ตะโกน









ตะโกน




ตะโกน ก. ออกเสียงดังกว่าปรกติเพื่อให้ได้ยิน. v. to shout, to bawl, to holler


คำใกล้เคียง ตะเบ็ง, ร้อง, เปล่งเสียง, แผดเสียง






ตั้งใจฟังให้ดีนะนักเรียน "no pain no gain"


มิสเตอร์ลี หรือ ลี หยาง ตะโกนดังลั่น ให้นักเรียนฟังกลางชั้นเรียน


"เอ้า ตะโกนพร้อมกัน... no pain no gain"




"no pain no gain" เสียงเด็กนักเรียนจีนตะโกนดังลั่นอย่างเอาเป็นเอาตาย


ราวกับใครตะโกนได้ดังกว่า คนนั้นจะเป็นผู้ชนะ




นี่เป็นสไตล์การสอนแบบใหม่ ในโรงเรียนระดับประถมแห่งหนึ่ง ในประเทศจีน


โรงเรียนที่มีขนาดใหญ่ระดับนักเรียนจำนวน 2,000 คน


และตอนนี้สไตล์การสอนของมิสเตอร์ลี นับเป็นวิธีการสอนภาษาอังกฤษที่กำลังมาแรงที่สุดในประเทศจีน


นักเรียนในชั้นต่างตะโกนเสียงดังก้องทุกประโยคและทุกคำตามที่มิสเตอร์ลี บอก



"ดังขึ้นอีก ดังขึ้นอีก" มิสเตอร์ลี ตะโกนแข่งกับเสียงนักเรียน











ขอต้อนรับสู่การสอนภาษาอังกฤษวิธีใหม่


นับเป็นเวลาสามปีมาแล้วที่มิสเตอร์ลี เปิดคอร์สสอนภาษาอังกฤษโดยการตะโกน


มิสเตอร์ลี สอนลูกศิษย์มาแล้วประมาณ 14 ล้านคน


นับตั้งแต่นักเรียนชั้นประถมในโรงเรียน


ในบริษัทต่างๆตามแต่จะได้รับเชิญ


ไปจนถึงในกองทัพของประเทศจีน




เทคนิคการสอนภาษาอังกฤษแบบใหม่นี้ ที่จริงไม่มีอะไรซับซ้อน


เริ่มจากให้นักเรียนฟังวลีภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ


และบังคับให้นักเรียนตะโกนวลีนั้นๆออกมา


เมื่อตะโกนบ่อย ๆ เข้า ความอึดอัดของคนที่จำต้องทนเรียนภาษาอังกฤษ


ที่ไม่ใช่ภาษาแม่ของตัวเอง ก็ถูกปลดปล่อยออกมา


และนักเรียนก็เริ่มคุ้นลิ้นคุ้นหูกับภาษาอังกฤษ


พร้อมกับกล้าที่จะพูดภาษาอังกฤษไปได้โดยง่าย









"เคล็ดลับก็คือ เวลาที่คุณตะโกนเป็นภาษาอังกฤษนั้น คุณต้องตั้งใจและใช้สมาธิฟังมันด้วย


รวมทั้งต้องหมั่นตะโกนบ่อยๆ อย่าอาย อย่ากลัว กับภาษาอังกฤษ


แล้วคุณจะพูดภาษาอังกฤษได้คล่องขึ้น"
มิสเตอร์ลี อธิบาย


“และอีกอย่าง ที่ผมใช้อยู่ก็คือเนื้อหาที่นำมาให้เด็กฝึกจะต้องน่าสนใจ”




มิสเตอร์ลีบอกว่า หากเนื้อหาที่สอนเป็นเรื่องของชาตินิยมด้วยแล้ว


จะมีพลังดึงดูดให้นักเรียนสนใจที่จะเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มขึ้น









