ขับรถในสภาพน้ำท่วม
ขับรถในสภาพน้ำท่วม
ช่วงนี้ เนื่องจากมีใต้ฝุ่นเข้า หลายๆจังหวัดจึงเจอกับสภาพฝนกระหน่ำอย่างต่อเนื่องนับวันนับคืน ทำให้ทั้งพื้นที่ไร่นา บ้านเรือน ตึกแถว ตลาด รวมทั้งหลายๆถนน ต้องเจอกับสภาพน้ำท่วม
จขบ.อยากบอกว่า รู้สึกเห็นใจมากๆ นั่งหน้าจอติดตามดูข่าวทางทีวีมาโดยตลอด ทั้งการรายงานข่าว การร่วมแรงร่วมใจร่วมทรัพย์สิน และการออกไปช่วยเหลือคนไทยด้วยกันที่กำลังประสบภัยน้ำท่วม
บล็อกวันนี้จะขอเขียนบางอย่างที่เกี่ยวกับน้ำท่วม
หากท่านต้องบังเอิญขับรถไปบนถนนที่มีน้ำท่วม ก่อนอื่นท่านจะต้องคะเนระดับน้ำท่วมอย่างคร่าวๆ และพิจารณากับความสูงของรถของท่านว่า น่าจะนำรถของท่านฝ่าไปได้หรือไม่? หรืออาจจะลองสังเกตรถยี่ห้อเดียวกัน หรือรถขนาดคล้ายๆกัน ที่กำลังวิ่งสวนมาก็ได้ เพราะถ้าเขาวิ่งฝ่ามาได้ รถของท่านก็จะมีโอกาสฝ่าไปได้เช่นกัน
แต่ถ้าหากรถที่วิ่งสวนมา มีแต่รถบัส รถบรรทุก และรถทหารเท่านั้น ไม่มีรถเก๋งเลย จขบ.ขอเสนอว่า อย่าเพิ่งนำรถของท่านฝ่าน้ำท่วมไปเลย อาจจะเปลี่ยนวิธีเป็นการใช้โทรศัพท์มือถือแจ้งข่าวไปถึงเป้าหมายเพื่อแจ้งการเลื่อนนัดไปก่อน หรือแจ้งการยกเลิกนัดไปก่อน
อย่างไรก็ตาม หากท่านจำเป็นจริงๆที่จะต้องฝ่าน้ำท่วมสูงนั้นไปให้ได้ จขบ.ขอเสนอว่า ควรนำรถของท่านย้อนกลับไปจอดในที่ที่ปลอดภัยจากน้ำท่วมเสียก่อน แล้วค่อยขอติดเรือ ขอติดรถบรรทุก หรือขอจ้างรถบรรทุกเพื่อการเดินทางไปให้พ้นน้ำท่วมจะดีกว่า
ปกติแล้ว หากเป็นรถเก๋งบ้านทั่วๆไป เมื่อเจอน้ำท่วมสูงประมาณ 5 - 10 ซม. (ไม่เกินหนึ่งไม้บรรทัด) รถก็พอจะวิ่งฝ่าไปได้ แต่หากสูงกว่านั้น หรือท่วมจนปริ่มท่อไอเสีย แบบนี้คิดว่าไม่น่าจะเสี่ยง
ถ้าสมมติว่า น้ำท่วมไม่สูงนัก รถเก๋งคันอื่นวิ่งสวนมาได้แต่ก็เจียนๆจะไม่รอด แล้วท่านก็อยากจะเสี่ยงไปบ้าง จขบ.ขอเสนอข้อปฏิบัติดังนี้
1. ต้องปิดแอร์ในรถเป็นอย่างแรกเลย เพราะถ้าพัดลมแอร์ยังทำงานอยู่ มันจะพัดน้ำที่อยู่บนถนนกระจายเข้าไปทั่วห้องเครื่อง ส่งผลให้เครื่องยนต์ดับได้ รวมทั้งในช่วงน้ำท่วม มักจะมีเศษขยะเล็กๆน้อยๆลอยน้ำมา เศษขยะเหล่านี้อาจจะเข้าไปพันติดกับมอเตอร์พัดลม ส่งผลต่อระบบระบายความร้อนในเครื่องยนต์ได้ด้วย
