www.facebook.com/ibehindyou

ทุก comment ที่คุณให้มา ทำให้เรารู้ว่า เราไม่ได้สนุกกับการเขียน blog แล้วอ่านอยู่คนเดียว

สามชุก , ไม่ได้น่าดูเพราะ'‘เจตนาดี-มีบทเรียน’ แต่น่าดูเพราะ 'หนังดี-กินใจ-เข้าใจคน'




... บอกตามตรงว่า ถ้าไม่ได้เข้ามาอ่านพันทิป ผมยังมองไม่เห็นเลยว่า สามชุก จะน่าดูตรงไหน

ทั้งโปสเตอร์และหน้าหนัง รวมทั้งหนังตัวอย่าง ล้วนออกมา เชยสะบัด ได้อย่างไม่น่าเชื่อ

การได้เครดิตเป็นหนังที่แนะนำโดยกระทรวงฯ มันทำให้ผมคิดถึง หนังที่สร้างเฉพาะกิจ ประมาณละครวันสำคัญๆในทีวี ซึ่งมีวัตถุประสงค์เฉพาะตัว เช่น อยากให้คนเลิกเหล้า , อยากให้คนรักแม่ ฯลฯ

ซึ่ง หนังทำนองนี้มักจะมีการ ยัดเยียด คำสอนหรือบทเรียนให้กับคนดู จนแทบจะให้ตัวละครมายืนพูดตรงๆ ประมาณว่า “จงเป็นคนดีนะจ๊ะ..” หรือ “ยาเสพติดนั้นไม่ดีนะจะบอกให้...” และ พรั่งพรู อารมณ์ท่วมท้นจนล้นจอ

แต่พอเห็นคนดูมาแล้ว บอกว่าตัวหนังจริงของ สามชุก เป็น ดีกว่าหน้าหนังเยอะ ไม่ได้เครียดหรือแย่อย่างที่คิด ฯลฯ ทำให้ผมเริ่มสนใจ แต่ก็หวั่นๆตรงเวลาคนที่มาเชียร์ทำนองว่า น่าไปดูเพื่อช่วยคนทำหนังไทยที่อุตส่าห์ทำหนังมีสาระ หรือ น่าไปดูเพราะข้อคิดสอนใจ

เพราะคนดูอย่างผมซึ่งอยู่ในกลุ่มคนดูชาวบ้านๆเสียเงินค่าตั๋ว ย่อม อยากเสียเงินไปดูหนัง เพื่อดู ‘หนังดี หรือ หนังสนุก’ คือ ดูแล้วอิ่มเอมเพราะความดีของหนัง หรือ ดูแล้วสนุกสบายใจคุ้มค่าตั๋ว

ไม่ได้อยากไปดูเพราะ ‘หนังเจตนาดี-มีบทเรียน’

อาจฟังดูใจร้าย แต่ ผมไม่ได้อยากเสียเงินซื้อตั๋วหนังกับเสียเวลาสองชั่วโมง อันเป็นช่วงเวลาพักผ่อน โดยมีวัตถุประสงค์หลักแค่ว่า เป็นกำลังใจให้ผู้กำกับ หรือ เพื่อเรียนรู้โทษภัยจากยาเสพติด

เพราะ คิดว่าตัวเองก็รู้โทษภัยของพวกยาเสพติดมากพอแล้ว และ ชีวิตจริงก็เจอคนมีปัญหาติดยาบ่อยๆอยู่แล้ว ดังนั้น ถึงหนังมีประโยชน์จริงๆ ผมก็ไม่อยากเสียเวลาพักผ่อนไปเรียนหนังสือ ถึงจะมีเจตนาดีแต่ผมคิดว่าผมสามารถสนับสนุนหนังไทยวิธีอื่นได้




... พอเห็นแรงเชียร์มาจากหลายแหล่ง ดูน่าเชื่อถือมากกว่าหน้าม้า ก็เลยตัดสินใจว่า อาทิตย์นี้นอกจาก GI Joe กับ Bruno เพิ่มอีกซักเรื่องก็ได้

เนื้อเรื่องก็คงไม่ต้องบอก เพราะใครๆก็คงรู้อยู่แล้วว่า ชื่อหนัง สามชุก มาจากชุมชนแห่งหนึ่งในสุพรรณบุรี มี เด็กมัธยมกลุ่มหนึ่งที่ติดยาบ้า

