|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
ประโยชน์และโทษของกัญชา
ลักษณะของกัญชา - ต้นกัญชา เป็นพรรณไม้ล้มลุกฤดูเดียว มีความสูงประมาณ 1-3 เมตร ลำต้นมีขนาดเล็ก ตั้งตรง ลักษณะของลำต้นเป็นเหลี่ยม มีขนสีเขียวอมเทาและไม่ค่อยแตกสาขา ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด ขึ้นได้ในดินทุกชนิด ถ้าปลูกในดินร่วนซุยและมีอาหารอุดมสมบูรณ์จะงอกงามดีมาก พืชชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดในทวีปเอเชีย มีเขตการกระจายพันธุ์ในอัฟกานิสถาน ทวีปแอฟริกาเขตร้อน ทวีปยุโรป ทวีปอเมริกาเหนือและใต้ และฮาวาย พบปลูกมากในยุโรป ประเทศบราซิล อเมริกันแถบตะวันออก และปลูกมากตามแนวเขาทางภาคเหนือของประเทศไทย
- ใบกัญชา เป็นใบเดี่ยว รูปฝ่ามือ ออกเรียงตรงข้าม ลักษณะของใบแตกออกเป็นแฉก ๆ ประมาณ 5-8 แฉก แต่ละแฉกเป็นรูปยาวรี ปลายและโคนสอบ ส่วนขอบใบทุกแฉกเป็นหยักแบบฟันเลื่อย มีขนาดกว้างประมาณ 0.3-1.5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 6-10 เซนติเมตร ลักษณะของใบโดยรวมจะคล้าย ๆ กับใบละหุ่ง ใบฝิ่นต้น และใบมันสำปะหลัง ผิวใบด้านบนเป็นสีเขียวเข้ม ส่วนด้านล่างท้องใบมีสีเทาอ่อนเล็กน้อย มีขนต่อมกระจายทั่วผิวใบด้านบน ส่วนด้านล่างมีขนอ่อนนาบไปกับแผ่นใบ ก้านใบยาวประมาณ 4-15 เซนติเมตร ในก้านหนึ่งจะมีใบเดี่ยว 3-11 ใบ มีกลิ่นเหม็นเขียว
- ดอกกัญชา ออกดอกเป็นช่อที่ง่ามใบหรือปลายกิ่ง ดอกเป็นสีเหลืองหรือสีเขียว ดอกเป็นแบบแยกเพศ มีทั้งดอกช่อเพศผู้และดอกช่อเพศเมีย ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียจะแยกกันอยู่คนละต้น โดยช่อดอกและใบของต้นเพศผู้จะจัดเรียงตัวกันแบบห่าง ๆ (ภาพแรก) ซึ่งต่างจากต้นเพศเมียที่จะเรียงชิดกัน ดอกเล็ก และดอกเพศเมียจะมีกลีบเลี้ยงหุ้มอยู่ (ภาพสอง)
- ผลกัญชา ผลแห้งขนาดเล็ก เมล็ดล่อน ไม่แตก ลักษณะของผลเป็นรูปไข่กว้าง ผิวผลเรียบเป็นมัน สีน้ำตาลแกมเทาหรือสีเทาเข้ม มีใบประดับหุ้ม ในผลจะมีเมล็ดขนาดเล็ก เมล็ดมีลักษณะกลม
สรรพคุณของกัญชา
- ตำรายาไทยจะใช้เมล็ดกินเป็นยาชูกำลัง ช่วยเจริญอาหาร แต่ถ้ากินมากจะมีอาการหวาดกลัวและหมดสติ (เมล็ด)
- ยอดอ่อนเมื่อนำมาสกัด จะได้สารที่เรียกว่า ทิงเจอร์แคนเนบิสอินดิคา ซึ่งเป็นน้ำยาสีเขียว เมื่อกินเข้าไปประมาณ 5-15 หยด จะมีสรรพคุณช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับระบบประสาท เป็นยาสงบเส้นประสาท ทำให้นอนหลับ เคลิ้มฝัน แก้โรคสมองพิการ เป็นยาระงับปวด และเป็นยาแก้อักเสบ (ยอดอ่อน)
- ดอกใช้เป็นยาแก้โรคเส้นประสาท เช่น นอนไม่หลับ คิดมาก หรือใช้กับผู้ป่วยที่เบื่ออาหาร โดยนำมาปรุงเป็นอาหารให้กิน (ดอก)
- ใบใช้เป็นยาแก้ไข้ผอมเหลือง ไม่มีกำลัง ตัวสั่น เสียงสั่น (ใบ)
- ใบกัญชา ใช้เป็นยารักษาโรคหอบหืด ช่วยขยายหลอดลมและลดการหดตัวของหลอดลม ด้วยการนำใบสดมาหั่นให้เป็นฝอย แล้วเอาไปตากแห้ง จากนั้นจึงนำมาสูบเป็นยารักษาโรค (ใบ)
- ใช้ดอกผสมกับยาฉุนพญามือเหล็ก นำมาหั่นแล้วสูบเป็นยาช่วยกัดเสมหะในลำคอ (ดอก)
- เมล็ดใช้เป็นยาแก้กระหายน้ำ (เมล็ด)
