|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
การประชุม กวีและนักเขียนผีเสื้อเด็กๆ ครั้งที่ 1
15 สิงหาคม 2561
มูลนิธิวิชาหนังสือและสำนักพิมพ์ผีเสื้อเด็กๆ ได้จัดให้มีการประชุม กวีและนักเขียนผีเสื้อเด็กๆ ครั้งที่ 1 ขึ้นมาเมื่อวันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม 2561 ที่ผ่านมา โดยจัดการประชุมที่เรือนพระยารามราฆพ ภายในพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน จังหวัดเพชรบุรี ตัวผมมีโอกาสได้ร่วมติดตามและสังเกตการณ์ในครั้งนี้ด้วย ผมจึงอยากบันทึกสาระสำคัญที่เป็นประโยชน์มานำแสนอสำหรับผู้ที่สนใจทั่วไปครับ
โดยในการประชุมครั้งนี้ นอกจากจะมีนักเขียนและกวีเด็กจำนวน 11 คนเข้าร่วมประชุมกับอาจารย์มกุฎ อรฤดี แล้ว ยังมีตัวแทนจากรัฐบาล ดร.ปณิธาน วัฒนายากร เข้าร่วมประชุมพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเด็กๆ ด้วย ถือว่าน่าจะเป็นนิมิตรหมายที่ดีสำหรับรัฐบาลในการสร้างแผนพัฒนาด้านการอ่านและการเขียนอย่างจริงจังมากขึ้นด้วย
สำนักพิมพ์ผีเสื้อเด็กๆ สำนักพิมพ์แห่งแรกผู้สร้าง สนับสนุนกวี นักแปล นักเขียนวัยเยาว์ ด้วยมาตรฐานหนังสือระดับสากล ก่อตั้งโดย อาจารย์ มกุฎ อรฤดี ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ ปีพ.ศ.2555 ปัจจุบัน สำนักพิมพ์ผีเสื้อเด็กๆ มีกวีและนักเขียน 11 คน
1.เด็กหญิงซายูริ ซากาโมโตะ (ซายูริ) : นักเขียน นักวาดรูป ผลงานเล่มแรกเมื่ออายุ ๘ ขวบ รวบรวมจากบันทึกประจำวันทั้งก่อนและหลังเข้าร่วมโครงการสมุดบันทึกวัยเยาว์ พิมพ์เป็นหนังสือชื่อ บันทึกส่วนตัวซายูริ ได้รับรางวัลหนังสือดีเด่น พ.ศ. ๒๕๕๙ ของกระทรวงศึกษาธิการ รับพระราชทานรางวัลจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี นับเป็นนักเขียนอายุน้อยที่สุดคนแรกของประเทศไทยที่ได้รับรางวัลนี้ นับตั้งแต่มีรางวัลมา ๔๔ ปี
2.เด็กหญิงติณณา แดนเขตต์ (ตินติน) : นักเขียน นักวาดรูป ผลงานเล่มแรกเมื่ออายุ ๖ ขวบ คือ วาดภาพประกอบเรื่อง 'หอยทาก ผู้ค้นพบประโยชน์แห่งความเชื่องช้าของตนของหลุยส๎ เซปุล๎เบดา นักเขียนชื่อดังชาวชิลี ตินติน เริ่มเขียนบันทึกเมื่ออายุ ๗ ขวบ และภายในเวลา ๕ เดือน ก็มีผลงานเขียนเล่มแรก ชื่อ 'กราบ พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙' ได้รับรางวัลหนังสือดีเด่น พ.ศ. ๒๕๖๐ ของกระทรวงศึกษาธิการ รับพระราชทานรางวัลจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ผลงานเล่มอื่นๆ ที่กำลังจัดพิมพ์ คือ อยากให้ทุกสิ่งในโลกนี้มีชีวิต และ โลกดวงนี้ก็เป็นของหนอนด้วย แปลเป็นภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส
3.เด็กหญิงในใจ เม็ทซกะ (ในใจ) : นักเขียน นักแปล นักวาดรูปผลงานหนังสือเล่มแรกเมื่ออายุ ๙ ขวบ เขียนต้นฉบับและวาดภาพประกอบเอง หนังสือชื่อ ความใน ใจ ได้รับรางวัลชมเชยการประกวดหนังสือดีเด่น พ.ศ. ๒๕๖๐ ประเภท บันเทิงคดีสำหรับเด็ก อายุ ๖-๑๑ ปี ของกระทรวงศึกษาธิการ รับพระราชทานรางวัลจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยาม บรมราชกุมารี ผลงานเล่มอื่นๆ ที่ กำลังจัดพิมพ์ ชื่อ นางฟ้าตกสวรรค์กับไอศครีมฉี่หิ่งห้อยมีภาคภาษาอังกฤษด้วย
เด็กๆ ที่มีผลงานกำลังจัดพิมพ์
4.เด็กหญิงศุภาพิชญ์ พรอำนวยผล (ปริม) : กวี นักวาดรูป มีความสามารถเขียน โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน
5.เด็กหญิงพิณมุกดา ตงสิริ (พิณ) : กวี นักวาดรูป
6.เด็กหญิงขวัญข้าว ไกรสรพงศ์พันธุ์ (ขวัญข้าว) : นักเขียน นักวาดรูป กำลังทำรูปประกอบให้หนังสือเรื่อง คาฟก้า กับ ตุ๊กตานักเดินทาง ของ จอร์ดิ ซีเอร์รา อี ฟาบรา เป็นหนังสือที่ได้รับรางวัลหนังสือสำหรับเยาวชนดีเด่น ปี 2007 ของประเทศสเปน
7.เด็กชายภูมิ ตันศิริมาศ (ภูมิ) : นักแปล นักวาดรูป กำลังแปลหนังสือของ อรวินท กุบต้า นักวิทยาศาตร์ ชื่อดังของอินเดีย ที่คิดค้นเกมส์ และของเล่นต่างๆ เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ทั่วไป จากวัสดุสิ่งของเหลือใช้ เพื่อเป็นประโยชน์ในการศึกษาสำหรับเด็กยากจนในถิ่นทุรกันดารของอินเดีย และสำนักพิมพ์ภารตะ สำนักพิมพ์ในเครือผีเสื้อ กำลังจะจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้เพื่อเด็กในชนบทของไทยด้วยเช่นกัน
8.เด็กชายระวิ อนันตประยูร (ลายคราม) : นักพับกระดาษเล่าเรื่อง
9.เด็กชายถิระ ศิริภรรค์ (ดิน) : นักเขียน นักวาดรูป น้องดินกำลังคิดเขียน สร้างสรรค์เรื่องเล่าที่ไม่เหมือนใคร โปรดติดตาม
10.เด็กหญิงชญาดา จรัสจิตวิไล (ปั้น) : นักเขียน นักวาดรูป
11.เด็กหญิงเบญญาดา ชุณหประสงค์ (เบญ่า) : นักเขียน นักวาดรูป
ในช่วงเช้าก่อนเที่ยง เมื่อคณะของพวกเรากว่า 50 ชีวิตไปถึงพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ก็ได้รับการต้อนรับจากคุณเกล้ามาศ ยิบอินซอย คุณแม่บ้านใหญ่สุดของสถานที่แห่งนี้ ท่านได้จัดให้เจ้าหน้าที่นำคณะของเราเข้าชมพระราชนิเวศน์มฤคทายวันด้วย นอกจากจะได้ทราบถึงประวัติความเป็นมาของพระราชวังแห่งนี้แล้ว พวกเรายังได้ความรู้เกี่ยวกับโบราณคดีต่างๆ พืชพรรณไม้โบราณต่างๆ รวมทั้งได้ทราบถึงขั้นตอนการปรับปรุงภูมิทัศน์ภายรอบอาคารพระราชวังด้วย
ชมภาพบรรยากาศกันเลยครับ
ในการประชุมกวีเด็กและนักเขียนเด็กในครั้งนี้ ก็เพื่ออยากรู้ความคิดของนักเขียนเด็กว่าคิดเห็นอย่างไรบ้าง?
