๔๘๐ - แรงดึงดูดของกาม
ครั้งหนึ่งเมื่อเดินไปตามทางเท้า คิดทบทวนเรื่องราวของชีวิต ปล่อยวางความเป็นตัวเอง ไม่มีความโลภ ไม่มีความหิว ไม่มีความอยากได้ มีเพียงความรับรู้ความมีชีวิต รับรู้ความปรุงแต่งของชีวิตและสิ่งกระทบ ในวินาทีที่ไม่ได้ต้องการสิ่งใด เหลียวมองดูรอบ ๆ ตัว ในวินาทีต่อมา ทุก ๆ อย่าง ดูไร้ประโยชน์ ไร้แก่นสาร ผู้คนมากมาย เดินบ้าง นั่งรถบ้าง ผ่านมาและผ่านไป เสียงจอแจแน่นหู ไม่แน่ใจว่าทุกวันนี้ ผู้คนวิ่งวุ่นวายไปเพื่ออะไร ต่อจากนั้นความซึมซับเกี่ยวกับสิ่งที่มากระทบเริ่มทวีความเข้มข้นขึ้น ทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และแล้วทุกอย่างก็กลับมาเป็นเหมือนปกติ เรามีความโลภ เรามีความหลงใหล มองรูปร่างสวยงาม มองเห็นความอยากได้อยากมีของตัวเราเองเป็นปกติ กลับมานึกทบทวนเรื่องราวต่อจากวันนั้น คิดว่าชีวิตนี้มันไม่ได้มีอะไรเลย นอกจากการปรุงแต่งที่เรียกว่า 'สังขาร' เราปรุงแต่งตัวเราเองว่ามี รัก ชอบ โกรธ หวง หึง แล้วก็ยึดติดกับสิ่งนั้น พอกพูนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนยากจะทำการสลัดออกไป ปัญหา คือ ทำไมเราต้องสลัดสิ่งเหล่านี้ทิ้ง ตราบใดที่เรายังไม่เห็นโทษ เราคงไม่สลัดมันทิ้ง แล้วอะไรเป็นโทษของมัน ในเมื่อทุก ๆ คนเห็นว่า สิ่งที่แสวงหาสามารถตอบสนองความต้องการ และจะเป็นสุขใจหรือกาย เมื่อได้เสพกับสิ่งที่ตนเองหามาได้ น้อยคนจะเข้าใจในโทษของกาม ข้าพเจ้าเองแม้ดูเหมือนจะมีความเข้าใจ แต่ก็ยังติดอยู่ในวังวนนี้เช่นกัน หากแต่มีบางวินาที บางขณะที่รู้สึกผิดปกติ พอนึกได้ก็จะจดบันทึกไว้ แล้วนำมาเขียนกันลืม ซึ่งเป็นส่วนน้อยนิดมาก ยอมรับว่าเวลาส่วนใหญ่ก็ตกเป็นเหยื่อของกาม พระพุทธเจ้าอธิบายโทษของกามไว้มากมาย เปรียบเทียบเหมือนเนื้อที่ติดกระดูกบ้าง (มันอาจจะอร่อย แต่หาความอิ่มไม่ได้) เหมือนความฝันที่มีแต่ความว่างเปล่าเมื่อยามตื่นบ้าง หรือ เหมือนกับทรัพย์ที่ยืมคนอื่นมาแล้วต้องคืนไปบ้าง
คำเปรียบเทียบของพระพุทธองค์นั้น ทำให้เข้าใจง่าย ลองคิดดูอย่างละเอียด ก็จริงอย่างที่ท่านตรัสไว้ เพียงแต่เราต้องใช้ปัญญาในการคิดไตร่ตรองให้ลึกซึ้ง หากเราเข้าใจในโทษของกาม เราก็จะหาวิธีละกาม และแสวงหาความหลุดพ้นจากกาม หากหนีไม่ได้ ก็คงต้องใช้ชีวิตอยู่กับมันอย่างที่จะทำให้เกิดโทษน้อยที่สุด จนกว่าจะถึงเวลาอันควรที่เราจะหลุดพ้นจากแรงดึงดูดของกาม ในจิตใจของเราเอง...
