ภัยแห่งสังสารวัฏนั้น น่ากลัวยิ่งกว่าภัยอื่นใด - อัสติสะ
Group Blog
 
All blogs
 

๓๕๐ - ภูเขามนุษย์





ณ ทุ่งโล่งกว้างแห่งนั้นมองออกไปไกลสุดตา รอบ ๆ มีชายป่าและบึงน้ำเล็ก ๆ พอให้สัตว์เลี้ยงจำพวกวัวได้พักดื่มกัน นอกจากฤดูทำนาแล้วในยามหน้าแล้ง ข้าพเจ้าคิดว่าทุ่งแห่งนี้ดูแล้วแทบจะไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรเลย ข้าพเจ้ายืนอยู่ ณ ที่แห่งนั้นเป็นเวลานานเท่าไหร่ก็ไม่ทราบได้ มองไปทางไหนก็ไม่เห็นผู้คนเลยสักคน

“ที่แห่งนี้ มันที่ไหนกันหนอ...” ในใจรำพันนึก แล้วก็มีเสียงหนึ่งตอบกลับมา ว่าเป็นที่ของตา ยาย ใช้ทำไร่นาในอดีต ข้างหน้าของข้าพเจ้านั้นเป็นแปลงนา ผืนไม่ใหญ่มาก ใกล้ ๆ กันนั้นมีเนินเขาลูกหนึ่ง ทอดสายตามองไกล เห็นเป็นเงาตะคลุ่มไหว ๆ สงสัยว่าจะมีคนอยู่ตรงนั้น ข้าพเจ้ารีบเดินเข้าไปหวังเพื่อสอบถามและสนทนาด้วย แต่แล้วพอยิ่งเข้าไปใกล้กลับพบว่า เนินเขาลูกนั้นกลายเป็นภูเขามนุษย์ไปเสียแล้ว มีมนุษย์หญิงชายมากมายเบียดเสียดกันอยู่บนเนินเขาลูกนั้น ที่สำคัญผู้คนเหล่านั้นทุกคนล้วนแต่เปลือยกายร่อนจ้อน เห็นแล้วเป็นภาพที่ไม่ค่อยโสภาน่ามองเท่าไหร่ ยิ่งเข้าใกล้ก็ยิ่งได้ยินเสียงดนตรีดังกระหึ่ม สร้างความบันเทิงให้คนเหล่านั้นเต้นรำกันอย่างสนุกสนาน ข้าพเจ้าสังเกตว่าคนส่วนใหญ่จะถือแก้วที่มีน้ำบางอย่างอยู่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าน้ำนั้นคงเป็นสุรายาเมาอย่างแน่นอน

“เอ...พื้นที่ข้างล่างก็ว่างเยอะแยะ เหตุใดหนอ คนจึงชอบไปเบียดเฉียดกันอยู่บนภูเขาลูกเดียวอย่างนั้น...” ข้าพเจ้านึก เมื่อยืนพิจารณาอยู่สักพักหนึ่ง ก็มีเสียงเรียกชื่อของข้าพเจ้าดังมาจากกลุ่มคนเหล่านั้น

“เพื่อน ๆ นั่นเพื่อน...ใช่ไหม ดีเลย ๆ มา ๆ ขึ้นมาสนุกกันข้างบนสิ ไปมัวยืนทำอะไรอยู่ข้างล่างนั่น ยังพอมีที่ว่างให้เพื่อนนะ ขึ้นมาเลย...” ข้าพเจ้ามองตามหาเจ้าของเสียง ก็นึกออกว่าเป็นเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยคนหนึ่ง ทำไมเพื่อนคนนี้ถึงได้มาอยู่ที่นี่ก็ไม่ทราบได้ สมัยเรียนก็ไม่ใช่คนเที่ยวเตร่อะไร ข้าพเจ้านึกแล้วก็ตอบปฏิเสธกลับไป

“ไม่ล่ะเพื่อน เชิญเพื่อนตามสบายเถอะ...” สายตาเพื่อนของข้าพเจ้านั้นผิดหวังเล็กน้อย
จากนั้นเขาก็หันหลังกลับไปสนุกสนาน ดื่ม กิน เช่นเดิม

ข้าพเจ้าเดินจากสถานที่แห่งนั้นมา ก็พบกระท่อมหลังหนึ่ง เป็นกระท่อมปลายนาที่ไม่มีคนอยู่อาศัย ก็เลยหวังจะใช้เป็นที่ทำสมาธิภาวนาต่อไป

