* * * * ไม่มีเงิน และไม่มีมือถือ * * * * บล็อกที่ 786










* ไม่มีเงิน และไม่มีมือถือ *




2





3





4





5





6





7





8






ขอ เอ่ย ถึง กรุงเทพ สักหน่อยหนึ่งก่อนครับ




กรุงเทพมหานคร มาจากชื่อเต็มว่า ....‘กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบูรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์’





ซึ่งแปลว่า.. ‘พระนครอันกว้างใหญ่ ดุจเทพนคร เป็นที่สถิตของพระแก้วมรกต เป็นมหานครที่ไม่มีใครรบชนะได้ มีความงามอันมั่นคง และเจริญยิ่ง เป็นเมืองหลวงที่บริบูรณ์ด้วยแก้วเก้าประการ น่ารื่นรมย์ยิ่ง มีพระราชนิเวศใหญ่โตมากมาย เป็นวิมานเทพที่ประทับของพระราชาผู้อวตารลงมา ซึ่งท้าวสักกเทวราชพระราชทานให้ พระวิษณุกรรมลงมาเนรมิตไว้’














9





10





11





12





13





14





15





16





17






กรุงเทพมหานคร (Bangkok) เป็นเมืองหลวงของไทย เป็นศูนย์กลางของการปกครอง การศึกษา การคมนาคมขนส่ง การเงินการธนาคาร การพาณิชย์ และการสื่อสาร เป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดของประเทศ (ปี พ.ศ.2553 มีประชากร 10,326,093 คน)




ยกตัวอย่างเช่น กรุงเทพมหานคร เป็นที่ตั้งของทำเนียบรัฐบาล กระทรวงต่างๆ สภาผู้แทนราษฎร และศาลยุติธรรม กรุงเทพมหานคร มีสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ ประมาณ 30 แห่ง มีสถาบันการศึกษาของเอกชน ประมาณ 20 แห่ง กรุงเทพมหานครเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ ทั้งทางบก เรือ อากาศ กรุงเทพมหานคร มีธนาคารรัฐ ธนาคารเอกชนไทย และสาขาต่างชาติ ประมาณ 20 แห่ง




กรุงเทพมหานคร มีตึกสูงเกิน 30 ชั้นมากมาย โดยตึกที่สูงที่สุด คือ ตึกใบหยก 2 (สูงเป็นอันดับที่ 44 ของโลก) กรุงเทพมหานคร มีโรงแรมระดับ 5 ดาว มากกว่า 20 แห่ง มีศูนย์ค้าหุ้น ศูนย์อัญมณี ศูนย์บังเทิงเริงรมย์ ศูนย์ออกกำลังกาย มีแหล่งช้อปปิ้งต่างๆ เช่น สยามสแควร์, สยามพารากอน, เซ็นทรัลเวิลด์, มาบุญครอง, ศูนย์การค้าริเวอร์ซิตี้, ตลาดนัดจตุจักร, ยูเนี่ยนมอล, ประตูน้ำ, เยาวราช, สุขุมวิท, พระรามสาม, และกรุงเทพมหานคร ยังมี พระราชวัง พิพิธภัณฑ์ ท้องฟ้าจำลอง สวนพักผ่อนหย่อนใจ เป็นต้น




อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกรุงเทพมหานคร เป็นศูนย์กลางของหลายๆอย่าง ประชากรก็มีมากมายนับสิบล้านคน รวมทั้งผังเมืองกรุงเทพที่วางไว้เดิมก็วางไว้ไม่ดี มีการถมคูคลองระบายน้ำมาขยายเป็นถนน มีการต่อเติมอาคารต่างๆอย่างผิดกฎหมาย มีการติดตั้งป้ายโฆษณาต่างๆที่ไร้ระเบียบ รวมทั้งกรุงเทพมหานครเป็นพื้นที่ต่ำ สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 1 เมตรเศษ




