ภัยแห่งสังสารวัฏนั้น น่ากลัวยิ่งกว่าภัยอื่นใด - อัสติสะ
Group Blog
 
All blogs
 

๓๐๐ - น้ำเชื่อมกับมด



หลาย ๆ คนคงเคยทำน้ำเชื่อมหก หรือไม่ก็ต้องเคยกินขนมที่มีส่วนประกอบของน้ำเชื่อม แล้วลืมทิ้งไว้กันบ้าง สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นก็คือ บรรดาฝูงมดที่ตั้งใจมาเก็บของหวานแทนเรา น้ำหวานดูเหมือนจะเป็นอาหารอันโอชะของบรรดาเหล่ามด และพวกมันก็มีประสาทสัมผัสที่ไวต่ออาหารประเภทนี้เสียด้วย

ข้าพเจ้าเคยสังเกตุเห็นพวกมดที่รุมกันกินน้ำเชื่อม บางตัวก็ตกลงไปในบ่อน้ำเชื่อมจนไม่สามารถขึ้นมาได้ บางตัวก็ถูกความหนืดของน้ำเชื่อมดึงร่างกันเล็กไม่ให้ขยับตัวไปไหน มดหลายตัวที่ต้องสังเวยชีวิตเพราะอาหารที่มันต้องการ

เมื่อมาลองพิจารณาดูชีวิตของมดก็ไม่ต่างอะไรกับชีวิตของคนเรา บางคนใช้ชีวิตจนเกินพอดี มีความโลภจนเกินพอดี และต้องตายเพราะอำนาจเงินและผลประโยชน์

มาลองคิดดูว่าสิ่งเหล่านี้มีค่ามากพอที่เราต้องสละชีวิต เพื่อมันขนาดนั้นเลยหรือ... แล้วจะคุ้มค่ามากเพียงใด กับสิ่งที่ได้รับมา แน่นอนว่าวิถีชีวิตปัจจุบันเราไม่สามารถปฏิเสธเรื่องเงินไปได้ เพราะสิ่งต่าง ๆ ในการดำเนินชีวิต ล้วนต่างต้องอาศัยเงินเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน แต่เราก็ควรตะหนักดูบ้างว่า ความต้องการที่เงินพอดีนั้นมีผลเสียอย่างไร เหมือนกับมดน้อยตัวหนึ่ง มาพบกับบ่อน้ำเชื่อม และพยายามจะเอาน้ำเชื่อมทุกหยดกลับรังให้ได้ หารู้ไม่ว่าถึงแม้น้ำเชื่อมจะมีประโยชน์กับพวกมันมากแค่ไหนนั้น หากการเข้าไปเก็บเกี่ยว และใช้อย่างไม่ระวัง สิ่ง ๆ ก็อาจบังเกิดโทษต่อตัวเราเองได้เช่นกัน

ขอขอบคุณ รูปภาพงาม ๆ จาก //media.redding.comมากมาย ครับ




 

Create Date : 01 มิถุนายน 2554    
Last Update : 1 มิถุนายน 2554 8:34:50 น.
Counter : 944 Pageviews.  