-จบ-

เรื่องราวข้างบนเป็นความฝันของข้าพเจ้าเมื่อราว ๆ ๔ ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงก่อนจะกลับเข้ามาทำงานที่กรุงเทพ ฯ อีกครั้ง เป็นนิมิตแจ้งเตือนว่าการกลับมาครั้งนี้จะพบประสบอะไรบ้าง และต้องทำใจให้เข้มแข็งฝ่าฟันต่อสิ่งเย้ายวนในเมืองกรุงและหมู่เพื่อนให้ได้ ซึ่งมาถึงวันนี้ก็มีเรื่องราวคล้าย ๆ กับความฝันที่เกิดขึ้นจริง มีคนชักชวนให้เข้าไปยังสถานบันเทิงอยู่บ่อยครั้ง มีคนชักชวนให้กินเหล้าเสมอ ๆ และมองด้วยสายตาที่แปลกใจที่ไม่เห็นเรากินเหล้า ข้าพเจ้าเห็นคนรอบตัวจำนวนมาก ต่างหลงใหลไปตามวัตถุและสิ่งที่หลอกล่อให้เดินตาม สิ่งเหล่านี้เรียกว่าเป็นกระแสโลก กระแสแห่งวัตถุนิยม ชีวิตของคนหนุ่มสาวสมัยใหม่มักจะดำเนินตามเส้นทางที่คล้าย ๆ กัน ปลูกปั้นหนี้สินอันเกิดจากความไม่พอดี และดิ้นรนแสวงหาความสุขเท่าที่เงินเดือนจะบันดาลให้

นิมิตความฝันวันนั้น เป็นเรื่องราวที่ข้าพเจ้าจำได้ไม่ลืมเลือน และยังเป็นเรื่องราวสอนใจ ไม่ให้ตัวเองกลับไปทำตัวเช่นนั้นอีก การจะทำตัวเองให้หลุดพ้นจากความชั่วทั้งปวง ก็ใช่เรื่องที่จะสามารถกระทำได้โดยง่าย เพราะตราบใดก็ตราบนั้นมักจะมีมารมาลองอกลองใจเราอยู่เสมอ หากจิตใจไม่เข้มแข็งเพียงพอก็ต้องตกอยู่ได้อำนาจของมารเหล่านั้นอย่างยาวนาน ยากที่จะถอนตัว

และสิ่งเหล่านี้เขียนเพื่อมุ่งหวังสำหรับใช้เตือนสติตัวเอง และหากคนที่บังเอิญผ่านมาพบเจอก็จะได้รับประโยชน์ด้วย เพราะตัวข้าพเจ้าเองก็ยังเป็นปุถุชนคนธรรมดา แม้จะเขียนบทธรรมมากมายหลายตอน มีบางครั้งได้พบเจอสิ่งหลอกล่อหนัก ๆ เข้า ก็หลงเพลิดเพลินไปบ้างเช่นกัน เพราะสันดานเรายังติดรูปอยู่ เพียงรู้ว่าสิ่งใดควรไม่ควรเป็นเบื้องต้นก่อน และปฏิบัติตัวไม่ให้ทำผิดศีล ผิดธรรม ไม่แวะเที่ยวไปตามสถานที่อโคจรต่าง ๆ มีสติระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์อยู่เสมอ ๆ ก็เท่านั่นเอง...

ขอขอบคุณรูปภาพจาก //images.thaiza.com/95/95_20110112150252..jpg มากมายครับ


สารบัญ




 

Create Date : 20 กุมภาพันธ์ 2555    
Last Update : 20 กุมภาพันธ์ 2555 21:17:41 น.
Counter : 704 Pageviews.  

๓๔๙ - เรื่องของสุรา...?





๒ – ๓ วันที่ผ่านมามีโอกาสไปกินข้าวกับหมู่เพื่อน ซึ่งแน่นอนในกลุ่มของวัยรุ่นวัยทำงานย่อมมีสุราเป็นเครื่องประกอบเสมอ หลาย ๆ ต่อหลายครั้งที่รู้สึกคนรอบข้างจะบูชาสิ่งนี้มากกว่าการมองเห็นโทษของมัน การดื่มสุราหรือเหล้าดูจะเป็นเรื่องปกติไปแล้วในสังคมของคนยุคนี้ หรือบางทีอาจจะเป็นมาตั่งแต่ยุคไหน ๆ แล้วก็ได้ ข้าพเจ้าเคยกลับบ้านแล้วนำน้ำสละเข้มข้นมาฝากเพื่อนที่ office ปรากฎว่าอีก ๔ เดือนต่อมามันก็ยังคงข้างขวดในตู้เย็น office ซึ่งในทางกลับกัน ข้าพเจ้าเคยได้เหล้า(ดี)ยี่ห้อหนึ่งจากลูกค้า พอเพื่อน ๆ ได้ยิน ต่างก็แย่งกันประหนึ่งว่ามันเป็นน้ำสรรพรสที่สามารถเสกสรรค์ความสุขสนุกสนานได้ตลอด ซึ่งความจริงแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น ทุกคนต่างก็รู้ดี แต่ก็ไม่สามารถห้ามความต้องการของตัวเองและแรงจูงใจจากบรรดาเพื่อนฝูงได้

ข้าพเจ้ารู้สึกอึดอัดเสมอเมื่อต้องร่วมวงอาหารและเห็นคนรอบข้างดื่มเหล้ากัน มันเป็นความอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก จริง ๆ อยากจะใช้คำว่าเป็นความสะอิดสะเอียนมากกว่า แต่ก็กลัวท่านผู้อ่านก็จะหาว่าเป็นคนตลบตะแลงใช้ศัพท์บรรยายเกินเหตุ

แต่ทำไมมันเป็นอย่างนั้น...?

