สมศักดิ์ กูรมะโรหิต
สมศักดิ์ กูรมะโรหิต
บล็อกวันนี้ ผมขอนำประวัติชีวิตและข้อคิดของ คุณสมศักดิ์ กูรมะโรหิต 1 ใน 10 เศรษฐีไทย รวยล้านเหรียญในสหรัฐอเมริกา ที่มุมานะฟันฝ่าอุปสรรค โดยเดินทางด้วยเงินเพียงน้อยนิดไปหวังเรียนและทำงานที่สหรัฐอเมริกาเมื่อหลายปีมาแล้ว แต่เมื่อไปเจอค่าหน่วยกิตของมหาวิทยาลัยที่แสนแพงเข้า ก็เลยเปลี่ยนใจไม่เรียน แต่หางานทำในสหรัฐแทน
ทั้งงานกวาดพื้น ย่างไก่ ย่างฮ็อตด็อก ปิ้งแฮมเบอร์เกอร์ แล้วเปลี่ยนเป็นขายไอศกรีม คุณสมศักดิ์ใช้ปัญญามองสภาพรอบข้าง และใช้ปัญญานี่แหละค่อยๆปรับสภาพและเปลี่ยนงานที่ทำ ต่อมาเปลี่ยนไปขับแท็กซี่ แล้วเปลี่ยนเป็นเปิดร้านซักรีด สภาพก็ดีขึ้นเรื่อยๆจนสุดท้าย...
คุณสมศักดิ์ก็กลายเป็นเจ้าของธุรกิจและเจ้าของที่ดินที่ปลูกผักแบบคนเอเชียชอบทาน พวกถั่วฝักยาว มะระ มะเขือยาว คะน้า ส่งให้ร้านอาหาร และซุปเปอร์มาร์เก็ตในสหรัฐอเมริกา มีรายได้เป็นกอบเป็นกำ ระดับล้านเหรียญ
ผมอยากให้เพื่อนๆได้อ่าน ชีวิตของคนไทยคนหนึ่งในต่างแดน ที่ใช้ปัญญาและความมุมานะ พร้อมความประหยัดเก็บเงินที่ได้ เพื่อการต่อยอดสู่ความก้าวหน้าของชีวิต เผื่อว่าจะได้เป็นข้อมูลและข้อคิดสำหรับเพื่อนๆบางคน ที่อยากจะสร้างชีวิตให้ก้าวหน้า โดยมองกรณีของคุณสมศักดิ์เป็นกำลังใจ
ข้อมูลในบล็อกวันนี้ ผมไม่ได้เขียนเอง แต่ผมตัดตอนมาจากหนังสือพ๊อกเก๊ตบุ๊ค รวยล้านเหรียญ : 10 เศรษฐีไทยในอเมริกา ที่เขียนเรื่องและภาพ โดย แปซิฟิค
หนังสือพ๊อกเก๊ตบุ๊ค เล่มนี้ จัดทำขึ้นโดยนิตยสาร แพรว / สำนักพิมพ์นิตยสาร แพรว / พิมพ์ครั้งแรก มีนาคม 2552 / กรุงเทพ / 161 หน้า มีขายที่ร้านนายอินทร์ และร้านซีเอ็ด ราคาเล่มละ 125 บาท หรือหากสั่งซื้อทางไปรษณีย์ ที่เว็บ se-ed.com/ ราคา 118.75 บาทเท่านั้น
จากปกหลังของหนังสือ
แปซิฟิค ผู้เขียนพ๊อกเก๊ตบุ๊ค เขียนคำชักชวนให้อ่าน ไว้ว่า..
อยากรวยให้คิดเหมือนเศรษฐี อยากรู้ว่าเศรษฐีคิดอย่างไร อ่าน รวยล้านเหรียญ เจาะลึก 10 เรื่องราวของคนไทยในอเมริกาที่ทำธุรกิจประสบความสำเร็จมายาวนาน ไม่ว่าจะ.... ขายผักหรือขายเพชร ขายให้คนไทยหรือขายให้ต่างชาติ เปิดร้านอาหารหรือเปิดธนาคาร มีลูกน้องคนเดียวหรือมีเป็นร้อย ... ในความต่างของแต่ละธุรกิจและบุคลิกของแต่ละท่าน พวกเขาเหล่านั้นต่างประสบความสำเร็จในการเงิน ครอบครัว และสังคม ... แนวคิดและวิธีการที่เศรษฐีไม่เคยคิดปิดบัง เคล็ดไม่ลับสู่ ความรวย อยู่ในมือคุณแล้ว ขณะนี้
ขอเชิญเพื่อนๆอ่านชีวิตของคุณสมศักดิ์ กูรมะโรหิตได้แล้วครับ
S. S. K. Produce
แปลงผักให้เป็นธนบัตรใบสีเขียว
...........................................................
