ภัยแห่งสังสารวัฏนั้น น่ากลัวยิ่งกว่าภัยอื่นใด - อัสติสะ
Group Blog
 
All blogs
 

๐๖๐-โอกาสทอง….ของปลวกจอมขยัน




ในท่ามกลางความวุ่นวาย ความไม่เข้าใจและไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกัน
จนบางครั้งทำให้เรารู้สึกว่า นี่เราเป็นคนไทยด้วยกันหรือเปล่า
นี่เรายังคงใช้ภาษาไทย สื่อสารกันหรือเปล่า เรามีชาติ ศาสนา และพระมหากษััตริย์ เดียวกันหรือเปล่า
มีคนบอกว่า เรากำลังแตกแยก ขาดความสามััคคี และประเทศกำลังอยู่ในช่วงขาลง เราถูกรังแก แม้แต่ประเทศเพื่อนบ้านที่ด้อยพัฒนากว่า

ในมหาสงครามนั้น ศึกภายนอกดูจะเล็กน้อยกว่าศึกภายใน เราเสียกรุงศรีอยุธยามาแล้วก็เพราะศึกภายใน คนในชาติขาดความสามัคคี เรากำลังเดินตามประวัติศาสตร์ อันเลวร้ายนั้น เพียงแต่ศรัตรูคราวนี้ ไม่ใช่ศรัตรูภายนอกอย่างที่เคย แต่เป็นความขัดแย้ง ความไม่เข้าใจกัน มันกำลังบั่นทอน ความรู้สึกของประชาชนคนในชาติลงทุกวัน ๆ

ในมุมของพุทธศาสนา ท่านว่าเกิดจากผลกรรมในอดีต ข้าพเจ้าเองก็เชื่อเรื่องกรรม และผลของกรรม เชื่อในคำสอนของพระศาสดา ข้าพเจ้ายอมรับว่าคนเป็นโง่ เป็นคนบ้าในสายตาผู้อื่น แต่จะไม่ยอมเป็นคนชั่ว เป็นคนไม่ดี ไม่ยอมทำผิดต่อคำสอนที่ท่านตรัสไว้ดีแล้ว

หากแต่เพียงเรารู้ชัดในผลของกรรม ก็คงไม่มีใครกล้าทำชั่ว ซึ่งในความเป็นจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น มีคนจำนวนน้อยนิด ที่เชื่อเรื่องกรรม
เหตุนั้นก็เพราะว่ากรรมที่เรากระทำแล้วนั้น มันต้องใช้เวลานานกว่าที่จะออกดอกออกผล ให้เห็นกัน ซึ่งไม่ว่าเราจะทำดี หรือเลว มันก็ต้องใช้เวลาทั้งนั้น
ด้วยเหตุนี้เองเราจึงประมาท คิดว่ากรรมที่ทำแล้วไม่มีผลอะไร และ เผลอทำชั่วกันอยู่เป็นประจำ

อย่าลืมว่า แสงจากดวงอาทิตย์ มีความเร็วมากกว่าสรรพสิ่ง ใด ๆ ในโลก ยังต้องใช้เวลานานหลายนาที กว่าจะเดินทางมาถึงโลก และใช้เวลาเป็น ล้าน ๆ ปี ในการเดินทางข้ามแกแล็กซี่
แล้วจะเอาอะไรกับ กรรมที่เรากระทำแล้ว มันจะให้ผลเห็นทันตาได้อย่างไร

ผลกระทบของความไม่สงบภายในประเทศ กำลังแผ่วงกว้างออกไปอย่างรวดเร็ว ประชาชนเริ่มได้รับความเดือดร้อน รายได้เริ่มลดน้อยลง เศรษฐกิจที่ตกต่ำช่วงนี้ก็พอตัวอยู่แล้ว กลับมีสถานการณ์ความขัดแย้ง ซ้อนขึ้นมาอีก คิดดูว่ามันจะเลวร้ายเพียงไหน อีกทั้งรายได้จากการท่องเที่ยวก็พลอยสูญหายไปด้วย นักท่องเที่ยวต่างชาติ ต่างยกเลิกการเดินทางมาเที่ยวเมืองไทย เพราะเกรงกลัว ต่อความไม่สงบ และไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน แล้วใครหนอได้ผลประโยชน์ จากความขัดแย้งทางการเมืองในครั้งนี้