ข้าพเจ้าก็หาคำตอบไม่ได้เช่นกัน อาจจะเป็นเพราะได้รักษาศีล ๕ อย่างเคร่งครัดและต่อเนื่องมาระยะหนึ่งแล้ว (ประมาณ ๕ ปี) ซึ่งนับว่าเป็นช่วงเวลาที่นานพอสมควร สอดคล้องกับคำกล่าวที่ว่า

“ศีลย่อมรักษาผู้ประพฤติในศีล เช่นเดียวกับธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติปฏิบัติธรรม ไม่ให้ตกลงไปในที่ชั่ว”

สำหรับการเขียนบรรยายนี้ ไม่ได้มุ่งหวังให้เป็นการยกยอปอปั้นตัวเองให้ดีเด่นเหนือใคร แต่เนื่องจากสิ่งเหล่านี้มันอยู่ในเส้นทางแห่งการปฏิบัติธรรม จำเป็นต้องนำมาบันทึกเพื่อเป็นข้อคิดและแนวทางตรวจสอบอารมณ์กับผู้มาในภายหลัง ส่วนคนภายนอกที่ไม่เข้าใจเกี่ยวการรักษาเรื่องศีล ๕ (อย่างเคร่งครัด)ก็คงรับได้ยากสักหน่อย ด้วยเหตุนี้เองกระมัง จึงเป็นเหตุให้ข้าพเจ้าต้องเหินห่างจากหมู่เพื่อน หันหลังให้กับงานเลี้ยง งานสังสรรค์ที่ประกอบด้วยสุรา บ่อยครั้งที่เห็นคนดื่มเหล้าแล้วจะปรากฎภาพในมโนความคิด ว่าคน ๆ นั้นกำลังตกหลุมนรกอย่างอัติโนมัติ มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ พอมันเห็นบ่อยเข้ามันก็รู้สึกอึดอัด ยิ่งเห็นคนกินดื่มมากก็ยิ่งอึดอัด เราจะอยู่ด้วยไม่ได้นาน เหมือนตัวเองตกอยู่นรกด้วยเสียเอง มีครั้งหนึ่งถึงขนาดต้องหนีออกมาจากงานเลี้ยง แล้วไปนั่งสมาธิอยู่บนห้องพัก แผ่เมตตาส่งกระแสจิตเพื่อช่วยคนเหล่านั้น เพราะเรารู้สึกเวทนาต่อคนเหล่านั้นเป็นอย่างมาก ครั้งจะบอกเตือนไปตามประสาคนแล้วก็ไม่ยอมฟัง ชี้ให้เห็นโทษแล้วก็ไม่ฟัง ก็ต้องยอมวางอุเบกขา กรรมใครก็กรรมมัน ไม่ใช่เราไม่ยอมช่วย แต่ช้างที่ตกมันจะมีพรานช้างสักกี่คนที่จะหยุดมันได้ เพราะทุกคนต่างก็มีความคิดความเห็นเป็นของตนเอง ที่สำคัญก็ไม่ค่อยยอมรับกันว่าความคิดของตัวเองนั้นเป็นความคิดเห็นที่ผิด (เป็นมิจฉาทิฏฐิ)

เมื่อหลีกนี้จากการเลี้ยงงานสังสรรค์ ก็กลายเป็นคนมีโลกส่วนตัว เพื่อนฝูงก็น้อยลง ติดต่อกันน้อยลงตามลำดับ ซึ่งมันก็นับว่าเป็นผลดีสำหรับข้าพเจ้าอย่างหนึ่ง คือมีเวลาสำหรับการปฏิบัติธรรมมากขึ้น มีเวลาเขียนเรื่องราวธรรมะมากขึ้น มีเวลาสำหรับงานที่ตัวเองรักมากขึ้น

โดยส่วนตัวแล้วข้าพเจ้ามักจะเปรยอดีตที่เหลวไหลไปกับสุราให้เพื่อน ๆ ได้ฉุกคิดกันเสมอ เพราะตัวข้าพเจ้าเองก็ไม่ได้เด่นดีมากจากไหน ก็เคยเที่ยวเตร่ดื่มเหล้าเมามายมาเฉกเช่นเดียวกัน แต่พอเรามาปฏิบัติธรรม เราเห็นโทษของการดื่มเหล้าสุราและสามารถเลิกดื่มได้อย่างเด็ดขาด เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วจึงได้นำมาบอกกล่าวกัน เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้ชนรุ่นหลังต่อไป ส่วนใครจะมีความเห็นหรือมุมมองอย่างไร และปฏิบัติได้แค่ไหนนั้นก็สุดวิสัยเป็นไปตามกรรมของสัตว์ตนนั้น...