"อย่างจีนมีวัฒนธรรมการกินอาหารชั้นสูง


แต่ทำไมโลกจึงรู้จักเพียง โคคา โคล่า และ แม็กโดนัลด์


ดังนั้นเป็นหน้าที่ของคนจีนที่ควรจะต้องรู้ภาษาอังกฤษ


เพื่อที่จะช่วยกันไปถ่ายทอดวัฒนธรรมการกินของพวกเราสู่คนตะวันตกให้ได้"



มิสเตอร์ลี พูดปลุกระดมนักเรียน


"แถมถ้าเรารู้ภาษาอังกฤษ เราก็สามารถนำเทคโนโลยีจากเมืองนอก


มาสร้างประเทศของเราให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น"










ฟาน จิง นักเรียนไฮสกูล ในกรุงปักกิ่ง ให้ความเห็น


"ผมชอบไอเดียการให้นักเรียนพูดอังกฤษด้วยเสียงดังๆ มันสนุกดี และชวนให้ไม่เบื่อครับ"


และเขากล่าวต่อว่า “หลังจากผมเรียนกับมิสเตอร์ลีแล้ว ทำให้ผมกล้าพูดกับฝรั่งมากขึ้น


ผมไม่กลัวเขาแล้วครับ”











มิสเตอร์ลี เล่าความหลังเมื่อครั้งตนเองเป็นเด็กว่า


“ผมอ่อนภาษาอังกฤษมาก จนแม่ดุด่าเสมอ และรู้สึกอึดอัดทุกครั้งที่ต้องทนเรียนวิชานี้


เวลาพูด ลิ้นผมจะแข็ง พูดไม่ชัด ผมไม่เคยรู้สึกชอบภาษาอังกฤษเลย




จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมได้ตะโกนออกมาเป็นภาษาอังกฤษ ความอึดอัดที่เคยมี ก็เริ่มคลายลง


หลังจากนั้น ผมก็จะชอบวิ่งไปรอบโรงเรียน แล้วตะโกนบทเรียนภาษาอังกฤษที่จำได้


บางครั้งรู้สึกสนุก ก็จะปีนขึ้นไปตะโกนบนหลังคาตึก ผมรู้สึกว่าหลังจากตะโกนและฟังบ่อยๆ


ภาษาอังกฤษของผมก็ดีขึ้นลื่นไหลขึ้นเรื่อยๆ”










ทุกวันนี้มิสเตอร์ลี สามารถขายหนังสือ ขายเทป และเป็นวิทยากรสอนนักเรียนทั่วประเทศ


จนเขยิบฐานะเข้าขั้นเศรษฐีคนหนึ่ง




แต่ก็มิได้หมายความว่าคนจีนทั้งหมดจะสนใจวิธีการของมิสเตอร์ลี


ในปี 2539 คณะครูสอนภาษาอังกฤษในเมืองทางตอนใต้คือแถบมณฑลกวางตุ้ง


ได้รวมตัวกันคัดค้านวิธีการสอนสไตล์ของมิสเตอร์หลี


และแฉว่ามีนักเรียนวิชาภาษาอังกฤษของครูคนอื่น


แอบอ่านตำราภาษาอังกฤษของมิสเตอร์หลี ในห้องเรียน


โดยไม่สนใจการสอนของครู




มิสเตอร์ลี โต้


"เป็นการสะท้อนว่าวิธีสอนของผมน่าสนใจกว่า และสนุกกว่าวิธีเดิมของครูในโรงเรียน"



และกล่าวต่อว่า


“ปัญหาที่ทำให้นักเรียนไม่เก่งภาษาอังกฤษ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะครูมักจะสอน


เน้นเรื่องไวยากรณ์กับเรื่องการเขียน เสียมากกว่า


ครูไม่ยอมฝึกให้นักเรียนกล้าพูด กล้าร้องเพลงภาษาอังกฤษ



เมื่อเจอกับคนต่างชาติ นักเรียนก็เลยไม่มีความเชื่อมั่น


ไม่กล้าที่จะสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ


แล้วแบบนี้เราจะให้นักเรียนเรียนภาษาอังกฤษไปทำไม”










yyswim


yyswim@hotmail.com





Create Date : 22 กันยายน 2552
Last Update : 22 กันยายน 2552 12:29:12 น. 16 comments
Counter : 3238 Pageviews.