(สำหรับรายละเอียดในประชุมครั้งนี้ จริงๆ แล้วมีรายละเอียดที่พูดคุยกันเยอะมาก เด็กๆ โต้เถียงกันมากมาย แต่ผมขอเขียนสรุปออกมาเพียงบางประเด็นที่น่าสนใจ เพราะตัวผมไม่ค่อยได้อยู่กับเด็ก ไม่เคยใกล้ชิดเด็กสักเท่าไหร่นัก ผมจึงมีความสามารถไม่เพียงพอที่จะฟังที่เด็กพูดในทุกเรื่องราวได้ ที่ผมเขียนสรุปนั้นผมเอามาจากที่อาจารย์มกุฎ พูดสรุปให้ฟังอีกที ต้องยอมรับว่าคุณตา มกุฎ [อาจารย์มกุฎใช้สรรพนามแทนตัวเองกับเด็กๆ ว่าคุณตา] ยอดเยี่ยมมากครับ ที่ท่านรับฟังเด็กๆ ได้อย่างเข้าใจ ดำเนินการประชุมและควบคุมความวุ่นวายที่เด็กๆ แย่งกันพูดได้เป็นอย่างดี คุณตา มกุฎ นั้น สูงสุด,ยอดเยี่ยม (ว.) สมกับเป็นคุณตาใจดีสำหรับน้องๆ ทุกคนในห้องประชุมเลยครับ)
-อย่างเช่นเรื่องพจนานุกรมเด็ก ซายูริเคยบอกว่าเคยนึกคำไม่ออกเลยเปิดพจนานุกรม แต่พอเปิดพจนานุกรมยิ่งไม่เข้าใจมากขึ้นอีก เพราะตอนแรกไม่เข้าใจศัพท์คำเดียว แต่พอเปิดพจนานุกรมแล้วไม่เข้าใจคำอธิบายด้วย อ่านไปแล้วก็ยิ่งไม่ข้าใจ ดังนั้นจึงควรจะทำพจนานุกรมสำหรับเด็กเพื่อให้เด็กใช้ได้เข้าใจมากขึ้น
-พจนานุกรม(ฉบับราชบัณฑิตยสถาน)ที่มีอยู่มันขนาดใหญ่เกินไปกว่าที่เด็กจะใช้ได้ (หนักประมาณ 4 กก.) ดังนั้นควรจะทำให้พจนานุกรมเล่มเล็ก ให้พกพาได้สะดวก ง่ายต่อการใช้งานสำหรับเด็ก ซึ่งปัญหาคือพอเด็กไม่รู้จักศัพท์ยากๆ เด็กก็จะข้ามไป หรือใช้อย่างผิดๆ ถูกๆ ทำให้เด็กรู้ศัพท์น้อย คิดได้น้อย และเขียนอะไรได้น้อย
-เด็กคนหนึ่งยกประเด็นขึ้นมาว่า อยากให้ลองคิดว่าสิ่งใดบ้างที่หุ่นยนต์ (ปัญญาประดิษฐ์) ทำไม่ได้ หรือทำแทนมนุษย์ไม่ได้ เพราะในอนาคตหุ่นยนต์จะมาทำหน้าที่แทนมนุษย์แล้ว ยังมีอาซีพอะไรบ้างที่มนุษย์ทำได้แต่หุ่นยนต์ทำไม่ได้ ดังนั้นเราจึงควรเริ่มเรียนในสิ่งที่หุ่นยนต์ทำไม่ได้ เช่นเรื่องการเขียน เป็นต้น
-ซายูริบอกว่าความอ่อนโยนของมนุษย์หุ่นยนต์แทนไม่ได้ หุ่นยนต์จินตนาการไม่ได้
-เด็กๆ เสนอให้ควรมีเรียนวิชาเกษตรกรรมในโรงเรียนด้วย จะได้มีการเรียนรู้จากการปฏิบัติงานจริง
-น้องขวัญข้าวบอกว่าเวลาเรียนศิลปะเราจะมีความสุข ข้อสำคัญของศิลปะคือการทำให้คนเรามีความละเอียดอ่อน ทำให้เรามีจิตใจที่อ่อนโยน
-เด็กๆ เสนอให้ควรจะเพิ่มวิชาที่ชอบให้เลือกเรียนได้ เช่นวิชาศิลปะ ดนตรี ฯลฯ นอกเหนือจากวิชาหลักที่มีสอนอยู่แล้วเช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาไทย ฯลฯ และควรเพิ่มชั่วโมงเรียนในวิชาที่เราชอบด้วย
-น้องในใจบอกว่า เราควรจะมีหนังสือที่แปลมาจากภาษาอื่นๆ เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหนังสือที่มาจากภาษาที่เราอ่านไม่ออก เช่น ภาษาอาหรับ ภาษาฮินดี ภาษาสเปน ฯลฯ