Create Date : 23 ธันวาคม 2559
Last Update : 24 ธันวาคม 2559 0:04:24 น.
Counter : 985 Pageviews.
๔๗๙ - อีกฟากหนึ่งของความทุกข์
มันน่าแปลกดี ที่โลกยุคใหม่นี้ มีสิ่งที่ตอบสนองความต้องการของเราเสียมากมาย แต่ถ้าหากเราพิจารณาดูจะรู้ว่า สิ่งตอบสนองนั้นบางอย่างมันก็เกินความจำเป็นแท้จริงของชีวิต เมื่อความจำเป็นจอมปลอมมันเข้ามามีบทบาทในชีวิตเรา จนเกิดความเคยชิน จิตใจเราก็คุ้น กระทั่งทำให้สิ่งนั้น กลายเป็นสิ่งจำเป็นแบบขาดไม่ได้ไป โลกยุคใหม่จึงเต็มไปด้วยนานาสิ่งเร้า เพื่อกระตุ้นความอยากของเรา เพื่อสิ่งที่เราสมมติโดยเรียกกันว่าเศรษฐกิจดูดี เพื่อให้ตัวเลขบางตัวเลขดูสูง ๆ แล้วเราจะมีความสุขกัน ข้าพเจ้าเองก็ถูกครอบงำด้วยสิ่งนั้น และมันก็มีบทบาทกับความคิดชีวิต การทำงานทั้งหลาย ก็เพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง และของผู้อื่น จนกลายเป็นระบบที่โยงใย สัมพันธ์กันอย่างไม่มีจุดสิ้นสุด นี่มันโลกยุคใหม่ ซึ่งเราปฏิวัติความอยาก จนกระทั่งเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ รอบตัวไปอย่างมากมาย แต่ภายในจิตใจของเราบางทีก็ยังคงโบราณเหมือนเดิม ยุคก่อนเรามีกิเลสความต้องการอย่างไร มันก็ยังคงอยู่อย่างนั้น ไม่เพียงแค่นั้น กิเลสในยุคนี้มันแข็งแรงขึ้นมาก ถ้าเปรียบกับต้นไม้ก็เป็นต้นที่เติบโตฝังรากลึก ยากจะตัดโค่นด้วยมือเปล่า ตัณหา ความอยากขั้นพื้นฐานมันก็ยังคงอยู่ เราใช้มันเพื่อให้วงจรชีวิตดำรงอยู่ หากไม่มีมันวงจรมันก็จะต้องดับไป เป็นเรื่องง่าย ๆ ในการคิด แต่ยากแสนยากในการปฏิบัติให้เข้าถึง และตัดวงจรของความอยากนี้ แต่ก็เชื่อเถอะว่ามีไม่กี่คนที่จะปรารถนาตัดวงจรของความอยากนี้ทิ้งไป เขาปรารถนาการเกิด การมี อยู่อย่างนั้น นั่นเพราะความไม่รู้ หรือ อวิชชา ความไม่เข้าใจเกี่ยวกับทุกข์ และวัฏฏะวนแห่งสังสาร ทำให้เราไม่อาจจะละความอยาก ความมีความเกิดของตัวตนของเราไปได้ เคยอ่านพุทธประวัติ ตอนที่พระโพธิสัตว์จะออกบวชเหตุเพราะเห็นเทวทูตทั้ง ๔ มี คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช ทรงพระดำริว่า สภาพธรรมดาในโลกนี้ย่อมมีสิ่งที่ตรงกันข้ามคู่กัน คือ มีมืดแล้วมีสว่าง มีร้อนแล้วมีเย็น หากสิ่งเหล่านี้คือความทุกข์ ทางแห่งความพ้นทุกข์ก็ย่อมมี พระโพธิสัตว์ใช้หลักการคิดหาเหตุหาผลง่าย