ฟุตบอลโลก2010 #2
ฟุตบอลโลก2010 #2
#5 FIFA World Cup Official Song
ปี 2010 @ South Africa
เพลง Waving Flag ขับร้องโดย K'naan ความยาว 3.41 นาที
ขับร้องใน Live Concert - FIFA World Cup 2010 South Africa
ปี 2006 @ Germany
เพลง Celebrate The Day ขับร้องโดย Herbert Grönemeyer ความยาว 4.51 นาที
ปี 2002 @ South Korea & Japan
Anthem FIFA World Cup 2002 โดย วง Vangelis ความยาว 3.41 นาที
ปี 1998 @ France
เพลง The Cup of Life ขับร้องโดย Ricky Martin ความยาว 4.30 นาที
#6 สถิติต่างๆ ของฟุตบอลโลก
การแข่งขันที่มีผู้เข้าชมในสนามมากที่สุด
ยกให้การแข่งขันนัดที่ บราซิลทีมเจ้าภาพ เตะกับทีมอุรุกวัย ในรอบชิงชนะเลิศ เมื่อปี 1950 แมทช์นั้นมีคนดูล้นหลามถึงประมาณ 174,000 คน ทั้งที่สนามเอสตาดิโอ้ โด มารากาน่า ที่ใช้เป็นสังเวียนฟาดแข้งในครั้งนั้น มีความจุเพียงแค่ 82,238 ที่นั่งเท่านั้น ซึ่งผลการแข่งขัน ทีมอุรุกวัย เอาชนะทีมเจ้าภาพไปได้ 2-1 ทำให้ทีมบราซิล ทำสถิติที่แปลก เป็นทีมที่คว้าแชมป์โลกมากที่สุดในปัจจุบัน แต่ไม่เคยคว้าแชมป์โลกในบ้านตัวเองได้เลย
การแข่งขันที่มีผู้เข้าชมในสนามน้อยที่สุด
เป็นการเตะฟุตบอลโลก แต่มีคนดูเพียงแค่ 300 คนเท่านั้น ดูสิว่าน้อยขนาดไหน แต่นั่นเป็นการแข่งขันระหว่างทีมโรมาเนีย เตะกับทีมเปรู ในฟุตบอลโลกปี 1930 ที่อุรุกวัย เป็นเจ้าภาพในปีแรก
สนามแข่งขัน
ฟุตบอลโลกครั้งนี้ ปี 2010 ใช้สังเวียนฟาดแข้งกัน 10 สนาม จาก 9 เมือง แต่ในการแข่งขันครั้งแรกที่เริ่มต้นการแข่งขันฟุตบอลโลกนั้น อุรุกวัยจัดให้เล่นกันแค่ 3 สนาม ในเมืองเดียวกันเท่านั้น ส่วนการใช้สนาม และใช้เมืองมากที่สุด คือที่ประเทศสเปนเป็นเจ้าภาพ เมื่อปี 1982 ครั้งนั้นใช้กัน 17 สนาม จาก 14 เมือง
ทีมแชมป์โลก
ทีมที่คว้าแชมป์โลก มีแค่ 2 ทวีปเท่านั้น คือทวีปอเมริกาใต้ กับทวีปยุโรป
ทีมอเมริกาใต้ ชนะเลิศ 9 ครั้ง โดย
บราซิล 5 ครั้ง (1958, 1962, 1970, 1994, 2002)
อาร์เจนตินา 2 ครั้ง (1978, 1986)
อุรุกวัย 2 ครั้ง (1930, 1950)
ทีมยุโรป ชนะเลิศ 9 ครั้ง โดย
อิตาลี 4 ครั้ง (1934, 1938, 1982, 2006)
เยอรมนีตะวันตก 3 ครั้ง (1954, 1974, 1990)
อังกฤษ 1 ครั้ง (1966)
ฝรั่งเศส 1 ครั้ง (1998)
ทีมบราซิล เป็นทีมเดียวที่ไม่เคยพลาดการแข่งขันรอบสุดท้าย รองลงมาคือ ทีมเยอรมนี ที่ไม่ผ่านการไปเล่นเพียง 2 ครั้ง เมื่อปี 1930 กับ ปี1950 และอิตาลี ก็ 2 ครั้งเช่นเดียวกัน คือ เมื่อปี 1930 กับ ปี1958