-ซายูริเล่าว่า ที่ญี่ปุ่นมีวิชาการเขียนบันทึกด้วย อยู่ในวิชาสังคม การเขียนมากๆ จะได้ฝึกเรื่องภาษา ฝึกเรื่องการจดจำเรื่องราวต่างๆ ด้วย
-อาจารย์มกุฎ บอกว่าบ้านเราคุณครูไม่ให้ความสำคัญการบ้านของเด็กเลย อยากจะฝากผู้ปกครองเอาไว้ว่าควรจะเก็บการบ้านของเด็กๆ ไว้ บ้านเรายังขาดคนที่จะมาพิจารณาว่าการบ้านเล่านี้มันเป็นเพชรหรือว่ามันเป็นกรวด ยกตัวอย่างต้นฉบับการบ้าน 1 หน้าของน้องตินตินว่ามีความสำคัญมาก เพราะมันบอกเรื่องราวในชีวิตของเขาได้ไว้ใน 1 หน้ากระดาษ คือชีวิตของเขาที่น้องตินตินเขียนออกมาได้ดีมาก จึงอยากให้น้องตินตินเขียนหนังสือต่อไป เพราะว่ามันออกมาจากตามธรรมชาติในตัวน้องเอง รวมทั้งน้องดินด้วย ที่อาจารย์มกุฎเห็นว่าเขียนหนังสือได้ดีและมีความเป็นธรรมชาติมาก
ลองมาฟังความคิดเห็นจาก ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ตัวแทนจากรัฐบาลดูบ้าง
-จากที่รับฟังนักเขียนเด็กๆ พูดคุยกันมาก็คิดว่าเรื่องเรื่องพจนานุกรม เรื่องหนังสือดีๆ สำหรับเด็กน่าจะเป็นเรื่องสำคัญประเด็นแรกๆ ที่อยู่ในเป้าหมายของรัฐบาลที่จะปรับปรุงยุคแรกๆ ในแผนยุทธศาสตร์พัฒนาชาติ 20 ปี ที่รัฐบาลกำลังจะทำซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควร เป็นเรื่องที่เรากำลังต่อสู้กันอยู่ในระบบ
-ในขจณะที่เรากำลังจะทำเรื่องยุทธศาสตร์การเรียนการอ่านนี้ เด็กในรุ่นนี้ (หมายถึงน้องๆ นักเขียนในห้อง) เราจะฝึกเด็กพวกนี้กันอย่างไร ซึ่งผมคิดว่ามันมีอยู่ 3 วิธี เพราะในระบบการเรียนการสอนในโรงเรียนทุกวันนี้ไม่สามารถทำตามที่เด็กต้องการได้ ดังนั้น
-1. ผู้ปกครองต้องสอนเด็กเอง เพราะเราให้โรงเรียนปรับหลักสูตรการเรียนการสอนแล้ว แต่ยังไม่เพียงพอครบถ้วนทุกโรงเรียน ผู้ปกครองจึงควรต้องสอนเองไปก่อนเพราะโรงเรียนยีงไม่พร้อม อยากให้ผู้ปกครองไปกดดันโรงเรียน ให้เพิ่มหลักสูตรพิเศษเพิ่มขึ้น หลักสูตรที่เด็กต้องการเรียนถ้าไม่เพิ่มเด็กก็จะออกไปเรียนที่โรงเรียนอื่น
-2. ที่ต่างประเทศเขาทำกันเขาใช้โค้ช (ผู้ดูแลเด็ก) ใช้วิธีการเข้าค่าย แต่วิธีนี้มันต้องใช้เวลาเพราะว่าทำได้ไม่บ่อย เหมือนอย่างที่เรากำลังประชุมกันอยู่ในวันนี้ มันทำได้ไม่บ่อยเพราะในเรื่องของงบประมาณและเวลาไม่น่าจะเพียงพอ แต่คงต้องทำกันไปก่อนในเมื่อรัฐบาลยังแก้ปัญหาเรื่องโรงเรียนไม่ได้
-3. เป็นไปได้ไหมที่เราจะมีห้องเรียนเสมือนจริง เป็นไปได้ไหมที่เราจะมีห้องเรียนออนดีมาน (เรียนตามความต้องการ) คือเมื่อเด็กอยากเรียนอะไรก็สามารถกดเข้าแล้วเรียนผ่านระบบออนไลน์ได้ อยากจะเรียนอะไรที่มีความรู้ที่ลึกสามารถเรียนผ่านอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิในด้านนั้นได้ แต่ในส่วนนี้ต้องคิดต่อว่า ใครจะเป็นผู้ใส่คอนเทนต์ (เนื้อหา)? ใครจะเป็นผู้จัดระบบ?