ๆ ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก หากแต่เพราะเป็นคนที่มีปัญญาสั่งสมมายาวนาน ในเหตุผผลง่าย ๆ ข้อนั้นก็ย่อมมีความคิดลึกซึ้งมากมายกว่าคนธรรมดา เมื่อพบแนวคิดในการแสวงหาความดับทุกข์ ก็ต้องเดินหาช่องทางแห่งความปฏิบัติ สำหรับพระองค์ในตอนนั้นคือ การบวชเป็นที่มาและจุดเริ่มต้นของการแสวงหาความหมายของอีกฟากหนึ่งของความทุกข์ เมื่อพระองค์ค้นพบแนวทางได้สำเร็จ ก็นำคำสอนมาตรัสสอนกับผู้ที่สนใจ จนในที่สุดกลายมาเป็นศาสนาที่มีคนนับถือมากมาย เป็นศาสนาที่สอนเรื่องความดับทุกข์เป็นหลักใหญ่ สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน Thank you image from //i.ytimg.com/vi/scKV_pY9dac/maxresdefault.jpg
Create Date : 18 มกราคม 2559
Last Update : 18 มกราคม 2559 8:02:26 น.
Counter : 1047 Pageviews.
๔๗๘ - กฎของการกระทำ
โลกล้วนเต็มไปด้วยความทุกข์ หากเรามองเห็นความทุกข์ ย่อมเป็นพื้นฐานในการมองเห็นธรรม ธรรมคือความจริงของสรรพสิ่ง ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอทั้งภายในและภายนอก การเปลี่ยนแปลงนั้นส่งผลให้มีการเกิดขึ้น การดำรงอยู่ และการดับสิ้นไป มันเป็นวัฎจักรอยู่เช่นนี้ พุทธศาสนาสอนหลักการมองการคิดในสมการเหล่านี้ของชีวิต ซึ่งสามารถใช้ได้กับสิ่งที่ไม่มีชีวิตด้วยเช่นกัน สิ่งทั้งหลายที่มีการเปลี่ยนแปลงจะส่งผลต่อเนื่องให้เกิดสิ่งหนึ่ง ยกตัวอย่าง เช่น ความรู้สึกของเรา เรารู้สึกกับธรรมชาติภายนอกอย่างไร เราก็จะตอบสนองต่อธรรมชาติของสิ่งเร้านั้น ๆ ตามประสบการณ์ที่เราเรียนรู้มา ส่งผลให้เกิดการกระทำ มีทั้งดี ทั้งชั่ว ไม่ดีไม่ชั่ว บางอย่างก็ไปกระทบกับคนอื่น หรือ สิ่งมีชีวิตอื่นภายนอก ก็เกิดเป็นกรรมทางกายภาพ คือ การกระทำ เมื่อมีการกระทำ ย่อมมีผลของการกระทำ ผลของการกระทำมักจะย้อนกลับมาหาเราไม่ว่างทางใดก็ทางหนึ่ง มันน่าแปลกที่ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ทำไมเราจึงต้องรับผลกรรม ผลของการกระทำ มีมากมายหลายคนที่นับถือศาสนาพุทธแต่ไม่ได้เคารพในการมีอยู่ในกฎของกรรม ที่คนรุ่นก่อนสอนกันต่อ ๆ กันมาว่า ทำ(ความ)ดีได้ดี ทำ(ความ)ชั่วได้ชั่ว มันเป็นคำสอนที่คลาสสิคคือ ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย ในส่วนลึก ๆ ของคำสอนก็คือ บอกถึงการกระทำและผลของการกระทำในตัว การแสวงหาที่ไปที่มาของกรรมและวิบากกรรม นั้นเป็นอจินไตย เป็นเรื่องเกินวิสัยของมนุษย์และสัตว์ทั่วไป พระพุทธเจ้าตรัสห้าม เพราะอาจจะทำให้เราฟุ่งซ่าน เสียสติ อาจจะเป็นบ้าไปได้ คำว่าเกินวิสัยก็คือ ญาณ(ปัญญา) ความรู้ อายตนะของสัตว์ทั่วไปมีขอบเขตจำกัด เช่น มนุษย์เราไม่สามารถมองเห็นอะไรในที่มืด เรามองเห็นและได้ยินได้ในระยะจำกัด ความถี่เสียงที่ได้ยินก็อยู่ในช่วงแคบ ๆ เรามองเห็นแสงไม่มีสี แต่ความจริงแสงประกอบด้วยสเปคตรัมของความถี่ ซึ่งสามารถแยกออกเป็นสีต่าง ๆ มากมาย เราเห็นหลอดไฟนีออนสว่างนิ่ง ทั้งที่จริงมันติดดับสลับกันด้วยความถี่สูงจนตาเราตอบสนองไม่ทัน เป็นต้น แต่พระพุทธองค์ก็ทรงสอนให้เราปฏิบัติในคำสอนที่ดีงาม และยอมรับในการมีอยู่ของวิบากกรรม ดั่งเช่นเงาที่ติดตามตัว เมื่อมีความเกิดย่อมมีกรรมที่ติดตัวมา และตอบสนองต่อกรรมในชาติภพปัจจุบัน เป็นห่วงโซ่แห่งความทุกข์เช่นนี้ ไม่มีคำว่าจบสิ้น หากเรายังไม่อาจหลุดพ้นได้ ความหลุดพ้นนี้จะหมายถึงนิพพานตามที่บัญญัติของพุทธศาสนาก็ได้ มันอาจจะเป็นการหลุดออกจากกรอบอ้างอิงหนึ่ง(วัฏฏะสงสาร)ซึ่งมีพลังมหาศาลไปยังอีกกรอบอ้างอิงหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่การดับสูญอย่างที่ทุกคนเข้าใจแน่นอน ในกรอบอ้างอิงนั้น ถ้าอ่านจากตำราซึ่งเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ ความหมายของนิพพาน คือ ความดับสิ้นแห่งกิเลส เพราะกิเลสเป็นตัวชักพาให้มีความเกิด เมื่อไม่มีความเกิดก็ย่อมไม่มีความทุกข์ สภาวะนิพพานจึงเป็นสภาวะที่จิตหลุดจากกรอบอ้างอิงหนึ่งไปสู่อีกแห่งหนึ่ง แต่ไม่เหมือนกับการย้ายภพ(แดนเกิด) เพราะภพก็ยังเป็นหน่วยย่อยของวัฏฏะ ส่วนกรอบอ้างอิงที่ว่าจะเป็นอย่างไรนั้นก็เกิดวิสัยของข้าพเจ้าจะอธิบายได้ พระพุทธเจ้าเคยเปรียบเทียบนิพพานดังมหาสมุทรใหญ่ ที่แม่น้ำทั้งหลายไหลลงสู่ ไม่มีวันเต็ม วันพร่อง อาจจะพออนุมานได้ว่า สภาวะนิพพานนั้น มีอยู่ แต่มันคงไม่ใช่สถานที่ เป็นภพ ในแบบที่เราคุ้นเคย...แน่แท้Thank you image from '//hdnaturewall.com/wallpaper /2015/07/rainbow-wallpaper-border-32-cool-wallpaper.jpg'
Create Date : 08 มกราคม 2559
Last Update : 8 มกราคม 2559 8:05:31 น.
Counter : 708 Pageviews.
