งกันและกัน สวมกอดกันอย่างอาลัย น้ำตาแห่งมิตรภาพ หลั่งไหลออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ข้าพเจ้าได้แต่ปลอบใจตัวเองตามลำพังว่า สักวันเราคงได้พบกันอีกครั้ง เมื่อถึงแยกหน้า…

ข้าพเจ้าเลือกที่จะเดินทางโดยเลี้ยวขวา เพื่อแสวงหาอนาคตที่สวยงาม และเดินทางไปเรื่อย ๆ ได้พบผู้คนมากหน้าหลายตา บางครั้งก็เจอทางแยกเล็ก ๆ มีศาลาริมทางให้พักอาศัย หลบแดดหลบฝนเป็นบางครั้ง แต่ในที่สุดก็มีบางอย่างที่แสดงถึงความผิดปกติ ของการเดินทางครั้งนี้เกิดขึ้น

วันนั้นขณะที่ข้าพเจ้าหลบฝนอยู่ที่ศาลาริมทางเล็ก ๆ มีชายชรารูปร่างผอมเล็กคนหนึ่ง เดินเข้ามาหลบฝนที่ศาลาหลังเดียวกับข้าพเจ้า การสนทนาระหว่างข้าพเจ้ากับชายชราผู้นั้นจึงเริ่มต้นขึ้น

“ลุง ๆ มาจากไหนครับ…” ข้าพเจ้าถามขึ้นก่อน แต่ชายชรากลับหัวเราะชอบใจ ทำให้ข้าพเจ้าแปลกใจยิ่งนัก

“แล้วพ่อหนุ่มล่ะ มาจากไหน…แล้วจะไปไหน” แกถามสวนกลับมา

“ผมก็จำไม่ได้ครับ ว่าผมมาจากไหน แต่ผมจะไปยังปลายทางที่บอกว่า…อนาคตที่สวยงามครับ” นั่นสินะ ทำไมข้าพเจ้าจึงจำไม่ได้ว่า จุดเริ่มต้นของการเดินทางนั้นอยู่ที่ไหน และผ่านอะไรมาบ้าง

“ไม่แปลกหรอกที่พ่อหนุ่มจะจำไม่ได้ ลุงเองก็เช่นเดียวกัน จำไม่ได้ และไม่อยากจำ” ชายชราตอบ

คำพูดของชายชราทำให้ข้าพเจ้าได้คิด ที่ผ่านมาพวกเราเดินทาง ก้าวไปข้างหน้าไปเรื่อย ๆ แต่เรากลับจำอดีตของเส้นทางที่ผ่านมาไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเคยผ่านแยกต่าง ๆ มากี่แยก

ทำไมหนอ…มันเป็นเพราะเหตุผลอะไรกัน ข้าพเจ้าพยายามนึก แต่ก็นึกไม่ออกเสียที

“ไม่ต้องนึกให้เีสียเวลาหรอก มากับลุงเถอะ เดี๋ยวพ่อหนุ่มก็จะรู้เอง” ชายชราพูดประหนึ่งว่า รู้ทันความคิดของข้าพเจ้า


*อ่านต่อ แยกที่ ๒




 

Create Date : 31 ตุลาคม 2551    
Last Update : 31 ตุลาคม 2551 7:48:13 น.
Counter : 394 Pageviews.  

๐๘๗-ปลายทางของรถฉุกเฉิน



วันนี้เลิกงานดึก ซึ่งก็เป็นปกติของทุกคืนอยู่แล้ว สายฝนตกกระหน่ำมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย ข้าพเจ้าเปิดที่ปัดน้ำฝนเบอร์ที่แรงที่สุด แต่ก็ยังไม่อาจจะควบคุมน้ำฝนที่หน้ากระจกให้มองถนนได้ชัดเจนมากนัก ได้แต่ภาวนาให้ฝนหยุดตกเสียที เพราะการขับรถในสถานการณ์เช่นนี้ เสี่ยงต่ออุบัติเหตุอยู่มาก

เมื่อมาถึงที่พักฝนก็หยุดตกพอดี จึงเดินออกไปกินข้าวรอบดึก เกือบ ๑๑ ชั่วโมงแล้ว ที่ทำงานอย่างไม่หยุดพักเลย ข้าวมื้อนี้จึงเป็นข้าวมื้อที่ ๒ ของวัน ซึ่งอีกไม่กี่นาที นาฬิกาข้อมือก็เปลี่ยนวันที่ใหม่อีกครั้ง