 


พรหมญาณี...............................พรหมญาณี
ปอ ป้า.......ปอ ป้า..................ปอ ป้า..........ปอ ป้า
ปอ ป้า.............ปอ ป้า................ปอ ป้า...............ปอ ป้า
ปอ ป้า...................ปอ ป้า.............ปอ ป้า...................ปอ ป้า
ปอ ป้า........................ปอ ป้า........ปอ ป้า......................ปอ ป้า
ปอ ป้า.............................ปอ ป้า ปอ ป้า...........................ปอ ป้า
ปอ ป้า...................................ปอ ป้า................................ปอ ป้า
ปอ ป้า...........................................................................ปอ ป้า
ปอ ป้า..........................................................................ปอ ป้า
ปอ ป้า.............................พรหมญาณี...........................ปอ ป้า
ปอ ป้า....................................................................ปอ ป้า
ปอ ป้า.......................เจิมให้ นะคะ......................ปอ ป้า
ปอ ป้า.......................................................ปอ ป้า
ปอ ป้า...............................................ปอ ป้า
ปอ ป้า.......................................ปอ ป้า
ปอ ป้า..............................ปอ ป้า
ปอ ป้า.....................ปอ ป้า
ปอ ป้า.............ปอ ป้า
ปอ ป้า.....ปอ ป้า
พรหมญาณี




โดย: พรหมญาณี วันที่: 22 กันยายน 2552 เวลา:12:33:13 น.  

 
สวัสดีค่ะ พี่สิน...

แหม...ตื่นเต้นและดีใจ ได้ จอ เจิม บล๊อกพี่สินด้วย..อิ อิ

มิสเตอร์ลี มีวิธีการสอนที่ยอดเยี่ยมเลย...นะคะ
เรื่องภาษาต่างด้าวนี่นะ ถ้าอยากเก่ง เขาว่าต้องหน้าด้าน
พูด ๆ เข้าเหอะ เพราะถึงไงก็ไม่ใช่ภาษาพ่อแม่ของเรา มันต้องมีผิดเป็นธรรมดา
คนไทยส่วนใหญ่เวลาพูดภาษาต่างด้าว มักจะอาย กระมิดกระเมี้ยน อะไร ๆ มันก็เลยเพี้ยนไปหมด

ขอให้พี่สินมีความสุขมาก ๆ มีสุขภาพแข็งแรง..นะคะ



โดย: พรหมญาณี วันที่: 22 กันยายน 2552 เวลา:12:36:35 น.  

 
อ่าน blog เรื่องนี้แล้ว
พลันให้นึกถึงหนังไทยเรื่องหนึ่งเลยครับ
หนังเรื่องนั้นไม่เกี่ยวกับการเรียนภาษาโดยตรงหรอก
แต่มันมีประโยคเด็ด ที่ได้ฟังแล้วฮามาก
ผมนี่ก๊ากออกมาดังๆไม่แพ้เด็กนักเรียนของ มิสเตอร์ลี เลย

หนังเรื่องนั้นชื่อ "มือปืน โลก พระจันทร์"
ฉากที่ว่าก็คือฉาก คุณถั่วแระ ซึ่งยืนอยู่ในลิฟต์
ซึ่งพอลิฟต์จอดชั้น ก็มีฝรั่งเดินเข้าลิฟต์มา
เพื่อนของคุณถั่วแระ ก็บอกให้คุณถั่วแระ พูดกับฝรั่งดูซิ
ไหนว่า ไปอยู่พัทยามานาน พูดจาภาษาฝรั่งได้
คุณถั่วแระ ก็ทำหน้าตาจริงจัง จ้องหน้าฝรั่งในลิฟต์
พร้อมทั้งออกเสียงดังฟังชัดว่า

"ดีส อีส สะ บุค"

นึกถึงทีไรก็อดขำไมได้
.
.
.
.
.