ในพื้นป่าอันเขียวชอุ่มทางภาคเหนือ ฝนที่ตกปรอย ๆ ติดต่อกันหลายวัน ทำให้ป่าบริเวณนั้นดูร่มรื่นมากกว่าช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ใต้ต้นข่อยที่แผ่กิ้งก้าน สาขาขนาดใหญ่ มีจอมปลวกเล็ก ๆ จอมหนึ่ง ได้ก่อตัวขึ้นมานานหลายปีแล้ว แต่ทว่าจอมปลวกนั้น ก็ไม่ได้ใหญ่ตัวมากเท่าที่ควรจะเป็น ไม่ใช่เพราะปลวกทหารไม่ขยัน ไม่ใช่เพราะนางพญาขี้เกียจให้กำเนิดปลวกน้อย แต่เป็นเพราะการลำเลียงอาหาร และวัสดุที่ใช้ก่อสร้างนั้นต้อง ผ่านทางเดินของพวกมนุษย์

ทุกคืนปลวกจะสร้างทางลำเลียงวัสดุ และอาหารผ่านทางเดินนั้น แต่พอตอนสายก็จะถูกพวกมนุษย์เหยียบ ย่ำทำลายทุกที และเป็นอย่างนี้ประจำ
ทำให้ตอนเย็น ทหารปลวกต้องเสียเวลาและกำลังส่วนหนึ่ง แบ่งมาซ่อมแซมทางที่ลำเลียง อาหารและเสบียง เพื่อใช้ในช่วงเวลากลางคืน
ธรรมชาตินั้นได้สร้างสมองอันใหญ่โตมาให้มนุษย์แก้ปัญหาในการดำรงชีพ แต่สำหรับปลวก มันได้รับแค่สัญชาติญาณ ที่จะดำงชีวิตอยู่เท่านั้น เมื่อสิ่งที่สร้างถูกทำลาย มันคิดไม่เป็นว่าจะต้องแก้ปัญหาอย่างไร นอกจากซ่อม ซ่อม และสร้างต่อเท่านั้น

เราไม่รู้หรอกว่า การท่องเที่ยวประเภทชมนกตกปลา ชมธรรมชาติอันเป็นกิจกรรมรื่นเริง ของสิ่งที่เรียกว่าสัตว์ชั้นสูงนั้น ได้สร้างผลกระทบต่อ สิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ อื่น ๆ อีกจำนวนเท่าไหร่ เราไม่รู้หรอกว่า ปลวกมันต้องเดือดแค่ไหน ที่ต้องสร้างทางเดินใหม่เสมอ ทุก ๆ วัน
วันนี้นักท่องเที่ยวเริ่มลดน้อยลง เป็นผลดีแล้วสำหรับปลวกจอมขยันที่จะสร้างอาณาจักรของมันให้ใหญ่โตต่อไป

เรามักจะมองทุกอย่าง ๆ เป็นผลเสีย ผลร้ายเสมอ เมื่อไม่รับผลตอบสนองตามที่เราอยาก หรือให้เป็นไปตามที่เรานึกคิด เรามักจะไม่ได้คิดถึงผลกระทบในด้านอื่นบ้าง หรือ ผู้อื่นบ้างนอกจากตัวตนของเราเอง สิ่งนี้หรือเปล่าหนอ ที่เขาเรียกว่ากันว่า “ความเห็นแก่ตัว“

วันนี้เราอาจจะรู้สึกว่า เราสูญเสียผลประโยชน์ไปบ้าง แต่ถ้าเราเปิดใจสักนิด เปิดมุมมองอีกหน่อย เราจะเห็นว่า ยังมีสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่เป็นเพื่อนร่วมโลกได้ประโยชน์จากความขัดแย้งครั้งนี้…อยู่บ้าง




 

Create Date : 08 กันยายน 2551    
Last Update : 8 กันยายน 2551 7:43:24 น.
Counter : 678 Pageviews.  

๐๕๙-เจ้าตะบองเพชร...กับความรัก



เธอผิด คุณผิด แกนั่นแหละผิด...
เรามักจะได้ยินคำ ๆ พวกนี้บ่อย ๆ
เราตัดสินว่า ถูก หรือ ผิด นั้น ขึ้นอยู่กับที่อะไร
ความเห็นส่วนตัวหรือ
กฏหมายหรือ...มีคนเก่งที่รู้กฎหมายอย่างช่ำชอง ชำนาญ
รู้ทุกหมวดทุกมาตรา แต่เขาไม่ปฏิบัติตาม
อย่างนั้นกฎหมายจะมีค่ามีประโยชน์อะไร


เหมือนกับเรารู้ธรรมะ ของพระพุทธเจ้าทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
ตอบปัญหาทุกอย่างได้ แต่ไม่ได้นำมาปฏิบัติ
มันก็ไร้ค่า ไม่มีประโยชน์อะไร ...