หนังเปิดฉากตอนที่พวกเขาถูกตำรวจไล่จับ แล้วย้อนแฟลชแบ็คไปทีละคนๆว่า มีที่ไปที่มาอย่างไรจึงต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้ ก่อนที่จะตามมาถึงช่วงเวลาปัจจุบัน แล้วหนังก็เล่าเดินหน้าต่อว่า จากการเป็น เด็กติดยา พวกเขาจะจัดการชีวิตตัวเองอย่างไร


... สิ่งที่คิดไว้ตอนแรก และ ดูหนังไปก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ คือ ความเชยของหนัง แต่ สิ่งที่ต่างออกไป คือ ผมกลับรู้สึกว่า

ความเชยไม่มีความหมาย เมื่อสัมผัสได้ถึง ความซื่อๆจริงใจในการนำเสนอ โดยไม่ใส่จริตจนเกินงาม ทำให้รู้สึกถึงกลิ่นอายของหนังไทยสมัยก่อนที่หาได้ยากในยุคนี้ ที่ถ่ายทอดชีวิตชาวบ้านจริงๆ และ ดึงเสน่ห์ชนบทแท้ๆออกมา

(หนังทำให้คิดถึง ความสุขของกะทิ ที่เป็นหนังดี และ มีแง่งามดีๆไม่แพ้กัน แต่เพราะ จริตที่มากเกินของหนัง บวกกระบวนการโชว์ท่ายากในการนำเสนอแล้วไม่ลงตัว เช่น การแช่กล้องหรือลองเทคจนเกือบหลับ ทำให้รู้สึกว่ามีระยะห่างระหว่าง หนัง กับ ตัวเอง มากพอสมควร)


ส่วน ความเชยที่เป็นข้อด้อยของหนัง คือ การที่หลายๆตอนในหนังยังคงเป็นสไตล์หนังเฉพาะกิจหรือหนังยุคเก่าๆ ที่เจตนามอบบทเรียน แบบ ทื่อๆ ทั้งๆที่น่าจะมีวิธีการนำเสนอที่มีชั้นเชิงกว่านี้ เช่น ครูถามทีละคนๆว่า เธอติดยาทำไม , บ้านเธอก็ดีทำไมต้องพึ่งยา ฯลฯ หรือ ให้ครูมานั่งพูดปัญหาเป็นข้อๆชัดๆเหมือนสอนหนังสือให้คนดู




... สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ ถึงหนังดูเก่าๆเชยๆ แต่ หนังไม่น่าเบื่ออย่างที่เคยคิดไว้

ข้อดีที่ต้องชมคนเขียนบท คือ ทำการบ้านเกี่ยวกับการติดยามาดี ไม่ใช่เป็นหนังชี้ให้เห็นแต่เรื่องอันตรายของยาเสพติด ซึ่งถ้าเป็นแค่นั้นหนังคงน่าเบื่อมากๆ แต่ สองชั่วโมงของหนัง เปิดมุมมองหลายด้านทำให้เราเข้าใจเรื่องของ การติดยา และ ชีวิตคน มากขึ้น และ สิ่งเด่นมากๆเคียงคู่กับยาเสพติด คือ ความรักของพ่อแม่ จนทำให้ผมมองว่านี่เป็น หนังครอบครัวที่ดีมากๆ อีกเรื่องหนึ่ง

และ การเล่นประเด็นยาเสพติดในหนังเรื่องนี้ สามารถทำให้เราเข้าใจง่ายๆและเห็นภาพชัดเจน จากกลุ่มตัวเด็กนักเรียนในหนังว่า


การติดยา มีที่มาจากอะไร

ถ้ามองในแง่วิทยาศาสตร์ สามารถอธิบายได้จากกระบวนการเสพติดที่เรียกว่า brain rewarding system ที่ทำให้คนใช้ยาแล้วเกิดความรู้สึกดี จนต้องใช้ซ้ำๆ แต่กระบวนการนั้นคือการเริ่มใช้แล้ว จุดเริ่มต้นจริงๆมาจาก เหตุทางจิตใจ เหมือนในหนัง เด็กที่เริ่มต้นเสพยา ล้วนมาจาก เด็กดีๆ แต่ที่เขาหันไปหายาเพราะ