2. ต้องขับช้าๆ ใช้เกียร์ต่ำ เช่น เกียร์ 1 หรือเกียร์ 2 หากเป็นรถเกียร์ออโต้ ก็ควรจะเลื่อนไปที่เกียร์ L หรือ D1 และต้องเลี้ยงรอบให้นิ่งที่สุด ประมาณ 1,500 รอบต่อนาที สำหรับบางท่านที่เกรงว่าน้ำจะเข้าท่อไอเสียจึงพยายามจะเร่งเครื่องยนต์ เพื่อหวังจะไม่ให้เครื่องยนต์ดับนั้น ขอบอกว่า ไม่ควรทำ เพราะเมื่อท่านทำ พวกคลื่นน้ำที่รถดันไปข้างหน้า จะมีโอกาสทะลักกลับมายังห้องเครื่องรถของท่านได้ ...ในความเป็นจริง ถ้าน้ำทะลักเข้าไปยังท่อไอเสียบ้าง เครื่องยนต์ของท่านจะยังไม่ดับ เพราะเครื่องยนต์อยู่ในรอบเดินเบานั่นเอง ท่อไอเสียจะมีแรงดันให้น้ำถูกขับออกมาได้พอสมควร แต่หากน้ำท่วมมิดเครื่องยนต์หรือฝา-กระโปรงรถ อย่างนั้นรถของท่าน ไม่รอด ชัวร์
3. หากท่านสามารถขับรถผ่านพ้นน้ำท่วมจนรถถึงปลายทางได้ สิ่งที่ควรทำคือ ไม่ควรรีบดับเครื่องยนต์ทันที ควรทิ้งไว้สักระยะหนึ่ง เพื่อให้น้ำที่อาจค้างอยู่ในหม้อพักไอเสีย ระเหยออกมาให้หมด ...หากเป็นรถเกียร์ออโต้ ท่านควรจะย้ำเบรคด้วย เพื่อช่วยขับไล่น้ำออกจากระบบเบรค และหากเป็นรถเกียร์ธรรมดา ท่านควรจะย้ำคลัทซ์เพิ่มขึ้นอีกอย่างด้วย เพื่อป้องกันคลัทซ์ลื่น
4. หากท่านนำรถไปลุยน้ำมาแล้ว พอรุ่งเช้าพบอาการรถเบรคติด ขอให้สตาร์ทเครื่อง แล้วเข้าเกียร์หนึ่ง เดินหน้ารถไปเล็กน้อย จากนั้นเหยียบเบรคอย่างแรง แล้วทำแบบนี้อีก แต่คราวนี้เปลี่ยนเป็นเข้าเกียร์ถอยหลัง แล้วเหยียบเบรคอย่างแรง ทำสลับไปมาแบบนี้สักระยะหนึ่ง จนอาการรถเบรคติดหาย แต่ถ้ายังไม่หาย ก็ต้องลากรถนำเข้าศูนย์บริการแน่นอน อุ อุ อุ!!!!
การดูแลรถหลังน้ำท่วม
ในกรณีรถของท่านเจอแจ็คพอต น้ำท่วมถึงห้องเครื่องและห้องโดยสาร ไม่ว่าจะเป็นกรณีขับฝ่าไปหรือจอดอยู่ในบ้านเฉยๆก็ตาม กรณีเช่นนี้ท่านจะต้องนำรถเข้าศูนย์บริการหรืออู่ประจำของท่านอย่างแน่นอน
มีข้อมูลจากฝ่ายเทคนิคของ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แจ้งว่า
1. พึงอย่าสตาร์ทรถ หรือบิดกุญแจรถให้ไฟออน โดยเด็ดขาด ควรเดินไปเปิดฝากระโปรงหน้า แล้วปลดขั้วแบตเตอรี่ทันที โดยจะปลดขั้วใดขั้วหนึ่ง หรือจะปลดทั้งขั้วบวกและขั้วลบก็ได้
..จริงๆแล้ว หากท่านคาดว่าน้ำจะท่วมสูงถึงห้องเครื่อง ควรจะรีบปลดขั้วแบตเตอรี่เอาไว้ล่วงหน้าเสียก่อนเลย เพื่อป้องกันไม่ให้ไฟเข้าไปเลี้ยงระบบต่างๆของรถ
2. เปิดประตูรถออกทุกบาน ให้ลมโกรก ยิ่งหากมีแดดให้จอดตากแดดไปเลย จากนั้นถอดเบาะ ถอดพรม และสิ่งของต่างๆที่อยู่ภายในรถออกมาให้หมดเพื่อนำไปซัก และนำไปทำความสะอาดทันที ไม่ควรจะปล่อยทิ้งไว้นาน เพราะความเหม็นอับจะเริ่มมาเยือน
3. จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการทางเทคนิคที่บางท่านพอจะทำได้ คือ ปลดทุกอย่างที่เป็นขั้วไฟฟ้า โดยเฉพาะขั้วสายไฟภายในห้องเครื่อง ทั้งตัว ECU และรีเรย์ต่างๆ จากนั้นฉีดสเปรย์ไล่ความชื้น หรือใช้ไดร์เป่าผมเป่าให้แห้ง
4. ถ่ายน้ำมันเครื่อง ถ่ายน้ำมันเกียร์ออก (ต้องรีบเอาน้ำออกจากระบบให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันสนิมจับ) รวมทั้งถอดชิ้นกรองอากาศ ซึ่งกรณีการถ่ายและการถอดนี้ หากใครทำเองได้ ก็ทำเลย เพราะยิ่งจัดการได้เร็ว โอกาสที่สนิมจะมาเยือนก็จะน้อยลงตามไปด้วย แต่ถ้าทำไม่เป็น ก็ต้องรีบนำรถเข้าศูนย์บริการหรืออู่ของท่านโดยเร็วเท่าที่จะเร็วได้ ซึ่งทางศูนย์หรืออู่ เขาจะรู้ขั้นตอนการเปลี่ยนถ่ายที่ถูกต้อง
ทั้งหมดเป็นวิธีการดูแลเบื้องต้น เพราะสุดท้ายแล้ว รถที่โดนน้ำท่วมจะต้องรีบนำเข้าศูนย์บริการ หรืออู่ซ่อมโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้การนำรถไปเข้าศูนย์หรืออู่ซ่อม ควรเลือกใช้บริการรถยกหรือรถลากไปเท่านั้น ห้ามสตาร์ทเครื่องยนต์โดยเด็ดขาด
รถของท่านจะฟื้นกลับคืนมาดีดังเดิมได้ขนาดไหน ย่อมขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่รถจมอยู่ในน้ำ และความเร็วที่ท่านสามารถนำเข้าสู่ศูนย์บริการ รวมทั้งประเภทของรถ กล่าวคือ ถ้ารถยิ่งมีระบบไฟฟ้าซับซ้อน ก็จะยิ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดความเสียหายมากขึ้น
ฝ่ายเทคนิค บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย บอกว่า ถ้ารถจมน้ำ 1-2 วัน โอกาสแก้สภาพกลับมาได้ดังเดิม จะได้เกิน 90% แต่ถ้านานกว่านั้น ECU จะเข้าขั้นโคม่า ชิ้นส่วนไฟฟ้าต่างๆจะโดนความชื้น และสนิมเริ่มกิน รวมทั้งขี้เกลือต่างๆจะเริ่มจับตัว ซึ่งจะทำให้เปอร์เซ็นต์ที่รถจะกลับคืนมาสู่สภาพเดิมจะลดลงไปด้วย
ในส่วนของราคาค่าซ่อม ขึ้นอยู่กับสภาพการ และประเภทของรถ ซึ่งคงอยู่ในระดับ 50,000 - 100,000 บาท แต่ถ้าหากต้องโอเวอร์ฮอล์ ราคาจะเกินนี้แน่นอน
จขบ.หวังให้ทุกท่านที่กำลังประสบชะตากรรม ขอให้รอดพ้นจากสภาพน้ำท่วมโดยไว ขอหวังว่ารถของท่าน อย่าถึงกับมีปัญหาตามที่เขียนไว้ข้างบนเลย
โชคดีทุกท่านนะครับ
yyswim
yyswim@hotmail.com
Create Date : 30 ตุลาคม 2553 |
Last Update : 30 ตุลาคม 2553 1:12:48 น. |
|
23 comments
|
Counter : 3427 Pageviews. |
|
|
|
เพื่อนๆรถจมน้ำกันไปหลายคนเชียวล่ะคะ่ะ
เศร้ากันไปตามๆเกันเลย
...
รถที่บ้านเคยจมเมื่อนานมาแล้ว
ทำยังไง๊ยังไงเบาะก็ไม่หายเหม็นอับค่ะ
ต้องทนใช้ไปจนกระทั่งชินกันไปข้างหนึ่ง