ปัญหาของกรุงเทพมหานคร จึงมีทั้งการจราจรที่ติดขัด ฝุ่นในอากาศมาก เสียงดังเกินค่ามาตรฐานในบางพื้นที่ น้ำท่วมเมื่อฝนตกหนัก ขยะล้นถังหากเก็บไม่ทัน ปัญหาด้านหญิงบริการ ปัญหาด้านถูกขโมยทรัพย์สิน ปัญหาด้านถูกโกงราคาสินค้า เป็นต้น ซึ่งปัญหาเหล่านี้เมื่อรวมๆกัน ก็เลยทำให้คนกรุงเทพรีบเร่ง ไม่ค่อยยิ้มแย้ม ไม่ค่อยเอื้อเฟื้อ ต่างคนต่างอยู่ ไม่สนใจผู้อื่น หากใครจะเดินเข้ามาขอให้ช่วยเหลือ ก็มักจะถือว่า ไม่ใช่เรื่องสำคัญ หรือบางครั้งก็จะไม่ใส่ใจ ..หากเปรียบเทียบน้ำใจของคนกรุงเทพกับคนต่างจังหวัดจะแตกต่างกัน





18





19





20





21





22





23





24





25






บล็อกวันนี้ จขบ.ขอนำเรื่อง ‘แนวน้ำใจ’ มาอัพบล็อก เนื่องในโอกาสวันเข้าพรรษา วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8




โดยขอนำ หลักสูตร "ลองใช้ชีวิตในเมืองใหญ่โดยไม่มีเงิน และไม่มีมือถือ" จขบ. นำมาจากคอลัมน์ ‘เล็กไปใหญ่’



จากหนังสือ ‘สานพลัง’ โดย นายแพทย์ ชาตรี เจริญศิริ สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ มาช่วยเผยแพร่




............................................................................................




ชื่อหลักสูตร “ลองใช้ชีวิตในเมืองใหญ่โดยไม่มีเงิน และไม่มีมือถือ” ระยะเวลา 8 ชั่วโมง ระหว่าง 09.00 – 17.00 น. ในวันเสาร์ต้นเดือน




ผู้เข้าร่วม ประกอบด้วยคนทำงานออฟฟิศ หรือมนุษย์เงินเดือนจำนวน 20 คน




เงื่อนไข ให้ทุกคน งดอาหารเช้า แล้วมาพบกันที่หน้าห้างใหญ่ ย่านสยามสแควร์ เวลา 09.00 น.




“เงินทอง บัตรเอทีเอ็ม มือถือ ที่พกพามา ให้ฝากไว้ที่อาจารย์ ตอนเย็นจะคืนให้



แล้วทุกคนต้องหาวิธี ไปถึง จุดนัดพบ ที่หน้าห้างใหญ่ตรงแยกลาดพร้าว ภายในเวลา 17.00 น."





ทุกคนปฏิบัติการด้วยท้องที่หิว ต่างนำตัวเองไปสู่ จุดนัดหมาย ด้วยประสบการณ์เฉพาะตนที่ยากจะลืมเลือน






‘แดง’ เล่าว่า เธอพยายามรวบรวมความกล้า ไปขอเงินค่ารถเมล์ แต่ใจไม่กล้าพอ เพราะรูปร่างหน้าตาแบบเธอนี่ ใครเขาจะเชื่อว่า ไม่มีเงินเลยสักบาท ... แต่ด้วยความมุ่งมั่น เธอจึงเดินจากสยามไปถึงแยกลาดพร้าวโดยไม่มีอาหารและน้ำ ตกถึงท้อง เธอสรุปวีรกรรมของเธอว่า เป็นเรื่อง “ศักดิ์ศรี” ล้วนๆ .. เพื่อนๆ จึงแถมให้ว่า “ไม่ฉลาด” เพราะไม่รู้จักขึ้นรถเมล์ฟรีสำหรับประชาชน




‘ต้อย’ แก้โจทก์แรก ทำอย่างไรจึงจะหายหิว ‘ต้อย’ เล็งแม่ค้าหมูปิ้ง ที่ท่าทางมีเมตตา ‘ต้อย’ เริ่มบรรยายว่า เธอไม่ได้กินข้าวเช้า กำลังจะเป็นลมแล้ว แม่ค้าสงสารยื่นหมูปิ้งให้สองไม้ แถมข้าวเหนียวอีกห่อ ณ นาทีนั้น ‘ต้อย’ สัญญากับตัวเองว่า ทันทีที่ภารกิจเสร็จ ได้กระเป๋าสตางค์ของเธอคืน เธอจะมาเหมาหมูปิ้งหมดเลย .. แต่พอถึงตอนเดินไปขอใช้โทรศัพท์มือถือ จากผู้ที่เดินผ่านไปมา สายตาที่มอง ‘ต้อย’ หัวจรดเท้า หรือท่าทีธุระไม่ใช่ของคนเหล่านี้ ‘ต้อย’ สรุปว่า น้ำใจแห้งแล้งกว่าแม่ค้าหมูปิ้งยิ่งนัก