สมศักดิ์ กูรมะโรหิต
หมายเหตุ จขบ.1 : คุณสมศักดิ์ เกิดวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2482 ปัจจุบันอายุ 70 ปี
หาบน้ำขาย ปั่นจักรยานส่งหนังสือพิมพ์ โดนจับขังคุก
เมื่อพ่อ(คุณต่อ) ซึ่งเป็นหมอเสียชีวิต ขณะที่เด็กชายสมศักดิ์อายุแค่ 12 ปี เขาในฐานะพี่คนโตต้องช่วยแม่หาเงินเลี้ยงน้องๆ ด้วยการโพงน้ำจากวัด ใส่รถไม้เก่าๆที่วางปี๊บ 10 ใบ เข็นไปขายโรงแรมในเมือง ปี๊บละสลึง(เมืองจันทบุรีสมัยที่ยังไม่มีน้ำประปา)
ไปตักน้ำที่บ่อ เป็นลูกตุ้มดึงให้น้ำขึ้นมา ตัวเราก็เล็กนิดเดียว บางทีโหนแล้ว ก็ยังดึงไม่ลง แต่อาศัยที่เป็นเด็กเรียนเร็ว (อายุ 12 อยู่ม.4) และเรียนดี จึงแปลงปัญญาให้เป็นทุนและทรัพย์
เพื่อนร่วมห้องตัวใหญ่ๆ ขอลอกการบ้าน ผมก็ให้เขาช่วยโพงน้ำ แลกวิชาละคันรถ เป็นอย่างนี้ทุกวัน 2 ปี จนเรียนจบชั้นมัธยม 6 จากโรงเรียนเบญจมราชูทิศ จังหวัดจันทบุรี จากนั้นจึงไปสมัครเรียนโรงเรียนจ่าทหารเรือ ที่อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี
พลเรือตรี(ยศขณะนั้น) สุภา คชเสนี เป็นผู้บัญชาการโรงเรียน เห็นนามสกุลผมเข้า จึงติดต่อไปที่คุณลุงสด ..คุณสด กูรมะโรหิต นักข่าวและนักเขียนชื่อดังในอดีต ซึ่งเป็นเสมือนพ่อคนที่สอง จึงเดินทางมารับคุณสมศักดิ์เข้ากรุงเทพฯ มาอยู่ด้วย โดยให้ไปเรียนต่อชั้นมัธยม 7 ที่โรงเรียนสันติราษฎร์บำรุง ลุงสอนให้ผมอ่านหนังสือพิมพ์ทุกวัน ผมจึงชอบอ่านข่าวและสนใจการเมือง
แต่อยู่บ้านลุงได้ไม่นาน ทะเลาะกับลูกของลุง เขาจะฟังวิทยุเพลงลูกกรุง ผมจะฟังเพลงลูกทุ่ง เขาท้าผมต่อย เรามันเด็กบ้านนอกแข็งแรงกว่า ป้าเลยไล่ผม เขาหอบเสื้อผ้าไม่กี่ชิ้นยัดใส่กระเป๋า ไปตายเอาดาบหน้า ถีบจักรยานไปพักอยู่กับเพื่อนแถวทุ่งมหาเมฆ
เราจะหาเงินยังไง หนุ่มตัวผอม หุ่นเพรียวลม หันมองรอบตัว มีจักรยานหนึ่งคัน เลยรับจ้างส่งหนังสือพิมพ์ สมัยนั้นถนนแทบไม่มีรถรา เขาบรรทุกหนังสือพิมพ์เต็มสี่ด้านบนรถจักรยาน ตื่นตั้งแต่ตีสาม ปั่นไปส่งแถวสุขุมวิททุกซอยเลย