-คิดว่าในอนาคตเรื่องห้องเรียนเสมือนจริงนี้กำลังจะมา เพื่อรองรับความต้องการที่หลากหลายของพวกเรา คนเรียนเรียนอยู่ที่บ้านได้โดยไม่ต้องออกไปนอกบ้าน ไม่ต้องออกไปโรงเรียน ส่วนตัวผมคิดว่ามันก็เสยความเป็นมนุษย์ไปสักหน่อยเอง
-ในประเด็นนี้อาจารย์มกุฏแย้งว่า สำหรับเรื่องการเรียนผ่านระบบออนไลน์นี้มีตัวอย่างแล้วในประเทศสิงค์โปร์ ที่ช่วงหนึ่งในระยะ 10 กว่าปีที่ผ่านมาเด็กสิงค์โปร์เรียนรู้ผ่านคอมพิวเตอร์ในระบบออนไลน์มากขึ้น แต่ปัญหาที่ตามมาก็คือากรที่ให้เด็กเรียนรู้อะไรทุกสิ่งทุกอย่างผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ ทำให้เด็กกลุ่มนี้กลายเป็นคนที่มีจิตใจแข็งกระด่างมาก
-ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ให้ความคิดเห็นเสริมว่า ในประเด็นนี้ทางเรารู้อยู่แล้ว เราจึงอยากให้วิธีการเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์นี้เป็นวิธีเสริมเท่านั้น เสริมในจุดที่เด็กต้องการอยากจะเรียนรู้เพิ่มเติม แต่ระบบโรงเรียนยังต้องมีอยู่ ยังต้องใช้ผู้ปกครอง ใช้หนังสือที่มีคุณภาพอยู่ อยากให้ระบบเรียนออนไลน์นี้เสริมให้แก่เด็กที่ต้องการเป็นพิเศษจริงๆ เท่านั้น
-ดร.ปณิธาน วัฒนายากร เชื่อว่าทุกวันนี้เราอยู่แบบนี้ไม่ได้ (การเรียนการสอนแบบเดิม) สิ่งที่อาจารย์มกุฎพยายามทำพยายามเสนอให้ท่านนายกฯ นั้น ท่านนายกฯ ได้รับทราบแล้ว และท่านนายกฯ ได้เห็นหนังสือของนักเขียนเด็กๆ หลายคนในที่นี้ ไม่วจะเป็นหนังสือของซายูริ หนังสือของในใจ ของตินติน หนังสือของปริม แล้วนายกฯ ก็บอกว่าอยากจะให้เด็กพวกนี้มาออกทีวี แต่ต้องขอปรึกษาผู้ปกครองก่อนว่า อยากให้เด็กพวกนี้มาออกทีวีเพื่อถ่ายทอดให้เด็กคนอื่นฟังว่า ทำอย่างไรถึงมีคุณภาพในการอ่าน การเขียน แล้วก็ผลิตผลงานที่ดีออกมา ท่านนายกฯ อยากจะให้ออกรายการนายกฯพบประชาชนทุกวันศุกร์
-ท่านนายกให้ทีมงานเอาหนังสือของเด็กๆ ทั้งหมดนี้ไปดูแล้วว่าจะเอามาเผยแพร่อย่างไร? ถึงจะทำให้เกิดซายูริสัก 10 คนขึ้นมาในบ้านเรา ซึ่งเด็กๆ ทุกคนในห้องนี้ทั้งจะเป็นแบบอย่างให้แก่เด็กคนอื่นได้ สิ่งนี้เป็นเรื่องที่เรา (รัฐบาล) รับโจทย์ข้อนี้ไปแล้ว