๔๗๗ - สิ่งปลอมปน
หนึ่งปีที่ผ่านมาไม่ได้เข้ามาเขียนบทความอะไรใหม่ ๆ เลย มันมีเรื่องราวยุ่งยากใจเกินกว่าจะทำให้เขียนอะไร ๆ ออกมาได้เหมือนที่ผ่าน ก็เลยตัดสินใจที่จะไม่เขียน จนกว่าจะรู้สึกดีกว่านี้ ผ่านช่วงปีใหม่มาสักระยะ ซึ่งก็คล้าย ๆ กับทุก ๆ ปี ความรู้สึกสบายใจเมื่อได้กลับบ้าน เจอพี่น้อง ญาติ ๆ ค่อย ๆ จางลง เมื่อต้องย้อนกลับมาทำงานยังเมืองหลวง ความรู้สึกนี้คงเป็นกันหลายคน สำหรับคนต่างจังหวัดที่เข้ามาทำงานในเมืองหลวงคงพอเข้าใจดี หนึ่งปีที่ผ่านมา มีมรสุมงานเข้ามาอย่างที่ข้าพเจ้าไม่ได้เตรียมตัวรับมือมาก่อน มันหนักและสาหัสมากสำหรับคนอย่างข้าพเจ้า แต่สุดท้ายมันก็ผ่านมาได้ บทเรียนชีวิตที่ลำ้ค่าบทหนึ่งของชีวิต คนเราไม่รู้หรอกว่าตัวเองทำอะไรได้บ้าง จนกว่าเราจะลองทำมันดู บางครั้งก็ท้อมาก และอยากหาบทบาทของชีวิตใหม่ ๆ ดูบ้าง แต่ก็ยังไปได้ไม่ไกล เพราะตัวเองก็ยังวนเวียนติดขัดอยู่ที่เดิม เกือบเก้าปีที่ผ่านมาสำหรับธรรมะ และปีที่ผ่านมา เหมือนว่าข้าพเจ้าแพ้ไปอย่างราบเรียบ คงกลับเป็นเด็กอนุบาลใหม่อีกครั้งสำหรับธรรมะ ตัวสติ ปัญญา สมาธิ ดูถดถอยอย่างไม่น่าเป็น เราห่างจากการปฏิบัติ ห่างจากการอ่าน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการฟัง ห่างจากการคิดทบทวน ห่างจากเรื่องราวและไอเดียที่ดี มีสิ่งปลอมปนที่เข้ามารบกวนจิตใจและกาย ทำให้เราห่างเหินจากธรรมะไป นี่คงเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ คือ มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนััตตา โดยเฉพาะสิ่งที่มากระทบ ความคิด ความรู้สึก เหมือนมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา หลายครั้งพยายามหยิบจับความรู้สึกดี และมีความสุข เพื่อให้อยู่กับใจนี้นาน ๆ แต่มันก็ค่อย ๆ จางหายไป ความทุกข์ยาก แม้เข้ามาในเวลาอันสั้น แต่ก็ดูยาวนานเหลือเกิน กฎธรรมดา ๆ สามข้อนี้ กลับอธิบายธรรมชาติขั้นพื้นฐานจนถึงขั้นสูงได้อย่างน่าประหลาด บางทีสิ่งที่พวกเรากำลังค้นหาชั่วชีวิต ก็อาจจะเป็นกฎพื้นฐานของธรรมชาติ ซึ่งมันต้องเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา แล้วแต่ใครจะทำใจยอมรับและอยู่กับมันอย่างเข้าใจมากที่สุด เคยคิดว่าวันหนึ่งหากเราเข้าใจกฎและความลับของธรรมชาติอย่างลึกซึ้งที่สุด ธรรมชาติอาจจะผลักดันให้เราไปออกจากกรอบอ้างอิงของมัน และไปยังอีกกรอบอ้างอิงหนึ่ง ซึ่งเรายังไม่เข้าใจ คล้าย ๆ กับการวิวัฒนาการ ซึ่งจะมีโจทย์สำหรับชีวิตให้เราแก้ไขอยู่เสมอแต่ทุกวันนี้ที่เรายังอยู่ในกรอบที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมา และอยู่ภายใต้กฎพื้นฐานสามอย่างนี้ มีสิ่งปลอมปนเข้ามารบกวนชีวิต จิตใจ ให้เราวนเวียนอยู่ในกรอบชีวิตเดิม ๆ และหาทางออกไม่เจอ คล้าย ๆ กับเราพายเรือในน้ำนิ่ง ไปตามทิศทางหนึ่ง แต่อยู่ดี ๆ ก็มีกระแสน้ำเชี่ยว มาจากหลายทิศหลายทาง ทำให้เราบังคับทางเสือ และประคองเรือได้ลำบาก จนกระทั่งเมื่อมันกระแสน้ำสงบลง เราก็ยังคงนั่งอยู่บนเรือและบ่นกับตัวเองว่า เราหลงทางเสียแล้ว Thank you image from //powerofthought.org/wp-content/uploads/2011/02/GlassBalls1.jpg
Create Date : 05 มกราคม 2559
Last Update : 5 มกราคม 2559 7:51:12 น.