๒๙๙ - ความชอบ ความชัง



เป็นธรรมของชีวิตมนุษย์ทั้งหลาย ที่ต้องประสบกับทั้งความชอบและความชัง ซึ่งติดตัวเรามาตั่งแต่เราจำความได้หรือ อย่างมากกว่านั้นก็ติดตัวเรามาตั่งแต่ที่เรายังไม่มาเกิดเป็นมนุษย์ ยังเป็นวิญญาณเร่ร่อน เป็นสัตว์นรก เปรต เป็นเทวดาเสียด้วยซ้ำ มีมากอยู่ที่เราชอบรูปสวย ๆ งาม เกลียดรูปอัปลักษณ์หดหู่ ยกตัวอย่างเช่น คนที่เคยรักกันแทบตายวันหนึ่งคนที่เรารักมีรูปร่างเปลี่ยนไป เช่น ถูกไฟคลอก หรือ ด้วยกาลเวลารูปร่าง สัดส่วนก็บวมขึ้น อ้วนขึ้น ส่วนใหญ่คนที่รักชอบด้วยน่าตา ก็คงมีความรู้สึกไม่เหมือนเดิมตอนที่เคยจีบ เคยชอบ เพราะเหตุของรูปร่างใหม่ ๆ แต่นั่นก็ไม่ได้ว่าทุกคนจะเป็นอย่างนั้น เพียงแต่คนที่ไม่ใช่คู่แท้คู่ชีวิตกัน หรือ ไม่เคยเกื้อกูลกันมาก่อนในอดีตชาติ หรือคนที่ฝักใฝ่ในทางกามราคะ มีโอกาสสูงที่จะต้องเลิกล้างกันไป ยิ่งในสังคมปัจจุบัน ซึ่งมีการยั่วยุอารมณ์ทางสื่อได้มากมายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

หากเราลองหมั่นพิจารณาดูเป็นประจำในความสวยงามนั้นมีอะไร ข้าพเจ้าเองก็เป็นคนที่ติดในความงามเช่นกัน มันคงเป็นสันดานที่ติดตัวมามากมายหลายภพ ชาติ ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ในเวลาอันรวดเร็ว แต่ก็พยายามที่จะแก้ไขอยู่เป็นประจำ ถึงแม้บางครั้งอาจจะพลั้งเผลอต่อกิเลสไปบ้าง แต่เราลองมาพิจารณาในความสวยอีกด้านดูบ้าง สมมติว่าเราเดินผ่านไปแล้วพบคนที่สวยหรือ หล่อมาก เราย่อมเกิดความยินดี ตามประสาสัตว์โลกที่ชุ่มไปด้วยกาม ในขณะนั้นสติของนักปฏิบัติก็พึงระลึกว่าคนที่สวย ที่หล่อที่อยู่ตรงหน้าเรา หากตายไปแล้วจะมีลักษณะอย่างไร แก้มที่ขาว แขนที่ขาว คงมีรอยเขียวจ้ำ หน้าตาคล้ำซีดปนเขียว มีน้ำเลือดหนองปนออกมา คนที่สวยหรือหล่อมากเท่าไหร่ก็สามารถนึกน้อมใจถึงตอนที่คน ๆ นั้นตาย เขาจะยิ่งมีความน่ากลัวมากเป็นทวีคูณ

แต่อนิจจา มนุษย์โดยยทั่วไปย่อมไม่มีความนึกคิดน้อมไปทางอสุภะกันนัก นอกเสียจากนักปฏิบัติธรรมทางสายวิปัสสนากรรมฐาน ที่ได้อบรมมาแล้วเท่านั้น ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายว่าข้าพเจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญอันใด หากแต่เป็นผู้ที่กำลังอยู่ในช่วงฝึกฝนเช่นกัน จึงนำเรื่องมาเขียนเล่าบรรยาสู่กันฟัง เผื่อพบเจอนักปฏิบัติที่มีปฏิปทาคล้ายคลึงกัน จะได้สามารถแนะนำกันได้

สุดท้ายปลายทางของคนที่สามารถวางใจ ไม่ติดยึดในความสวยความงาม เป็นผู้ที่สามารถวางจิตให้เป็นกลางได้มากที่สุด คือคนที่พบรูปที่สวยงามทั้งที่น่าปรารถนายินดีของคนทั้งหลาย คน ๆ นั้นก็ไม่ได้ยินดี หรือ พบเจอรูปที่น่ารังเกียจเป็นที่น่าขยะแขยงของคนทั่วไป คน ๆ นั้นก็สามารถวางใจรับได้ โดยการทำจิตที่อยู่ตรงกลางระหว่างความรักกับความชัง ความพอใจกับความไม่พอใจ มีจิตที่ไม่หวั่นไหวในการประทบกระทั่งทางอารมณ์ ซึ่งคนประเภทที่สามารถละสิ่งเหล่านี้ได้เด็ดขาด ก็มีเพียงพระอนาคามี และพระอรหันต์เพียงเท่านั้นกระมัง...