มีอีกเรื่องหนึ่ง ที่ผมยังจำได้ไม่เคยลืม
เรื่องก็มีอยู่ว่า ตอนนั้นผมขึ้นมาเรียนที่กรุงเทพแล้ว
แต่เวลาปิดเทอมผมก็ต้องกลับบ้านที่ตรังทุกครั้ง
ช่วงอยู่ที่บ้าน ผมก็มักจะเอากล้วยทอดของแม่ผมเดินขาย
ซึ่งผมมักจะไปเดินขายที่สถานีรถไฟด้วย
ส่วนมากก็จะขายได้เพราะคนจะมาขึ้นรถไฟ ก็มักจะต้องมารอรถไฟอย่างน้อยก็เกทอบชั่วโมง บางที่คนขึ้นแค่คนเดียว แต่คนมาส่งนี่เกือบสิบ ดังนั้นกล้วยทอดผมมักจะหมดที่สถานีรถไฟทุกครั้ง พอขายหมดแล้วผมก็มักจะนั่งคุยนั่งเล่นกับเพื่อนๆที่สถานีรถไฟ

ไอ้พงษ์ เพื่อนผมคนนี้พอจบ ม.3 มันไปอยู่สมุยมา
พอมันกลับมาที่บ้าน มันบอกผมว่าให้เรียกมันว่า "ริกส์"
มันคุยว่ามันพูดภาษาอังกฤษได้บ้างแล้ว

วันนั้นพอรถไฟมาเทียบชานชลา ไอ้ริกส์ ก็เห็นฝรั่งโผล่หน้ามาทางหน้าต่าง มันคงอยากจะโชว์ออฟ มันตะโกนเสียงดังชนิดที่ว่าหัวขบวนท้ายขบวนต้องได้ยินเสียงมัน

" ฮัลโล่ แวร์ ยู โก? "

ฝรั่งที่โผล่หน้ามา ทางหน้าต่างเพื่อจะซื้อของที่เดินขาย
เป็นต้องชงัก+งง หันซ้ายหันขวามองมาทางเจ้าของเสียง
ไอ้ริกส์ ย้ำไปอีกรอบตามสไตล์ลูกบ้าของมัน

" แวร์ ยู โก? "

ฝรั่งคงจะนึกได้ว่าถ้าตูแน่ๆ
ก็เลยตอบกลับเสียงดังฟังชัดว่า

" ผ๋ม จา ปาย กุง เทพ "

ผมได้ยินไอ้ริกส์ถามเป็นภาษาอังกฤษ
แต่เจอฝรั่งสวนกลับเป็นภาษาไทย
ก็อดขำเหตุการณ์นั้นไม่ได้

ทุกวันนี้เวลาผมเจอไอ้ริกส์ ผมยังอำมันเรื่องนี้อยู่เลยครับ


จะว่าไปแล้ว ภาษาอังกฤษนี่ ในยุคนี้
ต้องถือว่าสำคัญและจำเป็นมาก
ผมเคยเสียท่าซื้อของใน ebay มาเพราะอ่านภาษาอังกฤษ
แล้วตีความไม่ถูกมาครั้งหนึ่งแล้ว

แต่ทุกวันนี้ก็ใช่ว่าจะเก่งนะ
เพียงแต่ว่าดีกว่าเก่าขึ้นมานิดหน่อย
ดีว่าคนใกล้ตัวผมนั้นค่อนข้างจะเก่งเรื่องภาษาอังกฤษ
ก็เลยสอบถามหรือรบกวนได้ไม่ต้องเกรงใจ
แต่ก็โดนดุกลับมาบ่อยว่าทำไมไม่ลองหาใน google ก่อน
(ก็ถามเลยมันเลยกว่าไปนั่งหานิน่า)