การทำประตู
ทีมที่ยิงประตูได้มากที่สุด คือทีมฮังการี ในปี 1954 นำทีมโดย เฟเรนซ์ ปุสกาส ซัดไปทั้งหมด 27 ประตู รองลงมาคือทีมเยอรมนีตะวันตก 25 ประตู
ชัยชนะสูงสุด ทีมฮังการี ต่อ ทีมเอลซัลวาดอร์ 10-1 (1982) / ทีมฮังการี ต่อ ทีมเกาหลีใต้ 9-0 (1954) และ ทีมยูโกสลาเวีย ต่อ ทีมซาอีร์ 9-0 (1974)
อนึ่ง ชัยชนะสูงสุดในรอบคัดเลือก - ทีมออสเตรเลีย มีต่อ ทีมอเมริกันซามัว 31-0 (ในรอบคัดเลือก ฟุตบอลโลก 2002)
ผู้เล่น
ผู้เล่นในฟุตบอลโลกจำนวนมากครั้งที่สุด - แอนโทนีโอ คาร์บาฮาล - 5 ครั้ง ทีมเม็กซิโก (1950-1966) และ โลทาร์ มัทเทอูส - 5 ครั้ง ทีมเยอรมนี (1982-1998)
ผู้เล่นที่ลงสนามในฟุตบอลโลกมากครั้งที่สุด - โลทาร์ มัทเทอูส - 25 นัด ทีมเยอรมนี
ผู้เล่นที่ทำประตูสูงสุดในฟุตบอลโลก
อันดับ 1 โรนัลโด้, บราซิล 15 ประตู ลงแข่ง 4 ครั้ง 1994 1998 2002 2006 (ลงแข่ง 18 นัด, ไม่ได้ลงเล่นใน 1994)
อันดับ 2 เกิร์ด มุลเลอร์, เยอรมนี 14 ประตู ลงแข่ง 2 ครั้ง 1970 1974 (ลงแข่ง 14 นัด)
อันดับ 3 ชุสต์ ฟงแตน, ฝรั่งเศส 13 ประตู ลงแข่ง 1 ครั้ง 1958 (ลงแข่ง 6 นัด)
อันดับ 4 เปเล่, บราซิล 12 ประตู ลงแข่ง 4 ครั้ง 1958 1962 1966 1970 (ลงแข่ง 14 นัด)
อันดับ 5 ซานดอร์ โคซ์ชิส, ฮังการี 11 ประตู ลงแข่ง 1 ครั้ง 1954 (ลงแข่ง 5 นัด)
อันดับ 5 เยอร์เกน คลินส์มัน, เยอรมนี 11 ประตู ลงแข่ง 3 ครั้ง 1990 1994 1998 (ลงแข่ง 17 นัด)
ลูเซียง โลรองต์ อดีตกองหน้าทีมชาติฝรั่งเศส ได้รับการบันทึกว่าเป็นนักเตะคนแรกที่ทำประตูได้ในฟุตบอลโลก เหตุเพราะทีมฝรั่งเศสเตะกับทีมเม็กซิโกเป็นคู่แรกของรายการฟุตบอลโลกครั้งแรก เมื่อปี 1930 ที่ประเทศอุรุกวัย
ฮาคาน ซูเคอร์ นักเตะทีมชาติตุรกีได้รับการบันทึกว่า เป็นผู้ที่ทำประตูได้เร็วที่สุด โดยยิงทีมเกาหลีใต้ ในนัดชิงที่ 3 ในปี 2002 ที่เกาหลีใต้/ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพ ด้วยเวลาเพียงแค่ 11 วินาทีเท่านั้น
ผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดที่ลงเล่นในฟุตบอลโลก คือ เปเล่ ทีมบราซิล อายุ 17 ปี 239 วัน สถิติของเปเล่ยากที่จะหาคนมาล้มสถิติของเขาได้ เพราะเขาเป็นนักเตะที่ลงเล่นด้วยอายุที่น้อยที่สุดแล้วทำประตูได้ในครั้งนั้นด้วย ครั้งนั้นทีมชาติบราซิลเจอกับทีมชาติเวลส์ (1958) รวมทั้งเขาเป็นผู้เล่นที่คว้าแชมป์โลกได้มากที่สุด คือ 3 สมัย (ปี 1958, 1962 และ 1970)