ขอขอบคุณ รูปภาพงาม ๆ จาก //4.bp.blogspot.comมากมาย ครับ




 

Create Date : 23 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 27 มีนาคม 2555 15:57:52 น.
Counter : 894 Pageviews.  

๒๙๘ - สิ่งกราบไว้



ข้าพเจ้าเคยมีพระเครื่องห้อยคอไว้องค์ ในสมัยที่ซื้อรถใหม่เมื่อหลายปี จุดประสงค์ก็เพื่อต้องการให้ท่านช่วยคุ้มครองในยามที่มีภัย แต่ตอนนี้ไม่แน่ใจว่าหายไปไหนหรือให้ใครไปแล้ว โดยปกติวิสัยส่วนตัวจะไม่ชอบใส่สร้อย แหวน หรือ เครื่องประดับอะไรที่เป็นส่วนเกินของร่างกาย ใส่ไปแล้วมันรู้สึกอึดอัดชอบกล โดยเฉพาะแหวน ข้าพเจ้าใส่ไม่ได้เลย จะต้องถัดออกในเวลาไม่เกินครึ่งวัน แต่ยกเว้นนาฬิกาข้อมือ ซึ่งกว่าจะทำความเคยชินได้ก็ใช้เวลานานเป็นเดือน

สิ่งกราบไว้อีกอย่างในสมัยก่อนก็คือ ปีเซี๊ยะหรือ ผีซิ่ว เป็นสัตว์ที่มีรูปร่างเหมือนสิ่งโต แต่มีปีก ส่วนใหญ่จะเป็นหยกแกะสลักดูรูปร่างงดงามมาก มีไว้สำหรับเรียกโชคลาภโดยเฉพาะเงินทอง โดยเฉพาะแถบเมืองจีนจะนิยมกันมากและก็ได้ระบาดมาถึงเมืองไทย และในทุก ๆ สิ้นเดือนข้าพเจ้ามักจะไปกราบไหว้ ท้าวมหาพรหมที่แยกราชประสงค์ (ซึ่งปัจจุบันก็ไม่ได้ไปแล้ว )



เรียกว่าสมัยสี่ปีก่อนนั้น ข้าพเจ้ากราบไหว้บูชาไปทั่วเหมือนกัน (ยกเว้นต้นไม้และสัตว์รูปร่างประหลาด ๆ เท่านั้น) มันคล้ายกับว่าเรากำลังหาที่พึ่งพาบางอย่าง ทั้งเทพเจ้า พระพุทธรูป พระเครื่อง สัตว์กึ่งเทพ ปะปนวุ่นวายกันหมด ในคราวที่มีโชคลาภขึ้นมาจริง ๆ ก็ไม่รู้ว่าเทพเจ้าองค์ไหนเป็นผู้บรรดาลให้

หลังจากที่ศึกษาหาความรู้ทางพระพุทธศาสนาอย่างละเอียดมากขึ้น ก็ได้พบว่าสิ่งต่างเหล่านี้ นั้นหาได้มีในพระพุทธศาสนาไม่ เป็นสิ่งที่แต่งแต้มออกมาในภายหลัง แม้จะเคยอ่านเคยได้ยินมาบ้างว่า
พระพุทธเจ้าก็อนุญาตให้บูชาเทวดาได้ แต่ก็คงไม่เอิกเกริกขาดเหตุขาดผลเช่นในปัจจุบัน ในครั้งนั้นมันเหมือนกับว่า ตัวเราเองจะต้องเลือกบางสิ่งระหว่างธรรมที่บริสุทธิ์ กับสิ่งปนเปื้อนทั้งหลาย(แม้ว่าจะมีผลตอบแทนที่ดีงาม) แต่เราก็ต้องเลือกเอา สุดท้ายข้าพเจ้าก็ทิ้งสิ่งบูชาทั้งหมด หันมากราบไหว้บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างเดียว พระเครื่องหรือพระพุทธรูปก็นำเอากลับบ้านต่างจังหวัด และแจกจ่ายให้คนใกล้ชิดหมด เหลือไว้เพียงในรถ ๒ – ๓ ซึ่งมีไว้เพื่อให้คนในครอบครัวสบายใจเท่านั้น (เพราะถ้าไม่มี บรรดาญาติ ๆ ก็จะเสาะหามาให้อีก) ก็เลยเหลือไว้เพื่อกันไม่ให้ใครเอามาให้ แม้แต่ในห้องที่แต่ก่อนมีหิ้งพระบูชา ก็นำกลับบ้านต่างจังหวัดเช่นกัน

แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามที แม้ไม่มีพระเครื่องหรือพระพุทธรูป แต่ข้าพเจ้าก็สามารถสวดมนต์กราบไหว้ ทำวัตรเย็นได้อย่างปกติ เหมือนกับพระพุทธรูปนั้นแท้จริงก็ไม่มีแก่นสารมากไปกว่า การมีพระพุทธรูปที่อยู่ภายในใจ ซึ่งเราสามารถกราบไว้และระลึกถึงได้ทุกที่ พระพุทธรูปนั้นจุดประสงค์คำคัญมีไว้ เพื่อเสริมสร้างกำลังของพุทธานุสติ ซึ่งเป็นกรรมฐานอย่างหนึ่ง หากปฏิบัติถูกต้องก็สามารถทำให้เราพ้นจากทุกข์ได้ ไม่ได้มีไว้เพื่อกราบไว้ขอโชคลาภและเสริมความมั่งมีแต่อย่างใด

ขอขอบคุณ รูปภาพงาม ๆ จาก //photos4.hi5.comมากมาย ครับ





 

Create Date : 16 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 16 พฤษภาคม 2554 8:34:38 น.
Counter : 891 Pageviews.  

๒๙๗ - สุขปนทุกข์



มนุษย์เราทั้งหลายนั้นต่างรู้สึกทั้งความสุขและทุกข์ปะปนกันไปในแต่ละวันในแต่ละชั่วโมง ความสุขของคน ๆ หนึ่ง อาจจะแลกมาด้วยความทุกข์ของคนอีกหลายคน ซึ่งมีให้เห็นมากมายในยุคปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่น การก่อสร้างอาคารสูงประกอบด้วยห้องพักที่หรูหราของบรรดาเศรษฐี แต่การที่จะได้มาซึ่งห้องพักที่แสนสะดวกสบายนั้น บางครั้งต้องแรกมาด้วยหยาดเหงื่อ หรือแม้กระทั่งชีวิตของคนงานก่อสร้าง หรือยกตัวอย่างใกล้ตัวมากขึ้นไปอีก อาหารที่เรากินทุกวันเช่นเนื้อสัตว์ก็ดี สัตว์เหล่านั้นต้องประสบกับเคราะห์ภัยถึงกับชีวิต เพื่อแลกกับอาหารของมนุษย์ไม่กี่มื้อ สัตว์เหล่านั้นมันคงต้องมีความทุกข์มากอย่างแสนสาหัสเป็นแน่ แต่มนุษย์กับกินเนื้อของมันอย่างเอร็ดอร่อย ยิ่งซ้ำต่างก็เอาเนื้อ เอาอาหารของสัตว์เหล่านั้นมาล้อเล่นเป็นที่สนุกปาก ในใจของข้าพเจ้ารู้สึกเวทนายิ่งนัก น่าสงสารทั้งคนและสัตว์ มนุษย์นั้นจะมีสักกี่คนที่จะคิดได้ว่า วันหนึ่งตัวเองอาจจะต้องเจอกับภัยหายนะแบบนั้นบ้าง