พี่ชายผม คนที่อยู่ตรัง ก็เป็นครูสอนภาษาอังกฤษเด็กนักเรียนนะ
เคยเล่าเรื่องตลกๆในห้องเรียนผมอยู่เหมือนกันว่า เคยให้เด็กออกมาพูดหน้าห้องว่า ให้พูดเป็นภาษาอังกฤษว่า
"นี่คือแมวของฉัน"
แต่พอพูดแล้วแปลแล้วได้ใจว่าว่า
"ฉันเป็นแมว"

ยังมีเรื่องตลกไม่ออกกว่านี้อีกด้วยครับ
วันนั้นพี่ชายผมไปอบรมกับครูใหญ่
ก็ได้พักโรงแรม ตรงหน้าฟร้อน ของโรงแรมก็มักจะมีนาฬิกาของแต่ละประเทศติดไว้ให้ลูกค้าดูเวลา
ครุูใหญ่หันมาถามพี่ผมว่า

"เฮ้ย!วิฑูร ไอ้ประเทศ ต็อกโย นี่มันประเทศอะไรวะ?"

พี่ผมก็งง! ว่าครูใหญ่แกหมายถึงประเทศไหน
พอเหลือบขึ้นไปมอง..ถึงบ้างอ้อเลยครับ

"Tokyo"

ปล. เรื่องทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริงครับ


โดย: merf1970 วันที่: 22 กันยายน 2552 เวลา:14:07:52 น.  

 
ปอ ป้า... ผมขออนุโมทนาบุญกับ ปอ ป้า และป้าแอ๊ด ที่จะช่วยกันถักหมวกไหมพรมเหลืองให้กับพระภิกษุสงฆ์ ขอให้ไม่ปวดเมื่อย ไม่แสบตานะครับ

ขอขอบคุณที่ ปอ ป้า กรุณามาช่วยเจิม

ผมเองภาษาอังกฤษ ก็ไม่ดีเหมือนกัน ไม่ค่อยกล้าพูดกับฝรั่ง

กลัวคนไทยฟัง แล้วเขาจะหัวเราะ... เป็นเรื่องจริง


นิ๊ง.... ขำ มาก ขำ เอิ๊ก เอิ๊ก กับ ดีส อิส อะ บุ๊ค กับ ต๊อกยู

โอย ขำ น้ำตาเล็ด

เป็นเมนต์ที่ผมอ่านแล้วเพลิดเพลินมากๆ

นายก๊อปไปลงเป็นบล็อกของนาย สักบล็อกหนึ่งซิ ลงได้จริงจิ๊ง..



โดย: yyswim วันที่: 22 กันยายน 2552 เวลา:15:01:31 น.  

 
วันนี้นอกจากได้อ่านบล็อก ตะโกน ของคุณสินแล้ว
ยังแอบขำฮากับคุณเมิร์ฟได้อีก ... กว่าจะเม้นท์ได้ก็เล่นเอาเหนื่อย
เพราะต้องหยุดกับการหัวเราะก่อน .. ฮาจริงๆ .. .


การสอนแนวใหม่แบบนี้ดีนะคะ เพราะว่าเป็นการเปิดการสอนใหม่ๆ
ให้เข้ากับยุคสมัย เด็กๆ เดี๋ยวนี้มันก็เปลี่ยนไป เพราะฉะนั้นสิ่งใหม่ๆ
มันดูจะเข้าทางมากกว่า แต่เรื่องหลักๆ เบสิคมันก็ยังคงที่
แต่ว่าวิธีการถ่ายทอดเปลี่ยนไปก็ไม่เห็นว่ามันจะมี
ปัญหาอะไรเลยนะคะ แต่กลับได้ผลดีมากกว่าเพราะว่าทำให้
เด็กๆ เค้าสนใจ แบบนี้ลองใช้ ลองทำตามบ้างก็ดีนะคะ


เรื่องการตะโกนมองอีกอย่างก็อาจจะเป็นการให้ฝึกในการออกเสียง
และจะได้ฝึกว่าเมื่ออ่านออกเสียงแล้วจะได้ลบความเขินอาย
ลงได้บ้างด้วยเหมือกันนะคะ ...