ด้วยความฉลาดหัวดี เคยสอบเข้าได้ที่ 1 โรงเรียนสันติราษฎร์บำรุง และสามารถสอบติดคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ต้องมอบตัว(ที่จุฬาฯ) ค่าเรียน 1,200 บาท ในกระเป๋าผมยังมีไม่ถึง 2 บาท เลยไม่ไป ตอนหลังลุงรู้ ลุงตบหน้าผม บอกว่าทำไมไม่ไปหาลุง คุณลุงสดจึงฝากเข้าทำงานที่โรงพิมพ์สารเสรี เรียนธรรมศาสตร์ไปด้วย.. ตรงกับนิสัยผมที่ชอบถาม ชอบคุย ทำข่าวได้ดี
ข่าวเด่นชิ้นดัง รางวัลระดับ Pulitzer Prize เมืองไทย คดีปลอมศพ ที่ชาวเวียตนามฆ่าเพื่อน ตีหน้าเละ และใส่บัตรประชาชนของตัวเองไว้แทน ผมแอบไปถามแฟนมัน บอกเพิ่งไปดูหนังกันมา(หลังจากพบศพ) แฟนมันหลวมตัวพาผมไปเจอมัน ผมเลยเขียนคอลัมน์บอกตำรวจว่า ควรจะมองอีกมุม ตอนหลังเลยรวบตัวมันได้
คุณสมศักดิ์โด่งดังอีกครั้งจากงานเขียน แม่ม่ายผ้าขะม้าแดง เสนอเรื่องราวผู้หญิง 103 คนที่ได้รับการ เป่ากระหม่อม จากจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อดีตนายกรัฐมนตรีคนดัง ใน วิมานสีชมพู
มีเด็กแถวบ้านถูกหมาบ้ากัด ผมพาเด็กไปฉีดยาจนหาย พ่อเด็กซาบซึ้งมาก เมื่อพ่อเด็กเข้าไปทำความสะอาดวิมานสีชมพู หลังจากจอมพลสฤษดิ์ถึงแก่อสัญกรรม พบรายชื่อ ภาพถ่าย และที่อยู่ของผู้หญิงหลายราย จึงเก็บมาให้
เขาบอก พี่ๆ อาจมีประโยชน์กับพี่ ผมบอก นี่มันทองนี่หว่า ผมก็มานั่งเรียบเรียง หลังจากเขียนงานนี้ออกมาเผยแพร่ ฐานะก็ดีขึ้น มีเงินซื้อบ้านซื้อรถ
ปีพ.ศ.2508 จุฬาฯเปิดคณะนิเทศสาสตร์ และน้องทุกคนมีรายได้เลี้ยงตัวเองและจุนเจือแม่ได้ ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วมั๊ง ที่ควรจะกลับไปเรียน พอเรียนถึงปี 4 จึงไปฝึกงานกับช่อง 3 และทำงานที่นั่นต่อหลังเรียนจบ
ยุคจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกฯ มีเจ้าหน้าที่กรมประชาสัมพันธ์มาคุม อะไรๆก็เสนอข่าวไม่ได้ ไฟไหม้ โจรปล้น คนตีกัน เสนอไม่ได้ กลัวประชาชนแตกตื่น
ชายชาตินักข่าว ผู้รักการเสนอความจริง
ผมวิจารณ์รุนแรงจนเขาหมายหัว และเขาเคยโดนตำรวจจับขังคุก 7 วัน
ผมแวะไปเยี่ยมลุง แถวราชเทวี เห็นตำรวจค้นบ้านลุง จะเอาเอกสารภาษาจีนไป ผมเลยถามว่า เอาไปแล้วอ่านออกหรือเปล่า ตำรวจจับผมใส่กุญแจมือเลย หาว่าผม ปากเสีย!