ยามใดที่มีความสุข ยามนั้นเราก็มักจะลืมความทุกข์ ยามใดที่มีความทุกข์ ยามนั้นเราก็มักจะโหยหาความสุข และบ่นเพ้อรำพันถึงความทุกข์ของตัวเองนั้นหนักหนา หากเป็นความทุกข์ที่ร้ายแรงก็เพ้อไปว่า ทำไมความทุกข์นี้จึงไม่พ้นไปเสียโดยไว

พุทธศาสนาสอนเรื่องทุกข์เป็นเรื่องที่เป็นสำคัญที่เราจะต้องเรียนรู้ มากกว่าการสอนให้เราเรียนรู้หรือบูชาในสิ่งอื่นใด เพราะการเรียนรู้ความทุกข์ก็เท่ากับการเรียนรู้ในทุกสิ่งทุกอย่าง

"การเข้าไปยึดถือในทุกสิ่งทุกอย่าง ก็เท่ากับสร้างความทุกข์ขึ้นมา "
คนทั่วไปที่กำลังมีความสุขในทางโลกได้ยินคำนี้ ข้าพเจ้าเชื่อว่าคงต้องค้านหัวชนฝาเป็นแน่ เพราะเขาจะไม่มีทางเชื่อว่าสิ่งนั้นจะสร้างทุกข์ให้เขาได้ (ข้าพเจ้าในอดีตสมัยช่วงที่ยังไม่ได้เข้ามาศึกษาธรรมะอย่างจริงจัง ก็รู้สึกแบบนี้เช่นกัน)
อุปมาเหมือนกับคนตาบอดยืนอยู่กลางแดดแล้วบ่นว่าร้อนมาก มีคนบอกว่าสาเหตุของความร้อนนั้นมาจากดวงอาทิตย์ เขาก็ไม่เชื่อว่าดวงอาทิตย์มีจริง และหน้าตาเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ รับรู้ได้แต่ว่าร้อน และไม่สามารถรู้ได้เองว่าร้อนมาจากอะไร เมื่อไม่เห็นก็ไม่เชื่อว่าดวงอาทิตย์มีอยู่จริงอยู่นั่นเอง

มีคนมากมายที่ถามข้าพเจ้าว่าทำไมยังไม่มีคู่รัก หรือไม่คิดจะแต่งงานบ้างหรือ ข้าพเจ้ากลับรู้สึกยิ้มอยู่ภายในใจ ธรรมดาของชีวิตคนรุ่นหนุ่มสาวนั้น ข้าพเจ้าคิดว่าพวกเขานั้นทางเลือกให้เดินน้อยเสียเหลือเกิน ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะเรียนจบอะไรมา หรือประกอบอาชีพอะไรก็ตามที สุดท้ายก็ต้องมานั่งคิดเรื่องคู่ครอง จับคู่แต่งงานกัน เหมือนกันหมดทุกคน
ชีวิตมันมีเพียงหนทางเพียงเท่านี้หรืออย่างไร...ข้าพเจ้ามักจะตั้งคำถามตัวเองตลอดเวลาในช่วง สี่ปีที่ผ่านมาหรือว่ามันมีหนทางอื่นให้เดินอีก...
ข้าพเจ้ามักจะรู้สึกพอใจเมื่อรู้ว่า พุทธศาสนาการประพฤติพรหมจรรย์ และการถือเพศบรรชิตนั้นก็เป็นทางออกอีกทาง ขึ้นอยู่ว่าเราจะเลือกเดินเส้นทางไหน โดยส่วนตัวคิดว่าตัวเองสามารถเลือกเดินได้ทั้งสองทาง แต่ต้องเลือกเอาทางใดทางหนึ่งเท่า ความคิดที่จะแสวงหาธรรมอันสูงสุดนั้น ต้องเลือกตัดใจกับเรื่องของคู่ครองความรักให้ได้ ไม่มีใครที่จะสามารถเหยียบเรือของแคม คือเลือกเอาทั้งสองโดยที่ไม่ต้องเจ็บตัว