บ้างก็หนีปัญหา , บ้างก็หาที่พึ่ง , บางคนหาพวกพ้อง , บางคนต้องการให้ยาเป็นตัวช่วยเพิ่มความขยันในการทำงาน

คนติดยา จึง ไม่ใช่คนชั่วร้ายทั้งหมด แต่ พวกเขาหลายคนเริ่มต้นจาก คนดีๆที่ต้องการความช่วยเหลือ และ เลือกเส้นทางผิด แต่ ถึงจะติดแล้ว มันก็ไม่ได้แปลว่าพวกเขาเลวร้าย แต่แปลว่า พวกเขายังต้องการความช่วยเหลืออยู่ และ มากกว่าเก่าเสียด้วยซ้ำ



ทำไมการแก้ปัญหาติดยาเสพติดถึงแก้ได้ยากเย็น ?

- การติดยาเสพติด เป็น Brain addiction คือ สมองติดยา ไม่ใช่แค่ในแง่ของ นิสัย ที่ใจถึงอย่างเดียวจะเลิกได้ง่ายๆ เพราะ ใจถึง แต่ ร่างกายก็ทุรนทุราย แค่ เดินผ่านซุ้มที่เคยเสพ ความอยากก็ผุดขึ้นมาอย่างรุนแรง


-วงจรของการเลิกยา ส่วนใหญ่ คือ เลิกได้ แล้วอาจจะ หลุด กลับไปใช้ใหม่ เพราะ การติดยาในทางการแพทย์ถือว่าเป็นโรคเรื้อรังที่มีโอกาสกลับไปเป็นซ้ำ(chronic relapsing disorder)

จุดสำคัญของการเลิกยาจึงไม่ใช่แค่ ครั้งแรกที่ถอนหรือเลิกยา แต่คือครั้งที่พวกเขาหลุดไปใช้ซ้ำจะมีคนเข้าใจเพียงใด เพราะ ถ้าคนไม่เข้าใจ พอเห็น หลุดกลับไปใช้อีกครั้ง ก็ตัดสินว่า สิ้นหวัง ซึ่งนั่นคือ ฟางเส้นสุดท้ายของคนที่คิดเลิกยา

การช่วยเหลือคนติดยา จึงจำเป็นต้องเป็นคนที่มีความศรัทธาว่า มนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ และ ต้องมีความอดทน ที่จะไม่ย่อท้อ เมื่อพบว่าคนที่กำลังช่วยเหลืออยู่เกิดหลุดหรือพลาดกลับไปใช้อีกครั้ง ซึ่งในหนัง บทของครูพินิจ น่าจะเป็น ต้นแบบที่ดี



- การถูกตีตรา(Stigma) แค่ติดยาหนึ่งครั้งแล้วคนรู้ ก็ถูกมองด้วยสายตาแตกต่าง ถูกแยกกลุ่มออกไป เพื่อนหนี แฟนทิ้ง ครูมองว่า เด็กติดยาเป็นเนื้อร้าย ที่ต้องกำจัด

ภาวะเช่นนี้ทำให้คนติดยาคิดว่า จะเลิกไปทำไม ในเมื่อไม่ได้ใช้ คนก็ยังมองด้วยสายตาแบบเดิม หันหน้าไปหามีแต่คนยี้ใส่ มียาเท่านั้นคือเพื่อนที่ดีที่สุดที่หันหน้าไปหาเมื่อไหร่ก็สบายใจเมื่อนั้น




เรื่องของคนติดยา หน้าที่ของใคร ?

... หลายคนคิดว่าติดยา มาโรงพยาบาลหรือไปถ้ำกระบอก แล้วจบ ทั้งที่จริง สิ่งที่หมอและพยาบาล ช่วยได้มากที่สุดคือ การ detox จากการติดยา หรือ รักษาอาการที่ยาทำให้เป็นพิษหรือถอนยา แต่ กระบวนการฟื้นฟูหลังจากนั้น บุคคลสำคัญคือ ชุมชน และ คนใกล้ชิด

-ความสำคัญของครอบครัว – อีกหนึ่งความเข้าใจผิดของคนส่วนใหญ่ คือ เด็กที่ติดยามาจากความครัวมีปัญหา เข้าใจคำว่า มีปัญหา คือ ครอบครัวที่ทะเลาะเบาะแว้งหรือทอดทิ้งลูก

