ภัยแห่งสังสารวัฏนั้น น่ากลัวยิ่งกว่าภัยอื่นใด - อัสติสะ
Group Blog
 
All blogs
 

๔๖๐ - ความทุกข์กับดวงดาว




หลายสัปดาห์ก่อนได้มีโอกาสไปทำงานต่างจังหวัด และก็เป็นธรรมดาสำหรับการเลิกงานดึก นั่นเป็นเวลาที่ได้เห็นดาวบนท้องฟ้าชัดเจนมากในรอบหลายเดือน ไม่ได้หมายความว่าข้าพเจ้าไม่เคยออกไปไหนมาเลย แต่ทว่าการมองดวงดาวในกรุงเทพ ฯ มันไม่สวยงามเหมือนกับการมองดาวที่ต่างจังหวัด ซึ่งเป็นที่ ๆ มีแสงรบกวนน้อยกว่า

กลับมาก็มานั่งคิดว่า ดวงดาวที่ปลายฟ้ามันจะมีความทุกข์หรือเปล่านะ ดวงดาวมันเป็นวัตถุ มันไม่มีความทุกข์อะไร มันใช้ชีวิตไปตามวงโคจร มีเกิด มีดับ หากว่าดวงดาวมีชีวิต เพื่อน ๆ หมู่ดาว มันจะทุกข์หรือเปล่า เมื่อดาวข้างเคียงของมันต้องสูญสลายไป หรือว่าดวงดาวมันจะดีใจหรือเปล่า หากมีดวงดาวกำเนิดเกิดใหม่

เรื่องราวของดวงดาวมันก็คล้าย ๆ กับชีวิตคน มันมีเกิดมีดับอยู่เป็นธรรมดา หากแต่ดวงดาวมันดีกว่าคนหน่อย ตรงที่มันไม่มีชีวิต มันจึงไม่เป็นทุกข์

ความทุกข์นั้นเกิดจากความเข้าไปยึดสำคัญมั่นหมาย ว่าตัวเราเป็นของเรา เราเป็นนั่นเป็นนี่ เป็นการสร้างอัตตาตัวตนมาเพื่อให้ตัวเราเองวิ่งตาม เหมือนสุนัขวิ่งไล่กัดหางตัวเอง สุดท้ายตัวเราเองนั่นแหละที่ต้องเป็นทุกข์

เคยได้อ่านคำคมประมาณว่า คนที่ปรารถนาสุขจะได้ทุกข์ติดตามมา คนที่ปรารถนาลาภก็จะได้ความเสื่อมลาภตามมา ฯ ทั้งหลายทั้งมวลเป็นของคู่กัน ในขณะที่ด้านมุมหนึ่งของโลกมันกำลังสว่าง แต่ด้านตรงข้ามมันก็กำลังมืด จิตใจของมนุษย์ก็มีดีเลวอยู่ในตัวเอง ขึ้นอยู่ว่าใครจะแสดงออกมามากน้อยต่างกัน ไม่มีใครดีทั้งหมดหรือเลวทั้งหมด เกิดมาเป็นมนุษย์ ธุระสำคัญก็คือขัดเกลากิเลสให้เบาบาง ไม่ใช่เกิดมาเพื่อพอกพูลกิเลสให้หนาขึ้น แล้วสร้างภาระให้ตัวเองอีกในภายภพหน้า

เงินทองทรัพย์สมบัติ มีก็เพื่อผ่อนคลายความทุกขเวทนาชั่วคราว ผลสุดท้ายแล้วเราก็หอบเอาไปไม่ได้ ลองคิดดูว่าสัปเหร่ออุตส่าห์เอาเงินยัดปากคนตาย เผาเสร็จก็ไม่เห็นมีใครเอาไปได้ สิ่งนี้โบราณเขาทำเพื่อเตือนเป็นข้อคิดสำหรับลูกหลาน ไม่ให้เกิดความโลภในทรัพย์สินสมบัติมากเกินไปจนลืมตาย

เมื่อเราเข้าใจในความทุกข์ ความทุกข์เป็นความปรารถนาที่ไม่สมหวัง ทุกครั้งที่เราปรารถนาสิ่งใด ก็ลองเผื่อใจยอมรับกับความผิดหวังไว้บ้าง

แต่ก็แน่ละ เรายังเป็นปุถุชนคนธรรมดาที่ยังต้องฝึกฝนอบรมตน หากวันใดที่เราประสบทุกข์ ลองกลับออกไปมองหาดวงดาวที่เราชอบ บางทีอาจจะมีคนบนดาวดวงนั้นกำลังมองย้อนกลับมาหาเราและกำลังส่งยิ้มให้กำลังใจเราอยู่ก็เป็นไปได้...