จริงอยู่ว่าอาจจะมีคนคิดว่า การมีคู่ก็สามารถประพฤติธรรมได้ แต่ก็ขอให้เข้าใจว่าสิ่งนั้นจะประกอบได้แต่ธรรมขั้นพื้น ๆ ไม่สามารถที่จะยกภูมิจิตของตัวเอง ในชั้นที่ถัดได้อย่างรวดเร็ว เพราะการใช้ชีวิตคู่จะมีเรื่องกวนใจมาก ทั้งการงาน ค่าใช้จ่าย ลูกที่ต้องส่งเสียและอีกมากมายจิปาถะ แต่ก็มีคนไม่น้อยรักที่จะมีความสุขปนทุกข์แบบนี้กัน

ขอขอบคุณ รูปภาพงาม ๆ จาก //learners.in.thมากมาย ครับ




 

Create Date : 09 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 10 พฤษภาคม 2554 8:44:17 น.
Counter : 486 Pageviews.  

๒๙๖ - กระดาษทรายกับพระอริยะ




ความชื้นของอากาศเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งที่ทำให้โลหะเหล็ก ซึ่งเป็นโลหะแข็งตามธรรมชาติเกิดสิ่งที่เรียกว่าสนิมขึ้นมา ธรรมชาติได้สร้างโลหะเหล็กให้มีคุณสมบัติแข็งทนต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ แต่ทุกอย่างไม่ว่าจะมั่นคงเพียงใด ก็ต้องถูกย่อยสลาย แปรสภาพไปอยู่ดี

เรื่องของสนิมกับเหล็กกล้านี้ ผุดขึ้นมาในความคิดของข้าพเจ้า เมื่อช่วงหลายปีที่ผ่านมา ช่วงนั้นคงได้รับอิทธิพลจากหนังสือธรรมเล่มใดเล่มหนึ่งในตอนนั้น แต่หนังสือไม่ได้พูดถึงเรื่องสนิมกับเหล็กกล้าโดยตรง เพียงแต่ข้าพเจ้านำกลับมาขยายความ และประยุกต์ใช้ต่ออีกที แต่ถ้าหากมันบังเอิญไปตรงกับเรื่องที่ใครคนใดคนหนึ่งเคยอ่านเจอมาแล้วข้าพเจ้าคงหน้าแตกก็เป็นไปได้
โจทย์มีอยู่ว่า

“ถ้าเปรียบเหล็กกล้ากับความบริสุทธิ์หมดจรดของพระอริยบุคคลในแต่ละชั้นนั้น เราจะสามารถเปรียบเทียบได้อย่างไร...”

ตอนนั้นก็มีคำตอบอยู่ภายในหัวพุ่งออกมาแล้ว ซึ่งแน่นอนว่า พระอรหันต์จะต้องเป็นเหล็กกล้าที่ขัดเกลาอย่างดีแล้ว ไม่สามารถมีสนิมได้อีกต่อไป หมายถึงไม่สามารถมีกิเลสมาลุมเกาะได้อีกต่อไป
พระอนาคามี ก็ต้องเป็นเหล็กที่ยังมีสนิมเกาะอยู่เล็กน้อย อาศัยกระดาษทรายเบอร์ละเอียดขัดเกลา อีกไม่นานก็จะถึงความสะอาดหมดจรด
พระสกทาคามี ก็เป็นเหล็กที่สนิมอยู่พอสมควร และต้องใช้เวลาขัดเกลาอีกมาก
พระโสดาบัน ก็เป็นเหล็กที่มีสนิมเกาะมากกว่าพระสกทาคามี และต้องใช้เวลาและกระดาษทรายเบอร์ที่หยาบกว่าความในการขัดเกลา

ส่วนปุถุชนคนธรรมนั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะไม่อาจจะเปรียบเทียบใด ๆ ได้เลย (คงไม่แรงไปนะครับ เพราะไม่รู้จะเปรียบยังไงจริงๆ )

