โครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่แบบใหม่ของบราซิล (F-X2)
ก่อนจะมาเป็น F-X2
บราซิลคือประเทศชั้นนำประเทศหนึ่งของอเมริกาใต้ และเป็นหนึ่งในสี่ประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงซึ่งเรารู้จักกันในนามกลุ่ม BRIC (มาจาก Brazil, Russia, India, China) อีกทั้งบราซิลยังมีอุตสาหกรรมการบินที่ก้าวหน้า โดยบริษัท Embraer เป็นผู้ผลิตเครื่องบินที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลกรองจาก Boeing และ Airbus รวมถึงยังสามารถผลิตอากาศยานทางทหารได้เองหลายแบบไม่ว่าจะเป็นเครื่องบินฝึกขั้นปลายอย่าง Super Tucano เครื่องบินโจมตี AMX หรือเครื่องบินควบคุมและแจ้งเตือนแบบ R-99
แต่ถึงกระนั้น กองทัพอากาศบราซิลก็ยังพึงพาเครื่องบินขับไล่ขนาดเล็กอย่าง F-5EM/FM ซึ่งได้รับการปรับปรุงจากอิสราเอลจำนวน 69 ลำ, เครื่องบินโจมตี AMX จำนวน 53 ลำ ไปจนถึงเครื่องบินฝึก/โจมตี Super Tucano จำนวน 99 ลำ ด้านหนึ่งก็เป็นเพราะบราซิลต้องการนำงบประมาณไปพัฒนาประเทศในด้านอื่น แต่อีกด้านหนึ่งก็คือบราซิลยังไม่มีภัยคุกคามที่เด่นชัดนัก จึงทำให้รัฐบาลบราซิลยกเลิกโครงการ F-X หรือโครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่แบบใหม่ลงในปี 2548 (ในครั้งนั้นมี F-16, Rafale, Gripen และ Su-35 เข้าแข่งขัน) แล้วเปลี่ยนไปจัดหา Mirage 2000C/B มือสองจากกองทัพอากาศฝรั่งเศสจำนวน 12 ลำเพื่อเป็นเครื่องบินขับไล่หลักเป็นการชั่วคราว
 Rafale บินคู่กับ Mirage ของกองทัพอากาศฝรั่งเศส
ภัยคุกคามที่เด่นชัดขึ้น
แต่หลังจากประธานาธิปดีฮิวโก้ ชาเวสของเวเนซูเอล่าขึ้นสู่อำนาจในปี 2542 เวเนซูเอล่าก็เริ่มดำเนินนโยบายที่แข็งกร้าวต่อตะวันตกมากขึ้น โดยใช้นโยบายประชานิยมแบบสังคมนิยมในการปลุกกระแสต่อต้านตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐในประเทศของตน ซึ่งในที่สุดเมื่อเวเนซุเอล่าเริ่มถูกสหรัฐโดดเดียวและคว่ำบาตรทางทหารและราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นซึ่งทำให้เวเนซูเอล่าร่ำรวยขึ้น เวเนซูเอล่าจึงเริ่มจัดหาอาวุธจากรัสเซียหลายรายการไม่ว่าจะเป็นปืนเล็กยาว AK-103 จำนวน 100,000 กระบอก, รถเกราะ BMP-3 จำนวน 600 คัน, จรวดนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Tor-M1 จำนวน 3 กองพัน, เรือดำน้ำชั้น Kilo จำนวน 4 ลำ, เฮลิคอปเตอร์หลายแบบทั้ง Mi-17, Mi26, M-28 และอื่น ๆ จากรัสเซียจำนวน 53 ลำ รวมไปถึงเครื่องบินขับไล่ Su-30MKV จำนวน 24 ลำ
พัฒนาการนี้สร้างความกังวลให้กับบราซิลค่อนข้างมาก เพราะนอกจากการสร้างเสริมกำลังรบครั้งใหญ่แล้ว เวเนซูเอล่ายังท่าทีที่อาจจะเป็นภัยต่อความมั่นคงในภูมิภาคได้ โดยประเมินจากกรณีความขัดแย้งของโคลัมเบียกับกลุ่มกบฏ FARC และเอลกวาดอร์ซึ่งเวเนซูเอล่าถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในความขัดแย้งในครั้งนี้ด้วย
F-X2
ทำให้ในปี 2550 บราซิลจึงประกาศเริ่มต้นโครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่ใหม่อีกครั้งโดยใช้ชื่อว่าโครงการ F-X2 (Future Fighter 2) นอกจากนั้นยังประกาศเพิ่มงบกลาโหมขึ้น 50% อีกด้วย
F-X2 เป็นโครงการที่กองทัพอากาศบราซิลต้องการจัดหาเครื่องบินขับไล่แบบใหม่จำนวน 36 ลำ และมีทางเลือกที่จะจัดหาเพิ่มเติมจนครบ 120 ลำเพื่อทดแทนเครื่องบินขับไล่/โจมตีที่ประจำการในปัจจุบันคือ Mirage 2000C/B, F-5EM/FM, และ AMX ซึ่งเครื่องบินแบบใหม่จะต้องเริ่มเข้าประจำการตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นไป โดยบริษัทที่ชนะจะต้องเสนอการถ่ายทอดเทคโนโลยี สิทธิบัตรในการผลิตในบราซิล รวมถึงการตอบแทนทางอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าไม่น้อยกว่า 100% ของจำนวนเงินที่บราซิลจ่ายไป
ทั้งนี้ กองทัพอากาศและรัฐบาลบราซิลกล่าวว่า โครงการ F-X2 จะเป็นจุดเริ่มต้นในการปรับปรุงเทคโนโลยีทางทหารของประเทศให้ทันสมัยขึ้นและจะใช้เทคโนโลยีที่ได้รับการถ่ายทอดเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 5 ต่อไป
คำร้องขอข้อมูล (Request For Information: RFI) ถูกส่งให้กับผู้ผลิตเครื่องบินขับไล่ 6 รายเพื่อขอรับข้อมูลเบื้องต้น โดยบริษัททั้ง 6 เสนอเครื่องบินของตนเข้าแข่งขันคือ Dassault Aviation เสนอ Rafale, Lockheed Martin เสนอ F-16BR, Boeing เสนอ F/A-18E/F Block 2, Saab เสนอ Gripen NG, Sukhoi เสนอ Su-35, และ Eurofighter GmbH เสนอ Typhoon เข้าแข่งขัน
หลังจากการพิจารณาข้อมูลทางเทคนิคและข้อเสนอต่าง ๆ แล้ว ในวันที่ 1 ตุลาคม 2552 ที่ผ่านมา บราซิลจึงประกาศคัดเลือกเครื่องบิน 3 แบบที่เข้ารอบสุดท้ายนั้นก็คือ Rafale, Gripen NG, และ F/A-18E/F โดยตัด F-16BR, Typhoon, และ Su-35 ออกไป
 Gripen NG รุ่นใหม่ที่กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนา
มองดูตัวเลือก
ในชั่วโมงนี้ซึ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้นของขั้นตอนการทดสอบและประเมินค่าเครื่องบินแต่ละแบบ Rafale ยังคงเป็นเครื่องบินที่ถูกคาดการณ์ว่าน่าจะเป็นตัวเต็งในการจัดหาในครั้งนี้
เหตุผลก็คือ บราซิลกับฝรั่งเศสเพิ่งลงนามในข้อตกลงความร่วมมือด้านการทหารซึ่งทำให้ฝรั่งเศสกลายเป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ของบราซิล โดยทั้งสองประเทศจะร่วมมือในการพัฒนาอาวุธหลาย ๆ อย่างรวมถึงเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์แบบใหม่ และนอกจากนั้นบราซิลยังซื้อสิทธิบัตรในการประกอบเฮลิคอปเตอร์ EC-735 ของฝรั่งเศสอย่างน้อย 50 ลำเพื่อใช้ในภารกิจค้นหาและกู้ภัยอีกด้วย
ดังนั้นถ้ากองทัพอากาศบราซิลเลือก Rafale เป็นผู้ชนะจึงค่อนข้างจะเหมาะสมกับยุทธศาสตร์ของประเทศ นักวิเคราะห์ในบราซิลถึงกับตั้งข้อสังเกตุด้วยซ้ำว่าโครงการนี้ดูเหมือนจะออกแบบมาเพื่อให้ Rafale เป็นผู้ชนะ
ส่วน Gripen NG ก็ยังถือได้ว่ามีโอกาสอยู่เช่นกัน เนื่องจากในครั้งนี้บราซิลให้ความสำคัญกับการถ่ายทอดเทคโนโลยีมากพอ ๆ กับเครื่องบินที่ตนซื้อ Gripen NG จึงอาจจะได้เปรียบในด้านนี้เนื่องจาก Saab มีประวัติที่โดดเด่นในการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับประเทศลูกค้า รวมถึง Saab ยังเคยแข่งขันกับ Boeing เพื่อเสนอแบบแผนเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 5 ให้เกาหลีใต้ในโครงการพัฒนาเครื่องบินขับไล่แบบใหม่ของเกาหลีใต้ (KF-X) การที่เกาหลีใต้ยังไม่ตัดสินใจเดินหน้าโครงการทำให้ Saab อาจจะนำแบบแผนนั้นมาเสนอให้บราซิลเพื่อร่วมมือกันพัฒนาเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 5 ในอนาคต