จากขายไอศกรีม ขับแท็กซี่เสี่ยงตาย ซื้อบ้านได้ ทำกำไรปีละหมื่น
สมัยน้ำมันลิตรละ 2 บาทเมื่อปีพ.ศ.2515 (ค.ศ.1972) ผมเจอเพื่อนคนหนึ่งชวนมาอยู่อเมริกา สมัยนั้นอเมริกามีโควตารับคนไทยปีละ 200 คน มีคนสมัครปีละไม่ถึงร้อย
คนไทยไม่อยากมา เพราะเมืองไทยอุดมสมบูรณ์กว่า สมัครเดือนกุมภา เมษาก็ได้แล้ว ผมมาลงนิวยอร์คซิตีเพราะมีเพื่อนอยู่ จุดมุ่งหมายที่มาคือ จะมาเรียนและทำงาน พอฟ้าเปิด(ที่เมืองไทย) แล้วจะกลับไปทำงานต่อ
คุณสมศักดิ์จึงเริ่มต้นชีวิตในต่างแดน ด้วยการไปสมัคร Columbia University เขารับทันที ไม่ต้องสอบ เพราะประสบการณ์ยาวเหยียด เนื่องจากเคยทำงานหนังสือพิมพ์ 12 ปี และงานโทรทัศน์อีก 3 ปี เขาคงอยากรู้เรื่องราวของสื่อในประเทศอย่างเรา แต่ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกครั้ง ค่าเรียนหน่วยกิตละ 150 เหรียญ ขณะที่ค่าแรงชั่วโมงละแค่ 1.60 เหรียญ
แล้วข้าพเจ้าจะทำอย่างไร ยอมรับว่าไม่มีปัญญาจะเอาเงินจากที่ไหนมาเรียนจริงๆเลยนะ.... ระหว่างนั่งซับเวย์กลับ ก็เอาโบรชัวร์ทิ้งขยะแถวนั้นแหละ แต่มารู้จากเพื่อนทีหลังว่า ถ้าบอกเหตุผลไป ทางมหาวิทยาลัยอาจให้ทุนเรียน
แต่ช่างมันเถอะ มันผ่านไปแล้ว เขาหันไปทำงานทุกอย่างที่ขวางหน้า ไม่ว่าจะกวาดพื้น ย่างไก่ ย่างฮ็อตด็อก หรือปิ้งแฮมเบอร์เกอร์ ทุกย่างก้าวในแดนไกลเขาไม่ย่อท้อ
ผมเปลี่ยนรองเท้าผ้าใบทุกสองอาทิตย์ เดินขึ้นเดินลงทั้งวัน งานขายไอศกรีมในโรงหนังชั้นสอง ทำรายได้ให้เป็นกอบเป็นกำ
สมัยนั้นคนชอบดูหนัง เรื่องไหนมีดาราดังอย่างบรูซ ลี แสดง คนดูเต็มโรง ขายไอศกรีมแท่งละ 35 เซ็นต์ ได้ 15 เปอร์เซ็นต์ของยอดขาย ได้ทิปด้วย คนซื้อสองถ้วยให้เหรียญหนึ่ง บางวันขายได้พันเหรียญ
จนมาวันหนึ่งที่คนทั่วเมืองเดือดร้อน เพราะรถใต้ดินสไตรค์ (ซับเวย์) คุณสมศักดิ์กลับได้เห็นหนทางทำเงิน
นั่งแท็กซี่กลับบ้านแป๊บเดียวตั้ง 7 เหรียญ เราเดินขายไอศกรีมตั้งนานกว่าจะได้ 7 เหรียญ เปลี่ยนอาชีพดีกว่า มั๊งเรา เขาจึงสอบถามหาข้อมูลจากแท็กซี่แถวหน้าโรงหนัง ไปสอบใบขับขี่รถแท็กซี่ และเช่ารถของบริษัทแท็กซี่ขับ โดยบริษัทออกค่ารถกับค่าน้ำมัน รายได้แบ่งกันคนละครึ่ง
มีวันหนึ่ง ขับไปได้มา 90 เหรียญ แบ่งจ่ายบริษัทแล้วเหลือ 45 เหรียญ ผมอยากได้เองหมด เลยซื้อเป็นของตัวเอง ซื้อป้ายทะเบียน 28,000 เหรียญ ซื้อรถอีก 4,000 เหรียญ (ค่าป้ายทะเบียนมีราคาสูงเพราะรัฐต้องการจำกัดปริมาณรถแท๊กซี่) ผมมีเงินเก็บ ไม่เคยเป็นหนี้บัตรเครดิต จึงมีเครดิตดี มีเงินดาวน์ 7,000 เหรียญ ที่เหลือกู้แบงก์