ซึ่งคำตอบในหัวก็มีประมาณที่อย่างที่อธิบายมาข้างต้น ตอนนั้นเกิดความพองฟูในความรู้ขึ้นมาพอสมควร และคิดอยู่ในใจว่า ข้าพเจ้าจะเอาโจทย์นี้ไปถามใครดี ที่พอจะตอบคำถามประเภทนี้ได้บ้าง มันเป็นตวามที่ต้องการลองเชิง หรือต้องการหยั่งเชิงความรู้กับผู้อื่นดูบ้าง ซึ่งตอนนั้นก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากไปกว่าต้องการมีคนทดสอบความรู้นี้

ข้าพเจ้าเลือกที่จะทดสอบกับพระมากกว่าฆราวาสทั่วไป เพราะสะดวกกว่าที่จะถามคำถามประเภทนี้ เพราะหากสุ่มสี่สุ่มห้าไปถามคำถามนี้กับคนทั่วไป ที่ไม่ได้อยู่ในวงการศาสนาหรือนักปฏิบัติธรรม ก็คงจะไม่ค่อยมีประโยชน์อะไร

ในวันหยุดปลายเดือนตุลามคม ปี ๒๕๕๐ ข้าพเจ้าเลือกที่จะนั่งรถทัวร์ไปเดินทางเป็นระยะกว่า ๗๐๐ กิโลเมตร เพื่อที่จะเดินทางไปถามปัญหานี้กับพระ ที่วัดที่มีชื่อเสียงในจังหวัดอุบลราชธานี การเดินทางไปจังหวัดอุบลราชธานีในครั้งนั้น ต้องยอมรับว่าเป็นครั้งแรกในชีวิต และต้องการที่จะเดินทางแบบไปกลับ ไม่เลือกที่จะค้างคืน
การไปในครั้งนั้น ก็ไม่ได้ไปเปล่า ข้าพเจ้าอธิษฐานไว้ในใจว่า



"หากข้าพเจ้ามีวาสนาโชคชะตาผูกพันที่จะได้บวชยังวัดแห่งนี้ หรือมีความผูกพันกับบุคคลในวัดแห่งนี้มาก่อนในอดีตชาติ ขอให้คนที่ข้าพเจ้าเดินทางไปถามคำถามนี้ เป็นคนแรกได้ตอบคำถามนี้ถูกต้อง และต้องกลับความคิดของข้าพเจ้าด้วยเถิด แต่ถ้าหากว่าท่านตอบไม่ได้ หรือตอบคำถามเป็นอย่างอื่น ก็หมายรู้ได้ว่าข้าพเจ้าคงไม่ได้มีความผูกพัน หรือต้องชะตากับสถานที่แห่งนี้"

เมื่ออธิษฐานเสร็จก็เตรียมตัว เดินทางไปยังวัดแห่งนั้นทันที

เมื่อไปถึงก็เข้าไปกราบพระภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งคาดว่ามีหน้าที่ต้อนรับญาติโยม อยู่ภายในอาคารรับรอง ซึ่งข้าพเจ้าสังเกตุเห็นว่ามีคนอยู่ภายในประมาณ ๔ - ๕ คนจึงค่อย ๆ คลานเข้าไปนั่งอยู่ในมุมหนึ่งของห้อง