สารบัญ


ขอขอบคุณรูปภาพจาก //www.kalyanamitra.org มากมายครับ




 

Create Date : 11 กุมภาพันธ์ 2555    
Last Update : 11 กุมภาพันธ์ 2555 23:21:41 น.
Counter : 644 Pageviews.  

๓๔๘ - น้ำมันชีวิต




สมมติว่าทุกคนมีรถอยู่คันหนึ่ง โดนที่รถของคนนั้น ๆ จะไม่สามารถเติมน้ำได้อีกแล้ว หมายความว่าตั่งแต่คุณได้รับรถมา เขาก็เติมน้ำมันมาให้เลย คุณสามารถขับรถคันนี้ไปไหนมาไหนก็ได้ ตราบเท่าที่น้ำมันในถังยังเหลือ แต่ทุกชีวิตนั้นก็ย่อมมีระเบียบแบบแผนและกติกาบางอย่าง คุณได้รถมาก็มาพร้อมกับเงื่อนไขและคำเตือนเช่นกัน

“น้ำมันที่จะทำให้รถเราวิ่งได้มีจำกัดนักนะ...ขอจงใช้น้ำมันนี้สำหรับขับเคลื่อนรถให้เกิดประโยชน์สูงสุดเถิด ” เจ้าของศูนย์บริการรถบอกกับลูกค้าของเขาทุกคนเสมอ บางคนก็สนใจกับคำพูดของเขา แต่บางคนก็ไม่สนใจ และเจ้าของยังย้ำอีกว่า

“จงขับรถไปยังจังหวัดแห่งหนึ่งทางตอนเหนือสุดนะ ที่นั่นเป็นเป้าหมาย คุณจะมีชีวิตที่ผาสุกเป็นที่สงบ และไม่ต้องเดินทางด้วยรถอีก รถของคุณสามารถวิ่งไปถึงที่นั่นได้โดยไม่ยากเย็น ถ้าตั้งใจขับและไม่หลงทางเสียก่อน แถมคุณก็จะยังมีน้ำเหลือกว่าครึ่งถังเชียวนะ ” เจ้าของแนะนำ

มีคนมากมายสนใจสถานที่แห่งนั้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถเดินทางไปถึงได้ เพราะความเลือนลางของแผนที่ และสิ่งเย้ายวนต่าง ๆ นา ๆ ระหว่างทาง ทำให้คนส่วนมากหลงลืมเรื่องการเดินทาง และหยุดนิ่งชื่นชมกับธรรมชาติที่สวยงามข้างทาง ในไม่ช้าคนทั้งหลายก็พากันลืมเลือน ถ้อยคำของเจ้าของศูนย์รถบอก

เมื่อกาลเวลาผ่านไประยะหนึ่ง เข็มที่บ่งบอกถึงระดับน้ำมันเริ่มชี้ให้เห็นว่าน้ำมันของพวกเขากำลังจะหมด เขาจะไม่มีรถสำหรับเดินทางอีกต่อไป เขาจะต้องติดค้างอยู่ ณ สถานที่แห่งนั้นตลอดไป หลายคนเริ่มตระหนัก และเริ่มนึกถึงเจ้าของศูนย์รถในวันที่พวกเขาได้รับรถมาวันแรก

ทำอย่างไรดี...?

มีคนบอกว่าการออกเดินทางนับแต่เวลานี้ ก็ยังไม่สายนัก เพราะพวกเรายังพอมีน้ำมันหลงเหลืออยู่ การอาศัยอยู่ที่นี่ แม้ธรรมชาติจะสวยงาม แต่เมื่อยามแล้งหรือเมื่อถึงฤดูหนาว สภาพอากาศมันช่างโหดร้ายทรมาณกับผู้อยู่อาศัยเหลือเกิน

คนที่ตระหนักในเรื่องนี้ และเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง ด้วยระยะเวลายาวนาน ทำให้หลงลืมคำบอกของเจ้าของศูนย์รถไปบ้าง และหลงทางซ้ำแล้วซ้ำเล่า ที่จำได้ดีคือการเดินทางไปเรื่อย ๆ ไปทางทิศเหนือ
รถบางคันต้องประสบอุบัติเหตุตกเหวบ้าง ติดหล่มบ้าง หรือชนกันเองบ้าง สุดท้ายก็มีหลายคันต้องน้ำมันหมดไปเสียก่อน มีเพียงรถน้อยคันมากที่สามารถเดินทางไปถึงเป้าหมายได้ ซึ่งเป็นที่สงบ ผาสุก ไม่มีภัยธรรมชาติใด เหมือนเช่นเจ้าของศูนย์รถพูดทุกประการ