ถ้าหากเรามองตัวเองถูก ตัวเองเก่ง และเราทั้งถูกทั้งเก่ง
ก็เพราะเรามีสิ่งเปรียบเทียบใช่หรือเปล่า
เด็กประถมสามารถสอบได้ที่ ๑ เพราะมีเพื่อนร่วมห้องมีตั้ง ๒๐ กว่าสอบ
แข่งขันกัน ถ้ามีเด็กคนเดียวอยู่ในโลก เขาจะคิดว่าตัวเองเก่งหรือเปล่า
เขาจะคิดว่า ตัวเองถูกหรือเปล่า หรือเขาจะสอบหรือไม่สอบ
เขาก็คงไม่มีค่ามีความหมายอะไร ใช่หรือไม่

ต้นตะบองเพชรในทะเลทราย ยืนต้นตั้งตระหง่าน
อยู่ท่ามกลางแสงแดด ถ้ามันมีความคิดมันอาจจะคิดว่า
มันโชคดีก็ได้ ที่ไม่ต้องมาดิ้นรนอยู่กับสังคมมนุษย์ที่วุ่นวาย
ในมุมมองของมนุษย์ก็จะมองว่าต้นตะบองเพชร
นี้ช่างหน้าสงสารหรือเกิน ต้องทนอยู่ต้นเดียวในทะเลทราย
น้ำก็ไม่ค่อยได้กิน

เขาจึงนำตะบองเพชรมา ย้ายมาปลูกไว้ในเมือง
ให้ต้นตะบองเพชรที่น่าสงสาร ได้รับความอบอุ่น จากร่มเงา
ของชายคาบ้านบ้าง ได้รับน้ำบ้าง แต่สิ่งที่เขาให้กับต้นตะบองเพชรนั้น
เขากับไม่รู้หรอกว่า ตะบองเพชรนั้นไม่ชอบหรอก
มันอยากกลับไปยังที่มันจากมา คือบ้าน คือทะเลทราย
อยู่กับความสันโดษ ไม่วุ่นวาย ร่มเงา และน้ำ แม้จะดีสำหรับมนุษย์
แต่ตะบองเพชรนั้น ต้องการเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เรามักจะป้อนสิ่งที่เราคิดว่าดีแล้ว ดีที่สุดให้กับคนที่เรารัก
แต่เคยย้อนกลับมาถามตัวเองหรือไม่ว่า สิ่งที่เราให้นั้น
เหมาะสมกับคนที่เรารักมากแค่ไหน หรือเขาต้องการมันแค่ไหนกัน





 

Create Date : 05 กันยายน 2551    
Last Update : 5 กันยายน 2551 8:03:29 น.
Counter : 1134 Pageviews.  

๐๕๘-ว่านนกคุ้ม


ความฉลาดของคนโบราณนั้นเราไม่อาจจะดูถูกภูมิปัญญาของท่านได้เลย
ยิ่งการวางบ้าน จัดสวน และการดำเนินชีวิตที่อิงกับธรรมชาติ และ วัดวkอาราม เป็นสิ่งที่คนรุ่นเก่า ๆ เคยชิน ข้าพเจ้าเองเป็นคนรุ่นใหม่ ที่ถูกเลี้ยงดูมาโดย ปู่ ย่า ตา ยาย ที่ยังคงมีแนวคิด ของคนสมัยเก่าอยู่ แต่ก็เชื่อว่าวัฒนธรรมการเป็นอยู่แบบ วิถีธรรมชาติ การเป็นครอบครัวใหญ่ การเอาใจใส่ดูแลกัน เริ่มหาได้ยากแล้วในสังคมปัจจุบัน

สังคมที่มีแต่ความรีบเร่ง พ่อแม่ ให้เกมส์คอมพิวเตอร์เลี้ยงลูก
ครอบครัวเริ่มมีขนาดเล็กลง พร้อม ๆ กับความอบอุ่นที่กำลังขาดหายไป
ตอนข้าพเจ้ายังเด็ก สมัยนั้นปู่ของข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ท่านได้ปลูกต้นไม้ไว้หลายชนิด ตั่งแต่ มะเฟือง มะม่วง ลำไย ขนุน มะพร้าว มะปราง ส้ม ฯ
การสร้างบ้าน จะยกใต้ถุนสูงเพื่อป้องกันน้ำท่วม ยังมีประโยชน์ สำหรับเลี้ยงสัตว์ เช่น ไก่ รวมไปถึง วัว เพราะตอนนั้นเรายังใช้เกวียนอยู่(ราว ๆ ปี'๒๕)
ปัจจุบันนี้หาได้ยากแล้ว เพราะล้อเกวียนนั้น เอาไปขายประดับรั้ว บ้านคนรวยหมด