‘ต้อย’ บากหน้าขอยืมมือถือกว่าสิบราย แต่สุดท้ายมีหญิงวัยกลางคน ให้เธอยืมมือถือมาโทร. ได้สำเร็จ... ‘ต้อย’ สัญญากับตัวเองเป็นคำรบสองว่า ต่อจากนี้ไป ใครมาขอยืมใช้โทรศัพท์มือถือ เธอจะเต็มใจให้ใช้ โดยไม่เกี่ยงงอนใดๆ เลย ..นี่คือคำสัญญาจาก ‘ต้อย’





26





27





28





29





30





31





32





33






‘เอก’ พยายามทดสอบน้ำใจผู้คน แต่ไม่มีใครเชื่อว่า ชายครบสามสิบสอง ไม่พิกลพิการ จะมีหน้ามาแบมือขอเงิน ‘เอก’ ต้องทนหิวถึงบ่ายแก่ๆ ไปขอเงินจากนักศึกษาสาวที่มอง ‘เอก’ อย่างพินิจพิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินจากไป ราวสิบนาทีต่อมา เธอยื่นถุงจากร้านสะดวกซื้อให้ ‘เอก’ ..โดยไม่พูดสักคำ ‘เอก’ รับมาเปิดดู มีเครื่องดื่มเย็นๆ สองขวด แซนวิช และธนบัตรหนึ่งร้อยบาทในถุงนั้น




‘เอก’ เล่าว่า อยากจะวิ่งไปขอบคุณนักศึกษาสาวผู้นั้น แต่เธอเดินลับหายไปในฝูงชน บุญคุณครั้งนี้ ‘เอก’ จะไม่ลืม เงินร้อยบาทที่ได้มา เป็นเงินที่มีค่ามากกว่าเงินเดือนหลายหมื่น ที่ฝ่ายการเงินโอนเข้าบัญชีของ ‘เอก’ ทุกเดือนซะอีก .. ‘เอก’ กำลังคิดว่า ตนจะตอบแทนสังคมที่มีผู้มีน้ำใจได้อย่างไร




‘วิทยา’ เป็นวิทยากรในกระบวนการหลักสูตรนี้ แต่ต้องใช้ชีวิตโดยไม่มีเงินและมือถือเช่นเดียวกัน ‘วิทยา’ ปล่อยวางและเล่นเกมนี้อย่างไม่กดดันตัวเอง แต่พยายามเข้าใจปฏิกิริยาของคนที่เขาไปขอเงิน และพยายามเชื่อมโยงเหตุผลที่ทำให้บางคน “มีน้ำใจ” กว่าคนอื่น




‘วิทยา’ ได้รับความช่วยเหลือจากคนที่ใส่ใจรับฟังหรือจ้องมองดวงตาของ ‘วิทยา’ .. แต่ผู้คนที่เร่งรีบ ไม่มีเวลาแม้แต่จะหยุดฟัง มักเชิดหน้าผ่านไป พร้อมส่งสัญญาณอำมหิต แปลความได้ว่า...ชีวิตใคร ชีวิตมัน อย่ามายุ่งกับ ข้า!!





ผู้เข้าร่วมทั้ง 20 คน มาถึงจุดนัดหมายด้วย “ตัวช่วย” แตกต่างกัน แต่ทุกคนสรุปตรงกันว่า




ต่อไปนี้ ตนจะทำหน้าที่เป็น ‘ผู้ให้’ อย่างเต็มใจ เมื่อมีผู้ร้องขอ



เพราะถ้าเรา “ไม่ให้ ไม่ช่วย คนในสังคมแล้ว สังคมที่เราอยู่ร่วมกันนี้ ก็คงไม่มีการให้ มีแต่ความเป็นตัวใครตัวมัน”




หลักสูตรนี้ ได้ชี้ทางว่า .. “เราควรใช้ ชีวิตที่เหลือต่อไป อย่างไร?”






34





35





36





37





38





39





40






ข้อคิดส่งท้าย จาก จขบ.



“ทุกนาที มีค่ากว่าที่คิด


ทุกชีวิต มีค่ากว่าที่เห็น


ทุกๆบาท มีค่ากว่าที่เป็น


ไม่ลำเค็ญไม่เห็นค่า ราคาจริง”



ขอขอบคุณที่ติดตาม


ขอขอบคุณมากๆ นะครับ ที่มีผู้กรุณาโหวตให้ ในสาขา Topical Blog



จาก สิน yyswim






Create Date : 16 กรกฎาคม 2554
Last Update : 16 กรกฎาคม 2554 3:14:25 น. 20 comments
Counter : 3084 Pageviews.