- น้ำยาสีเขียวที่สกัดได้จากยอดอ่อน มีสรรพคุณเป็นยาแก้โรคบิด แก้ปวดท้อง และโรคท้องร่วง (ยอดอ่อน) ส่วนเมล็ดก็มีสรรพคุณเป็นยาแก้บิดเช่นเดียวกับยอด (เมล็ด)
- เมล็ดมีสรรพคุณเป็นยาแก้ท้องผูก (เมล็ด)
- ยาพื้นบ้านล้านนาจะใช้เมล็ดกัญชาจำนวน 3 เมล็ด นำมาผสมกับพริกไทย 3 ผล บดให้เป็นผง ใช้ผสมกับน้ำกินทุกคืนเป็นยาคุมกำเนิดสำหรับสตรี (เมล็ด)
- ช่วยแก้ประจำเดือนไม่ปกติของสตรี (ทั้งต้น)
- ทั้งต้นใช้ภายนอกเป็นยาแก้โรคผิวหนังกลากเกลื้อน (ทั้งต้น)
- ใช้เป็นยาแก้กล้ามเนื้อกระตุก (ทั้งต้น)
- ช่วยลดอาการเจ็บปวดจากโรคไขข้ออักเสบ
- ในทางการแพทย์ยังใช้ประโยชน์จากกัญชาในการรักษาโรคและบรรเทาอาการหลายอย่าง เช่น ใช้แก้ปวดหัวไมเกรน แก้อาการสั่นเพ้อ แก้อาการไอ อ่อนล้า ปวดประจำเดือนของสตรี โรคข้อ โรคมะเร็งบางชนิด
ขนาดและวิธีใช้ : ใช้ต้มรับประทาน โดยต้นแห้งให้ใช้ครั้งละ 10-20 กรัม หรือใช้ร่วมกับตัวยาอื่น ๆ ส่วนเมล็ดให้ใช้ครั้งละ 10-15 กรัม
ข้อควรระวัง : ในกรณีที่รับประทานมากเกินไป จะทำให้เกิดอาการประสาทหลอน มีอาการชัก ตาลาย หรือกลายเป็นยาเสพติด ในผู้ชายหากรับประทานมากเกินไปจะทำให้น้ำกามเคลื่อน ส่วนสตรีที่รับประทานมากเกินไปจะทำให้เกิดอาการตกขาว
ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของกัญชา - สารที่พบในกัญชา คือสาร cannabinol, cannabidiol, tetrahydrocannabinol (THC) และน้ำมันระเหย เช่น cannabichromenic acid, linolledie acid, lecihin, น้ำมัน, โปรตีน, วิตามินบี1, วิตามินบี2, choline เป็นต้น
- ยางจากช่อดอกเพศเมียมีสารเสพติดหลายชนิด เช่น tetrahydrocannabinol
- กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ได้นำสาร THC มาทดลอง โดยนำมาใช้รักษาในหลายอาการ เช่น ลดอาการปวด ลดอาการลดเกร็งและชักกระตุกของกล้ามเนื้อ อาการของโรคทางกระเพาะปัสสาวะ โรคลมชัก โรคพาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์ ซึ่งผลการตอบสนองของการรักษาเป็นไปในทิศทางที่ดี
- สาร cannabinol มีฤทธิ์ทำให้เคลิ้มฝัน ความจำเสื่อม ยับยั้งการจับตัวของเกล็ดเลือด[
- สารในกลุ่ม cannabinol มีฤทธิ์ระงับอาการปวด พบว่าผู้ชายที่สูบกัญชาวันละ 8-20 มวน เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ พบว่าจำนวนเชื้อของอสุจิจะลดลง
- เมล็ดกัญชาที่สกัดแล้วนำมาแยกสาร จะได้สารที่มีลักษณะเป็นสารเหนียวคล้ายกับนมผึ้ง เมื่อนำมาฉีดเข้าในลำไส้เล็กของแมวที่ถูกทำให้สลบ พบว่าหลังจากฉีดยาแล้วครึ่งชั่วโมง ความดันโลหิตจะลดลงไปครึ่งหนึ่งจากระดับปกติ แต่ระดับการหายใจปกติ ไม่เปลี่ยนแปลง
- จากการทดลองพบว่า cannabidiol สามารถรักษาแผลในเซลล์ลำไส้ที่เกิดจากอาการอักเสบของโรค Crohns disease ได้ เนื่องจากมีคุณสมบัติเป็นตัวดูดซับอนุมูลอิสระซึ่งเป็นอันตรายต่อเซลล์ cannabidiol จึงช่วยชะลอการทำงานของเซลล์ภูมิต้านทาน microglia ที่อาจจะถูกกระตุ้นจากการอนุมูลอิสระมากเกินไป และทำให้เกิดการอักเสบมากขึ้นในสมองและตา จึงอาจนำไปใช้ในผู้ป่วยเบาหวานที่กำลังจะสูญเสียตาได้อีกด้วย