แต่ หนังทำให้เห็นว่า รากฐานของครอบครัวที่มีส่วนให้เด็กติดยา ยังเกิดจาก ครอบครัวที่ไม่เข้าใจเด็ก มองปัญหาของเด็กว่าเป็นปัญหาเล็กๆทั้งๆที่สำหรับเด็กคือปัญหาใหญ่ ทำให้เด็กไม่กล้าระบายปัญหากับครอบครัว , ครอบครัวที่เลี้ยงเด็กเพราะสนใจให้เป็นหน้าตาแก่ตัวเองมากกว่าจะห่วงจริงจัง , ครอบครัวที่ลืมไปว่าเด็กก็คือเด็ก ทำให้เด็กพยายามแบกภาระของผู้ใหญ่จนคิดว่าตัวเองยังทำหน้าที่ได้ไม่ดีพอและหันไปขอความช่วยเหลือจากยา


- ความสำคัญของชุมชน (ความสำคัญของคุณ?) - สิ่งที่เจ็บแสบอันหนึ่งคือ เวลาเด็กมีปัญหา คนในชุมชนทำหน้าประมาณว่า ไม่ใช่เรื่องของตรู พอตัวเองได้รับความเดือดร้อน ก็พยายามจะเสือกไสไล่ส่ง ทั้งๆที่ พวกเขาสามารถช่วยเด็กเหล่านั้นได้ตั้งแต่ต้น

การช่วยเหลือของคนในชุมชน อาจไม่ใช่ในแง่ การบำบัดรักษา แต่ สามารถช่วยลดสาเหตุที่จะดึงเด็กไปสู่ยา และ ช่วยในกระบวนการฟื้นฟู(rehabilitation) เช่นในหนัง การที่ร้านค้าไม่ขายเหล้าให้พ่อของเด็กที่ติดเหล้า หากร่วมมือกันทำสำเร็จ ช่วยให้พ่อเด็กเลิกเหล้าได้ ความเครียดที่เป็นต้นตอของการติดยาสำหรับเด็กคนนั้นก็จะลดลง , การที่เห็นเด็กถูกรุ่นพี่กลั่นแกล้งจนต้องไปหาเพื่อนติดยา ถ้ามีคนช่วยปกป้องเด็กก็จะไม่ต้องทุกข์กับปัญหานี้ซ้ำๆ






... ข้อดีหลายอย่างข้างต้น ทำให้ สามชุก เกินระดับพอใช้ ไปถึงขั้น ดี แต่ มันก็ยังไม่ได้ถึงกับ ดีม๊ากมาก คือ ถ้าเทียบฝีมือการกำกับของ ธนิตย์ จิตนุกูล หนังดีเกินหน้าเกินตาหนังของเขาอย่าง จี้ หลายโยชน์

ยังมีการแสดงของรุ่นใหญ่และรุ่นเล็กบางคนที่ดูตั้งใจแสดงจนไม่เป็นธรรมชาติ (แต่ที่น่าประหลาดใจคือ กลุ่มเด็กติดยาหน้าใหม่ส่วนใหญ่ เล่นกันได้เนียนดี รวมไปถึง ตัวละคร พ่อกับแม่ทุกคนในหนังเรื่องนี้ถึงขั้นเยี่ยม)

ตัวหนังยังมีความทื่อๆ มีความพยายาม ยัดเยียดข้อคิด กับ พรั่งพรูอารมณ์อย่างที่คาดไว้ เพียงแต่มัน ไม่ได้มีมากจนน่าขัดใจ อย่างน้อยที่เก๋ไก๋อยู่บ้าง คือ การเล่าเรื่องที่ เปิดขึ้นมาตรงกลางก่อนจะเล่าแฟลชแบ็คย้อนไปไล่ถึงปัจจุบันแล้วเดินหน้าต่อ ไม่ใช่เรียง 1-2-3-4 เป็นเส้นตรงง่ายๆ


... สำหรับผมคิดว่า หนังเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เยาวชนที่ควรดู มันเป็นหนังที่เหมาะสำหรับ พ่อแม่กับคนทั่วๆไป ไม่แพ้กัน และ เหตุผลสำคัญที่หนังเรื่องนี้น่าดู ไม่ใช่ในแง่ เป็นหนังสอนคนเรื่องยาเสพติด ในแง่ของภาษาหนังก็อาจจะไม่ได้ดีเลิศ