ที่อาบน้ำก็จะไม่อาบน้ำในห้องน้ำ เหมือนปัจจุบัน จะเป็นนอกชาน ยื่นออกไปทางหลังบ้าน มีโอ่งใส่น้ำประมาณ ๒-๓ ลูก มีรางรินสำหรับเก็บน้ำฝนไว้ใช้
ตอนนั้นข้าพเจ้ายังเด็กมาก แม่ก็ชอบให้ไปอาบน้ำที่นอกชานนั้น เป็นประจำทุกวัน และทุกวันก็สังเกตเห็น ปี๊บผุ ๆ ขึ้นสนิมใบหนึ่ง วางอยู่บนเสาไม้ริมนอกชาน ซึ่งเป็นที่ที่เด็กจะเดินออกไปไม่ได้ เพราะพื้นไม้นั้นห่างกันมาก และมีลักษณะไม่แข็งแรง อาจจะทำให้ตกลงไปได้ ข้าพเจ้าสงสัยว่านั่นปิ๊บอะไรหนอ ทำไมมันถึงอยู่ตรงนั้นเนิ่นนานไม่เห็นมีใคร ไปทำอะไรกับมัน
วันหนึ่งในฤดูฝน ก็มีใบไม้ ใบใหญ่ มีลายสีน้ำตาลเป็นจุด ๆ งอกขึ้นมาจากปิ๊บนนั้น ยิ่งกลางฤดูฝน มันยิ่งน่าดูมาก เพราะมันจะขึ้นปกคลุมเต็มปิ๊บทั้งใบ ทำให้ลืมเจ้ากระป๋องสนิมไปได้เลย

ที่แท้สิ่งที่มีค่า มีราคานั้น มันซ่อนอยู่ภายในนั่นเอง ว่านนกคุ้มนั้นไม่ได้งอกงามตลอดทั้งปี หากแต่จะ แตกผลิใบ แตกหน่อเฉพาะหน้าฝน ที่มีดินและน้ำชุ่มชื้น ที่ผ่านมาข้าพเจ้ามอง มันเป็นเพียงปิ๊บผุ ๆ ไร้ค่า ไม่มีใครเอาไปทิ้งเสียที แต่ทว่าหากถึงเวลา ถึงฤดูกาล ที่เหมาะสม เจ้าปิ๊บผุ ๆ นั้นกลับทำให้เราสดชื่นได้อย่างหน้าประหลาด แต่แล้วพอหมดช่วงฤดูฝน ใบของว่านนกคุ้มก็แห้งเหี่ยว เฉาไปตามธรรมชาติ ทำให้เราเรียนว่า ไม่มีอะไรยั่งยืน และสวยงามได้ตลอดไป ทุกสิ่งจะต้องเปลี่ยนแปลงและเสื่อมสลายในที่สุด(นี่มาเรียนรู้ทีหลังหลอกนะ เพราะตอนเด็กเราก็เด็กไร้เดียงสา
คิดอะไรลึกซึ้งเกินเด็กไม่เป็นหรอก)

กาลเวลาผ่านมา ๒๐ ปีกว่า ๆ บ้านหลังเก่าถูกรื้อไปนานมากแล้ว สวนหลังบ้านก็หายไป พื้นดินก็ถูกปรับให้สูงขึ้น ต้นไม้ทุกต้นที่เราคุ้นเคยตอนเด็ก ก็ตายหมด แต่ก็มีต้นไม้ใหม่ขึ้นมาแทนที่ แต่ก็ใช้เวลาอีกนานกว่มามันจะโต
วันนั้นข้าพเจ้าเดินเล่นอยู่หลังบ้าน ก็พลันเหลือบไปมอง เห็นว่านนกคุ้ม อยู่ข้าง ๆ ต้นฝรั่ง มันกำลังออกใบ เขียวชอุ่ม สลับกับลายจุด เหมือนลายนกคุ้ม ดูแล้วรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก จึงทำให้นึกขึ้นได้ว่า เป็นว่านนกคุ้ม ต้นเดียวกันที่สมัยเด็กที่เราเคยเห็นในปิ๊บ ผุ ๆ ใบนั้น