- จากการทดลองพบว่าสาร THC สามารถฆ่าเซลล์มะเร็งในสมอง ผิวหนัง และตับอ่อนได้ THC จะทำลายกระบวนการเกิดมะเร็ง โดยเนื้อร้ายจะสร้างร่างแหเส้นเลือดขึ้นเลี้ยงตนเอง และป้องกันไม่ให้เซลล์มะเร็งเคลื่อนย้ายไปที่อื่น จากนั้นสาร THC จะเข้าไปจับกับโปรตีนรีเซพเตอร์บนผิวเซลล์มะเร็ง กระตุ้นเซลล์สร้างสารประเภทไขมันที่เรียกว่า ceramide แล้วทำให้เซลล์ทำลายตัวเอง โดยไม่ส่งผลต่อเซลล์ดี และรายงานยังแสดงให้เห็นว่า THC สามารถต่อสู้กับมะเร็งเต้านมและโรคลูคีเมียได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีการทดสอบกัญชากับเบาหวาน, โรคอักเสบตามข้อต่อ, การอุดตันของเส้นเลือดเลี้ยงสมอง, โรคจิตเสื่อม, และโรคลมบ้าหมูอีกด้วย
ประโยชน์ของกัญชา - ในอดีตกัญชาถูกนำไปผสมกับอาหาร เพื่อช่วยกระตุ้นให้เจริญอาหาร ทางการแพทย์จึงเลือกใช้สาร THC ที่มีสูตรโครงสร้างทางเคมีชื่อว่า Dronabinol นำมาประยุกต์ใช้กับผู้ป่วยโรคมะเร็งและผู้ป่วยโรคเอดส์ที่ได้รับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด ซึ่งพบว่าสามารถช่วยลดอาการคลื่นไส้อาเจียนของผู้ป่วยกลุ่มนี้ และทำให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารได้ดียิ่งขึ้น
- ในปัจจุบันมีการนำกัญชามาใช้เป็นยาลดความดันในลูกตาของคนที่เป็นต้อหิน (glaucoma) แต่ผลที่ได้ยังไม่ชัดเจน นอกจากนี้มีการนำสารสำคัญในเรซินมาใช้เป็นยาระงับการอาเจียนที่เกิดขึ้นในคนที่เป็นโรคมะเร็ง ซึ่งได้รับการรักษาโดยวิธีเคมีบำบัด (chemotherapy)
- การที่ร่างกายได้รับสาร Cannabinoids ในปริมาณที่เหมาะสม จะสามารถช่วยป้องกันการเกิดอาการซึมเศร้าที่มีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในผู้สูงอายุได้ เนื่องจากสาร Cannabinoids จะช่วยปรับสมดุลต่าง ๆ ในร่างกาย ทำให้ผู้ใช้มีความสุข ใจเย็นลง และลดการแสดงพฤติกรรมรุนแรงในทางด้านอารมณ์
- จากงานวิจัยพบว่า สาร THC สามารถยับยั้งเซลล์เอเบตาโปรตีนไม่ให้ผลิตสารพิษที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ เพราะฉะนั้นกัญชาจึงสามารถป้องกันการเกิดอัลไซเมอร์ได้
- จากการศึกษาพบว่า กัญชามีสรรพคุณในการฆ่าเซลล์มะเร็งและทำให้เนื้อร้ายในสมองเหี่ยวลดลงได้ สารสกัดของกัญชาสามารถช่วยให้คนไข้ตอบสนองกับการบำบัดด้วยการฉายรังสีดีขึ้น การทดลองกับสัตว์ พบว่าสารจากกัญชาสามารถฆ่าเซลล์มะเร็งบางชนิดได้ ทำให้เนื้อร้ายหดเหี่ยวลง สารสกัดจากกัญชาสามารถทำให้เนื้อร้ายในสมองชนิดที่ร้ายแรงที่สุดมีขนาดลดลง ซึ่งสารสกัดนี้เมื่อนำมาใช้ควบคู่กับการฉายแสง จะทำให้ฤทธิ์ในการฆ่ามะเร็งเพิ่มมากขึ้น
- จากการทดลองล่าสุดแสดงให้เห็นว่าสารสกัดจากกัญชาสามารถรักษาโรคที่เกิดจากการอักเสบของสมองและไขสันหลัง หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบอื่น ๆ หรือแม้แต่อาจช่วยทำลายเนื้องอกที่อาจกลายเป็นมะเร็งได้ จากการวิจัยพบว่าคนไข้ที่รับ THC หรือสารสกัดจากกัญชาอีกตัวที่เรียกว่า cannabidiol (CBD) สามารถช่วยลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อและอาการสั่น สามารถทำให้นอนหลับ และมีการไหวดีขึ้น อีกทั้ง CBD ยังออกฤทธิ์ได้นานกว่าการใช้สเตียรอยด์หรือยาแก้อักเสบ จึงมีการใช้สเปรย์ที่มีส่วนผสมของ cannabinoid เพื่อรักษาโรคที่เกิดจากการอักเสบของสมองและไขสันหลัง (Multiple Sclerosis MS)