-ในปีหน้าเราจะเป็นประธานอาเซียน เราอยากจะผลักดันเรื่องนี้ เรื่องว่าในอนาคตอีก 20 ปีข้างหน้าเด็กในอาเซียนจะเป็นอย่างไร? เราอยากให้เด็กของเราพูดภาษาของเพื่อนบ้านให้เป็ฯ ต่อไปนี้เด็กเราจะกลายเป็นพลเมืองอาเซียนอย่างเต็มตัว
-การประชุมในวันนี้ของมูลนิธิหนังสือและสำนักพิมพ์ผีเสื้อ ถือว่าเป็นวันดีเป็นวันสำคัญ ถือว่าเป็นบันทึกประวัติเลยว่าได้มีการประชุมนักเขียนเด็กขึ้นมาครั้งแรกในโลก และอยากให้อาจารย์มกุฎเชื่อมโยงความสำเร็จของการประชุมในวันี้ รวมทั้งข้อคิดเห็นต่างๆ จากการประชุมในวันนี้ไปให้แก่โรงเรียน ตชด. ทั่วประเทศ
-ขอสรุปว่า ในวันนี้ผมจะเอาความคิดของเด็กๆ ไป เพื่อส่งต่อให้แก่รัฐบาลเอาไปสะท้อนและทำแผนแม่บททางการเรียนการสอนต่อไป อยากให้กำลังใจทุกคน เพราะการเขียนและการอ่านเป็นการสื่อสารที่สำคัญที่สุดของเรา ทุกว้นเราต้องสื่อสารด้วยการอ่านการพูดตลอด แต่การอ่านและการเขียนสามารถถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ สื่อสารไปยังผู้อื่นได้ดีที่สุด การเขียนนั้นต้องฝึกฝนเยอะๆ ฝึกอ่านเยอะๆ ฝึกเขียนเยอะๆ แล้วต้องมีโค้ชถ่ายทอดที่ดีด้วย
-อาจารย์มกุฎชี้แจงในตอนท้ายให้ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ทราบว่า ผลงานทั้งหมดของเด็กๆ ไม่ได้มีความเข้มงวดให้เขียน ไม่ได้มีการฝึกอย่างหนัก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เด็กเขียนเป็นไปอย่างธรรมชาติและธรรมดาที่สุด ขอยกตัวอย่างตินตินใช้เวลาทั้งหมด 3 เดือนสำหรับเขียนหนังสือ ซึ่งเป็นเวลา 3 เดือนหลังจากที่ตินตินเขียนหนังสือเป็น ผมคิดว่าเด็กมีความสามารถอยู่ในตัวตามธรรมชาติ เพียงแต่ว่าเรามีวิธีที่จะเอาออกมาได้อย่างไร ดังนั้นสิ่งที่ออกมาจากเด็กแต่ละคนคือตัวตนของเขาและหัวใจของเขา เพียงแต่ว่าทำอย่างไรเราถึงจะรู้ได้ว่าเด็กคนไหนเก่งในเรื่องอะไร โดยให้เขาเขียนผ่านสมุดบันทึกเท่านั้นเอง
หลังจากนั้นอาจารย์มกุฎ ยังดำเนินการประชุมต่อในหัวข้อที่ว่า ในฐานะที่เราเป็นนักเขียนเด็ก เราเป็นกวีเด็ก เราจะดูแลโลกนี้อย่างไรในอนาคต ซึ่งเด็กๆ มีการพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างหลากหลาย (แต่ตัวผมไม่ไหวแล้ว เลยไม่ได้บันทึกต่อครับ ต้องขออภัยด้วยครับ)
ผมขอทิ้งท้ายด้วยประโยคที่เป็นวรรคทองของอาจารย์มกุฎ ซึ่งกล่าวไว้ว่า ..