ข้าพเจ้าดีใจมาก ที่มันยังอยู่รอดมาได้ คงเป็นเพราะ พ่อกับแม่ยังใส่ใจมันอยู่ ไม่ได้ทิ้งขว้างให้ มันตายไปกับกาลเวลา อย่างเช่นต้นไม้ อื่น ๆ

กลับมากรุงเทพ ฯ จึงขุดหน่อว่านนกคุ้มติดมาปลูกที่ห้องด้วย ตอนนั้นมันกำลังออกใบ เขียวชอุ่มทีเดียว แต่ทว่า ทุกวันนี้ใบมันก็เริ่มแห้งเหี่ยว ตายไปทีละใบ ๆ มาวันนี้เหลืออยู่ใบเดียวเอง

ธรรมชาติจึงสอนเราอยู่เสมอ ไม่ว่าเราจะดูแลใส่ใจตัวเอง หรือคนที่เรารักมากเพียงใด เมื่อถึงเวลาที่ควร เราก็ต้องจากสิ่งที่เรารักไปสักวันหนึ่งอยู่ดี

ดังนั้นทุกวันนี้ที่เรายังมีลมหายใจอยู่ จึงควรที่จะดูแลใส่ใจตัวเอง และคนที่เรารักให้มากขึ้น และพยายามเรียนรู้สิ่งรอบ ๆ ตัว เสมอว่าธรรมชาตินั้นสอนอะไรเราอยู่บ้าง และเราเรียนรู้อะไรจากธรรมชาติใกล้ตัวได้บ้าง หากทำได้ชีวิตเราก็จะเป็นสุข เพราะเราจะเข้าใจธรรมชาติและตัวเองมากขึ้นนั่นเอง




 

Create Date : 01 กันยายน 2551    
Last Update : 1 กันยายน 2551 20:54:59 น.
Counter : 1151 Pageviews.  

๐๕๗-แค่ฝุ่นผงในจักรวาล...



ธรรมชาตินั้นรังสรรค์สิ่งที่เอื้อประโยชน์ ต่อการดำเนินชีวิตของเราเสมอ
ดังนั้นเราจึงเกิดมาได้เพราะ เราอาศัยธรรมชาติ และธรรมชาติก็อาศัยเรา
ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลง ช้า ๆ ตามสภาพของมัน

อิเล็คตรอน ไม่เคยหยุดนิ่ง ภูเขาแม้สูงเพียงใด วันหนึ่งก็ต้องพังทลาย แปลสภาพเป็น ฝุ่นผง หรือเถ้าธุลี ไปไม่ช้า มนุษย์เราต่างประมาท คิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่ สามารถทำอะไรก็ได้ จะเปลี่ยนแปลงโลก สร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่แค่ไหน หรือเดินทางไปนอกจักรวาล ก็ไปได้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่มนุษย์ไม่เคยคิดที่อยากเข้าไปสำรวจ นั่นคือ จิตใจของเราเอง....
เราไม่รู้หรอกว่า การทำงานของจิตใจเราซับซ้อน และลึกลับขนาดไหน ต่อให้คุณสำรวจจักรวาลมาทั้งจักรวาลแล้ว มันก็ไม่ได้มีคุณค่าอะไร ตราบใดที่คุณยังไม่ค้นพบสิ่งที่เรียกว่า
...จิตใจของตัวเอง

เรามีเวลาไม่มากนักท่านทั้งหลาย ก้อนเนื้อบาง ๆ ที่ห่อหุ้มร่างกายเราทุกวันนี้ จะเน่าสลายไป วันใดเราก็ไม่ทราบ เราหาสิ่งที่ต้องการนั้นเจอหรือยัง ถ้าเจอแล้วลองถามตัวเอง ทุก ๆ วันว่าสิ่งที่เรามีอยู่นี้มันจะเที่ยงแท้ และอยู่กับเราได้นานแค่ไหน ข้าพเจ้าไม่อยากจะใช้ศัพท์ฮ้วน ๆ ว่า "ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้" เหมือนการปรงชีวิตแบบบ้าน ๆ ข้าพเจ้าไม่อยากประชดชีวิต โดยการต้องละนั่น ต้องพรากสิ่งนี้ แต่หากเรามีชีวิตได้โดยใช้หลัก ที่ว่าไม่ติดยึดกับสิ่งใด ที่เป็นที่รักที่ชอบใจ เพราะก็เข้าใจว่าไม่ช้าสิ่งนั้นก็จำต้องจากเราไปอยู่ดี