เสียงรถร่วมกตัญญู แว่วมาแต่ไกล คำประกาศขอทางทางฉุกเฉินดังขึ้น ทำให้จินตนาการได้ว่าคงมีอุบัติเหตุร้ายแรงเป็นแน่ ท่ามกลางฝนตกหนักเช่นนี้ การเดินก็ลำบาก แถมรถก็ยังติดอีก คนที่ประสบอุบัติเหตุคงจะทุกข์ยากน่าดู

ช่วงที่เรามีความสุขนั้น เราเคยนึกบ้างไหมว่าอนาคตเราก็จะต้องประสบความทุกข์เหมือนกัน เราคงจะไม่คิดกันล่วงหน้าหรอกใช่ไหม จนกว่าความทุกข์ยากเหล่านั้น มันจะมาเคาะประตูเรียกชื่อเรา นั่นแหละน้ำตาแห่งความทุกข์จึงได้หลั่งออกมาอย่างไม่รู้ตัว

สมัยที่ข้าพเจ้ายังเป็นเด็กประถม เวลาไม่สบาย ข้าพเจ้ามักจะนึกตัวการ์ตูนเสมอ ก็จะเป็น มิกกี้เมา้ส์ โดนันดั๊ก อะไรประมาณนั้น การ์ตูนพวกนี้ช่างสบายจริงหนอ ใครทำอะไรก็ไม่มีวันตาย ใครแกล้งยังไงก็ลุกขึ้นมาเดินต่อไปได้อีก ตัวการ์ตูนจึงเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าอิจฉาที่สุดเมื่อคราวที่ตัวเองเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา

แต่ปลายทางของรถฉุกเฉินนั้น คงมีน้ำตา มีความเศร้าเสียใจอย่างแน่นอน ข้าพเจ้าถามตัวเองว่า ตอนนี้เราเป็นยังไง ทำงานหนักแต่ก็ยังมีความสุขดีใช่ไหม…? เมื่อเทียบกับคนที่อยู่ปลายทางของรถฉุกเฉินนั้นจะเป็นยังไง ความทุกข์ของเราจึงยังไม่เท่าเศษหนึ่งส่วนล้านของเขาเลยด้วยซ้ำ วันข้างหน้าเราก็จงอย่าประมาท อย่าคิดว่าตัวเองดีแล้ว มีความสุขแล้ว จะไม่มีทุกข์มาเย้าเยือนได้

ดังนั้นการรู้จักมองทุกข์ มองสุข ของตัวเองและผู้อื่นบ้าง มันจึงเป็นการย้ำเตือนให้เราไม่ประมาทในชีวิต ไม่ให้เราตกหลุมพรางของโลกธรรมทั้งหลายได้ง่าย ๆ ไม่ทำให้เรารู้สึกหยิ่งผยองในตัวเอง ทุกอย่างจึงต้องวางใจให้เสมอกัน เพราะไม่ว่าจะสุขก็ไม่ยินดีจนเกินไป พอถึงคราวทุกข์ก็ควรทำใจยอมรับได้ ไม่ร้องไห้ฟูมฟาย ตีอกชกลม จนเสียสติไปอย่างนั้น…




 

Create Date : 29 ตุลาคม 2551    
Last Update : 29 ตุลาคม 2551 7:35:50 น.
Counter : 1179 Pageviews.  

๐๘๖-ห่างกันในบางครั้ง…



ข้าพเจ้าเคยคิดอยู่เสมอว่า ‘รักแท้’ นั้นมีอยู่จริง โดยเริ่มเรียนที่จะรักตัวเองก่อน การเริ่มต้นความคิดในการรักตัวเองนี้ เป็นสัญชาติญาณที่ฝังแน่นมากับเราตั่งแต่เราจำความได้ เราสรรหาทกสิ่งทุกอย่างมาตอบสนองก็เพราะเรานั้นรักตัวเอง และต้องการให้ตัวเองพอใจมากที่สุด เท่าที่ความคิดนึกของแต่ละคนจะทำได้