พื้นที่ในเขตแมนฮัตตัน ประมาณ 22 ตารางไมล์ ทำให้ขับได้ไม่ยาก และรายได้ดีเพราะวิ่งระยะสั้นๆ หักค่าน้ำมันแล้ว กำไรใส่กระเป๋าวันละ 100 เหรียญ พอปีค.ศ.1975 ผมก็มีเงินดาวน์บ้านได้
ขับอยู่ 5 ปี ไม่เคยมีอุบัติเหตุ แต่เกือบโดนปล้นสองรอบ ครั้งแรกคนผิวดำกระโดดขึ้นมา หน้าตาลอกแลก ผมคิดว่าแย่แน่แล้ว อาศัยผมรู้ว่าโรงพักอยู่ที่ไหนบ้าง เลี้ยวปุ๊บ จอดหน้าโรงพักปั๊บ ต่างคนต่างรู้หน้าที่ เรากระโดดเข้าโรงพัก มันกระโดดวิ่งหนีสุดฤทธิ์หายไปอีกทาง อีกครั้งก็เหมือนกัน
พอถึงปีค.ศ.1978 ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ ..เข้ามาเปลี่ยนชีวิตคุณสมศักดิ์
อากาศแย่มาก หิมะลงหนักหนาถึง 26 นิ้ว จะขับรถออกไปซื้อนมให้ลูกต้องขุดทั้งวัน เพื่อนบ้านบอก 20ปีมาที ไม่ต้องกลัว แต่ที่ไหนได้ อีกเดือนมาอีกหน หิมะตกสูงพอกัน ต้นปีต่อไปมาอีกลูก สูง 30 นิ้ว
เผ่นดีกว่า! หนาวก็หนาว ลูกก็ไม่สบายบ่อย เขาตัดสินใจขายรถไปอย่างไม่มีราคา แค่ 2,000 เหรียญ แต่ขายป้ายทะเบียนรถได้ถึง 79,000 เหรียญ กำไรราว 50,000 เหรียญ ในช่วงเวลา 5 ปี
ตอนนั้นพวกตะวันออกกลางเข้ามาเยอะ ราคาป้ายเลยขึ้นเอาๆ (ปัจจุบัน ราคาป้ายทะเบียนรถพุ่งขึ้นไปถึงกว่า 400,000 เหรียญ และคนตกงานหันมาขับแท๊กซี่กันมากขึ้น)
เริ่มต้นที่เมืองใหม่ จะทำอะไรดี กลายเป็นกำไรปีละแสน
ผมส่งครอบครัวบินมา ส่วนตัวเองขับรถเก่าๆใส่ของเต็มคัน ขับตามมา คุณสมศักดิ์เลือกย้ายข้ามฝั่งทวีป มาอยู่รัฐแคลิฟอร์เนีย เพราะอากาศไม่หนาว มีน้องสาวเป็นพยาบาลอยู่ มีคนไทยอยู่หนาแน่น และ....
ผมอยากทำมาค้าขาย เลยคิดว่าควรไปอยู่เมืองใหญ่ หลังจากเที่ยวพักผ่อน 2 3 เดือน เขาก็เริ่มมองหาลู่ทาง
มีคนบอกให้เปิดร้านอาหาร แต่ผมไม่เอา คนเปิดเยอะแล้ว มองในสิ่งที่คนไทยไม่ทำ เราไม่ต้องการแข่ง เราเป็นผู้บุกเบิกดีกว่า อย่างขับแท็กซี่แต่ก่อนไม่มีคนไทยขับ พอผมขับ มีคนไทยมาถามและทำตามอีก 40 50 คน
คุณสมศักดืมองเห็นโอกาสจากร้านซักรีดเก่าๆ เจ้าของเป็นคนแก่ มีทั้งแบบซักแห้ง ซักน้ำ หยอดเหรียญ อยู่ในทำเลดี มีที่จอดรถกว้างขวาง ใกล้อพาร์ตเมนต์หลายแห่ง ค่าเช่าไม่แพง และเหลือสัญญาเช่าอีก 10 ปี รายได้ประมาณเดือนละ 4,000 เหรียญ ผมใช้สูตร 10 เท่าของ monthly grass sales (รายได้ต่อเดือน) ซื้อมา 40,000 เหรียญ