- สาร cannabinoid ที่พบในกัญชาอาจมีความสัมพันธ์กับระบบการเผาพลาญของร่างกาย โดยพบว่าในผู้ที่สูบกัญชาจะเป็นโรคอ้วนและโรคเบาหวานน้อยกว่าคนที่ไม่เคยสูบ จากการทดลองสันนิษฐานว่าผลของกัญชาที่ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดจะมีผลเฉพาะในช่วงที่ใช้กัญชาเท่านั้น
- เส้นใยของลำต้น สามารถนำมาใช้ในการทอผ้าหรือทอกระสอบได้ ซึ่งจะได้ผ้าที่มีคุณภาพดี มีความเหนียวสูง มีค่าการต้านแรงดึงสูง มีความยืดหยุ่น มีแรงบิดสูง น้ำหนักเบา และมีความคงทนมาก นิยมใช้ทำเสื้อเกราะ วัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์รถยนต์
- ทุกวันนี้บริษัททำกระดาษของอเมริกาและญี่ปุ่น ต้องทำลายป่าไม้ปีละกว่า 50,000 ตารางกิโลเมตร แต่การปลูกกัญชาซึ่งเป็นพืชที่มีวงชีวิตเพียง 120 วัน สามารถที่จะปลูกได้ 10 ตันต่อพื้นที่ 2 ไร่ ภายในเวลาเพียง 4 เดือน ซึ่งปลูกได้เร็วกว่าฝ้าย 4 เท่า และให้น้ำหนักมากกว่าฝ้ายถึง 3 เท่า อีกทั้งกัญชายังไม่ต้องใส่ปุ๋ย ไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลง และยังช่วยเพิ่มคุณภาพของดิน โดยจากการศึกษาพบว่า กัญชาสามารถปลูกและนำมาทำกระดาษได้มากเป็น 4 เท่าของการทำไม้ยืนต้น เส้นใยมีคุณภาพที่ดีกว่า ไม่ต้องใช้คลอรีนเหมือนการทำจากไม้ ซึ่งจะทำให้เกิดสารไดออกซิน ส่วนที่เหลือจากการทำเส้นใยก็สามารถนำมาผสมกับปูนขาวและน้ำ จะได้วัสดุที่เบาและแข็ง มีความทนทานกว่าปูนซีเมนต์
- ใบจากพืชชนิดนี้สามารถนำมาใช้เลี้ยงสัตว์ได้
- น้ำมันที่ได้จากเมล็ดจะเป็นน้ำมันไม่ระเหย (fixed oil) ซึ่งสามารถนำมาใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม เช่น ใช้ทำสีทาบ้าน ทำสบู่
- เศษหรือกากที่ได้จากการสกัดเอาน้ำมันจากเมล็ดออกแล้ว ยังใช้เป็นอาหารของโค กระบือ ได้อีกด้วย
โทษของกัญชา - ในเบื้องต้นการเสพกัญชาจะมีฤทธิ์กระตุ้นประสาท ทำให้ผู้เสพมีอาการร่าเริง ช่างพูด ตื่นเต้น หัวเราะตลอดเวลา ต่อมาจะมีฤทธิ์กดประสาท ทำให้ผู้เสพมีอาการคล้ายเมาเหล้าอย่างอ่อน เซื่องซึม และง่วงนอน หากเสพเข้าไปในปริมาณมากจะหลอนประสาททำให้เห็นภาพลวงตา หูแว่ว หวาดระแวง ความคิดสับสน และควบคุมตัวเองไม่ได้ บางรายอาจไม่รู้จักตนเองหรือไม่เข้าใจสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว
- การเสพกัญชาแม้เพียงระยะสั้น ผู้เสพอาจสูญเสียความทรงจำได้ เพราะกัญชาจะทำให้สมองและความจำเสื่อม เกิดความสับสัน วิตกกังวล และหากเป็นผู้ที่มีอาการทางจิตด้วยแล้ว ก็จะมีความเสี่ยงมากกว่าคนปกติทั่วไป โดยอาการทางจิตประสาทที่พบได้บ่อย ๆ คือ สมาธิสั้น ความจำแย่ลง มีปัญหาในการตัดสินใจ และบางคนอาจมีปัญหาเรื่องการทรงตัว นอกจากนี้ยังส่งผลอื่น ๆ ต่อร่างกายด้วย เช่น ม่านตาหรี่ ตาแดง มีความผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ หัวใจเต้นเร็ว