พอได้จังหวะเหมาะสม ข้าพเจ้าก็เข้าไปกราบพระหนุ่มรูปนั้น ซึ่งดูจากรูปร่างของท่าน น่าจะมีอายุประมาณ ๓๐ กว่า ๆ เมื่อกราบเสร็จก็แจ้งความจำนงตามที่ตั้งใจไว้
ตอนนั้นก็ได้สังเกตุว่าญาติโยม ที่อยู่ภายในห้องคงจะได้ยินที่ข้าพเจ้าถาม ต่างก็ค่อย ๆ ถอยห่างหลีกหนีหายออกไปจากห้อง จึงเหลือเพียงพระภิกษุรูปนั้นกับกับข้าพเจ้าเพียงสองคน
เหตุการณ์นี้หากย้อนเวลากลับไปยังสมัยพุทธกาล น่าจะมาคนมารุมฟังการสนทนาธรรมกันเยอะ แต่สมัยนี้พอพูดเรื่องธรรมะ ที่ต้องอาศัยปัญญาในการคิดวิเคราะห์ก็ไม่ค่อยใส่ใจนัก ส่วนใหญ่จะเน้นแต่เรื่อง ทาน ศีล เสียมากกว่า
พระภิกษุหนุ่มรูปนั้นก็ดูท่าทางอึ้ง กับคำถามของข้าพเจ้าเล็กน้อย พร้อม ๆ กับการรอคำตอบของข้าพเจ้า
“โยมไปอ่านมาจากหนังสือเล่มไหนมา หรือ ” ท่านตอบ
“ผมคิดเอง ขอรับ” ข้าพเจ้าตอบ
จากนั้นท่านก็มีท่าทีที่จะไม่ตอบคำถาม ซึ่งข้าพเจ้า ก็ไม่ได้คะยั้นคะยอให้ตอบ ซึ่งก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย คิดเอาว่านี่อาจจะไม่ใช่สถานที่ ที่เราผูกพันตามคำอธิษฐานเสี่ยงทาย แม้จะชอบบรรยากาศร่มรื่นและเต็มไปด้วยต้นไม้ ตามรูปแบบของวัดป่าที่ถูกสร้างมาอย่างเหมาะสมและลงตัว

ข้าพเจ้าสนทนากับพระภิกษุต่อ อีกประมาณสิบห้านาที สอบถามเรื่องเกี่ยวกับวัด และชวนสนทนาเรื่องพุทธประวัติทั่วไป หลังจากนั้นก็ขอตัวเดินไปสำรวจดูบริเวณรอบ ๆ วัด เพราะเกรงว่าท่านอาจจะรำคาญ หรือท่านคงมีธุระที่สำคัญอย่างอื่นต้องทำอีก

ชีวิตที่ของเรานั้นต่างก็ประสบเรื่องราว ที่แตกต่างกันมากมาย ทั้งมีความผูกพันข้องเกี่ยวกับสถานที่บุคคลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การอธิษฐานครั้งนี้ก็ไม่ได้ทำเพื่อตัดโอกาสของตัวเอง แต่เพิ่มโอกาสให้สามารถได้พบได้เจอสถานที่อื่น ๆ อีกมาก ที่เรายังไม่ได้ไปพบและเหมาะสมกับเรามากที่สุด ข้าพเจ้าเดินทางกลับออกจากวัดและต่อรถกลับเข้ากรุงเทพ ด้วยอาการสงบเพราะเชื่อว่าได้ทำในสิ่งที่ต้องการทำแล้ว แม้จะไม่ได้คำตอบที่ต้องการ แต่อย่างน้อยคำตอบที่ดีที่สุดมันน่าจะอยู่ในตัวเราอยู่แล้ว ข้าพเจ้าเชื่ออีกว่า หากเรายังคงมุ่งมั่นที่จะค้นหาคำตอบอะไรก็ตาม เราก็จะต้องค้นพบคำตอบที่ถูกต้อง ในวันใดวันหนึ่งข้างหน้าอย่างแน่นอน...




 

Create Date : 25 เมษายน 2554    
Last Update : 25 เมษายน 2554 8:04:10 น.
Counter : 752 Pageviews.  

1  2  3  

อัสติสะ
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ทุกข์ใดจะทุกข์เท่า การเกิด
ดับทุกข์สิ่งประเสริฐ แน่แท้
ทางสู่นิพพานเลิศ เที่ยงแท้ แน่นา
คือมรรคมีองค์แก้ ดับสิ้นทุกข์ทน






Google



New Comments
Friends' blogs
[Add อัสติสะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.