มีเด็กหญิงผู้หนึ่งอ่านนิยาย ตอนจบแล้วร้องไห้ เพราะเสียดาย และสงสารนางเอก ข้าพเจ้ารับฟัง แล้วก็ต้องปรงกับความรู้สึก แม้แต่เรื่องที่มนุษย์แต่งขึ้น ยังสามารถที่จะทำให้เด็กหญิงคนนั้นต้องสูญเสียน้ำตา หากแต่ถ้าเป็นในชีวิตจริงเล่า เขาจะสูญเสียคร่ำครวญ สักเพียงไหน ข้าพเจ้าไม่มีกำลัง แม้แต่จะปลอบโยน หรือบอกว่ามันเป็นเพียงแค่นิยาย หากแต่เบื้องลึกในจิตใจนั้น
รู้สึกสงสารและ เวทนาต่อความรู้สึกของเด็กหญิงผู้นั้นอย่างมาก หากแต่พูดไม่ได้ท่านั้น จิตใจมนุษย์โดยลึกแล้วมีความอ่อนไหว และอ่อนแอมากมายเพียงใด เราไม่อยากโดดเดี่ยว อยากจะมี อยากเป็น อยากเด่น อยากดัง...อยากเป็นที่ยอมรับ ทุก ๆ ความอยากนี่เอง ทำให้เราต้องดิ้นรนไขว่ขว้าให้ได้มา...

ข้าพเจ้าทราบได้ชัดว่าคนทั่วไป เมื่อพูดถึงนักปฏิบัติธรรม เขาจะรู้สึกกลัว เพราะคนพวกนี้จะมีบางอย่าง ที่ขัดกับความปรารถนาของเขา อย่างน้อยก็คำพูดที่ไม่ชินหู เช่น ไม่ยอมพูดส่อเสียด นินทา หรือโกหก เหล้าก็ไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ ฯ เขาจะคิดว่า คนพวกนี้จะอยู่ในสังคมนี้ได้อย่างไร ยิ่งต้องมาฟังและพูดสิ่งที่ขัดต่อกิเลสด้วย คนทั่วไปก็มักจะต่อต้าน อย่างน้อยก็ในทางความคิด

สิ่งสำคัญเลยคือการละ เพราะเป็นสิ่งที่คนทั่วไปจะกลัวมาก เช่นไม่สามารถที่จะมีเพศสัมพันธ์กับหญิงอื่น ที่ไม่ใช่คู่ การเที่ยวกลางคืน และอื่น ๆ อีกมากมายหลายหน้ากระดาษ ทำให้ไม่ค่อยมีผู้ปฏิบัติธรรม อย่างจริง ๆ จัง ๆ อย่างมากก็ได้แค่ ทำบุญ ทำทาน แต่ถ้าให้รักษาศีล ก็ส่วนมากจะหันหลังให้ทันที
แต่ในทางพุทธศาสนานั้น ถ้าศึกษาให้ดีจะรู้ว่า ไม่ใช่เราจะกระโจนมาปฏิบัติธรรม แล้วต้องละทุกสิ่งทุกอย่าง ในวินาที่นั้นเลยไม่ใช่

แต่ที่ถูกคือเราต้องรู้ก่อน มันคือการกำหนดรู้ รู้ว่าสิ่งใดเป็นโทษ สิ่งใดไม่ใช่โทษ สิ่งใดเป็นประโยชน์ สิ่งใดไม่เป็นประโยชน์ สิ่งใดเป็นกุศล และสิ่งใดที่เป็นอกุศล จนสุดท้านเราก็จะรู้ ทุกข์ ซึ่งเป็นหัวข้อแรกในอริยสัจ ๔ แต่การรู้ทุกข์ในอริสัจ ๔ นั้นยังไกลกว่าคนทั่วไปอยู่มาก เพราะลำพังแค่รู้จัก บาป บุญ ก็ยังลำบากเลย แต่ก็ไม่เป็นไร ทุกอย่างจำเป็นต้องเรียนรู้ และฝึกปฏิบัติกัน เป็นขั้น ๆ เสมอ