Thank you image from '//i1268.photobucket.com/albums/jj576/chenaliya/027bySomeAsian_zps48aac7f6.png'




 

Create Date : 23 ธันวาคม 2556    
Last Update : 23 ธันวาคม 2556 23:03:29 น.
Counter : 1259 Pageviews.  

๔๕๙ - วาทะวานร (ตอนที่ ๑)



ชายนักเดินทางยังคงเดินทางไปเรื่อย ๆ แม้ว่าจะไม่พบเห็นจุดหมายปลายทางในตอนนี้ แต่อย่างไรเสียก็ต้องออกเดิน นั่นเพราะชะตาชีวิตได้ถูกกำหนดขึ้นมา แต่เอาเข้าจริงแล้ว เขาเองต่างหากที่เป็นคนเลือกกำหนดชะตาชีวิตของตัวเอง มีข้อเสนอมากมายให้เขาอยู่ในดินแดนอันแสนวิเศษไม่ต่างอะไรกับเทวดาบนสวรรค์ แต่เขาก็ยังเลือกที่จะออกเดินทาง

เขาเดินทางลัดเลาะอยู่ในป่าดงดิบอยู่นานหลายเดือน จนบางครั้งก็ทำให้รู้สึกว่าตัวเองกำลังเดินหลงวนอยู่ในป่าแห่งนี้ ซึ่งเขาเริ่มมีสัญชาติญาณที่ไวต่อเรื่องเหล่านี้มาก คงเป็นเพราะประสบการณ์ที่ผ่านมาในอดีต ทั้งการติดอยู่ในเมืองแห่งหลุมดำนานหลายร้อยปี และต้องติดคุกบนเทือกเขาสูงนานหลายสิบปี ทั้งการตายและเฉียดตายมากมาย

ชายนักเดินทางนั่งลงใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ร่มรื่น มีบรรดาฝูงลิง ๗ – ๘ ตัวกำลังปีนป่ายเล่นหาอาหารและเล่นกันอย่างสนุกสนาน ส่งเรียกร้องเรียกันจนน่ารำคาญ ท่ามกลางเสียงร้องของพวกลิง ฟังดูคล้ายกับเสียงคุยกันของพวกมนุษย์ดังแทรกเข้ามา แม้ว่าจะฟังไม่ถนัดนัก แต่ก็พอจับใจความได้

'ทำไมมีเสียงคนพูดกัน...' ชายนักเดินทางนึก หรือว่าเขาจะหูฝาดไป เขาจึงลองตั้งใจฟังอีกที

“พี่ ๆ นี่มันมนุษย์หรือเปล่า นั่งอยู่ใต้ต้นไม้” เสียงนางลิงพูดชัดเจน ทำให้ชายนักเดินทางถึงกับขนลุก

“สงสัยจะใช่... แต่อย่าไปยุ่งกับสัตว์พวกนี้เลย อันตราย...” นางลิงถูกหัวหน้าฝูงดุ ชายนักเดินทางเริ่มแน่ชัดว่าเป็นเสียงพวกลิงคุยกันแน่ ๆ จึงสอดสายตามองหาความผิดปกติดังกล่าว

“ดู ๆ สิพี่ มนุษย์มันกำลังจ้องมองมาที่เรา...” นางลิงสะกิดหัวหน้าฝูง หัวหน้าฝูงเห็นอย่างนั้นก็แยกเขี้ยวขู่ฟอด ๆ ตามสัญชาติญาณ