โดย: JewNid วันที่: 22 กันยายน 2552 เวลา:15:32:53 น.  

 
หวัดดีค่ะพี่สิน สบายดีมั้ยคะ พักหลังป้าเดซี่ยุ่ง ๆ เลยไม่ได้มาเยียมเยียนกันเลย แอบอ่านจากเม้นท์พี่สินก็ยุ่งเหมือนกันชิมิส์ล่ะ


มิสเตอร์ลีก๋ากั่นมาก ปลดแอกวิธีการสอนภาษาอังกฤษแบบเก่า ๆ ซะเด็กติดเกรียว อิอิ อ่านเรื่องนี้แล้ว ป้าเดซี่นึกอะไรต่อยอดขึ้นมาอีกสองเรื่องค่ะพี่


เรื่องแรก อาชีพครูสอนพิเศษภาษาอังกฤษก็เป็นอาชีพที่ทำรายได้สูงระเบิดเถิดเทิงเหมือนกันในฮ่องกงค่ะ เมื่อซักเดือนสองเดือนที่แล้วก็พาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ฉบับนึง เรื่องติวเตอร์ชื่อดังโดนฟ้องร้องเนื่องจากผิดสัญญาจ้าง ค่าเสียหายเป็นเงินแปดล้านกว่าเหรียญฮ่องกง


เดี๋ยวนะคะขอไปอากู๋ดูก่อน อ่ะ อ่ะ มาแล้วค่ะ


อีตาคนนี้แกมีสมญานามว่า King ค่ะ เป็นติวเตอร์ที่มีรายได้เป็นอันดับต้น ๆ ของบรรดาติวเตอร์ที่ฮ่องกง (แสดงว่ายังมีอีกหลายคนที่รายได้พอ ๆ กัน) อีตา King เนี่ย เคยมีรายได้ HKD 2.65 ล้านภายในเวลาแค่ 40 วันค่ะพี่ คูณสี่บาทกว่า ๆ เข้าไปนะ ใช่ค่ะแล้วหารด้วยสี่สิบวัน ฮ่า ฮ่า


พอดังแล้วจะแยกวง ไปเปิดบริษัทตัวเองไงคะ เลยโดนบริษัทฟ้องเรียกค่าเสียหายซะเลย ซวยไป


ส่วนเรื่องที่สอง ที่ป้าเดซี่ต่อยอดมาได้ เป็นเรื่องของคุณวรพลน่ะเอง จริง ๆ แล้วเธอเป็นครูสอนดนตรีค่ะ แต่เธอมีไซด์ไลน์เป็นครูสอนภาษาอังกฤษช่วงซัมเมอร์ด้วย ริอ่านจะเป็นคู่แข่ง อีตา King เรอะ ??


เธอมีวิธีการสอนแบบแหวกแนวเหมือนกัน คือสอนภาษาอังกฤษผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นดนตรี การทำอาหาร ละคร ฯลฯ


ซึ่งจากที่ผ่านมาหลายปี วิธีนี้เป็นวิธีที่ค่อนข้างเวิร์คนะคะ เพราะฝึกให้เด็กกล้าพูด และมีความคิดสร้างสรรค์ แต่....การสอนแบบนี้ไม่เน้นไวยากรณ์


แกเคยบอกว่า ป้าเดซี่เนี่ย เรื่องไวยากรณ์เก่งกว่าแกเยอะ แต่มันจำเป็นมั้ย ??


ป้าเดซี่ก็แถไปว่า ถ้าชั้นไม่เก่งไวยากรณ์ ชั้นจะพูดถูกเรอะ ฮ่ะ ฮ่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่า ใครผิดใครถูกนะคะ


โดย: Oops! a daisy วันที่: 22 กันยายน 2552 เวลา:15:33:47 น.  