ย้อนกลับมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับการดำเนินชีวิต บนโลกที่สับสนวุ่นวายกันอีกครั้ง มนุษย์เราทุกคนต่างมีความทนงตน มีสิ่งที่เรียกว่าอัตตา มีความหยิ่งในตน ในความคิดตน คิดว่าเราถูก เขาผิดอยู่เสมอ น้อยคนที่จะยอมรับผิดในสิ่งที่เราทำ ถ้าหากเป็นไปได้เราก็พร้อมที่ ปกปัดความผิดนั้นออกจากตัวเสมอ นี่คงเป็นธรรมชาติของการป้องกันตัวอย่างหนึ่ง แม้แต่ข้าพเจ้าเองก็ยังเป็น และยังเลิกไม่ได้ และยังไม่ใช่เวลาที่จะเลิก เพียงแต่รู้อยู่อย่างนั้น
ละอายใจอยู่อย่างนั้นเอง แต่ทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่คิดอยู่เสมอ

เมื่อมองไปยังท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ มองจินตนาการออกไปนอกโลก นอกจักรวาล และมองย้อนกลับมายังโลก ยังประเทศ ยังบ้าน และมองเห็นตัวเอง

ข้าพเจ้ารู้สึกว่าตัวเองนั้นเล็กมาก เล็กจนมองไม่ออกว่าเป็นตัวเราเอง หากเปรียบเทียบกับจักรวาล อันกว้างใหญ่ ตัวเราก็ไม่ต่างอะไรกับ ฝุ่นผง ปลิวลอยวนอยู่ในอวกาศ ในขอบเขตของจักรวาลแห่งนี้...




 

Create Date : 30 สิงหาคม 2551    
Last Update : 30 สิงหาคม 2551 11:25:06 น.
Counter : 401 Pageviews.  

๐๕๖-ก้าวย่างที่ลำบาก



มีนักปรัชญา นักคิดทั้งหลาย ทั้งในอดีตและปัจจุบัน พยายามที่จะเสนอแง่มุมของชีวิตและของโลก ตามทัศนะคติ ความเชื่อ และมุมมอง ประสบการณ์ของตัวเองที่ประสบมา บางเรื่องนั้นก็ตรงกับชีวิตประจำวันของเราพอดี ทำให้เราเกิดเป็นความเชื่อ ความศรัทธา ในแนวคิดนั้น ๆ เมื่อมีผู้คนเชื่อถือมากขึ้น แนวคิด และมุมมองนั้น ก็พัฒนาเป็นคำสอนในที่สุด

พุทธศาสนาเป็น ศาสนาที่ถูกพัฒนา ถูกสร้างสรรค์มา โดยบุคคลที่ชื่อว่า พระพุทธเจ้า ซึ่งต้องอบรม สร้างบารมีมาอย่างยาวนานและยิ่งยวดเกินกำลังของ สัตว์ตนใดจะทำได้ บางพระชาติถึงกับต้องสละชีวิตเพื่อแลกกับพระศรัทธรรม อันจะนำมาซึ่งความตรัสรู้ เพื่อช่วยเหลือให้สรรพสัตว์รอดพ้นจากภัยแห่งแห่งวัฏฏะสงสาร

ดังนั้นการกำเนิดขึ้นของพระพุทธเจ้านั้น จึงเป็นสิ่งประเสริฐที่สุดและหาได้ยากที่สุดด้วยเช่นกัน ช่วงเวลาที่จะกำเนิดเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เป็นช่วงเวลายาวนานจนนับไม่ได้เลยทีเดียว เปรียบเหมือนผู้เดินทางบนทะเลทรายอันห่างไกล เป็นเวลานับ ๑,๐๐๐ ปี จนวันหนึ่งได้มีโอกาส
ดื่มน้ำบริสุทธิ์จากโอเอซีส แหล่งน้ำเล็ก ๆ ที่อยู่กลางทะเลทราย คิดดูว่าเขาจะมีความรู้สึกอย่างไร

แต่ใครบ้างจะรู้ว่าตัวเองกำลังเดินทางอยู่กลางทะเลทรายอันร้อนแรงแห่งนี้ ซึ่งกว่าจะรู้ตัวว่าร้อน ก็ต้องประสบกับความผิดหวัง ความทุกข์ยากในชีวิต หรือต้องประสบเคราะห์กรรม พรัดพราก จากคนรัก รวมทั้งสิ่งของที่เป็นที่รักที่ชอบใจเท่านั้นแหละ จึงจะรู้ซึ้งถึงความร้อนแรงของทะเลทรายนี้
ว่ามันรุนแรงเพียงใด หากจะมีความสุขบ้างก็ตอนที่ดวงอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้าแค่ช่วงเวลาสั้น ต่อจากนั้น ก็ต้องเผชิญความหนาวเย็นแห่งรัติกาลอีก