 


โดย: vootb วันที่: 16 กรกฎาคม 2554 เวลา:3:18:48 น.  

 
เห็นภาพยายแล้วสะท้อนใจค่ะ ในกรุงเทพ คนแก่ยังต้องนั่งขายของเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพตัวเองและเพื่อลูกๆหลานๆ แต่อยู่ที่ต่างจังหวัด คนแก่ก็คงอยู่สวน ตามไร่ อย่างมีความสุขนะคะ


โดย: สัญญาลมปาก วันที่: 16 กรกฎาคม 2554 เวลา:4:52:23 น.  

 
ขอบคุณ สำหรับเรื่องราวที่ดีๆเช่นนี้ครับพี่


โดย: ตาติ๊ก IP: 182.53.121.81 วันที่: 16 กรกฎาคม 2554 เวลา:6:10:56 น.  

 

สว้สดีค่ะคุณสิน

ภาพงดงามมากค่ะ ไว้ให้เพื่อนอเมริกันดูได้เลยว่าบ้านเมืองเราสวยเช่นกัน

ชีวิตคนในกรุงเทพมหานคร ไม่แพ้กับคนในเมืองนิวยอรค์ซิตี้เลยค่ะ





โดย: newyorknurse (newyorknurse ) วันที่: 16 กรกฎาคม 2554 เวลา:8:02:31 น.  

 
สวัสดีค่ะพี่สิน

ในเมืองใหญ่ ยังมีผู้คนที่มีน้ำใจอยู่มาก
แต่เพราะมีมิจฉาชีพมาแอบอ้างใช้เป็นช่องทางทำมาหากิน
เลยทำให้ผู้คนตกอยู่ในความหวาดระแวง
เกรงว่าจะถูกต้มตุ๋นน่ะค่ะ

คนไทยมีน้ำใจ ยังเชื่อเช่นนั้นค่ะ



แอมอร


โดย: peeamp วันที่: 16 กรกฎาคม 2554 เวลา:9:29:12 น.  

 
เรื่องราวของการทดลองและวิธีการ
ที่ผู้แข่งขันได้ใช้นี้ ทำให้นึกถึงรายการเจาะใจ
ที่เคยได้ดูมาค่ะ อย่างให้คุณอุ้ม สิริยากร พุกกะเวช
ลองปิดตา เป็นตาบอดอยู่นานหลายวัน และก็
ต้องทำอะไรเหมือนคนตาบอดทำ ... พอพ้นหลังจาก
นั้นแล้วคุณอุ้มก็รู้สึกว่า มีอะไรบ้างที่คนตาบอดเค้าลำบาก
และต้องการความช่วยเหลือ ... เลยเป็นผลให้คุณอุ้ม
มีกิจกรรมและสิ่งต่างๆ ในไอเดียในการช่วยเหลือ
รวมถึงการให้งานคนตาบอดทำเพราะคิดว่าเค้าพิการ
ทางสายตา ... อย่างเดียว แต่ความสามารถอย่างอื่น
ยังมีล้นเหลือ เพียงแค่ขาดโอกาสเท่านั้น ถือว่าเป็น 1 กิจกรรม
ในการผลักดันให้คนอื่นๆ เห็นความสำคัญของการ
ช่วยเหลือคนตาบอดนะค่ะ

อีกตัวอย่างอีกเช่นกัน ... เรื่องของคนรวย ... ที่จะต้อง
มาอยู่อย่างมีเงินจำกัด ละทิ้งความหรูหรา ฟู่ฟ่าต่างๆ ออกไป
เค้าลองไปใช้ชีวิตโดยการปั่นซาเล้ง และรู้ว่ามันหนักหนา
เมื่อก่อนรวย มีเงิน ขับรถตามหลังซาเล้งก็บีบแตรใส่ประจำเพราะว่า
เกะกะขวางทาง แต่ว่าพอเค้ามาลองปั่นซาเล้งแล้ว
เค้าบอกว่า ต่อไปนี้จะไม่มีบีบแตรไล่หลังอีกแล้วเพราะรู้ว่า
การปั่นมันไม่ได้สามารถปั่นได้เร็วรี่และรู้สึกกดดันเช่นกัน ...