 
อ่านเรื่องพี่สินก็ชอบ เพราะหมูเองอ่อนสุดๆเลย

มาอ่าเม้นท์คุณเมิร์ฟโอยไม่ไหว ขำซะจน.............ฮ่า ฮ่า


โดย: วันที่ท้องฟ้าแจ่มใส วันที่: 22 กันยายน 2552 เวลา:17:04:26 น.  

 
การได้ตะโกนนี่เป็นการปลดปล่อยอย่างหนึ่งนะคะ
เวลาป้าแอ๊ดไปปฏิบัติธรรม ตื่นตี 4 ออกมาออกกำลังกายกันนั่งสวดมนต์
มีช่วงหนึ่งครูฝึกบอกว่า มาตะโกนกันดีกว่า อยากตะโกนเสียงดังเท่าไหร่ ตะโกนไป "โฮ๊ะ"
พวกเราตะโกนกันสุดเสียงเลยค่ะ ดีว่าวัดอยู่ไกลจากบ้านชาวบ้านมาก ไม่งั้นคงตกใจว่าผู้ปฏิบัติธรรมทำอะไรกันขนาดนั้น

เป็นการปล่อยอารมณ์เครียด ในการนั่งสมาธิค่ะ
ใครไปปฏิบัติธรรมแล้วจะทราบว่า 3 วันแรกนั่นมันทรมานขนาดไหน
แต่ถ้าผ่านวันที่ 3 ไปแล้วจะทนได้ เพราะจะชินไปเอง(ฮา)

เอ..เขียนมานี่ไม่เกี่ยวกับการเรียนภาษาอังกฤษเลยนะคะ




โดย: ป้าแอ๊ด (addsiripun ) วันที่: 22 กันยายน 2552 เวลา:17:57:39 น.  

 
เขียนผิดค่ะ บรรทัดที่สองต้องเป็น

ออกกำลังกายกัน ก่อนสวดมนต์ค่ะ

เดี๋ยวจะเข้าใจผิด เอิ๊กๆ



โดย: addsiripun วันที่: 22 กันยายน 2552 เวลา:17:59:32 น.  

 
สไตล์สอนให้ตะโกนนี่แปลกดีเน๊อะ

ยัง งง งง อยู่ว่ามีลำดับขั้นตอนอย่างไร

แต่ก็คงจะเข้าทีแน่ๆจึงเป็นที่ยอมรับจนมาแรง
............................

ปอป้ารวดเร็วจริงๆวิ่งมาเจิม ......ไวมากกกกกกกกกกก

ขอแจ้งว่าคุณรัชชี่อัพบล็อกแล้วจ้า




โดย: ร่มไม้เย็น วันที่: 22 กันยายน 2552 เวลา:20:26:33 น.  

 
สวัสดียามเช้าครับพี่สิน



อยากไปเป็นลูกศิษย์ครูลีจังครับ หุหุหุ

ภาษาอังกฤษของผมเข้าหม้อเข้าไหมากเลยครับ









โดย: กะว่าก๋า วันที่: 23 กันยายน 2552 เวลา:6:16:40 น.  

 
ก่อนอื่น ขำการเจิมของปอป้าค่ะ จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอีกคนแล้ว

จริง ๆ หลักของภาษาใด ๆ ก็คือใช้บ่อย ๆ ฟัง พูด อ่าน เขียน ให้บ่อย

รัชชี่ก็ว่าการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในประเทศไทยมันผิดหลักธรรมชาติ ก็น่าจะใช้หลักแบบที่เราเรียนภาษาไทยตั้งแต่เกิดน่ะ ทฤษฎีการเลียนแบบ เด็ก ๆ เลียนแบบที่พ่อแม่สอนให้พูดตาม

ตอนนี้รัชชี่พยายามมีภาคภาษาปะกิตแบบย่อ ๆ แปะบล็อกข้างท้ายค่ะ เพราะว่าชีวิตจริงไม่ค่อยได้ใช้เลย เลยเอามาเขียนบล็อกนี่แหละ


โดย: รัชชี่ (รัชชี่ ) วันที่: 23 กันยายน 2552 เวลา:8:43:54 น.  