หากโลกนี้เที่ยงแท้แน่นอน ไม่ต้องประสบกับความทุกข์ เช่นอยู่บนสวรรค์ ก็สุขสบายอย่างนั้นตลอด ไม่ต้องลงมาเกิดในโลกมนุษย์ หรือ ตกนรก ก็คงจะดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเทวดาเมื่อหมดบุญแล้วก็ต้องจุติ หรือ ตายจากเทวโลกไปปฏิสนธิ ยังภพอื่น ตามอำนาจของกรรมที่ตนได้กระทำไว้ไม่มีใครหยุดยั้งหรือ กำหนดได้เลย นอกจากการกระทำของเราในอดีตเท่านั้น ที่จะนำเราไปประสบเคราะห์กรรมต่าง ๆ

การมองไปถึงสวรรค์อาจจะดูไกลเกินตัวไปนิด แต่ถ้าเรามองในลักษณะของสังคมมนุษย์ เราก็คงจะมองกันออกได้ชัดเจน เช่น คนรวยบางคนแต่ต้องกลายเป็นคนจนเพราะ หมดวาสนา หมดบารมี เป็นหนี้ ถูกโกง ล้มละลาย ก็มีให้เห็นมากมายในสังคมปัจจุบัน ในทางตรงข้ามก็มีคนจน จำนวนไม่น้อยที่รวยเป็นเศรษฐี ในชั่วข้ามคืนเพราะถูกล๊อตตารี่

ความสุขที่เข้ามาในชีวิตของเรา มันจึงเป็นแค่ความสุขเพียงลมๆ แล้ง ๆ ไม่สามารถพึ่งพาได้ยาวนานตลอดไป แต่กระนั้น ผู้คนส่วนมากก็ยังดิ้นรนหาความสุขประเภทนี้อยู่ และบางคนยอมแรกทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อให้ได้ในสิ่งที่
ตนเองปรารถนา ถึงแม้ต้องก่ออาชญากรรมก็ยอมทำ นั่นคงเป็นเพราะ เขาไม่ได้มองเห็นสัจธรรมความจริงของธรรมชาติ หรืออาจจะมองเห็นแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรไปมากกว่านี้ ไม่อาจจะข่มกิเลสฝ่ายต่ำของตัวเองได้
ในที่สุดก็ต้องรับผลวิบากแห่งกรรม ที่ตัวเองก่ออยู่อย่างนั้นเอง

การปรารถนาความหมดจดแห่งกิเลส หรือพระนิพพานในปัจจุบันนั้น ข้าพเจ้ารู้สึกเต็มไปด้วยความยากลำบาก ทั้งที่รู้ดีว่า สิ่งนี้มันไม่ได้มาง่าย ๆ แม้จะเกิดทันสมัยที่พระพุทธเจ้ายังพระชนม์ชีพอยู่ก็ตาม อย่างไรก็ต้องอาศัยความเพียรอย่ามหาศาลเช่นกัน แต่อย่างน้อยถ้าเกิดทันสมัยนั้น ก็ยังพอมีผู้ชี้ทางที่ถูกต้อง คอยอบรมสั่งสอนเราให้แจ้งในมรรค ผล นิพพาน แต่ข้าพเจ้าเองก็รู้ว่านิสัยตัวเองเอนเอียงไปทางด้านที่อยากจะศึกษา และปฏิบัติด้วยตัวเองมากกว่า

ไม่รู้ว่าในอดีตชาติเคยปรารถนา พุทธภูมิ ไว้บ้างหรือเปล่า ซึ่งข้าพเจ้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกัน ถ้าหากรู้ ข้าพเจ้าก็คงจะเลิกปรารถนาดีกว่า เพราะหนทางแห่งสังสารวัฏนั้น ยาวไกล และเนิ่นนานเหลือเกิน




 

Create Date : 27 สิงหาคม 2551    
Last Update : 27 สิงหาคม 2551 8:31:31 น.
Counter : 584 Pageviews.  

1  2  

อัสติสะ
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ทุกข์ใดจะทุกข์เท่า การเกิด
ดับทุกข์สิ่งประเสริฐ แน่แท้
ทางสู่นิพพานเลิศ เที่ยงแท้ แน่นา
คือมรรคมีองค์แก้ ดับสิ้นทุกข์ทน






Google



New Comments
Friends' blogs
[Add อัสติสะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.