ทั้งหมด .. ทำให้เราเรียนรู้ไปด้วยว่า ... คนเราจะ "รู้สึก" กับ "อะไร"
สักอย่าง ก็ต่อเมื่อเราได้สัมผัสกับมันจริงๆ เราถึงจะเข้าใจน่ะค่ะ

และน้ำใจก็อยากให้คนบ้านเรายังคงมี ไม่เหือดหาย
ภาวนาว่าความเปลี่ยนแปลงของสิ่งรอบตัวเปลี่ยนได้ตามสภาพ
แต่ก็อยากให้คงความเป็นคนไทย มีน้ำใจ เปี่ยมรอยยิ้ม
ไม่หายไปไหนค่ะ


โดย: JewNid IP: 110.164.249.37 วันที่: 16 กรกฎาคม 2554 เวลา:10:01:12 น.  

 
“ทุกนาที มีค่ากว่าที่คิด


ทุกชีวิต มีค่ากว่าที่เห็น


ทุกๆบาท มีค่ากว่าที่เป็น


ไม่ ลำเค็ญไม่เห็นค่า ราคาจริง”


ป๊าดดดดดด ถูกใจมากเลยพี่สิน ยืมไปแชร์ในเฟชหน่อยนะครับ เด๋วเครดิตมาทางนี้

ใจจะละลายเสียให้ดายทุกทีที่เข้ามาบ้านนี้ ก็ภาพแต่ละภาพที่พี่สินเอามาแป่ะให้ชม สีสันของโลกเรา

คำคมส่งท้ายจะไม่โดนไม่สุดๆเลยถ้าไม่ได้อ่านเรื่องราวการผจญภัยในเมืองหลวงแบบไม่มีเงินไม่มีมือถือค้าบ ว่าแล้วก็โหวตตตตตตโลด


โดย: น้ำ-ฟ้า-ป่า-เขา วันที่: 16 กรกฎาคม 2554 เวลา:10:12:30 น.  

 
ชอบตรงทิ้งท้ายนะคะ สรุปใจความทั้งหมดได้ดีมากๆ เลยค่ะ



โดย: sierra whiskey charlie วันที่: 16 กรกฎาคม 2554 เวลา:10:24:11 น.  

 
อ่านเรื่องทั้งหมดแล้ว มีความรู้สึกว่าสังคมเราไม่ได้ขาดน้ำใจแต่เป็นเพราะประสบการณ์จากการเรียนรู้ จากการอ่าน การดู การฟัง ส่งผลให้ผู้ที่ขอรับความช่วยเหลือ มองว่าเป็นกลุ่มมิจฉาชีพในคราบของผู้ดี และน่าจะเป็นกระบวนการ
ยกตัวอย่างการขอใช้โทรศัพมือถือ ประเด็นไม่ใช่อยู่ที่ราคาต่อนาทีที่ต้องเสียให้ แต่เป็นเพราะมูลค่าของโทรศัพท์ เสียมากว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งโทรศัพท์สาธาณะน่าจะเป็นทางออกที่เขาจะปฏิเสธได้อย่างมีน้ำหนัก เขาเสี่ยงเกินไปหากถูกวิ่งราว เพราะไปยื่นให้เขาใช้เองอะไรทำนองนั้น (แต่เขาก็ไม่ทราบว่ากลุ่มผู้ทดสอบไม่มีสตางค์แม้แต่เศษเหรียญที่จะใช้โทรฯ ) สังคมสอนให้ต้องระมัดระวังตัว เลยดูว่าขาดน้ำใจ
การเป็นผู้ให้นั้นแหละดี ที่ทีมงาน (คุณเอกฯ) พบคือการซื้ออาหารให้พร้อมเงินใส่ถุงอีก 100 บาท ประเด็นนี้เสี่ยงน้อยเพราะไม่กี่สตางค์
ยังไม่ชัดเจนจากทีมงานทดลอง เ่ช่นลักษณะการแต่งกาย เป็นอย่างไร เป็นไปตามปกติทั่ว ๆ ไป ทำให้ผู้ที่ขอรับความช่วยเหลือมองดูว่าตลกและคิดว่าน่าจะเป็นการถ่ายทำรายการอะไรหรือเปล่า แล้วไม่น่าจะตกยากขนาดนั้น
ประเด็นสุดท้ายทีมงาน 20 คน มีเพียง 4 ท่าน คือ แดง, ต้อย, เอก และวิทยา เท่านั้นที่มาเล่าให้ฟัง แล้วอีก 16 ท่านละ ท่านไม่มีน้ำใจที่จะเล่าให้ฟังหรือ......