ผู้เล่นที่อายุมากสุดที่ทำประตูได้ คือ โรเจอร์ มิลลา ทีมแคเมอรูน อายุ 42 ปี 39 วัน นัดแข่งกับ ทีมชาติรัสเซีย (1994) และเป็นสถิติที่น่าแปลก เพราะในนัดเดียวกันนี้ โอเลก ซาเลนโก้ ทีมรัสเซีย ก็เป็นผู้ทำสถิติทำประตูในนัดเดียวได้ถึง 5 ประตู ช่วยให้ทีมรัสเซีย ถล่มเอาชนะทีมแคเมอรูนไป 6-1
มีผู้เล่นเพียงคนเดียว ที่ทำประตูได้ และก็ทำเข้าประตูทีมตัวเองด้วยในนัดเดียวกัน คือ เออร์นี่ แบรนต์ ทีมเนเธอร์แลนด์ ในนัดเจอ ทีมอิตาลี เมื่อปี 1978
ตัวสำรองที่ลงมาเล่นแล้วทำประตูได้ คนแรก คือ ฮวน บาซากูเรน ทีมเม็กซิโก ยิงลูกสุดท้ายช่วยให้ทีมเม็กซิโก เอาชนะ ทีมเอล ซัลวาดอร์ไป 4-0
ส่วนการทำแฮตทริค ทางฟีฟ่าเชื่อว่า เป็นนักเตะผู้มีนามว่า เบอร์ทรัม พาเตนูด อดีตกองหน้าทีมชาติสหรัฐ เขายิง 3 ประตูใส่ทีมปารากวัย ช่วยให้ทีมเอาชนะไปได้ 3-0 ที่ต้องใช้คำว่า เชื่อว่า นั้น เพราะมีบางลูกที่ไม่ชัดเจนว่าเขาเป็นผู้ทำประตู แต่ด้วยเทคโนโลยีในสมัยโน้น ยังตรวจสอบแน่ชัดไม่ได้นั่นเอง ดังนั้นจึงมีฝั่งที่ไม่เชื่อถือข้อมูลนี้ ยกเครดิตให้ กุยเลอร์โม่ สเตบิเล่ ที่ยิงแฮตทริคให้ทีมอาร์เจนติน่า ชนะทีมเม็กซิโก 6-3 ซึ่งมีความชัดเจนมากกว่า
โฌเซ่ บาติสต้า เป็นนักเตะที่ถูกบันทึกว่า ได้รับใบแดงเร็วที่สุดในฟุตบอลโลก โดยโดนไล่ออกตั้งแต่ยังไม่ถึง 1 นาทีด้วยซ้ำ ในแมทช์ที่ ทีมอุรุกวัย พบกับทีมสก็อตแลนด์ เมื่อปี 1986
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
นัดเดียวที่มีใบเหลืองและใบแดงมากสุด - 16 ใบเหลือง 4 ใบแดง คือนัด ทีมโปรตุเกส เจอกับทีมเนเธอร์แลนด์ (2006) โดยกรรมการ วาเลนติน วาเลนติโนวิช อิวานอฟ ชาวรัสเซีย
ปีที่ผู้เข้าชมฟุตบอลโลก บอกว่าดูได้มันและคุ้มเงินค่าตั๋วเข้าไปชมมากที่สุด คือปี 1954 ที่ยิงประตูกันเละ รวมทั้งหมด 140 ประตูจาก 26 นัดการแข่งขัน เฉลี่ยแล้วนัดละ 5.38 ประตู โดยนัดที่ยิงได้มากที่สุด คือนัดที่ทีมออสเตรีย เอาชนะทีมสวิตเซอร์แลนด์ 7-5 ประตู
นัดที่น่าจะเรียกว่าน่าเบื่อ คือนัดที่ทีมดังของโลกสองทีม ทำอะไรกันไม่ได้เลย ด้วยสกอร์ 0-0 เมื่อปี 1958 เป็นคู่ทีมบราซิล เจอกับทีมอังกฤษ
ประเทศอุรุกวัย ประกาศให้วันที่ 31 กรกฏาคม เป็นวันหยุดแห่งชาติ หลังจากที่ ทีมอุรุวัย คว้าแชมป์โลกครั้งแรกในปี 1930 ได้ในวันนั้น