“เอ่อ... ไม่ต้องกลัวนะ ผมไม่ทำอันตรายหรอก แค่อยากรู้ว่า ทำไมพวกท่านจึงพูดภาษาคนได้...” ชายนักเดินทางตะโกนถาม

“พี่ ๆ มันคุยกับเรารู้เรื่องด้วย...” นางลิงรีบสะกิด หัวหน้าฝูงลิงแปลกใจพอ ๆ กับชายนักเดินทาง

“เราเป็นเผ่าพันธุ์สัตว์ป่า อยู่ที่นี่มาแต่เกิด ไม่รู้เรื่องภาษามนุษย์หรอก...” หัวหน้าลิงปฏิเสธ ทำให้ชายนักเดินทางรู้สึกฉงนใจ แต่ทว่าเหตุการณ์ในอดีตมันสอนว่า อะไรก็เกิดขึ้นได้ในระหว่างการเดินทาง เขาจึงคลายใจไม่สงสัยอีกประการใด

“งั้น...พี่ชาย...ช่วยบอกผมหน่อยได้ไหมว่า ทางออกจากป่านี้ อยู่ตรงไหน ผมเดินหลงอยู่นานหลายเดือนแล้ว...”

“ทางออกอะไรกัน ข้าไม่รู้ ก็บอกแล้วข้าอยู่ที่นี่มานาน ไม่เคยออกจากป่านี้เลย” หัวหน้าฝูงลิงพูด
“พี่ ๆ ผู้เฒ่าเราอาจจะรู้ก็ได้นะ...”นางลิงสะกิดอีก ทำให้หัวหน้าฝูงนึกขึ้นได้

“เอาอย่างนี้ ๆ เจ้ามนุษย์ เดินตามน้ำตกทางทิศเหนือ ที่มีถ้ำเล็กอยู่หน้าเชิงผา มีผู้เฒ่าของข้าอาศัยอยู่ที่นั่น เผื่อจะตอบคำถามาของเจ้าได้...” หัวหน้าฝูงลิงตะโกนแนะนำ

หลังจากพูดขอบใจบรรดาลิงทั้งหลายจบแล้ว ชายนักเดินทางก็เดินไปตามเส้นทางที่หัวหน้าลิงแนะนำ ในใจก็นึกจินตนาการว่า ผู้เฒ่าอาวุโสที่พวกลิงเรียกกัน จะต้องเป็นลิงแก่ ๆ ใช้ชีวิตแบบลิง ๆ มานาน จนไม่สามารถปีนต้นไม้ได้ คอยแนะนำภัยพวกลิงตามประสบการณ์ และรออาหารจากพวกฝูงลิงอยู่แน่ ๆ

ชายนักเดินทางเดินตามลำธารที่เกิดจากน้ำตกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมองเห็นชะง่อนผาเล็ก ๆ ซึ่งคิดว่า น่าจะเป็นที่อยู่ของลิงอาวุโส

เขาเดินเข้าไปรอบ ๆ ถ้ำ ซึ่งด้านหน้าเป็นลานโล่งเตียน คล้าย ๆ กับมีการชุมนุมกันอยู่บ่อย ๆ ใกล้ ๆ กันนั้นก็มีฝูงลิงอีกหลายสิบตัว พากันซุบซิบเมื่อมองเห็นชายนักเดินทาง คาดการว่าลิงพวกนี้คงรู้ความเคลื่อนไหวของเขาเป็นอย่างดี

“มีใครอยู่ไหมครับ...ผมเป็นคนเดินทางผ่านมา ต้องการความช่วยเหลือครับ...” ชายนักเดินทางตะโกนถาม สอง สามครั้ง แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ

“มีอะไรให้ช่วยรึ...” เสียงพูดที่แหบนุ่ม ดังมาจากด้านหลังชายนักเดินทาง เขาเหลียวไปตามหาเจ้าของเสียง

บุคคลที่เห็นนั้น ทำให้ชายนักเดินทางต้องตะลึง เพราะผู้เฒ่าที่พวกลิงเรียกกันนั้น ไม่ใช่ลิงอย่างที่เขาเข้าใจในตอนแรก...