ในกรณีที่คุณเป็นนักเขียน เป็นกวี สิ่งที่เราจะช่วยโลกได้มากที่สุดก็คือ เราต้องเขียนบอกคนอื่นในเรื่องที่จะต้องทำ อะไรบ้างที่เราควรจะต้องทำเราก็ต้องศึกษาหาความรู้ให้เพิ่มขึ้น ในฐานะที่เราเป็นนักเขียน เราควรต้องรู้มากกว่าคนอื่นหนึ่งเรื่อง เราจะต้องก้าวไปนำหน้าคนอื่นหนึ่งก้าว เพื่อที่จะหันมาดูคนอื่นและบอกเขาว่า เฮ้ย ... คุณก้าวพลาดนะ ดังนั้นเราจึงต้องทำงานหนักกว่าคนอื่นเพื่อที่คนอื่นจะได้ประโยชน์ แล้วถ้าพวกเรานักเขียนทุกคนช่วยกัน โลกนี้ก็จะดีขึ้นแน่นอน
เอาเป็นว่ามาชมภาพบรรยากาศกันดีกว่าครับ
ท้ายสุดนี้ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า บล็อกนี้น่าจะเป็นแรงบันดาลใจที่ดีสำหรับผู้ปกครองที่กำลังมีลูกน้อย และใฝ่ฝันอยากจะให้บุตรหลานของท่านมีความคิดความอ่านที่เป็นระบบ ถ้าอยากให้เด็กในความปกครองของท่านโตขึ้นไปกลายเป็นคนที่มีคุณค่าและมีความสามารถ ก็ลองให้ท่านทำตามวิธีการต่างๆ ที่ผมเล่ามานี้ หรือจะไปตามหาข้อมูลเพิ่มเติมต่อก็ได้ครับ ขอให้ไปที่เฟนเพจของสำนักพิมพ์ผีเสื้อเด็กๆ ได้เลยครับ
คลิกไปที่ลิงค์นี้ https://www.facebook.com/sayurithailand/
ขอให้ทุกท่านีความสุขมากๆ นะครับ
Create Date : 15 สิงหาคม 2561 |
Last Update : 15 สิงหาคม 2561 14:31:55 น. |
|
9 comments
|
Counter : 1245 Pageviews. |
|
|
|
โดย: Sweet_pills วันที่: 16 สิงหาคม 2561 เวลา:0:58:50 น. |
|
|
|
โดย: เรียวรุ้ง วันที่: 16 สิงหาคม 2561 เวลา:10:32:14 น. |
|
|
|
โดย: อุ้มสี วันที่: 18 สิงหาคม 2561 เวลา:18:10:38 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 19 สิงหาคม 2561 เวลา:11:31:54 น. |
|
|
|
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 22 สิงหาคม 2561 เวลา:22:55:30 น. |
|
|
|
โดย: kae+aoe วันที่: 10 กันยายน 2561 เวลา:17:09:18 น. |
|
|
|
โดย: ภาวิดา (คนบ้านป่า ) วันที่: 12 กันยายน 2561 เวลา:9:56:12 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 62 คน [?]
|
อาคุงกล่องเป็นชายไทยนิสัยดีมีความฝัน ผู้ผันตัวมาเป็นทาสวรรณกรรมอย่างแท้จริง ใช้ชื่อกำหนดตัวตนว่า อาคุงกล่อง เป็นนามปากกาสร้างสรรค์ผลงานในเชิงหัสนิยาย และงานเขียนในรูปแบบต่าง ๆ อาทิเช่น เรื่องสั้น นวนิยาย สารคดี ความเรียง บทกลอน ไดอารี่เพ้อเจ้อละเมอเพ้อฝันต่างๆ ฯลฯ
ปัจจุบัน อาคุงกล่อง เป็นนักอ่าน นักคิดและนักเขียน รวมทั้งเป็นนักจินตนาการออกมาเป็นตัวอักษรด้วย ผู้มีความฝันอันยิ่งใหญ่คือการเป็นนักเขียนมีคุณภาพที่สรรค์สร้างผลงานอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ คาดว่าในเวลาอันใกล้นี้นาม อาคุงกล่อง จะเกิดปรากฎชัดในโลกวรรณกรรม จนเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในหมู่หนอนนักอ่านทั่วไทย
"ในชีวิตจริงของคนเรา มีอะไรอีกมากมายที่จะต้องรับรู้และรับผิดชอบ ในแต่ละวันเรามีโอกาสที่จะหัวเราะได้สักกี่ครั้ง? แต่ถ้าเราได้มีโอกาสหัวเราะเสียบ้างเพื่อเป็นการผ่อนคลายหรือคลายเครียด ก็คงจะเป็นสิ่งที่ดีนะครับ"
ถ้าคุณเข้ามาในบล็อคของผมแล้ว คุณสามารถอมยิ้มหรือหัวเราะได้ ผมก็คงจะดีใจแล้วครับ (กรุณาช่วยทิ้งคอมเม้นท์วิจารณ์ไว้ให้ผมด้วยนะครับ จักขอบพระคุณมากเลยครับ)
akungklong@gmail.com
|
|
|
|
|
|
|
|