- กัญชามีฤทธิ์ทำลายสมรรถภาพทางกาย ผู้เสพในปริมาณมากเป็นระยะเวลานานจะทำให้ร่างกายเสื่อมโทรมจนไม่สามารถทำงานได้ โดยเฉพาะงานที่ต้องใช้ความคิด การตัดสิน และแรงงาน สารในกัญชาจะทำลายระบบการทำงานของอวัยวะในร่างกายหลายส่วน ทำลายระบบการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย จึงทำให้ร่างกายอ่อนแอ ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้ง่าย เช่น โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง มีอาการเพลีย ทำให้น้ำหนักตัวลด ฯลฯ
- กัญชายังมีฤทธิ์ทำลายความรู้สึกทางเพศ ทำให้ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในชายลดลง ทำให้ปริมาณอสุจิน้อยลง ผู้เสพจึงมักมีปัญหาเสื่อมสมรรถภาพทางเพศในที่สุด
- ทำให้เกิดโรคมะเร็งปอด เนื่องจากผู้เสพอัดควันกัญชาเข้าไปในปอดลึกนานหลายวินาที แต่อย่างไรก็ตามก็มีข้อมูลที่ระบุว่า การสูบกัญชานั้นไม่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งปอด เพราะแม้การสูบกัญชาจะทำให้ร่างกายได้รับน้ำมันดิบที่เกิดจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งปอด แต่ในกัญชานั้นมีสาร THC ที่มีฤทธิ์ในการลดการอักเสบที่เกิดจากน้ำมันดินได้ จึงเป็นสาเหตุให้การสูบกัญชาไม่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งปอดเหมือนการสูบบุหรี่ทั่วไป
- การสูบบุหรี่ยัดไส้กัญชาเพียง 4 มวน จะเท่ากับการสูบบุหรี่ 20 มวน หรือ 1 ซอง มันจึงสามารถทำลายการทำงานของระบบทางเดินหายใจ ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งได้มากกกว่าคนสูบบุหรี่ธรรมดาถึง 5 เท่า อีกทั้งกัญชายังมีสารก่อมะเร็งที่เป็นอันตรายที่สามารถทำให้เกิดโรคมะเร็งได้ เมื่อเทียบกับบุหรี่ทั่วไปแล้ว ในกัญชาจะมีมากกว่า 50-70%
- ผู้ที่เคยเสพติดกัญชาส่วนใหญ่จะมีโอกาสป่วยเป็นโรคจิตในภายหลังมากกว่าคนที่ไม่สูบถึงร้อยละ 60 ยิ่งเสพมากและเสพเป็นเวลานานก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงเข้าไปอีก โดยผู้ที่เสพหนักที่สุดจะมีโอกาสเป็นโรคจิตสูงกว่าคนปกติ 4-6 เท่า
- การขับรถในขณะเมากัญชาจะก่อให้เกิดอันตรายได้ง่ายมาก เพราะฤทธิ์ของกัญชาจะทำให้เสียสมาธิ ทำให้การตัดสินใจผิดพลาด การตอบสนองช้า ความสามารถในการมองเห็นสิ่งเคลื่อนที่น้อยลง จึงอาจเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อผู้อื่น
- หญิงที่เสพกัญชาในระยะตั้งครรภ์ ทารกที่เกิดมาอาจพิการและพบความผิดปกติทางร่างกายได้ เช่น ความผิดปกติของเซลล์ประสาทในสมอง ความผิดปกติของฮอร์โมนเพศ และอาจเป็นโรคทางพันธุกรรม อีกทั้งกัญชายังมีผลเสียต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์ เพราะกัญชามีฤทธิ์ทำลายโครโมโซมของทารก
- เมื่อร่างกายขาดยา จะเกิดอาการผิดปกติทางด้านจิตใจ เช่น มีอาการกระสับกระส่าย นอนไม่หลับ วิตกกังวล อ่อนเพลีย
- การเสพกัญชาเป็นระยะเวลานานจะนำมาซึ่งภาวะไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงและก่อให้เกิดความผิดปกติของหัวใจ ทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลม มีความผิดปกติทางสมองจนก่อให้เกิดอาการทางจิตประสาทตามมา ยิ่งเสพมากอาการก็จะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น และอาการที่แสดงให้เห็นถึงความทรมานจากการเสพกัญชาก็มีมากมาย เช่น คลื่นไส้อาเจียนอย่างรุนแรง วิงเวียนศีรษะ ปวดท้องมาก หรืออาจมีอาการแพ้ได้ เช่น เป็นผื่นคัน ตัวบวม อึดอัด หายใจลำบาก หายใจไม่ออก เป็นต้น