แต่ หน้าที่ของหนังเรื่องนี้ที่ดีมากๆ คือ หลายช่วงหลายตอนของหนังมันเข้าถึงใจคนดูได้แบบซื่อๆ ทำให้เราเศร้าไปกับน้ำตาคนเป็นพ่อแม่ ทำเราอินไปกับเด็กบางคนที่มีชีวิตครอบครัวแบบกดดัน

และ ข้อสำคัญ การนั่งดูการทำงานของครูในหนัง มันทำให้ผมคิดถึง ตอนดู Patch adam หรือ Hotel Rwanda คือเห็น คนต้นแบบของการทำดี แล้วเกิดแรงบันดาลใจอยากจะทำดี ดูแล้วฮึกเหิมคิดว่า เราน่าจะมีส่วนช่วยวัยรุ่นติดยาได้มากกว่าที่เป็นอยู่

ซึ่งนั่นทำให้ หนังยาเสพติดที่ดีที่ดีที่สุดและผมชอบที่สุด ยังคงเป็น Trainspotting กับ Requim for a dream แต่ถ้าจะแนะนำให้คนทั่วไปที่ไม่ใช่คอหนัง ดูหนังเกี่ยวกับยาเสพติดซักเรื่อง ผมจะเลือก สามชุก ก่อนเป็นเรื่องแรก




สิ่งที่ชอบ


1.มีสาระ แบบ ไม่น่าเบื่อ

2.เล่นดี ... ตัวละครพ่อแม่หลายๆคนในหนัง บางคนเป็นคนดัง แต่ตอนดูแค่คุ้นๆและแทบจะไม่ทันคิดถึงเลย กว่าจะคิดออกว่าเป็นใครก็ตอนดูหนังจบ

3.จริงใจ อารมณ์ไทยๆ ... ไม่มีกิมมิคเท่ๆเก๋ๆ ไม่ได้ถ่ายภาพงามเว่อร์ๆเหมือนภาพวาดแบบหนังยุคใหม่ๆ มีแต่ความจริงใจ และ มีความเป็นไทยๆที่หนังยุคใหม่ขาดหายไป หากจะให้เทียบก็คิดถึงหนังไทยคลาสสิคที่พูดประเด็นยาเสพติด อย่าง เสียดาย กับ น้ำพุ ซึ่งปกติหนังสไตล์นี้ ถ้าจะมี ทำออกมาก็น่าเบื่อ แต่เรื่องนี้ ได้บรรยากาศเก่าๆกลับมาและไม่น่าเบื่อเลย

4. กินใจ ... จริงที่ว่าหลายตอนทื่อๆ หลายตอนจงใจบิวต์เกิน แต่ หลายตอนก็เล่นน้ำตาซึมๆได้เหมือนกัน


สิ่งที่ไม่ชอบ


1.คำสอนแบบทื่อๆ ... ยังคงมีฉากบางฉากที่ให้ตัวละครพูด เหมือน พยายามจะเล็กเชอร์มากเกินไป

2.พรั่งพรูจนล้น ... บางฉากก็บิ้วท์จนล้นเกิน เช่นฉากที่รู้สึกมันล้นที่สุดคือ ตอนฝนตก กับ เด็กไม่มีพ่อแม่ที่ขอให้ครูเป็นพ่อ

3. บั้นปลายที่แสนดี ... ไม่แน่ใจว่าหนังดัดแปลงมาจากชีวิตจริงมากแค่ไหน เพราะรู้สึกว่าบั้นปลายของตัวละครในหนังทุกตัว คนเขียนบทมอบทางออกที่ดีให้กับทุกคนได้ครบ จนไม่น่าเชื่อไปนิด



สรุป ... เชียร์ให้ไปดู แต่ไม่ใช่เชียร์ เพราะ หนังให้คำสอนเรื่องโทษภัยของยาเสพติด แต่