โดย: พี่ ' นัส (ของป้าแอ็ด) IP: 124.120.0.113 วันที่: 16 กรกฎาคม 2554 เวลา:11:40:42 น.  

 
อ่านเรื่องทั้งหมดแล้ว มีความรู้สึกว่าสังคมเราไม่ได้ขาดน้ำใจแต่เป็นเพราะประสบการณ์จากการเรียนรู้ จากการอ่าน การดู การฟัง ส่งผลให้ผู้ที่ขอรับความช่วยเหลือ มองว่าเป็นกลุ่มมิจฉาชีพในคราบของผู้ดี และน่าจะเป็นกระบวนการ
ยกตัวอย่างการขอใช้โทรศัพมือถือ ประเด็นไม่ใช่อยู่ที่ราคาต่อนาทีที่ต้องเสียให้ แต่เป็นเพราะมูลค่าของโทรศัพท์ เสียมากว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งโทรศัพท์สาธาณะน่าจะเป็นทางออกที่เขาจะปฏิเสธได้อย่างมีน้ำหนัก เขาเสี่ยงเกินไปหากถูกวิ่งราว เพราะไปยื่นให้เขาใช้เองอะไรทำนองนั้น (แต่เขาก็ไม่ทราบว่ากลุ่มผู้ทดสอบไม่มีสตางค์แม้แต่เศษเหรียญที่จะใช้โทรฯ ) สังคมสอนให้ต้องระมัดระวังตัว เลยดูว่าขาดน้ำใจ
การเป็นผู้ให้นั้นแหละดี ที่ทีมงาน (คุณเอกฯ) พบคือการซื้ออาหารให้พร้อมเงินใส่ถุงอีก 100 บาท ประเด็นนี้เสี่ยงน้อยเพราะไม่กี่สตางค์
ยังไม่ชัดเจนจากทีมงานทดลอง เ่ช่นลักษณะการแต่งกาย เป็นอย่างไร เป็นไปตามปกติทั่ว ๆ ไป ทำให้ผู้ที่ขอรับความช่วยเหลือมองดูว่าตลกและคิดว่าน่าจะเป็นการถ่ายทำรายการอะไรหรือเปล่า แล้วไม่น่าจะตกยากขนาดนั้น
ประเด็นสุดท้ายทีมงาน 20 คน มีเพียง 4 ท่าน คือ แดง, ต้อย, เอก และวิทยา เท่านั้นที่มาเล่าให้ฟัง แล้วอีก 16 ท่านละ ท่านไม่มีน้ำใจที่จะเล่าให้ฟังหรือ......



โดย: พี่ ' นัส (ของป้าแอ็ด) IP: 124.120.0.113 วันที่: 16 กรกฎาคม 2554 เวลา:11:40:43 น.  

 



สุดยอดครับ


โดย: อสูรกายไทฟอน วันที่: 16 กรกฎาคม 2554 เวลา:12:07:13 น.  

 
“ทุกนาที มีค่ากว่าที่คิด

ทุกชีวิต มีค่ากว่าที่เห็น

ทุกๆบาท มีค่ากว่าที่เป็น

ไม่ลำเค็ญไม่เห็นค่า ราคาจริง”


ใช่เลยค่ะ เห็นด้วยสุดๆ
ขอบคุณสำหรับรูปสวยๆนะคะ


โดย: Schnuggy ชนุ๊กกี้ วันที่: 16 กรกฎาคม 2554 เวลา:17:13:11 น.  

 
เมื่อบ่ายแก่ๆ ส้มดูละครจบในตอนชุดฟ้ามีตาน่ะค่ะ เป็นเรื่องครอบครัวนึงมาอยู่กรุงเทพฯ แล้วไปนอนใต้สะพานทางด่วน ฝ่ายสามีชื่อแห้งออกไปหางานทำ ฝ่ายภรรยาชื่อจ่อยก็เลี้ยงลูกและเก็บของแถวนั้นขาย

แต่วันนึ่งมีคนเลวคนนึงมาทำร้ายจ่อยแล้วกำลังจะถูกข่มขืน ในวินาทีนั้นมีชายหนุ่มคนนึงผ่านมาช่วยได้ทัน พอทราบถึงปัญหาชีวิตของจ่อย ก็กลับไปออฟฟิศเล่าให้เพื่อนร่วมงานฟัง