สิ่งที่เป็นความแตกต่าง ที่สร้างสรรค์ให้มนุษย์ต้องเผชิญความทุกข์ยาก อยู่ทุกวันนั้น เพราะเหตุที่เรามี สติ ปัญญาไม่เท่าเทียมกัน เมื่อไม่เท่ากันมันจึงเกิดความแตกต่าง เกิดมุมมองต่าง ๆ เกิดการเปรียบเทียบระหว่างกัน จนในที่สุดก็ไขว่ขว้า หาบางสิ่งบางอย่างมาเพื่อให้ตัวเองเสมอหรืออยู่เหนือกว่าคนอื่น บางครั้งก็ได้มาจากความไม่ชอบธรรม จึงทำให้สังคมเราวุ่นวายอย่างไม่รู้จักจบสิ้น
ความรักตัวเอง เมื่อมีมากเกินความสมดุล เกินบรรทัดฐานของสังคม และแสดงออกมาทางกาย วาจา ชัดเจน สิ่งนี้เรียกว่าความเห็นแก่ตัว ซึ่งความเห็นแก่ตัวนี้ เรานำมาใช้และพูดกันบ่อยในทางที่เป็นทัศนคติในแง่ลบ เพราะทุกคนต่างไม่ชอบความเห็นแก่ตัวที่ผู้อื่นแสดงออกมา แต่กลับไม่ยอมรับว่าตัวเองก็มีความเห็นแก่ตัวด้วยเช่นเดียวกัน เป็นต้น

ถ้าหากวันนี้ข้าพเจ้า จะยอมรับว่ามีความรักในตัวเอง ต้องการผลตอบสนองทางอารมณ์ จากคนที่ข้าพเจ้ารักและคิดถึงอยู่ตลอดเวลาบ้าง จะเป็นความผิดมากมั้ย อย่างน้อยมันก็คงจะทำให้ชีวิตทุกวันนี้ ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น ธรรมะที่ศึกษาอยู่ทุกวัน แม้ว่าจะช่วยแก้ปัญหาให้กับชีวิตได้จริง แต่บางเวลาที่เหนื่อยมาก ๆ ข้าพเจ้ากลับรู้สึกว่าต้องการอะไรบางอย่าง นั่นคือการพูดคุยกับคนที่รัก และไว้ใจที่สุด

แต่ทุกครั้งที่คิดถึงเธอคนนั้น ข้าพเจ้ากลับย้ำเตือนตัวเองเสมอว่า เราไม่คู่ควรกันและคบกันอย่างหนุ่มสาวปกติ เหตุเพราะความปรารถนาของข้าพเจ้านั่นเองเป็นตัวกั้น ไ่ม่ให้เราใกล้ชิดกันได้ง่าย ๆ แม้ว่าจะมีโอกาสอยู่มากก็ตาม ความสำนึกผิดถูกกลับมาเป็นตัวบั่นทอน ทำให้ข้าพเจ้าต้องหันหลัง ถอยกลับมาและอยู่ห่าง ๆ จากเธอผู้นั้น
ทุกครั้งที่คิดถึงเธอ ก็มักจะจบลงด้วยธรรมะ ความไม่เที่ยงของสังขารร่างกายเสมอ

เรารักกันนั้นก็จริง แต่ด้วยเหตุผลใดกันแน่…
ด้วยใจจริงหรือเพียงเพราะร่างกาย เนื้อหนังมังสา ถ้าหากเรารักกกันด้วยใจจริงที่บริสุทธิ์แล้วนั้น การอยู่ห่างกันจึงเป็นผลดี เพราะมันทำให้ข้าพเจ้ายิ่งรักเธอมากขึ้นเรื่อย ๆ และมีความหวังลึก ๆ ที่จะพาเธอผู้นั้นก้าวข้ามผ่านทะเลแห่งการเวียนว่ายตายกิดนี้ไปด้วยกัน แต่นั่นจะสำเร็จหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับกำลัง สติ ปัญญา และแรงปรารถนาของเราทั้งคู่นั่นเอง




 

Create Date : 27 ตุลาคม 2551    
Last Update : 27 ตุลาคม 2551 8:00:40 น.
Counter : 342 Pageviews.  

1  2  

อัสติสะ
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ทุกข์ใดจะทุกข์เท่า การเกิด
ดับทุกข์สิ่งประเสริฐ แน่แท้
ทางสู่นิพพานเลิศ เที่ยงแท้ แน่นา
คือมรรคมีองค์แก้ ดับสิ้นทุกข์ทน






Google



New Comments
Friends' blogs
[Add อัสติสะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.