จบ -



ชีวิตเรานี้มันไม่ต่างอะไรกับการได้รถและน้ำมันเต็มถัง มีความพร้อมสำหรับการออกเดินทางไปยังสถานที่แห่งใดก็ได้ บางคนชอบออกไปสถานที่รื่นรมย์ และออกไปสร้างสรรค์จิตนาการใหม่ ๆ ให้กับโลก บางคนใช้รถนั้นออกไปปล้นสดม สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น บางคนใช้รถนั้นออกเดินทางเพื่อตามหาตัวตนที่แท้จริง และเสาะหาชีวิตอันประเสริฐ และอีกมากมายหลายหลากเหตุผล แล้วแต่ความคิดและแรงปรารถนาของใครของมัน...

แต่ไม่ว่าคุณจะมีเหตุผลอย่างไรก็ตาม ขอพึงระลึกไว้เสมอว่า การได้อัตภาพแห่งความเป็นมนุษย์นี้ หาใช่ของที่จะเกิดขึ้นได้โดยง่าย อย่างพึงใช้อัตภาพที่ได้มาโดยยากนี้ประกอบอกุศล อันจะเป็นการสร้างเวรภัยต่อผู้อื่นและตนเองในอนาคต แต่ขอให้ใช้อัตภาพนี้เสาะแสวงหาความรุ่งเรืองให้กับชีวิต อยู่ด้วยความไม่ประมาท มีสติระลึกถึงความผิดชอบชั่วดีอยู่ทุกขณะ เท่านี้เราก็จะสามารถสรรค์ชีวิตที่ร่มเย็นได้ไม่ยาก ความสุขอันเป็นเป้าหมายของชีวิตแต่ละคนนั้น ถ้าจะแบ่งออกก็สามารถแบ่งได้เป็นความสุขระยะใกล้กับความสุขระยะไกล ความสุขระยะใกล้ก็คือความสุขที่เกิดจากประกอบกุศล ผลบุญหรือคุณงามความดีแล้ว สามารถสัมผัสได้ในปัจจุบัน กับความสุขระยะไกล คือความสุขจากการทำลายอาสวะกิเลสสำเร็จ นั่นคือ นิพพาน

เราได้ชีวิตนี้มาแล้วพึงกระทำความสุขทั้งสองนี้ให้ถึงพร้อม อย่ารอให้น้ำมันชีวิตเหลือน้อยเต็มทีแล้วจึงค่อยคิดได้ เพราะเมื่อใกล้ถึงเวลานั้น...ทุกอย่างมันอาจจะสายเกินไปแล้วก็ได้

********หมายเหตุ********
รถ เปรียบดังชีวิตและร่างกายของเราที่ได้มีโอกาสเกิดเป็นมนุษย์
น้ำมัน เปรียบดังอายุขัยของเรา ซึ่งจะไม่มีวันเติมได้ใหม่ และมีแต่จะหดน้อยลงทุกที ๆ
ดินแดนอันผาสุก เปรียบเหมือน นิพพาน
อุบัติเหตุของรถ เปรียบเหมือน พิษภัย เคราะห์กรรม ที่เราต้องพบเจอ
สิ่งสวยงามข้างทางเปรียบเหมือน กับสิ่งที่ล่อให้เราหลง ในปัจุบันนี้ ก็ได้แก่ความบันเทิงในรูปแบบต่าง รูปกระทบที่น่าใคร่ ทรัพย์สิน เงิน ทอง บ้าน คนรัก ฯลฯ


สารบัญ


ขอบคุณรูปภาพงาม ๆ จาก //images.thaiza.com/32/32_20080924170624..jpg มากมายครับ




 

Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2555    
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2555 15:33:49 น.
Counter : 617 Pageviews.  

๓๔๗ - สิ่งสอนใจกับความกลัว




ธรรมชาติเอื้อประโยชน์ให้เราเกิดมา ไม่ว่าจะเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ ทุก ๆ ส่วนในโลกต่างเอื้ออำนวยให้การเกิดสิ่งมีชีวิต สิ่งนี้เรียกว่าภพ คือ สถานที่ตั้งแห่งการเกิด จะบรรยายในลักษณะทางกายภาพหรือมโนภาพก็มีความหมายใกล้กัน ชีวิตจะเกิดขึ้นไม่ได้หากขาดสิ่งที่เรียกว่าการเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน เช่น ต้นไม้ผลิตอากาศให้กับสัตว์ สัตว์ก็ช่วยขยายพันธุ์ให้กับต้นไม้ และมูลของสัตว์ก็เป็นปุ๋ยอย่างดี