ไปดู เพราะ หนังดีไม่น่าเบื่ออย่างที่คาดจาก ตัวอย่างหนัง


ไปดู เพราะ หนังถ่ายทอดอย่างเรียบง่ายจริงใจ และ ส่งเข้าถึงใจคนดูได้ตรงๆ

ไปดู เพราะ เป็นหนังที่มอบแง่คิดหลายมุมมอง ครอบครัว และ ยาเสพติด

ไปดู เพราะ นานๆทีจะมีหนังบรรยากาศไทยแท้ๆสมัยก่อนที่ดูแล้วไม่น่าเบื่อ ฉีกหนีความเลี่ยนจากหนังรุ่นใหม่ซึ่งถ้าไม่ใช่ หนังสไตล์ GTH จ๋าๆ ก็เป็น หนังวงจร ผี-ตลก-เพศที่สาม วนเวียนไปมา

ไปดู เพราะ ดูแล้วมันกระตุ้นต่อมจิตสำนึกให้เราอยากทำอะไรดีๆ


หลายคนลุ้นให้หนังเรื่องนี้กลับมาได้กระแสแบบเดียวกับ โหมโรง ซึ่งดูแล้วคิดว่า น่าจะยาก หากทำได้ก็ดี แต่ หากทำไม่สำเร็จก็ช่างมันเถิด อย่างน้อยคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำหนังเรื่องนี้ก็ยังสามารถภาคภูมิใจได้ เพราะผมเชื่อว่า บทบาทของหนังเรื่องนี้ นอกจากจะเป็นหนังที่ดี หนังยังสามารถมีส่วนช่วยเหลือสังคมและเป็นกำลังใจให้กับคนที่กำลังทำสิ่งดีๆให้สังคม


ป.ล. จขบ. มี Twitter แล้วเน้อในชื่อ ibehindu มีกรอบวิดเจตอยู่ด้านขวาของบล็อกนี้ สนใจ อัพเดตหนัง อัพเดทบทความ หรือเรื่องทั่วๆไป แบบเร็วทันใจ ก็ตามไปด้วยกันกับทวิตเตอร์ได้เล้ยยย


Link บทความที่เกี่ยวข้อง

จาก หน้ากระดาษ สู่ หน้าจอ , 'ความสุขของกะทิ' ให้อะไรเรา ?








Create Date : 10 สิงหาคม 2552
Last Update : 10 สิงหาคม 2552 11:01:02 น. 13 comments
Counter : 11841 Pageviews.

 
ไม่เกี่ยวกะหนังครับ แต่ blogตัวหน้าสือบางจังอ่า คนแก่อ่านแล้วปวดตา........


โดย: myoxygen วันที่: 10 สิงหาคม 2552 เวลา:11:11:08 น.  

 
ดูแล้วๆ ดีกว่าที่คาดจิงๆ


โดย: concept IP: 125.25.78.187 วันที่: 10 สิงหาคม 2552 เวลา:21:45:08 น.  

 
ขอบคุณที่รีวิวให้อ่านครับ
ถูกใจที่คุณหมอบอกว่าคุณหมอเสียเงินเพื่อไปดู "หนังดีหรือสนุก" ไม่ใช่ "หนังเจตนาดี-มีบทเรียน"
โดนใจดีจัง ;)


โดย: gonz IP: 118.173.55.74 วันที่: 11 สิงหาคม 2552 เวลา:18:22:50 น.  

 
อ่านแล้ว สนใจอยาก0tไปซื้อตั๋วดูครับ แต่คงจะรออีกสักวันสองวัน

กรอบวิดเจ็ตด้านขวามือบล็อก คอมพ์บ้านผมเป็นสีดำล้วนครับ ไม่รู้ว่าจะต้องไปดาวน์โหลดโปรแกรมอะไรก่อนหรือเปล่า เพราะมองอะไรไม่เห็น

พอผมค้นหาชื่อ ibehindu ใน twitter ก็ไม่เจอบ้านของคุณครับ ว่าจะขอติดตาม twitter ของคุณน่ะครับ ของผมใช้ชื่อว่า yyswim


โดย: yyswim วันที่: 11 สิงหาคม 2552 เวลา:22:30:50 น.  

 
ขอเสริม สิ่งที่ไม่ชอบ

คือผมอยากจะแนะนำกับท่านผู้กำกับจริงๆว่า ทีหน้าทีหลังอย่าได้เอานักการเมือง(ไม่ว่าขั้วใด)มาโปรโมตหนังอีกเลย เพราะว่ามันทำให้คนดูอย่างผม(และน่าจะมีอีกหลายคน)รู้สึกไม่อยากไปดูหนังเรื่องนั้นๆ

ขอโทษที่มีอคตินะครับ


โดย: ผมเกือบตายเพราะไข้หวัดใหญ่ 2009 IP: 125.26.80.166 วันที่: 11 สิงหาคม 2552 เวลา:22:42:39 น.  