 F/A-18 Super Hornet
แต่ประเด็นการถ่ายทอดเทคโนโลยีนี้กลับทำให้หลายคนยังเป็นห่วงว่า Boeing จะสามารถถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับบราซิลได้ตามที่บราซิลต้องการหรือไม่ เพราะสหรัฐจำกัดการถ่ายทอดเทคโนโลยีทางทหารให้กับประเทศอื่นอย่างเข้มงวด และการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่ทันสมัยและมีความอ่อนไหวสูงอาจจะทำให้คองเกรสไม่อนุญาตให้ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้บราซิลแม้ว่าบราซิลจะเป็นพันธมิตรที่สำคัญของสหรัฐประเทศหนึ่งก็ตาม ซึ่งประเด็นการถ่ายทอดเทคโนโลยีนี้น่าจะเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ Lockheed Martin ไม่เสนอ F-35 ให้บราซิลพิจารณา เพราะค่อนข้างแน่ขัดว่าสหรัฐจะไม่อนุญาตให้ถ่ายทอดเทคโนโลยีของ F-35 ให้บราซิล Lockheed Martin จึงเสนอ F-16BR ซึ่งเป็น F-16 รุ่นที่ปรับปรุงจาก F-16E/F Block 60 ของกองทัพอากาศสหรัฐอาหรับเอมิเรตเป็นตัวเลือกในการแข่งขัน แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ไปในที่สุด
เมื่อมองทางด้านตัวเครื่องบินแล้ว ทั้ง Rafale และ F/A-18E/F ดูจะไม่หนีห่างจากกันมากนัก โดยทั้งสองเครื่องต่างเป็นเครื่องบินขั้นแนวหน้า มีความทันสมัยและมีพิสัยบินที่ค่อนข้างไกล Rafale ยังมีแผนการพัฒนาอย่างต่อเนื่องที่จะติดตั้งเรด้าร์ AESA แบบ RBE2 และระบบสงครามอิเล็กทรอนิคแบบ SPECTRA ซึ่งเป็นระบบสงครามอิเล็กทรอนิคที่ดีที่สุดแบบหนึ่ง ส่วน F/A-18E/F นั้นมีข้อได้เปรียบตรงการที่สามารถใช้อาวุธประสิทธิภาพสูงของสหรัฐได้หลากหลายและพิสูจน์ตัวเองในการสนับสนุนกองกำลังฝ่ายสหรัฐในอิรัก รวมถึงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน เว้นแต่ว่า F/A-18E/F มีความคล่องตัวต่ำกว่า Rafale และ Gripen พอสมควร ซึ่งอาจจะเป็นข้อเสียเปรียบบ้างในการต่อสู้ระยะประชิดกับ Su-30MKV สำหรับ Gripen ได้เปรียบตรงการใช้อาวุธได้จากหลายประเทศ มีราคาต่อประสิทธิภาพที่ดีที่สุด และสามารถทำงานร่วมกันกับเครื่องบินควบคุมและแจ้งเตือน R-99 ซึ่งติดเรด้าร์ Erieye ของกองทัพอากาศบราซิลได้อย่างสมบูรณ์ผ่านระบบ Datalink แบบ TIDLS ซึ่งถือเป็นระบบ Datalink ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก
ในตอนนี้ แม้ว่า Rafale จะยังมีภาษีดีที่สุดในบรรดาตัวเลือกทั้งสาม แต่ก็เป็นความได้เปรียบในแง่ของการเมืองและยุทธศาสตร์ ซึ่งถ้ามองในแง่อื่นแล้ว Rafale ไม่ได้ทิ้งห่าง Gripen กับ F/A-18E/F มากนัก ทำให้ในอนาคตยังมีโอกาสสำหรับเครื่องบินอีกสองแบบอยู่เช่นกัน
ล่าสุดในวันที่ 31 ตุลาคม 2551 กองทัพอากาศบราซิลได้ส่งคำร้องขอข้อเสนอ (Request For Proposal: RFP) ให้กับผู้ผลิตทั้งสามแล้ว โดยผู้ผลิตทั้งสามส่งข้อเสนอทั้งหมดในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2552 หลังจากนั้นจะเป็นการทดสอบและประเมินค่าเครื่องบินที่เข้าแข่งขัน เมื่อถึงเวลานั้นเราคงเห็นภาพของโครงการนี้ชัดเจนขึ้นครับว่าใครจะมาเป็นเครื่องบินขับไล่แบบใหม่ของกองทัพอากาศบราซิลภายใต้โครงการ F-X2 นี้
Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2552 |
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2552 18:30:23 น. |
|
21 comments
|
Counter : 5679 Pageviews. |
 |
|
|