ปิดร้านซ่อมแซมปรับปรุงไป 15 วัน รวมถึงเปลี่ยนไฟใหม่หมดให้สวยงาม ซื้อเครื่องซักใหม่ 40 เครื่อง ลงทุนไปทั้งสิ้น 30,000 เหรียญ หลังจากนั้นก็โฆษณาด้วยการไปเดินแจกใบปลิวตามอพาร์ตเมนท์
ได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง คนเห็นเรามือใหม่ไม่ค่อยเชื่อ ผมก็มานั่งคิด ทำไงให้ธุรกิจดี นี่มันธุรกิจบริการ จนผมรู้ละว่าจะทำยังไงให้คนประทับใจ ทันทีที่ลูกค้าจอดรถ คุณสมศักดิ์จะรีบวิ่งไปรับกุญแจมาช่วยไขเปิดท้ายรถ หยิบเสื้อผ้าใส่ตะกร้าให้ พาลูกค้าซึ่งส่วนมากเป็นคนสูงวัยเข้าไปนั่ง หาน้ำหากาแฟให้ดื่ม บางครั้งพอมีเวลาก็จะไปส่งของให้ถึงบ้าน โดยไม่คิดค่าบริการ
คนแก่เขามีเวลาว่าง เขาก็ไปคุยกับเพื่อน บอกต่อๆกันไป นี่เป็นการโฆษณาที่ดีที่สุดเลยนะ ไม่เหมือนไปออกสปอต แจกใบปลิว ยังไงก็สู้อย่างนี้ไม่ได้
ผ่านไปหนึ่งปี รายได้กลายเป็นเดือนละ 50,000 เหรียญ ลูกน้องจากหนึ่งคน เพิ่มเป็นหกคน
ทำจนผอม แทบไม่มีเวลากินข้าวกลางวัน งานติดตัว ไปไหนไม่ได้เลย พอเข้าปลายปีที่สองเขาถึงจุดอิ่มตัวกับธุรกิจนี้ เปลี่ยนอาชีพดีกว่ามั๊ง ตัดสินใจขายให้เศรษฐีจากเมืองไทย ซึ่งมาเห็นลูกค้าแน่นเต็มร้าน ผมได้กำไร 200,000 เหรียญใน 2 ปี
จากของติดไม้ติดมือ กลายเป็นธุรกิจหลายล้าน
คุณสมศักดิ์ กูรมะโรหิต ในวัยปัจจุบัน
หลังจากขายร้านซักรีดไป ระหว่างที่ว่าง ไม่มีงานประจำ คุณสมศักดิ์ มีรายได้เสริมจากตู้เกม Pac Man ที่ให้เด็กหยอดเหรียญเล่นเกม มีประมาณ 20 ตู้ แต่เรารู้ว่าไอ้เครื่องนี้ อีกไม่นานก็ตก เขาจึงมองหาลู่ทางทำธุรกิจใหม่อีกครั้ง
จนกระทั่งเพื่อนที่เคยเรียนธรรมศาสตร์ ชวนไปเที่ยวงานสงกรานต์ที่เขตเฟรสโน ซึ่งมีคนม้งคนลาวทำไร่ทำสวนอยู่มากมาย รุ่งขึ้นเพื่อนแนะว่า น่าจะเอาอะไรติดไม้ติดมือไปขาย เผื่อได้ค่าน้ำมัน คุณสมศักดิ์เลยซื้อถั่วลันเตามา 10 ลัง ลังละ 10 เหรียญ ไปขายที่ตลาดได้ลังละ 25 เหรียญ
กำไร ตั้ง 150 เหรียญ อย่างนี้ดีแฮะ ผมรับเงินปั๊บ ขับกลับไปเฟรสโนอีก คราวนี้พวกม้งรู้ทัน ขายผมลังละ 20 เหรียญ แต่ผมก็ซื้อมา 70 80 ลัง
พอเข้าช่วงกลางปี ฤดูของถั่วลันเตาเปลี่ยนเป็นฤดูของถั่วอย่างอื่นๆ พร้อมกับที่คุณสมศักดิ์เปลี่ยนรถจากปิกอัพเป็นรถตู้ทึบ วิ่งรับผักจากไร่มาขายในตลาดระยะหนึ่ง ก่อนตัดสินใจหันมาปลูกเอง