พอกล่าวถึงเรื่องสัตว์ ทำให้นึกถึงประเด็นสอนใจของข้าพเจ้าได้ดีประเด็นหนึ่ง คือ “สัตว์หลายจำพวก เช่น วัว ควาย ช้าง เมื่อตายไป คนยังแย่งกันเอาหนังเอางามาใช้ประโยชน์ แต่ทำไมมนุษย์เมื่อตายไปก็มีแต่คนรังเกียจ เนื้อหนัง ขน เล็บ อวัยวะต่าง ๆ เอาไปทำประโยชน์สิ่งใดก็ไม่ได้ ต้องเอาไปเผา เอาไปฝังอย่างเดียว กลายเป็นบุฟเฟ่ของพวกหนอน พวกแมลงวันไป”

คนเรามันก็แย่งกันตอนที่มีลมหายใจ ผัวข้า เมียเอ็ง แย่งกันอุตลุด แต่เมื่อคราวคนที่รักคนที่แย่งตายไป ก็หวาดกลัวกันขึ้นมา ภาวนาอย่าให้มาหลอกหลอนกันเลย ไม่เว้นแม้กระทั่ง ผีพ่อผีแม่ผีตาผียาย ซึ่งท่านเคยเลี้ยงเคยรักเรามา เราก็ยังกลัวกัน...

นั่นเห็นมั้ย...

แล้วทำไมคนเราถึงกลัว...?

ก็เพราะความไม่รู้นั่นเองเป็นสาเหตุให้คนกลัว

ไม่รู้อะไร...?

ก็ไม่รู้ที่ไปที่มาของชีวิต กรรม เรื่องราวในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคต คนยุคใหม่หัวนิยมวัตถุไม่ค่อยเชื่อเรื่องผี หรือจิตวิญญาณ แต่พอให้ลองเข้าไปอยู่ในสถานที่เปล่าเปลี่ยวร้อยทั้งร้อยก็ต้องนึกถึงผีขึ้นมา ก็ในเมื่อไม่เชื่อแล้วทำไมถึงกลัว...จริงมั้ย และเชื่อเถอะว่าแม้แต่เจ้าตัวก็หาสาเหตุของความกลัวขึ้นมาไม่ได้ เด็กขวบกว่า ๆ ยังไม่รู้จักภาษีภาษาดี แต่พอหูผู้ใหญ่พอเรื่องผี ก็ต้องร้องไห้งอแง ทั้งที่ตั้งแต่เกิดมาก็ยังไม่เคยเห็นผี ความกลัวแบบนี้มันฝังข้ามภพข้ามชาติมาเลยทีเดียว แก้กันได้ยาก แม้แต่ผู้เขียนก็ตามที ในจิตใจลึก ๆ ก็ยังมีความกลัวอยู่ แต่ก็อยู่ได้ด้วยกำลังของสติ (อ่อน ๆ )

ฝากเอาไว้เป็นเครื่องเตือนใจ ว่าร่างกายเราก็ดี คนอื่นก็ดี เป็นเพียงส่วนประกอบของโลก ไม่ช้าไม่นานก็ต้องคืนให้กับโลก ดังนั้นเราจึงอย่าได้อาลัยในกายนี้กันให้มาก หรือบำรุงบำบัดเมามันกันจนเกินพอดี เพราะเมื่อครั้งที่เราตายไป ก็ไม่มีใครกล้าเอาหนังไปทำกระเป๋าแบนเนม หรือเอากระดูกเราไปทำเครื่องประดับเป็นแน่...


ขอบคุณรูปภาพจาก '//www.thaimtb.com/webboard/286/143367-37.jpg มากมายครับ



สารบัญ




 

Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2555    
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2555 19:56:15 น.
Counter : 477 Pageviews.  

๓๔๖ - รูรั่ว



ณ มหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาล ยากที่ผู้ใดจะมองเห็นขอบของทวีปซึ่งอยู่ห่างไกลแสนไกล มีหมู่เกาะกลางทะเลอยู่กลุ่มหนึ่ง เป็นเพียงหมู่เกาะเพียงไม่กี่แห่งที่เราได้อาศัยอยู่พักพิง จะว่าพักพิงตลอดไปคงเป็นไปไม่ได้เพราะทุก ๆ ครั้งที่น้ำทะเลมันขึ้นทุกคนก็ต้อง หนีขึ้นไปบนยอดสุดของเกาะ เพื่อไม่ให้น้ำทะเลซัดร่างตกทะเลไป

ทุกคนต่างมีเรือประจำตัวไว้สำหรับเดินทาง แต่บางคนอยากออกเดินทางหาฝัง เพื่อไม่อยากผจญภัยบนทะเลอีก ทุกครั้งที่ออกเรือ พวกเขาจะพบว่า เรือของพวกเขานั้นช่างบอบบางหรือเกิน ไม่นานน้ำทะเลก็ทะลักเข้ามาในเรือ หนึ่งจุดบ้าง สองจุดบ้าง แต่โชคดีหน่อยที่ต่อให้เรือจะมีรอยรั่ว รูทั้งหลายนั้นก็จะไม่มีทางเกินหกจุดเสมอ