 
พีชว่าที่คนไทยพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เพราะ เราไม่ได้ใช้ค่ะ ขอยืมทฤษฎีของ คุณคริส ไรท์ ที่เค้าแนะนำว่า การจะพูดภาษาอังกฤษได้ดีนั้นต้องเริ่มจาก

1. Frequency ความถี่ ที่ได้พูดบ่อยๆ
2. Confident จนทำให้เกิดความมั่นใจ
3. Happiness พอเรามั่นใจแล้วเราจะเกิดความสุขที่ได้พูด
4. Correctness ค่อยมาดูความถูกต้องของไวยกรณ์ค่ะ

ดูๆ แล้ว ความถูกต้องเป็นอันดับสุดท้ายเลยค่ะ เพราะฝรั่งเค้าก็รู้อยู่แล้วว่าภาษาอังกฤษ พวกเราเรียนเป็นภาษาที่ 2 เค้าไม่ได้คาดหวังให้เราพูดถูกต้องตามไวยกรณ์เป๊ะๆ

ดังนั้นการพูดนั้น เราพูดผิด พูดถูก สำเนียงไม่ได้ (เราพูดภาษาอังกฤษสำเนียงไทย น่ารักดีออก) เค้าก็ไม่ได้ตำหนิเราหรอกค่ะ ขอเพียงเราสื่อสารได้เท่านั้น

มาพูดภาษาอังกฤษกันดีกว่าค่ะ


โดย: พีช IP: 119.63.95.131, 117.121.208.2 วันที่: 23 กันยายน 2552 เวลา:16:41:22 น.  

 

...ขอพระองค์ จงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน..ครับ...


โดย: ตาติ๊ก..ครับโผ๊ม.. (สกุลเพชร ) วันที่: 23 กันยายน 2552 เวลา:21:10:13 น.  

 
แวะมาป่านนี้ คุณสินคงหลับไปแล้ว
พรุ่งนี้ขอให้ตื่นขึ้นมาสดชื่นแจ่มใส เหมือนดอกไม้บานยามเช้านะคะ

Photobucket

ดอกมอร์นิ่งกลอรี่ที่บ้านป้าแอ๊ดเองค่ะ
คุณลุงเป็นคนปลูกค่ะ คนมือเย็นปลูกอะไรก็ขึ้นค่ะ


โดย: ป้าแอ๊ด (addsiripun ) วันที่: 23 กันยายน 2552 เวลา:23:27:14 น.  

 
สวัสดียามเช้าครับพี่









โดย: กะว่าก๋า วันที่: 24 กันยายน 2552 เวลา:7:26:50 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

yyswim
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 40 คน [?]





บล็อกสรรสาระนี้ จขบ.ไม่ได้เขียน-ไม่ได้ถ่ายภาพ-ไม่ได้อัพโหลดคลิปเอง หากแต่ทำหน้าที่เป็นบรรณาธิการบล็อก เสาะหาเรื่องดีๆ รูปสวยๆ คลิปแปลกๆ มาไว้ในบล็อก


ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยม ขอเชิญชมหรืออ่านตามสบาย ไม่ต้องคอมเมนต์ก็ได้ จขบ.ชอบการเข้ามาเยี่ยม แบบกันเอง ง่ายๆ สบายๆ




เริ่มเขียนBlog เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2548


เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ.2550 เวลา 23.30 น.


เริ่มนับจำนวนผู้เข้าเยี่ยมชม




Latest Blogs

New Comments
Group Blog
 
<<
กันยายน 2552
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
22 กันยายน 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add yyswim's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friends


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.