- ด้วยฤทธิ์ของกัญชาที่ทำให้เกิดการผ่อนคลาย ลดความวิตกกังวล รู้สึกสนุกสนาน เคลิบเคลิ้มมีความสุข จึงทำให้มีผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์และเสพติดกัญชาเป็นจำนวนมากอย่างไม่น่าเชื่อ โดยจะมีจำนวนเป็นรองก็แต่กลุ่มคนที่ติดสุรา กาแฟ และบุหรี่เท่านั้น
ข้อควรรู้เกี่ยวกับกัญชา - โดยรวมแล้ว กัญชามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาคล้ายกับพวกยากระตุ้นประสาท ยากดประสาท ยาหลอนประสาท ยาแก้ปวด และยาที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท หลายประการในยาตัวเดียวกัน ผู้เสพกัญชาจึงมีอาการเคลิ้ม โดยในขั้นต้นมักจะเป็นอาการกระตุ้นประสาท บางคนจะมีอาการตึงเครียดทางใจหรือมีอาการกังวล ต่อมาก็มีอาการเคลิ้มใจ ทำให้รู้สึกว่าบรรยากาศทั่ว ๆ ไปเงียบสงบ จากนั้นก็มักจะมีปฏิกิริยาที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน เดี๋ยวหัวเราะลั่น เดี๋ยวสงบ ส่วนอาการอื่น ๆ ที่พบได้คือ ผู้เสพจะรู้สึกล่องลอย สับสัน ปากแห้ง อยากอาหาร ชีพจรเพิ่มขึ้น ตาแดงขึ้นในขณะที่เสพ หากเสพเป็นประจำสุขภาพโดยรวมจะเสื่อมลง เป็นโรคหลอดลมอักเสบ ไซนัสอักเสบ ทางเดินหายใจอักเสบ ท้องร่วง เป็นตะคริว
- จากการศึกษาการกระจายตัวของสาร THC พบว่าการสูดดมควัน สาร THC จะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายประมาณ 10-35% ส่วนการเสพโดยการกลืนลงในระบบทางเดินอาหาร จะถูกดูดซึมเพียง 6-20% ร่างกายจะต้องใช้เวลาประมาณ 1.6-59 ชั่วโมง ในการกำจัดปริมาณของสาร THC ในกระแสเลือด 50% โดยผ่านทางปัสสาวะและอุจจาระ ฤทธิ์ของกัญชาเมื่อเสพเข้าสู่ร่างกายจะแทรกซึมเข้าสู่กระเลือดอย่างรวดเร็วภายใน 2-3 นาที และจะออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทได้สูงสุดถึง 1 ชั่วโมง อาการโดยทั่วไปจะเซื่องซึมลงอย่างช้า ๆ แต่บางรายก็ลดลงอย่างรวดเร็ว
- ฤทธิ์ของมันทำให้ผู้สูบหรือเสพเข้าไปแล้วจะทำให้ติด เกิดอาการเพ้อฝัน ความจำเลอะเลือน ตัวสั่น ทำให้เป็นคนเสียสติ เป็นคนวิกลจริตพิการ ฉะนั้นเมื่อมีการใช้ จึงควรใช้ในขนาดที่เหมาะสม
- ส่วนของกัญชาที่นำมาใช้เสพ คือ ส่วนของใบและยอดช่อดอกกัญชาเพศเมีย (กะหลี่กัญชา) เนื่องจากมีสาร THC มากกว่าส่วนอื่น โดยนำมาตากแห้งแล้วมวนเป็นบุหรี่สูบ บางคนอาจเคี้ยวใบหรือใช้เจือปนกับอาหารรับประทาน ซึ่งจะช่วยเจริญอาหารได้
- ผู้เสพมักเสพด้วยวิธีการสูบควัน ผ่านอุปกรณ์ที่เรียกว่า บ้อง ซึ่งอาจจะทำมาจากวัสดุต่างกันหลายชนิด เช่น บ้องแก้ว, บ้องไม้ไผ่ ฯลฯ โดยวิธีการสูบจะนำกัญชาที่เป็นก้อนอัดแท่งมาสับให้ละเอียด หรือเรียกว่า ยำ เสร็จแล้วจึงนำผงกัญชาที่สับได้มาอัดใส่ตรงส่วนจะงอยที่ยื่นออกมาของบ้อง แล้วจุดไฟเผาโดยตรงไปที่ผงกัญชา และผู้เสพจะสูบอัดควันเข้าไปเต็มปอดให้ได้มากที่สุด ส่วนอีกวิธีหนึ่ง คือการนำมามวนเป็นบุหรี่สูบ นอกจากนี้ยังเสพด้วยการกินทั้งใบสดและใบแห้ง