คนในออฟฟิศต่างพากันสงสาร จึงช่วยกันบริจาคเงินไปซื้อกินของใช้ไปให้สามีภรรยาคู่นี้ รวมทั้งลงประกาศหางานให้ทำผ่านเว็บไซต์ด้วย

ด้วยความมีน้ำใจของคนกรุงเทพฯ ที่ไม่เคยคิดว่าจะได้รับ สามีภรรยากับลูกน้อยก็มีชีวิตดีขึ้น และต่างก็หยิบยื่นไมตรีให้กันทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่เพราะคำว่า "ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์" นี่ล่ะ ที่ทำให้เกิดมิตรภาพและเรื่องดีๆ ขึ้นมาในชีวิต

พอดูจบก็ซึ้งเลยค่ะ


โดย: ส้มแช่อิ่ม วันที่: 16 กรกฎาคม 2554 เวลา:17:52:52 น.  

 
สวัสดีครับพี่สินครับ

ตึกรามพวกนี้ ผมคุ้นหน้าคุ้นตาหมดเลยนะครับ สงสัยจะอยู่ประเทศกรุงเทพนานไปหน่อยแล้ว


ต้นเดือนพฤศจิกาครับ น่าจะวันที่ 9 เริ่มงานพืชสวน จัดต่อเนื่อง 99วันครับ


โดย: เป็ดสวรรค์ วันที่: 16 กรกฎาคม 2554 เวลา:19:21:33 น.  

 
สวัสดีครับพี่สิน

บล็อกที่แล้วผมเข้ามาครั้งหนึ่งยังดูไม่จบ มาบล็อกนี้เลยต้องดูให้จบ ก็คิดอยู่ในใจว่าเห็นกรุงเทพเต็มตาวันนี้เอง

มาอ่านเรื่องของผู้ให้แล้วประทับใจมาก ทั้ง ๆที่เป็นผู้ให้มาตลอดก็ยังน้ำตาไหลที่การสรุปครั้งสุดท้าย และก็คิดว่าจะให้ต่อไปโดยไม่เบื่อ ครั้งล่าสุดมีชายเตี้ยดำน่าจะเป็นเขมรเดินหน้าเซื่องมาของานทำบอกถูกเรือประมงเบี้ยวค่าแรง เราก็บอกว่าคงไม่ได้เราไม่รู้ที่อยู่เขาบัตรก็ไม่มีก็ให้เป็นเงิน เขาบอกเขาไม่ขอเงินอยากได้งานแต่สุดท้ายก็บอกอยากกลับบ้านขอค่ารถตู้ สามร้อยบาท ผมให้ไปแ้บงค์ห้าร้อย แล้วกลัวเขาไม่มีย่อยก็ให้ไปอีกร้อยหนึ่ง เขาน้ำตาซึมยกมือไหว้แล้วจากไป พอดีตอนที่ให้ก็คุยโทรศัพท์อยู่กับเพื่อนบล็อกคนหนึ่ง

ช่วยกันทำดีเถิด คิดเสียว่าอย่างน้อยถ้าถูกหลอกก็ลดโจรจี้ปล้นไปคน เพราะหากเขาไม่มีสุดท้ายก็ไปจี้ปล้นอาจมีคนบาดเจ็บล้มตายนะครับ



สุขสันต์วันหยุดครับ


โดย: find me pr วันที่: 17 กรกฎาคม 2554 เวลา:9:42:17 น.  

 
เจ้าของบล็อกฝากแจ้งว่า ตอนนี้คอมมีปัญหา


กำลังรอซ่อม ยังไม่ทราบว่าจะเสร็จวันไหน


ขออภัยเพื่อนบล็อกด้วยที่เงียบหายไปค่ะ


โดย: ตั่วเจ๊ IP: 58.10.198.160 วันที่: 17 กรกฎาคม 2554 เวลา:14:08:23 น.  

 
สวัสดีค่ะพี่สิน

ภาพประกอบงามจริง ๆ ค่ะ เห็นแล้วต้องบอว่า เมืองไทยสวยไม่แพ้ใครจริง ๆ ค่ะ พี่สินถ่ายเองหมดเลยเหรอคะ ชอบภาพชุดวัดพระแก้วมากกกกกกก ถ่ายได้สวยเหลือเกิน องค์ประกอบภาพก็ลงตัวได้ใจ ชอบจริง ๆ ค่ะ


โดย: haiku วันที่: 17 กรกฎาคม 2554 เวลา:23:25:45 น.  