ข้างล่างใต้เรือ หมู่ปลาที่อดอยากมันคอยกระทุ้งเรือให้ล่ม เพื่อจะได้กัดกินพวกเรา ชีวิตกลางทะเลมีแต่ความทุกข์ยาก ต้องคอยระวังภัยต่าง ๆ นา ๆ อย่างไม่รู้จบ

มีเรือมากมายหลายลำ ออกเดินทางออกจากเกาะ แล้วก็ต้องล่มอัปปราง เมื่ออกจากฝั่งได้ไม่นาน แล้วก็ซัดเซโดยคลื่นทะเลพาร่างของเขากลับเข้ามาหาเกาะอีก ตามเนื้อตัวเหวอะแหว่งไปด้วยเหตุรอยฟันของปลาร้ายที่คอยกัดกินเนื้อมนุษย์ที่หล่นลงไปในทะเล แต่เขาก็ไม่ตาย เพียงแต่ได้รับความทรมาณอย่างสาหัส บางคนคิดว่าแผลขนาดนั้นยอมตายเสียดีกว่า

และในท้องทะเลอันกว้างใหญ่นี้นอกจากคลื่น ลมอันทำนายทิศทางและขนาดไม่ได้แล้ว บางครั้งยังมีพายุขนาดยักษ์ที่จะคอยพัดพาให้เรือของเราล่มจมหายไปในท้องทะเล ต่างคนต่างเดินทางของใครก็ของมัน เรือใครก็เรือมัน รวมกันก็ไม่ได้ ทุกคนที่เห็นภัยของทะเลต่างหวังที่จะออกจากภัยแห่งทะเลนี้เสียที

แต่คนส่วนมากก็ไม่ได้คิดอย่างนั้น การอาศัยอยู่บนเกาะแม้จะโดนน้ำทะเลซัดมาหาบ้างแต่ก็ปลอดภัยกว่าการออกเดินทาง แม้รู้ดีว่าวันข้างหน้าตัวเองจะต้องจมน้ำทะเลตายก็ตามที แต่ก็ยังดีกว่าออกเดินทางไปตามเกลียวคลื่นที่หาจุดหมายไม่ได้

ชายชราผู้ออกแสวงหาฝั่งผู้หนึ่ง เรือของเขาจมน้ำมามากมายนับครั้งไม่ถ้วน แต่ทว่าเขาก็ยังคงออกเดินทางเพื่อหาฝั่ง

“ลุง ๆ แก่ อายุเยอะจนป่านนี้แล้ว น่าจะอาศัยอยู่บนเกาะนะ...” เด็กหนุ่มผู้อ่อนเยาว์กว่า ซึ่งออกเดินทางด้วยเรือของตัวเองพูดทักทาย
“โอ้ ชีวิตข้ามีเพียงการเสาะหาทางไปยังขอบทวีป การอยู่บนเกาะกับอยู่กลางทะเลบนเรือเล็ก ๆ ข้าอยู่บนเรือนี่ดีกว่า...” ชายชราตอบอย่างแผ่วเบา

“ข้าก็อยากออกเดินทางไปขอบทวีปเช่นกัน แต่ลุงรู้ไหม เรือของพวกเรามันต้องคำสาปอะไรกันนัก พอออกทะเลทีไรจะต้องมีรูรั่วทุกที ซ่อมแล้วก็ซ่อมอีกนั่นแหละ เฮ้อ...” ชายหนุ่มพูดไปถอนหายใจไป

“นี่แหละ มันเป็นกลทางธรรมชาติ เพื่อไม่ให้เราเข้าหาฝั่งได้โดยง่าย ” ชายชราตอบ

“พูดยังกับลุงรู้ยังงั้น...”



“เหอะ ๆ ...ก็รู้นะสิ ข้าอุตส่าห์ลองผิดลองถูกมานานแสนนาน แล้ว...” ชายชราพูด เรือของชายชรายังไม่มีรอยรั่ว และลอยนิ่งอยู่กลางทะเลมานานหลายวัน แต่เมื่อพูดจบก็พบรอยรั่วเล็ก ๆ เกิดขึ้นทันที ไม่ต่างอะไรกับเรือของชายหนุ่ม ซึ่งมีรอยรั่วมากกว่า สี่ีรูแล้ว เขาพยายามทำทุกอย่างเพื่ออุดมันให้ได้