 
ผมไม่เห็นว่าการที่เขาจะเอาใครมาพูดชักชวนคนดู โดยมีตำแหน่งใหญ่โตในรัฐบาล จะเป็นการทำให้หนังที่น่าดูแบบนี้ลดลงไปเลยสำหรับผมครับ คุณความเห็นที่ 5

ผมชอบหนังเรื่องนี้ที่ชื่อหนังมันน่าสนใจ ตอนแรกนึกว่าเรื่องเกี่ยวกับพวกมือปืนอะไรซะอีก แล้วมารู้ทีหลังว่าเป็นยาเสพติด ก็ไม่ได้ทำให้ความอยากดูลดลง แล้วได้ยินคนเขียนเชียร์หนังในพันทิปมากหน้าหลายตา ก็ยิ่งอยากดู แล้วก็ได้ดูสมใจ ไป 3 รอบ ประทับใจหนังมากๆครับ


โดย: forever movie IP: 58.8.78.19 วันที่: 20 สิงหาคม 2552 เวลา:13:10:59 น.  

 
ดูละเขาทามได้ดีจิงๆๆแล้วคนที่ดูเรื่องนี่คงไม่ทามตามหรอ


โดย: เฟิรน์ IP: 58.9.64.238 วันที่: 21 สิงหาคม 2552 เวลา:20:15:50 น.  

 
ดูละเขาทามได้ดีจิงๆๆแล้วคนที่ดูเรื่องนี่คงไม่ทามตามหรอ


โดย: เฟิรน์ IP: 58.9.64.238 วันที่: 21 สิงหาคม 2552 เวลา:20:16:26 น.  

 
+ อืม ... สำหรับผมรู้สึกว่ากลวิธีนำเสนอของบทหนังมันดูทื่อและเชยไปหน่อยแฮะ กับไดอะล็อคที่หลายตอนก็ดูเป็นเทศนาโวหารมากไป ... แต่ส่วนงานทางด้านภาพ และการแสดงของหลายๆ คนก็ดีเข้าขั้นมาตรฐานอย่างที่คุณ จขบ. ว่ามาอ่ะครับ


โดย: บลูยอชท์ วันที่: 4 กันยายน 2552 เวลา:16:26:24 น.  

 
ไปดูมาแล้วเหมือนกัน ถือเป็นหนังดีที่ไม่มีคนดูอีกเรื่องไปซะแล้ว

ขอแย้งเกี่ยวกับ เลือกหนังดูเพราะเป็นหนังดีและสนุก ไม่ใช่ เพราะเจตนาดี

ผมกลับมองว่าการที่เราจะสนับสนุนใคร เพราะว่าเจตนาดีนั้นก็มีเหตุผลเพียงพอแล้ว
นิตยสารดีๆ หลายเล่ม เนื้อหาหนัก สาระแน่น จะอ่านให้สนุกนั้นยากอยู่แล้ว แต่เจตนาดีผมว่าก็ควรจะสนับสนุน

หนังบางเรื่อง ไม่สนุกแน่ อย่างนางไม้ แต่เจตนาดี(ในความเห็นของผม) ผมก็ยังเลือกที่จะสนับสนุนนะครับ


โดย: พี่ลอ IP: 125.25.242.132 วันที่: 16 กันยายน 2552 เวลา:14:13:22 น.  

 
ดูดีกว่าที่คิด


โดย: นำฝน IP: 58.9.23.226 วันที่: 16 มกราคม 2553 เวลา:11:09:32 น.  

 
หนังเรื่องนี้ ดีจริงๆๆนะครับ
คนที่ใช้ยาควรดูไว้นะ
สังคมยังไห้อภัยเสมอ


โดย: ปราณ อ่าวอิ่มพืช IP: 118.173.71.50 วันที่: 20 มีนาคม 2553 เวลา:13:15:59 น.  

 
ดีจริงๆหนังเรื่องนี้


โดย: คนดี IP: 110.169.144.181 วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:20:36:59 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 72 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2552
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
10 สิงหาคม 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.