Counter : 733 Pageviews.
๔๗๖ - กลแห่งมาร ตอนที่ ๓ (จบ)
เมื่อครบกำหนดเวลาตามสัญญาในการขอคำตอบของพระราชา ชายนักเดินทางถูกเรียกตัวมาเข้าเฝ้ายังท้องพระโรง ก่อนที่เขาจะพูดปฏิเสธและขอออกจากเมืองเพื่อเดินทางต่อ ทำให้พระราชาทรงพิโรธหนัก เพราะเหตุจากความเห็นผิดคิดว่าชายนักเดินทางเย่อหยิ่ง และเข้าใจว่าเขาดูถูกในสมบัติของพระราชาว่าไร้คุณค่า พระราชาจึงอ้างเหตุนี้จับกุมตัวชาบนักเดินทาง และให้ประหารชีวิตในวันรุ่งเช้า ตอนพระอาทิตย์โพล่พ้นทิวเขา แม้ว่าองค์หญิงจะขออดโทษให้ แต่ก็ไม่เป็นผลประการใด นอกจากว่าชายนักเดินทางจะเปลี่ยนใจรับข้อเสนอของพระราชา ฮึ ๆ ตั่งแต่ข้าเกิดมาก็ยังไม่เคยเห็นผู้ใดโง่งมเท่าเจ้ามาก่อน ข้าอุตส่าห์มอบบัลลังก์ พร้อมทรัพย์สมบัติ รวมทั้งองค์หญิงลูกสาวของข้า เจ้ายังปฏิเสธ ประหนึ่งของสิ่งนี้มีค่าเพียงงเถ้าธุลีใต้ฝ่าเท้าเรา ถ้าหากเจ้ารักการเดินทางมากเพียงนั้น ก็จงไปแต่เพียงวิญญาณเถิด นอกเสียจากก่อนพระอาทิตย์รุ่งวันพรุ่งนี้ เจ้าจะเปลี่ยนใจรับข้อเสนอ พระราชาตรัสด้วยน้ำเสียงที่ดังก้องไปทั้วท้องพระโรง ชายนักเดินทางพอทราบชะตากรรมของตัวเอง เขาจึงไม่ตระหนกใจอะไร และไม่พูดสิ่งใดอีก ปล่อยให้ทหารคุมตัวเขาไปขังในห้อง เพื่อทำการประหารชีวิตในวันพรุ่งนี้ ชีวิตความเป็นความตาย บางทีมันก็อยู่ที่เราจะเลือก ตลอดเวลาที่ผ่านมา พบผ่านเรื่องราวมากมาย ทำให้เขารู้จักชีวิตนี้ เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นมาชั่วคราว ไม่ได้ถูกฆ่าในคราวนี้ พรุ่งนี้ก็อาจจะถูกสิ่งอื่นฆ่าตาย หรือไม่ก็ต้องตายด้วยเหตุจากโรค หรือไม่ก็ถูกความชราครอบงำและเข้ามาทำลายชีวิตนี้ ความตายแม้จะเร็วหรือช้า มันจะสำคัญมากมายขนาดนั้นเชียวหรือ ตลอดค่ำคืนก่อนการประหาร องค์หญิงดูจะเป็นผู้มีความทุกข์ร้อนใจมากกว่าใคร เธอเองเป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ทั้งหมด แม้ว่าความตายไม่อาจจะพรากชีวิตเธอได้ในตอนนั้น แต่พรุ่งนี้ก็ต้องมีคนมาตายแทนอยู่ดี องค์หญิงพยายามพูดเกลี้ยกล่อมให้ชายนักเดินทางรับข้อเสนอในฐานะผู้มีพระคุณ ในขณะเดียวกันก็ออดอ้อนอ้อนวอนพระราชาผู้เป็นบิดาลดหย่อนโทษให้ ชายนักเดินทางมองดูอาการขององค์หญิงรัชทายาท มำให้รู้สึกสงสารอยู่ไม่น้อย เขาได้พูดขอบพระทัยต่อองค์หญิงไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ในชีวิตตั่งแต่เกิดมาหรือเท่าที่จำความได้ ก็ไม่มีใครเอาใจใจส่ดูแลมากมายเท่านี้มาก่อน จวบจนกระทั่งรุ่นอรุณของวันใหม่เริ่มมาเยือน แสงสีทองเริ่มปรากฎเหนือเส้นขอบฟ้า อันเป็นสัญญาณเริ่มต้อนของวันใหม่ ชายชราผู้ถือสารแห่งพระราชา ทวนคำพิพากษาซ้ำ และประกาศว่า เพียงชายนักเดินทางพยักหน้ารับ การประหารครั้งนี้จะถูกยกเลิก และพระราชบัลลังก์รวมทั้งราชสมบัติมากมาย จะตกเป็นของเขา แต่ชายนักเดินทางก็ยังคงนิ่ง หากเขาตัดสินใจรับคำเสนอ การเดินทางก็คงต้องยุติหรือหากจะลักลอบหนีไปในภายหลัง ก็คงจะเสียสัจจะเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบาย กลายเป็นนักต้มตุ๋นหลอกลวงไปโดยเปล่า พระอาทิตย์เริ่มโพล่พ้นขอบฟ้าอย่างช้า ๆ พร้อม ๆ กับชายนักเดินทางที่ถูกหิ้วมาถึงลานประหาร โดยมีเพชฌฆาตหนุ่มถือดาบเล่มโตรออยู่ ชายนักเดินทางถูกมัดมือและขาจนแน่นติดกับหลักประหาร น่าแปลกที่ว่า จิตใจของเขากลับรู้สึกสงบมาก แม้ความตายจะรออยู่ข้างหน้า เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาต้องเผชิญหน้ากับความตาย ดังนั้นจึงไม่ต้องมีความกลัวหรือความกังวลกับสิ่งที่กำลังจะมาเยือน ห่างออกไปหลายร้อยเมตร เทวบุตรตนนั้นซุ่มดูความเคลื่อนไหวของชายนักเดินทางอยู่ตลอดเวลา และเสียรู้สึกอับอาย ที่แผนการของเขากำลังจะล้มเหลว อย่างไม่เป็นท่าในอีกไม่นาน บุรุษผู้นี้ยอมแลกชีวิตเลยเชียวหรือ... เทวบุตรตนนั้นพรำพรัม ไม่นานนักชายชราผู้อ่านสารก็ประกาศให้เริ่มต้นการประหารชีวิต เพชฌฆาตผู้รู้หน้าที่และจังหวะเวลา ก็เตรียมเหวี่ยงดาบลงบนคอชายนักเดินทาง แต่ก่อนที่ดาบนั้นจะสับเข้าต้นคอของเขา สรรพสิ่งรอบ ๆ กายของชายนักเดินทางกลับหยุดนิ่ง พันธนาการที่รัดกุมถูกปลดด้วยอำนาจบางอย่าง ชายนักเดินทางค่อยลืมตามองรอบ ๆ ตัว 'นี่มันอะไรกัน...' ภาพผู้คนในลานประหารต่างหยุดนิ่งไม่ไหวติง ไม่ใช่เพียงแค่มนุษย์ แต่ธรรมชาติรอบ ๆ ตัวต่างหยุดนิ่งไปด้วย เขานิ่งเงียบสักพักหนึ่ง ก่อนจะมีเสียงบุรุษพูดออกมา ไม่น่าเชื่อว่า เจ้าจะมีจิตใจเด็ดเดี่ยวขนาดนี้... เสียงของเทวบุตรตนนั้นนั่นเอง เขามาปรากฎตัวเพื่อยุติการประหาร เพื่อไม่ให้บาปกรรมที่ก่อ ส่งผลมาถึงตัวของเขาเอง ท่านเป็นใครกัน... ชายนักเดินทางถาม เราเป็นเทวบุตร มาเพื่อขัดขวางไม่ให้ท่านเดินทางปสู่ดินแดนนิพพาน เทวบุตรตนนั้นอธิบายตามความเป็นจริง ถ้าเช่นนั้น เรื่องราวต่าง ๆ ก็เป็นเพราะฝีมือของท่าน ถูกต้องแล้ว เราต้องขออภัยและขอโทษกับสิ่งที่ทำไปด้วย เหตุเพราะนี้เป็นหน้าที่ของเรา ที่เกิดมาให้กงล้อแห่งวัฏฏะยังคงหมุนวนต่อไป แต่ท่านไม่ต้องห่วง ต่อแต่นี้ไป เราจะไม่มาก่อกวนท่านอีก เว้นเสียแต่เทพบุตรตนอื่น กรณีนี้ข้าไม่รับรอง เทพบุตรตนนั้นพูด เอาเถอะ ๆ ผมเจอเรื่องราวประเภทนี้จนชินแล้ว ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร อีกอย่าง ผมก็ก็พอคาดเดาเหตุการณ์ได้ ต่อให้ผมตายจริง จิตที่ผูกพันในการเดินทาง มันก็จะทำหน้าที่นำทางกลับมายังที่เดิม และเดินทางต่ออีกครั้งอยู่ดี... ชายนักเดินทางพูด ฮึ ๆ นั่นนะสินะ เหตุนี้เอง เสนามารจึงกล่าวชื่นชมในตัวท่าน เทพบุตรตนนั้นชม หลังจากที่หมดเวลาสำหรับการสนทนา ชายนักเดินทางก็จัดแจงเตรียมหาเสบียงและออกเดินทางต่อ ก่อนที่ฤทธิ์เทพบุตรตนนั้นจะจางหาย และพวกทหารของพระราชาออกตามล่าตัวเขาวันนี้ชายยนักเดินทางได้บททดสอบกำลังใจสำคัญ ยอมตายเพื่อหนทางดับกิเลส ดีกว่าอยู่กับความสุขเพียงชั่วคราว และหลงทางอยู่ในวัฏฏะอันยาวนาน... Thank you images from '//photo.lannaphotoclub.com/index.php' and '//www.daz3d.com/media/catalog/product/cache/1/image/9df78eab33525d08d6e5fb8d27136e95/r/a/rain05nov12c_1.jpg'
Create Date : 04 พฤศจิกายน 2557
Last Update : 4 พฤศจิกายน 2557 23:04:01 น.
Counter : 562 Pageviews.
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [? ]
ทุกข์ใดจะทุกข์เท่า การเกิด ดับทุกข์สิ่งประเสริฐ แน่แท้ ทางสู่นิพพานเลิศ เที่ยงแท้ แน่นา คือมรรคมีองค์แก้ ดับสิ้นทุกข์ทน