อ่านต่อตอน ๒

Thank you image from //th03.deviantart.net




 

Create Date : 15 ธันวาคม 2556    
Last Update : 15 ธันวาคม 2556 12:17:55 น.
Counter : 564 Pageviews.  

๔๕๘ - ปล่อย(ทุกข์)วาง...





"ทำไมคนเราเกิดมา ต้องมีความทุกข์ด้วยนะ..." ชายคนหนึ่งบ่นพึมพรำกับตัวเองราวกับคนเสียสติ

หลาย ๆ ครั้งที่เขาประสบปัญหาชีวิต คำถามเหล่านี้ก็มักจะปรากฏเข้ามาในหัว เขาใช้เวลานับหลายชั่วโมงเดินวนไปวนมา พยายามหาทางออกให้กับปัญหา อะไรกันแน่เป็นปัญหาที่แท้จริงของชีวิต คนทั่วไปที่ลุ่มหลงวุ่นวายอยู่กับโลก ก็มักจะประสบปัญหาด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าคนรวยหรือคนจน ความร่ำรวยอาจจะสามารถสร้างความสะดวกสบายให้กับชีวิตได้หลายอย่าง แต่มันก็ไม่ได้รับประกันได้ว่า ชีวิตของคน ๆ นั้นจะไม่ประสบความทุกข์ใด ๆ เลย

"เป็นอะไรหรือโยมพี่ อาตมาเห็นเดินก้มหน้า วนไปวนมาหลายรอบแล้ว" ภิกษุหนุ่มซึ่งเป็นน้องชายบังเอิญผ่านมาเยี่ยมกล่าวทัก ก่อนที่เจ้าตัวจะรู้สึกว่ามีแขกคนสำคัญมาเยี่ยมถึงบ้าน

"หลวงพี่นั่นเอง คือโยมกำลังคิดว่าทำไมคนเราต้องมีความทุกข์ด้วย หลวงพี่น่าจะพอตอบคำถามได้ใช่ไหม" ชายหนุ่มผู้เป็นพี่ชายถาม

"ในโลกนี้นะโยม คนที่มีความสุขที่สุด ก็คือคนที่รู้จักความทุกข์และอยู่กับมันได้อย่างเพื่อนสนิท และคนที่รู้สึกได้ว่าโลกนี้มีแต่ความทุกข์ คือคนที่กำลังมองเห็นความจริงแท้ของชีวิต ความทุกข์ที่มนุษย์เราสัมผัส แท้จริงแล้ว เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของความทุกข์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นจริง ๆ โลกนี้ ไม่มีใครทุกข์ที่สุดหรือสุขที่สุดอย่างแท้จริง ความสุขเป็นเพียงสิ่งที่มาเบียดบังให้ความทุกข์ผ่อนคลายลง ส่วนความทุกข์ก็มาเบียดบังความสุขให้จากหายไป ชีวิตคนเรารวมทั้งสัตว์ทั้งหลาย ก็เวียนวนอยู่กับอารมณ์เหล่านี้ เพียงแต่ว่าสุขหรือทุกข์ใครจะยาวนานหรือมากน้อยมากกว่ากัน" ภิกษุหนุ่มอธิบาย

"โยมอยากได้ความสุขนาน ๆ โดยไม่มีความทุกข์เลยได้ไหม..." ชายหนุ่มผู้พี่ถาม ทำให้ภิกษุหนุ่มอดยิ้มถึงคำถามเช่นเด็กน้อยของพี่ชายไม่ได้

"พระพุทธเจ้าท่านทรงให้คำตอบของคำถามโยมพี่มานานแล้ว ตราบใดที่เรายังวนเวียนเกิดเวียนตายอยู่ในวัฏฏะ ยามนั้น เราก็ไม่พึงเว้นจากความทุกข์ไปได้ สถานที่ที่มีสุขยาวนานนั้นมีอยู่ หากแต่ก็ไม่ได้จีรังยั่งยืน ไม่ว่าเราหรือสถานที่แห่งนั้น ก็จะต้องเสื่อมถอยไปเป็นธรรมดา เมื่อนั้น เราก็จะต้องประสบกับความทุกข์อันเกิดจากความพลัดพรากจากสิ่งของอันเป็นที่รัก แล้วอะไรเล่าเรียกว่า ของอันเป็นที่รัก ก็สิ่งที่เรายึด เราถือว่าเรา เป็นของเรา เราเห็นคนอื่นตาย เหตุใดเราจึงไม่เศร้าเสียใจ หากแต่ความตายเกิดแก่คนสนิทคุ้นเคย หรือเป็นญาติของเรา เหตุใดเราจึงเสียใจ ทั้งที่ก็เป็นความตายเช่นกัน "