 
เดี๋ยวนี้น้ำใจหายากมาก ๆ ค่ะ
และ ภาพสวยมาก ๆ ค่ะ


โดย: กระท่อมน้อยปลายนา IP: 118.172.9.149 วันที่: 18 กรกฎาคม 2554 เวลา:16:13:03 น.  

 

กระทู้พันทิป ‘คนเมืองบนรถไฟฟ้า BTS’ กระทู้ใช้งานได้ ณ วันที่ 23 กรกฎาคม 2554


//www.pantip.com/cafe/family/topic/N10736837/N10736837.html

//www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X10736546/X10736546.html




โดย: yyswim วันที่: 23 กรกฎาคม 2554 เวลา:12:14:41 น.  

 
เห็นภาพของกรุงเทพฯแล้วทำให้คิดถึงสมัยเป็นนักเรียนที่ได้มีโอกาสไปเที่ยวชมความสวยงามของถาวรวัตถุอันมีค่าเหล่านี้ อยากให้คุณครูที่สอนอยู่ในโรงเรียนทั้งของรัฐและเอกชนได้มาชมและเรียนรู้ให้มากกว่านี้แล้วนำไปจัดกิจกรรมนำนักเรียนออกมาเรียนรู้นอกห้องเรียนให้มากกว่านี้และแสดงความเป็นเจ้าของแผ่นดินอันสมบูรณ์และมีค่ายิ่งของเราไว้ให้ภูมิใจในแผ่นดินสุวรรณภูมิแห่งนี้ การให้เป็นสิ่งที่ดีและเป็นผู้ให้มาโดยตลอดเพราะตายไปไม่รู้จะไปให้กับใครทำความดีเป็นเรื่องดีไม่ใช่น่าอายแต่ทุกวันนี้มีคนฉกฉวยโอกาสจากคนด้อยโอกาสมากขึ้นจึงทำให้คนกลัวไปหมดแต่เชื่อว่าในสังคมยังมีคนมีน้ำใจอยู่อีกมากเพียงแต่สื่อเท่านั้นที่สามารถถ่ายทอดออกมาได้มากที่สุดและสื่อทุกด้านด้วยต้องมาช่วยกันนำเสนอสิ่งที่ดีๆในสังคมให้มากกว่านี้จะได้ไหม ความจริงรัฐบาลถ้าฉลาดน่าจะกำหนดเป็นปีนโยบายออกมาเลยหรือเป็นวาระแห่งชาติก็ได้เช่นปีแห่งการให้หรือแสดงน้ำใจของความเป็นไทยออกมาเลยเอาคนที่เป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมืองออกมารวมทั้งนายกฯด้วยจะสร้างภาพหรืออะไรก็ตามเถอะแต่ขอให้ได้มีกิจกรรมออกมาจะดีมากๆช่วยๆกันหลายๆฝ่ายเหมือนรณรงค์เรื่องการเข้าแถวเดี๋ยวนี้ดีขึ้นมากแต่ก็ต้องทำต่อเนื่องครับฝึกที่เด็กให้มากครับผู้ใหญ่จะทำตามเองเพราะจะมียางอายที่เห็นเด็กทำครับผู้ใหญ่สมัยนี้หน้าด้านเยอะครับพึ่งมาเจอหน้าเวบเลยแสดงความเห็นช้าไปหน่อย


โดย: ศิษย์ตถาคต IP: 110.49.227.197 วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:9:52:31 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

yyswim
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 40 คน [?]





บล็อกสรรสาระนี้ จขบ.ไม่ได้เขียน-ไม่ได้ถ่ายภาพ-ไม่ได้อัพโหลดคลิปเอง หากแต่ทำหน้าที่เป็นบรรณาธิการบล็อก เสาะหาเรื่องดีๆ รูปสวยๆ คลิปแปลกๆ มาไว้ในบล็อก


ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยม ขอเชิญชมหรืออ่านตามสบาย ไม่ต้องคอมเมนต์ก็ได้ จขบ.ชอบการเข้ามาเยี่ยม แบบกันเอง ง่ายๆ สบายๆ




เริ่มเขียนBlog เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2548


เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ.2550 เวลา 23.30 น.


เริ่มนับจำนวนผู้เข้าเยี่ยมชม




Latest Blogs

New Comments
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2554
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
16 กรกฏาคม 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add yyswim's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friends


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.