โมโหมาก ตกลงราคากันเรียบร้อย พรุ่งนี้จะมาขน พอมีคนให้เขามากกว่าลังละ 1 เหรียญ เขาก็ขาย เราก็เคว้ง เสียค่าน้ำมันรถเปล่าๆ ตัดสินใจปลูกเองเลย
เพื่อนถาม ปลูกเป็นหรือ ด้วยความที่เขาไม่ยอมแพ้ใคร เห็นคนอื่นๆที่เคยเป็นทหารจับปืนก่อนอพยพมาอยู่อเมริกายังสามารถปลูกผักได้
เราจับปากกามา ลองจับจอบจับเสียมดู น่าจะได้เหมือนกัน ไปเช่าที่ 5 เอเคอร์ เอเคอร์ละ 150 200 เหรียญ จ้างคนมาไถ มาตีคูตีร่อง และด้วยความใจกล้า เขาเข้าปรึกษาเจ้าหน้าที่เกษตร ซึ่งเขายินดีช่วยเหลือเต็มที่ เปิดคอร์สอบรมให้ตัวต่อตัว เดินทางมาดูไร่ อธิบายเรื่องแมลง การใช้ปุ๋ย และยาฆ่าแมลง
3 ปีแรกผมทำไม่เป็นเลย ลองผิดลองถูก ต้องยอมขาดทุน ต้นไม้ตายเพราะใส่ปุ๋ยเยอะเกินไป พอทำเป็นก็ขยายออกไปเรื่อยๆ ปัจจุบันมีไร่ชื่อ ไร่แผ่นดินไทย (ตามนามปากกาของคุณลุงสด) ที่เขตเฟรสโน รัฐแคลิฟอร์เนีย และที่ประเทศเม็กซิโก เพื่อปลูกพืชสลับฤดูกาล ทำให้เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ทั้งปี (ที่เฟรสโนปลูกช่วงมิถุนายนถึงตุลาคม ส่วนที่เม็กซิโกปลูกช่วงตุลาคมถึงพฤษภาคม)
วิธีเลือกสถานที่ปลูกให้ได้ผลผลิตนั้น โยนเม็ดมะเขือเทศลงไป ถ้ามันขึ้น ปลูกอะไรก็ขึ้น ส่วนแรงงานนั้นหาง่ายและไม่ค่อยมีปัญหา โยจ้างเก็บนับตามกล่อง เช่น ถั่วฝักยาวกล่องละ 5 เหรียญ มะระกล่องละ 1.50 เหรียญ (มะระใหญ่กว่า เก็บได้เต็มกล่องเร็วกว่า) ผักไหนคิดว่าขายได้ก็ปลูก โดยเฉพาะผักเอเชียที่คนจีนและคนฟิลิปปินส์กิน เช่น ถั่วฝักยาว มะระ มะเขือยาว น้ำเต้า ฯลฯ เพราะมีตลาดซื้อแน่นอน ...แต่กว่าผลผลิตจะไปอยู่ในมือผู้ซื้อได้นั้น ต้องฝ่าฟันกับศัตรูตัวร้าย คือ ความร้อน
ผักเก็บมาอบอยู่ในลัง คะน้าก็เหลือง มะระก็สุก มะเขือยาวก็นิ่ม ถั่วก็พอง ต้องโยนทิ้งทั้งหมด เสียหายมาก ปัญหาหลักขัดขวางกำไรของธุรกิจปลูกผักขาย จึงไม่ได้อยู่ที่ขั้นตอนการผลิตเท่านั้น หลังเก็บเกี่ยวสำคัญที่สุด
คุณสมศักดิ์จึงลงทุนซื้อ warehouse ไว้สร้างตู้เย็น ตู้เย็นธรรมดาก็ไม่ได้ ต้องแบบ pro cool system
ถึงกระนั้นความร้อนก็ยังระบายออกมาไม่รวดเร็วพอ