“จริงสิ เรือลุงไม่พบรูรั่วเลย บอกข้าบ้างสิลุง อีกไม่นานเรือข้าก็จะจมแล้ว...” ชายหนุ่มพูดแกมขอร้อง โดยไม่ทราบว่าเมื่อสักครู่เรือของชาายชราก็มีรูรั่วเหมือนกัน

“โอ้ นั่นไง ๆ เจ้าทำข้าเสียสมาธิ เรือข้ารั่วอีกแล้ว ...” ชายชราบ่น

“หมายความว่าไงลุง ผมยังไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย...”ชายหนุ่มตอบปฏิเสธ

“เฮ้อ ๆ เอาล่ะ ข้าจะบอกให้ แต่เพียงหนเดียวนะ ไม่งั้นข้าจะเสียสมาธิมากกว่านี้
เรือที่พวกเราอาศัย มันเป็นเรือชีวิต มันเกี่ยวข้องโดยตรงกับความคิดนึกของพวกเรา ยามใดที่เราไม่มีสติ ไม่สำรวมในอินทรีย์ อันมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ไม่ช้าก็จะเกิดรูรั่วขึ้น ยิ่งเราเผลอใจ กาย มากเท่าใด รูรั่วก็จะใหญ่ขึ้นมากเท่านั้น เหตุนี้เองทำให้เราเดินทางกันไม่ไปถึงไหน คนที่จะประคองเรือได้ดี คือคนที่มีสติสมบูรณ์เท่านั้น ” ชายชราอธิบายให้ฟัง


ชายหนุ่มได้ฟังแล้วก็มานั่งนึกวิเคราะห์ ทุกครั้งที่เขาออกเรือ ก็มีจิตใจไม่สงบ ไม่ช้าก็ถูกพายุลูกใหญ่พัดมาบ้าง ถูกปลาทะเลทำให้เรือจมลงบ้าง ซ้ำร้ายเรือก็มีรูรั่วเพิ่มขึ้นอีก เป็นอย่างนี้มานานแสน เขาไม่เคยรับรู้เทคนิคการเดินทางเลย บัดนี้เขารู้เทคคนิคนั้นแล้ว
เขาพยายามทำใจให้สงบ ระงับความอยากทั้งหลาย สำรวม กาย วาจา ใจ มีสติตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวทั้งภัยภายนอกและภายใน ไม่ช้ารูรั่วของเรือก็สมานกันเช่นเดิม

“อัศจรรย์ แท้ ๆๆ...” ชายหนุ่มอุทานหลายรอบ

เพียงการรักษากายใจ มี สติ เพียงนี้เป็นเบื้องต้นก็เป็นจะเป็นหนทางให้เราเดินทางไปถึงฝั่งได้แล้ว ไม่ยากเย็นเหมือนแต่ก่อน...

-จบ-

****หมายเหตุ*****
มหาสมุทร เปรียบดั่ง สังสารวัฎ
ขอบทวีป เปรียบดั่ง นิพพานอันเป็นดินแดนพ้นจากภัยแห่งการเวียนว่ายตายเกิด
เรือ เปรียบดัง ร่างกายสังขารของเรา อันมีเกิด ดับ อยู่บ่อย
ตัวเรา คือ จิตวิญญาญที่ท่องเที่ยวเดินทางในวัฎฎะ
เกาะ คือ ภพที่ตั้งอาศัยของสัตว์ทั้งหลายอันเป็นของชั่วคราว เช่น โลก มนุษย์บ้าง สวรรค์บ้าง เป็นต้น
รูทั้งหก เปรียบดั่ง อายตนะทั้งหก ที่เราพึงมีสติสำรวม ระวังสิ่งที่เข้ามากระทบ
ชายชรา คือ พระโพธิสัตว์ผู้รู้ทางดำเนิน แต่ตัวเองก็ยังไม่พ้นจากทะเลแห่งการเวียนว่าย แต่สามารถแนะนำสิ่งที่ถูกต้องให้ผู้อื่นดำเนินตาม
ปลาร้าย เปรียบดัง มัจจุราชซึ่งคอยพรากเราไปจากความดีงาม
พายุ เป็นตัวแทนแห่งกรรมชั่วทั้งหลายที่เราทำ ซึ่งจะพัดพาให้เราจมลงทะเล


ขอบคุณรูปงาม ๆ จาก //learners.in.th/file/lo-by-kengz/r9.jpg มากมายจริง ๆ ครับ




 

Create Date : 24 มกราคม 2555    
Last Update : 26 มกราคม 2555 12:20:43 น.
Counter : 675 Pageviews.  

1  2  

อัสติสะ
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ทุกข์ใดจะทุกข์เท่า การเกิด
ดับทุกข์สิ่งประเสริฐ แน่แท้
ทางสู่นิพพานเลิศ เที่ยงแท้ แน่นา
คือมรรคมีองค์แก้ ดับสิ้นทุกข์ทน






Google



New Comments
Friends' blogs
[Add อัสติสะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.