ดัทช์ อีส อินดี้ส์ (Dutch East Indies) หรือประเทศอินโดนีเซียในปัจจุบันนั่นเอง นับเป็นทีมจากทวีปเอเชียทีมแรก ที่ได้ไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย เมื่อปี 1938 ส่วนทางทวีปแอฟริกา ประเทศแรกที่ได้ไปเล่นรอบสุดท้ายในฟุตบอลโลก คือประเทศอียิปต์ เมื่อปี 1934
โซนเอเชียเนีย เป็นโซนที่มีทีมติดเข้าแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ช้ากว่าโซนอื่นๆ และเป็นโซนเดียวที่มีทีมทีมเดียวคือออสเตรเลีย ผ่านเข้าไปถึงรอบ 2 เมื่อปี 2006 ส่วนโซนอื่นๆ เช่น โซนแอฟริกา มีทีมแคเมอรูน กับทีมเซเนกัล ทะลุเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย, โซนอเมริกาเหนือ และโซนเอเชีย ทะลุเข้าลึกที่สุด คือรอบรองชนะเลิศ คือทีมอเมริกา เมื่อปี 1930 และทีมเกาหลีใต้ เมื่อปี 2002
ทีมอิตาลี ลงเตะด้วยเสื้อสีน้ำเงิน มากกว่าสีที่อยู่ในธงของประเทศ ซึ่งเป็นสีเขียวกับสีแดงส้ม นั่นเพราะสีน้ำเงินเป็นสีประจำพระองค์ของราชวงศ์ซาวอย ของประเทศอิตาลีนั่นเอง
ฝรั่งเศส เป็นทีมแชมป์เก่า ที่ลงป้องกันตำแหน่งแชมป์โลกได้แย่ที่สุด คือในปี 2002 ที่เกาหลีใต้/ญี่ปุ่น ฝรั่งเศสตกรอบแรกด้วยการทำประตูได้เพียงแค่ประตูเดียวเท่านั้น จมอยู่ท้ายตารางของกลุ่มด้วย
ฟุตบอลโลกปี 1986 แต่เดิมกำหนดให้ประเทศโคลัมเบียเป็นเจ้าภาพ แต่มีการก่อความไม่สงบเกิดขึ้นภายในประเทศ ทำให้ฟีฟ่าย้ายฟุตบอลโลกปี 1986 ไปจัดที่ประเทศเม็กซิโกแทน
รางวัลต่างๆ
รองเท้าทองคำอาดิดาส (เดิมเรียกรองเท้าทองคำ) จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 1930 ผู้ที่ครอบครองอยู่ในปัจจุบันคือ มิโรสลาฟ โคลเซ่ กองหน้าทีมเยอรมนี ที่ทำไป 5 ประตูเมื่อ 4 ปีที่แล้ว
ลูกบอลทองคำอาดิดาส สำหรับสุดยอดนักเตะ (เดิมเรียกลูกบอลทองคำ) จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 1982 เมื่อครั้งที่แล้ว ซีเนอดีน ซีดาน เป็นผู้ได้รับรางวัล ส่วนลูกบอลเงินนั้น ฟาบิโอ คันนาวาโร่ได้ไป และลูกบอลบรอนซ์ เป็นของอันเดรีย ปีร์โล่
ยาชินอวอร์ด หรือ รางวัลสุดยอดผู้รักษาประตู (จัดครั้งแรกเมื่อปี 1994) ตั้งชื่อรางวัลให้เป็นเกียรติยศให้กับ โกลในตำนาน เลฟ ยาชิน ผู้ที่ครอบครองรางวัลนี้ในปัจจุบัน คือ จานลุยจิ บุฟฟ่อน