"หลวงพี่พูดเสียง่าย แต่ดูแล้วทำยากแสนยาก โยมพยายามอยู่นาน ก็ยังไม่คลายความทุกข์เสียที" ชายหนุ่มตัดพ้ออย่างคนหมดอาลัย

"โยมพี่ฟังนะ เงินนั้นมันมีค่า มันสามารถซื้อความสะดวกสบายให้เราได้ แต่โยมพี่เชื่อเถอะว่า มันไม่สามารถซื้อความสุขที่แท้จริงได้หรอก...โยมพี่กำลังทุกข์เรื่องการเงินอยู่ใช่ไหม..."

"ธุรกิจของโยมปีนี้ มีแนวโน้มว่าจะขาดทุนเป็นแน่ โยมเลยทุกข์ใจ ไม่รู้จะหาทางออกอย่างไรกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น แล้วก็รายได้ที่ลดน้อยลง"

"อาตมาไม่รู้เรื่องธุรกิจอะไรมากมาย รู้เพียงว่าพระพุทธเจ้าสอนเรื่องการปล่อยวาง แต่อาตมาก็เชื่อว่า มันคงใช้ไม่ได้กับการบริหารธุรกิจ แต่หากเรามีสติ ปัญญาควบคู่ด้วย เราก็จะสามารถนำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาใช้กับธุรกิจได้เช่นกัน โดยเราปล่อยวางโดยการใช้ปัญญาและสติ คำว่า ปล่อยวาง ไม่ใช่ว่าละเลยเพิกเฉยไม่เอาสิ่งใด หากแต่ตรงกันข้าม การปล่อยวางก็คือการปล่อยจากสิ่งที่ไม่จำเป็นออก ให้เหลือสิ่งที่จำเป็นที่สุด ที่ใดเกินก็ลด สิ่งใดมีอยู่แล้วก็ใช้อย่างคุ้มค่า การภาวนาทางจิตใจมันเหมือนกับทำธุรกิจนะ ถ้าถามอาตมา เพราะจิตนี้มันโหยหาอยากได้ทุกอย่าง มันโง่ที่ไม่รู้ว่าสิ่งใดจำเป็นหรือไม่จำเป็น สติ ปัญญา นี่แหละจะเป็นตัวกรองที่ดี ไม่ให้จิตเราขาดทุนฟุ่มเฟือยไปกับอารมณ์ที่ไม่จำเป็น..." พระหนุ่มผู้น้องอธิบาย

"หลวงพี่โยงธุรกิจกับการภาวนาเสียจนผมอยากบวชด้วยเลย...แต่ก็จริงอย่างหลวงพี่พูดนะ ที่ผ่านมา โยมคิดแต่อยากได้ ซื้อนั่น ทำโน่นทำนี่ โดยไม่ไตร่ตรองให้ดี พอวันหนึ่งสิ่ง ๆ นั้นมันใกล้ล้ม แต่โยมก็อยากยึดไว้ เพราะความอยาก ไม่ยอมปล่อยวางของโยมเอง เลยทำให้โยมเป็นทุกข์... ต่อไปโยมจะใช้สติ ปัญญาให้มากขึ้น และปล่อยวางสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป อย่างที่หลวงพี่เทศนา อย่างยืดยาวนะ..." ชายหนุ่มผู้พี่กระเซ้า

"ก็หวังว่าเป็นอย่างนั้นนะ โยม..."