- ยอดของต้นเพศเมียที่กำลังออกดอกจะเรียกว่า กะหลี่กัญชา เมื่อนำมาตากแห้งแล้ว จะนิยมนำมาใช้สูบ ซึ่งกะหลี่กัญชาจะให้เรซินซึ่งเป็นยาเสพติด (เป็นส่วนที่มีฤทธิ์มากที่สุด) ผู้ที่เมากัญชาจะมีอาการเกิดขึ้นต่างกัน ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม เช่น อาจมีอารมณ์สนุกหรืออารมณ์โศกเศร้าก็ได้ มีความรู้สึกเลอะเลือนในเรื่องเวลา บ้างมีอาการก้าวร้าว บางคนมีอาการหวาดกลัว ความคิดสับสน เกิดอารมณ์เคลิ้มฝัน โดยฤทธิ์ของกัญชานั้นจะอยู่ในร่างกายได้นาน 3-5 ชั่วโมง หลังจากนี้ผู้เสพจะมีอาการเซื่องซึมและหิวกระหาย เมื่อสร่างแล้วจะนิยมกินของหวาน ผู้ที่สูบเป็นประจำมักจะสมองเสื่อมและเป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ
- จากการศึกษากลไกการออกฤทธิ์ของสาร THC ในกัญชา พบว่าสาร THC จะเข้าไปจับกับตัวรับในสมองซึ่งมีชื่อเรียกเฉพาะว่า Cannabinoid receptor ซึ่งจะส่งผลต่อความจำ การมีสติ ความคิด ความสมดุลในการเคลื่อนไหวของร่างกาย และความอยากอาหาร
- ประเทศไทยจัดให้กัญชาอยู่ในกลุ่มยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 โดยห้ามมิให้ประชาชนมีไว้ครอบครองหรือเสพ แต่อนุญาตให้ใช้ในสถานพยาบาลเท่านั้น โดยเป็นในรูปแบบของสารสกัด THC ที่มีสัดส่วนแน่นอนและได้มาตรฐานทางการแพทย์เท่านั้น ผู้ใดผลิต จำหน่าย นำเข้า หรือส่งออกต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2-5 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-150,000 บาท และหากครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตจะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- ในกัญชามีสารเคมี cannabinoids มากถึง 30 ชนิดอยู่ในจำนวนหนึ่ง โดยสารสำคัญในกลุ่มนี้ที่มีฤทธิ์ต่อจิตและประสาท คือ เตตราไฮโดรแคนนาบินอล (tetrahydrocannabinol -THC) ซึ่งสารดังกล่าวจัดอยู่ในกลุ่มวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทในประเภท 1 ตามพระราชบัญญัติวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 ผู้ใดผลิต จำหน่าย นำเข้า หรือส่งออก ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5-20 ปี และปรับตั้งแต่ 100,000-400,000 บาท หากมีไว้ครอบครองหรือใช้ประโยชน์โดยมิได้รับอนุญาต จะต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-5 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-100,000 บาท
- ยาที่สกัดจากกัญชามีรูปแบบการจัดจำหน่ายเป็นยาแคปซูลชนิดรับประทาน มีขนาดบรรจุของ Dronabinol 2.5, 5, 10 มิลลิกรัมต่อแคปซูล มีชื่อทางการค้าว่า Marinol (มารินอล) ซึ่งแพทย์จะนำมาใช้เพื่อกระตุ้นให้อยากอาหาร และลดอาการคลื่นไส้อาเจียนจากเคมีบำบัดในผู้ป่วย
- ด้วยประโยชน์มากมายของกัญชา จึงทำให้ในบางประเทศ อนุญาตให้ปลูกและซื้อขายกัญชาได้อย่างถูกกฎหมาย เช่น ในสหรัฐได้ออกกฎหมายให้ 14 มลรัฐสามารถใช้กัญชาในทางการแพทย์ได้, ในเนเธอแลนด์อนุญาตให้มีการสูบได้อย่างถูกกฎหมาย สามารถหาซื้อได้ทั่วไป แต่ยังไม่อนุญาตให้ผลิตหรือปลูกได้เอง ในขณะที่อุรุกวัยอนุญาตให้มีการปลูกและซื้อขายกัญชาได้อย่างถูกกฎหมาย