ฟีฟ่า แฟร์เพลย์ อวอร์ด มอบให้แก่ทีมที่ถูกบันทึกสถิติว่า เล่นได้ขาวสะอาดมากที่สุดในทัวร์นาเม้นต์ จะเริ่มนับตั้งแต่ การผ่านเข้ารอบที่สอง ปัจจุบันผู้ที่ครองตำแหน่งอยู่ มีสองทีมด้วยกัน คือ ทีมบราซิล และ ทีมสเปน
รางวัลเอนเตอร์เทรนนิ่งอวอร์ด มอบให้กับทีม ที่เล่นได้เร้าใจคนดูมากที่สุด ชี้วัดด้วยผลโหวตจากกลุ่มคนดู จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 1994 และทีม โปรตุเกส เป็นทีมที่ได้รับรางวัลนี้ เมื่อปี 2006
รางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยม มอบให้กับผู้เล่นฟุตบอลโลกที่อายุตั้งแต่ 21 ลงมา ในปี 2006 ผู้ที่ได้รับ คือ ลูคัส โพดอลสกี้
#7 พิธีเปิดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010
วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน 2553 พิธีเปิดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้เป็นไปอย่างน่าประทับใจ แม้จำนวนผู้ชมจะไม่เต็มความจุของสนาม ซอคเกอร์ ซิตี สเตเดียม ในกรุงโยฮันเนสเบิร์ก ประเทศแอฟริกาใต้..
โดยช่วงก่อนหน้า ที่พิธีเปิดฟุตบอลโลก 2010 จะเริ่มขึ้น ได้มีฝูงชนจำนวนมากทยอยเดินทางมาที่บริเวณด้านหน้าสนาม ซอคเกอร์ ซิตี สเตเดียม ในเมืองโยฮันเนสเบิร์ก โดยผู้คนเหล่านี้ต่างพากันร่วมเต้นรำร้องเพลงและเป่าแตร "วูวูเซลา"อย่างสนุกสนาน เพื่อรอเวลาให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดการแข่งขันเปิดประตูให้เข้าไปภายในสนาม ความจุ 94,700 ที่นั่ง เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในพิธีเปิดการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ โดยมีการถ่ายทอดไปยังผู้ชมกว่า 215 ประเทศทั่วโลก
กอร์ดอน ฟาคูฮาร์ ผู้สื่อข่าวกีฬาของสำนักข่าวบีบีซี รายงานว่า แม้จะมีผู้คนทยอยเดินทางมายังสนามซอคเกอร์ ซิตี เป็นจำนวนมากจนเกิดรถติด ตามถนนสายต่างๆทั่วนครโยฮันเนสเบิร์ก แต่คาดว่าจำนวนผู้ชมที่ได้เดินทางเข้าสู่สนามในช่วงพิธีเปิดจริงๆ นั้น อาจมีเพียงร้อยละ 75 ของความจุสนามซอคเกอร์ ซิตี
และทันทีที่มีการเปิดประตูให้ทุกคนทยอยเข้าสู่สนามได้ ขณะเดียวกันนั้นกองทัพอากาศแอฟริกาใต้ ได้ส่ง "ฝูงบินผาดโผน" มาบินอยู่เหนือสนามซอคเกอร์ ซิตี สเตเดียม โดยมีการแปรขบวนในรูปแบบต่างๆ สร้างความสนใจให้กับผู้คนที่อยู่เบื้องล่างทั้งในสนามและนอกสนาม