-จบ-

เรื่องนี้ถูกเขียนมาอย่างง่าย ๆ เพื่อให้เราเรียนรู้และสอนตัวเองว่า การแบกภาระทุกอย่างด้วยความโลภ เป็นการสร้างความทุกข์ให้ตัวเราเอง พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้คนเกียจคร้านการทำงาน หากแต่สอนให้รู้จักการทำงานที่ไม่เป็นทาสต่อความโลภ โกรธ หลง ตัวอย่างเช่น สมัยหนึ่งที่อนาถบิณฑิกเศรษฐีที่ขึ้นชื่อว่าเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยระดับต้น ๆ ของเมือง แต่เมื่อครั้งที่ทรัพย์สินสูญหายไปจากการถูกโกง เงินของตระกูลที่ฝังอยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำประมาณ 18 โกฏิกหาปณะ ก็จมหายไปในทะเล เพราะตลิ่งพัง ทำให้ทรัพย์ของอนาบิณฑิกเศรษฐีถึงคราวพินาศย่อยยับ จนลำบากยากจนลง ก็ไม่ได้ทำให้เศรษฐีทุกข์ใจและหมั่นทำบุญทำทานเหมือนเดิม จนพระพุทธเจ้าตรัสสรรเสริญในความเสมอต้นเสมอปลายแห่งการทำทานของเศรษฐี จนในที่สุดทรัพย์สินสูญหายก็ได้กลับคืนมา




Thank you image from ' //3.bp.blogspot.com'




 

Create Date : 05 ธันวาคม 2556    
Last Update : 5 ธันวาคม 2556 22:13:12 น.
Counter : 544 Pageviews.  

๔๕๗ - จุดบรรจบของเส้นขนาน




สมัยเด็กเคยเรียนวิชาคณิตศาสตร์ชั้นประถมศึกษา ครูเคยสอนว่า หากเราเส้นสองเส้นที่ขนานกันมันจะไม่มีทางบรรจบกันได้ ก็ทำให้ข้าพเจ้าได้จินตนาการถึงเส้นสองเส้นแล้วลากไปเรื่อย ๆ ออกไปยังนอกโลก ไปยังอวกาศในดินแดนไกลแสนไกล ระยะทางไกลขนาดนั้นเพียงพอจะให้เส้นขนานสองเส้นเบนเข้ามาบรรจบกันหรือไม่ หรือว่าเส้นขนานจะเบนออกจากันไม่เป็นเส้นขนานอีกต่อไป ซึ่งเป็นจินตนาการตอนเด็ก ๆ น่าแปลกใจที่วันนี้จู่ ๆ ก็นึกเรื่องนี้ขึ้นมา

ทำไมเส้นขนานสองเส้นเมื่อลากต่อไปไม่รู้จบ จะมาบรรจบกันไม่ได้ ก็ในเมื่อเส้นขนานนั้นตั้งอยู่แกนอ้างอิงคือจักรวาลอันบิดเบี้ยว สักวันมันจะต้องมาบรรจบกัน ความรู้ทุกอย่างที่เรามีความเข้าใจบนโลก เป็นความเข้าใจเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของจักรวาลอันกว้างใหญ่ ไม่มีอะไรแน่นอน แม้แต่ความคิดของเราเองก็ยังเปลี่ยนแปลงไปทุก ๆ วินาที หลาย ๆ สิ่ง เมื่อกาลเวลาผ่านไป สิ่ง ๆ หนึ่งที่เป็นจริงแท้ปัจจุบัน ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องจริงเสียแล้วในอนาคต

เส้นขนานก็เหมือนทิฐิมานะของคนหรือกลุ่มคนสองพวก ต่างคนต่างขีดเส้นขนานของความคิดของใครของมัน และคิดเอาเองว่ามันเป็นเส้นขนานไม่มีทางบรรจบกันได้ แต่สักวันหนึ่งมันจะต้องมีที่ ๆ หนึ่งที่มันบรรจบกัน เพียงแต่เราต้องอดทนที่จะสังเกตเส้นขนานนั้นไปเรื่อย ๆ ไม่ทำลายล้างเส้นขนานของความคิดซึ่งกันและกันไปเสียก่อน