เข้าตู้เย็น มันช้า กว่าความเย็นจะเข้าไป ของมันเน่าแล้ว เขาจึงมานั่งคิดว่าควรทำอย่างไร ผมไม่ได้เรียนวิศวะมา แต่ผมคิด เขาใช้กระดาษรีมหนึ่ง นั่งวาดออกแบบเครื่องจักร วาดแล้วก็ทิ้งๆ จนได้ว่าต้องมีพัดลมตัวใหญ่ตัวหนึ่งเป็นหอยโข่ง เพื่อดูดอากาศเข้าไปในช่องที่เราต้องการ วางลังผักไว้ 2 แถว เว้นช่องตรงกลาง ปิดผ้าคลุมครอบให้มิด พัดลมจะดูดความร้อนออกจากลังตามรูของลัง ส่งลมร้อนออกไปทางปล่องด้านบนของเพดาน และความเย็นในห้องเย็นจะเข้าไปแทนที่
มาปรับความเย็นที่นี่ ใส่รถธรรมดาขนมาได้ ชั่วโมงเดียว อุณหภูมิไม่ว่าเท่าไร จะลดลงมาเหลือ 40 ฟาเรนไฮต์ ซึ่งเป็นอุณหภูมิมาตรฐาน ... ไอ้เครื่องตัวนี้แหละที่พลิกผัน เป็นหัวใจสำคัญที่สุด ทำให้ผักหน้าตาคล้ายกัน คุณภาพไม่เหมือนกันได้ เพราะผักที่เป็นผลผลิตของเขาอยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสม ทำให้เก็บได้นานกว่า มีคุณภาพดีกว่า และแน่นอนว่าขายได้ราคาดีกว่า อย่างถั่วฝักยาวขายในตลาด 20 เหรียญ ของผมขายได้ราคาดีกว่า เก็บได้นาน 4 5 วัน ของร้านอื่น 2 วันอย่างมาก เพราะของเขาเย็นไม่พอ หรือเย็นแค่ขอบๆ ข้างในเน่า
คุณสุเทพ วงศ์กำแหง และคุณสมศักดิ์ กูรมะโรหิต
เกือบสี่ทศวรรษผ่านไป จากเคยคิดแค่จะมาอเมริกาเพื่อรอวันฟ้าใหม่เปิดในแผ่นดินเกิด คุณสมศักดิ์ได้เปิดฟ้าใหม่ให้ผู้คนเดินตามในต่างแดน เขาผู้บุกเบิกธุรกิจพืชล้มลุกจนเติบใหญ่กลายเป็นธุรกิจยั่งยืนยง ได้เก็บเกี่ยวผลผลิตที่หว่านลงไปด้วยความมานะ
ผมพยายามทำ(ทุกอย่าง)ให้สำเร็จ และยึดหลักความซื่อสัตย์ ของไม่ดี ไม่เอาไปซุก(ไว้ในลัง) ณ วันนี้เขาภาคภูมิใจกับธุรกิจ ติดดิน ที่โตตอบแทนเป็นกอบเป็นกำ และเขาไม่เคยต้องคิด เปลี่ยนอาชีพดีกว่ามั๊ง อีกเลย
ขอขอบคุณ คุณสมศักดิ์ กูรมะโรหิต
S.S.K. Produce Inc.
หมายเหตุ จขบ.2 : ในกระทู้พันทิป ห้องไกลบ้าน มีการเอ่ยถึงหนังสือ รวยล้านเหรียญ มีบางคนคอมเมนต์ว่า อยากจะอ่านประวัติของคนไทยเหล่านี้ มีบางคนคอมเมนต์ว่า ทำไมไม่มีชื่อคุณหมอบ้าง เพราะอาชีพคุณหมอ บางคนก็รวยระดับล้านเหรียญเหมือนกัน และแล้วตอนท้ายๆของกระทู้ ...แปซิฟิค ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ ก็เข้ามาช่วยตอบคำถามที่คนในกระทู้ต่างอยากรู้ เชิญเปิดอ่านที่นี่
yyswim
yyswim@hotmail.com
Create Date : 05 มิถุนายน 2552 |
Last Update : 12 มิถุนายน 2552 11:17:48 น. |
|
15 comments
|
Counter : 13431 Pageviews. |
|
|
|
อ่านหนังสือประเภทนี้แล้ว มีแรงบันดาลใจให้ขยันแบบเค้าบ้าง
.........
ถ้าว่าง ขอเชิญไปลงคะแนนที่บล็อกนะคะ