การแสดงของพิธีเปิด จัดเวลาไว้ประมาณ 30 นาที โดยผู้แสดง ซึ่งเป็นศิลปิน นักดนตรี นักเต้น ในชุดต่างๆ มาจากหลายประเทศ รวมจำนวน 1,581 คน
ชุดที่ 1 "The Calling" โดยเริ่มจากเสียงกลองภายในสนาม โดยกลุ่มนักแสดงจำนวนหลายร้อยคน ตีกลองดังกระหึ่มขึ้น ตามติดด้วยการขับขานบทเพลง "Sign of a Victory" ของ อาร์. เคลลี นักร้องอาร์แอนด์บี ชื่อดังชาวอเมริกัน วัย 43 ปี ที่ร่วมร้องเพลงนี้กับกลุ่มนักร้องท้องถิ่น คณะ "Soweto Spiritual Singers" อันเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าพิธีเปิดศึกฟุตบอลโลก 2010 บนแผ่นดินแอฟริกาใต้ ได้เปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว
แล้ว โซลานี เอ็มคิวา กวีแอฟริกันชื่อดัง ได้ปรากฎตัวขึ้นที่บริเวณกลางสนาม พร้อมขับขานบทกลอน ซึ่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับ เมืองต่างๆ ของแอฟริกาใต้ และสนามฟุตบอลต่างๆที่จะใช้ในศึกฟุตบอลโลกคราวนี้ ยินดีให้การต้อนรับผู้มาเยือนจากทั่วโลก ที่ถึงแม้จะมีความแตกต่างหลากหลายในเรื่องเชื้อชาติ ภาษา และวัฒนธรรม แต่ทุกคนที่มาเยือนแอฟริกาใต้ ก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ การเดินทางมาเป็นส่วนหนึ่งของศึกฟุตบอลโลก 2010
ชุดที่ 2 "Africa Lives In All Of Us" เป็นส่วนที่เน้นการร้องรำทำเพลงอย่างสนุกสนาน โดยมีนักร้องรับเชิญหลายคนสลับผลัดเปลี่ยนกันร้องเพลง นอกจากนั้น ยังมีการตัดตอนนำสุนทรพจน์บางส่วนของอดีตประธานาธิบดี เนลสัน แมนเดลา ซึ่งไม่ได้เดินทางเข้ามาร่วมในพิธีเปิด มาออกอากาศในสนาม
ก่อนที่พิธีเปิดการแข่งขันจะสิ้นสุดลงอย่างน่าประทับใจ เซ็ปป์ แบล็ตเตอร์ ประธานสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ " ฟีฟ่า" และประธานาธิบดีเจค็อบ ซูมาแห่งแอฟริกาใต้ ก็ผลัดกันกล่าวสุนทรพจน์สั้นๆ เป็นอันสิ้นสุดพิธีเปิดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010
การแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งต่อไป ในอีก 4 ปีข้างหน้า คือ FIFA World Cup 2014
จะจัดการแข่งขันที่ประเทศบราซิล ทวีปอเมริกาใต้
ขอขอบคุณที่ติดตาม
yyswim
yyswim@hotmail.com
Create Date : 12 มิถุนายน 2553 |
Last Update : 12 มิถุนายน 2553 21:39:50 น. |
|
20 comments
|
Counter : 3178 Pageviews. |
|
|
|
วันนี้อากาสดีจังเลย
บล็อกนี้มีเนื้อหาสาระเสมอเลยค่ะ
มีความสุขมากมากวันหยุดนะค่ะ