เทคโนโลยีของโลกทุกวันนี้ มีส่วนทำให้คนรับรู้ข่าวสารอย่างรวดเร็ว แต่ความรวดเร็วถึงจะมีผลดี แต่ก็มีผลเสีย คือ ทำให้คนเราขาดความยับยั้งชั่งใจไตร่ตรองในข่าวสารข้อมูล และสร้างเส้นขนานคือ ความชอบ ความชังในหัวใจ หากข่าวสารเหตุการณ์ที่ได้รับรู้มันถูกใจเราก็เรียกว่า ความชอบใจ ความพอใจ แต่หากข่าวสารเหตุการณ์นั้น ไม่ตรงใจเราก็กลายเป็นความชัง ความไม่พอใจ และที่เรียกว่าความชอบ ความชัง นี่แหละที่เป็นเส้นขนานของความคิดในตัวบุคคล ซึ่งเราลากขึ้นมาเอง และคิดว่ามันจะไม่มีทางบรรจบกันได้ เพราะสิ่งเหล่านี้อยู่ต่างขั้วกันอย่างสิ้นเชิง

พุทธศาสนาสอนให้เราละวางความชอบความชังทั้งหลาย และมีใจเป็นกลาง มองสิ่งทั้งหลายเป็นเพียงรูปที่มากระทบ ความยินดี ก็คือรูปที่มากระทบแล้วเราพอใจ ส่วนความไม่ยินดี ก็คือสิ่งตรงข้าม

ชัยชนะที่แท้จริงก็คือชัยชนะใจของตัวเอง คือ ชนะในเรื่องความชอบ ความชัง วางใจอย่างเป็นกลาง มีสติและปัญญาควบคุมความคิด ไม่หลงใหลยินดีกับสิ่งที่ได้มาและคร่ำครวญเสียใจมากมายกับสิ่งที่สูญเสียไป

เมื่อเราวางใจอย่างเป็นกลาง เส้นขนานสองเส้นมันก็มาบรรจบกันเป็นเส้นเดียว คือ ทางสายกลาง ไม่มีความดี ไม่มีความชั่ว ไม่แบ่งแยกยศแยกเจ้าแยกนายแยกบ่าว และตราบนั้นเราจึงจะพบความสงบของชีวิต ที่ไม่มีเส้นขนานของความคิดอีกต่อไป


Thank you image from '//smithsonianscience.org'




 

Create Date : 24 พฤศจิกายน 2556    
Last Update : 24 พฤศจิกายน 2556 23:27:46 น.
Counter : 959 Pageviews.  

๔๕๖ - แก่นสารของความตาย



พอพูดถึงความตาย หลายคนคงสะดุ้งกลัว แม้แต่ตัวของข้าพเจ้าก็ตาม เพราะเรายังมีกิเลสอยู่ ยังมีความอยาก เลยมีความกลัวในความตายนั้น บางทีก็ตั้งคำถามว่า ความตายเป็นเรื่องน่ากลัวขนาดนั้นเชียวหรือ เพราะว่าทุก ๆ คนก็ต้องตายอย่างหลีกหนีไม่พ้น ความตายจึงเป็นสิ่งที่รอเราอยู่ในอนาคตข้างหน้า เรามีหน้าที่อย่างเดียวคือเดินไปหามัน

พระพุทธเจ้าตรัสสอนเรื่องความไม่ประมาท เพราะความประมาทเป็นหนทางไปสู่ความตายอย่างแท้จริง ซึ่งก็คือวิบัติจากกุศลทั้งหลาย คนที่ทำบุญกุศลมามาก และรู้จักวิธีเจริญมรณานุสติ ความตายสำหรับบุคคลนั้นดูเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่เป็นเรื่องสะดุ้งหวาดกลัวสำหรับคนที่มีชีวิตอยู่ในภายหลัง

หลายครั้งมีความคิดว่า ทำไมชีวิตของเราเหลือน้อยเต็มที เราใช้เวลาร่ำเรียนและเวลาทำงานมากมายไปกว่าครึ่งหนึ่งของชีวิต แต่เวลาสำหรับการสั่งสมเสบียงเพื่อการใช้งานต่อในภายภพหน้า กลับมีเวลาแสนน้อยนิด แต่ก็เช่นนั้นเอง ทุกคนเกิดมาล้วนมีกรรมเป็นของ ๆ ตน เราทุกคนเกิดมาไม่ได้มาตัวเปล่า แต่หอบเอาทิฐิ ความเห็นผิด ติดตัวมาด้วย ซึ่งเป็นจะแสดงผลเมื่อเราเติบโตเต็มที่ ดั่งต้นไม้ที่ออกดอกผล ยามที่มันเติบโตสมบูรณ์ ฉันใดก็ฉันนั้น ความเห็นผิด กิเลสตัณหาที่ติดตัวเรามา มันก็งอกเงยไปตามวัย

เมื่อยามเป็นเด็ก การได้ของเล่น เป็นตุ๊กตา หรือหุ่นยนต์ รถบังคับ เป็นสิ่งที่มีค่ามากมายในชีวิตวัยเด็ก ซึ่งเป็นความอยากได้ตามวัยตามกำลัง แต่พอโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา ก็อยากได้รถ บ้าน หน้าที่การงาน ครอบครัว ชื่อเสียง ฯ เป็นไปตามวัยเช่นกัน จะเด็กหรือผู้ใหญ่จึงมีความอยากพอ ๆ กัน

สันดานหรืออุปนิสัยเชิงลึกที่ติดตัวเรามาในด้านลบหรือบวก ทำให้ความคิดเห็นของคนเราแตกต่างกัน เราจึงมีความคิด ความเชื่อต่างกัน แม้ว่าจะได้รับการอบรมสั่งสอนเหมือนกันทุกประการก็ตามที การมีมุมมองของชีวิตและความตายจึงแตกต่างกันอย่างที่กล่าวมา

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า การที่จะทำให้คนมีความเชื่อ ความเห็นเหมือนกันหมดย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ คงไม่ต่างอะไรกับพื้นดินบนโลกที่ไม่เสมอราบเรียบเท่ากันหมด

เราลองหลับตานึก ปล่อยใจให้สบาย และนึกย้อนไปถึงตอนเราเกิดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นค่อย ๆ ย้อนเรื่องราวกลับมายังปัจจุบัน เรื่องราวนั้นจะค่อย ๆ แจ่มชัดขึ้น จนกระทั่งสามารถนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานที่ผ่านมา จากนั้นก็ใช้จินตนาการต่อ พาเราไปยังอนาคตมองดูชีวิตของเรา ที่ร่างกายเราแก่ไปเรื่อย ๆ หากนึกไม่ออก ก็นึกถึง พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยายของเรา นึกจนกระทั่งเรามีความแก่ และใกล้ถึงวาระสุดท้ายของชีวิต และคิดต่อไปว่า เรากำลังจะตายไปเสียแล้วจากโลก จากนั้นก็หยุด ดึงตัวเองกลับมายังปัจจุบัน แล้วพิจารณาต่อว่า เราได้อะไรจากชีวิตบ้าง เราได้รับประโยชน์อะไรจากความคิดที่ผ่านมาเมื่อครู่ แก่นสารของชีวิตและแก่นสารแห่งความตายนั้นอยู่ตรงไหน ความโลภ กิเลส ตัณหา ความร่ำรวย ฯ ช่วยพาเราพ้นไปจากความตายได้หรือไม่

ชีวิตนั้นมีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เราท่องกันได้ทุกคนตั่งแต่เด็ก แต่จะมีสักกี่คนที่ยอมรับได้จริง ๆ เมื่อความตาย คือ สิ่งสุดท้ายนั้น เกิดขึ้นกับเราและคนที่เรารัก...

ขอบคุณรูปภาพจาก "//www.buddhabucha.net" มากมายครับ




 

Create Date : 16 พฤศจิกายน 2556    
Last Update : 16 พฤศจิกายน 2556 19:27:02 น.
Counter : 584 Pageviews.  

1  2  

อัสติสะ
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ทุกข์ใดจะทุกข์เท่า การเกิด
ดับทุกข์สิ่งประเสริฐ แน่แท้
ทางสู่นิพพานเลิศ เที่ยงแท้ แน่นา
คือมรรคมีองค์แก้ ดับสิ้นทุกข์ทน






Google



New Comments
Friends' blogs
[Add อัสติสะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.