กัญชาไม่ทำให้เสพติดจริงหรือ ? จริงอยู่ที่ว่าสาร THC และสารออกฤทธิ์อื่น ๆ ที่มีอยู่ในกัญชานั้นมีฤทธิ์ทำให้เสพติดได้น้อยกว่านิโคตินค่อนข้างมาก แต่หากใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน หรือแม้จะไม่ใช้ทุกวัน หรือใช้เพียงสัปดาห์ละครั้งหรือเดือนละครั้ง ก็สามารถทำให้เสพติดได้ ซึ่งจะเป็นภาวะการเสพติดโดยไม่รู้ตัว หรือที่เรียกว่า ภาวะสมองติดยา คือสมองจะค่อย ๆ ปรับตัวและสมดุลของสารเคมีในสมองนั้นจะเปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ แม้ว่าจะไม่รวดเร็วหรือรุนแรงเท่าการออกฤทธิ์ของยาบ้า ยาไอซ์ หรือยาอีก็ตาม แต่เมื่อสารเคมีในสมองผิดปกติเป็นประจำ ในที่สุดสมองก็จะไม่สามารถกลับมาทำหน้าที่ได้อย่างปกติ ทำให้ผู้เสพมีอาการถอนยาเกิดขึ้น และต้องกลับเสพอีกในที่สุด ที่หลายคนพูดว่ากัญชาเป็นยาเสพติด ที่ไม่เสพติด ความจริงแล้วเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนมากกว่าความเข้าใจผิด ยาเสพติดส่วนใหญ่ส่วนมากร้อยละ 90 จะเป็นสารเคมีหรือสารสังเคราะห์ (ยาบ้า, ยาไอซ์, ยาอี, สารระเหย) และอีกร้อยละ 10 จะเป็นพวกสารเสพติดที่ได้จากพืช (กัญชา, กระท่อม, ฝิ่น, ยาสูบ, เห็ดขี้ควาย) ซึ่งกลุ่มนี้จะต้องใช้ในปริมาณมากกว่ากลุ่มแรก เพราะไม่ได้สกัดเอาเฉพาะสารเคมีที่ออกฤทธิ์มาใช้ ข้อดีคือจะมีฤทธิ์เสพติดรุนแรงน้อยกว่า แต่หาซื้อได้ง่ายและราคาถูกกว่ากลุ่มแรกมาก
การถอดกัญชาออกจากการเป็นยาเสพติด ประโยชน์และโทษมีมากมายควรพิจารณาให้ดีๆ ทางที่ดีควรควบคุมให้ใช้เฉพาะงานทางการแพทย์น่าจะดีกว่า
ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาเยี่ยมเยียน
หวังให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรง
Create Date : 05 กันยายน 2559 |
Last Update : 5 กันยายน 2559 23:58:53 น. |
|
60 comments
|
Counter : 12477 Pageviews. |
|
|
|
โดย: Sweet_pills วันที่: 6 กันยายน 2559 เวลา:0:33:23 น. |
|
|
|
โดย: เรียวรุ้ง วันที่: 6 กันยายน 2559 เวลา:12:25:03 น. |
|
|
|
โดย: mambymam วันที่: 6 กันยายน 2559 เวลา:14:52:46 น. |
|
|
|
โดย: ตุ๊กจ้ะ วันที่: 6 กันยายน 2559 เวลา:15:58:44 น. |
|
|
|
โดย: ดอยสะเก็ด วันที่: 6 กันยายน 2559 เวลา:17:58:48 น. |
|
|
|
โดย: mcayenne94 วันที่: 6 กันยายน 2559 เวลา:18:53:47 น. |
|
|
|
โดย: ก้นกะลา วันที่: 6 กันยายน 2559 เวลา:21:01:41 น. |
|
|
|
โดย: จี๊ดจ๊าด (บ้านต้นคูน ) วันที่: 6 กันยายน 2559 เวลา:21:43:05 น. |
|
|
|
โดย: ภาวิดา (คนบ้านป่า ) วันที่: 6 กันยายน 2559 เวลา:22:42:30 น. |
|
|
|
โดย: ร่มไม้เย็น วันที่: 7 กันยายน 2559 เวลา:7:03:04 น. |
|
|
|
โดย: หอมกร วันที่: 7 กันยายน 2559 เวลา:7:35:15 น. |
|
|
|
โดย: haiku วันที่: 7 กันยายน 2559 เวลา:23:48:03 น. |
|
|
|
โดย: เศษเสี้ยว วันที่: 7 กันยายน 2559 เวลา:23:48:53 น. |
|
|
|
โดย: newyorknurse IP: 192.99.15.166 วันที่: 8 กันยายน 2559 เวลา:6:45:04 น. |
|
|
|
โดย: เนินน้ำ วันที่: 8 กันยายน 2559 เวลา:9:00:12 น. |
|
|
|
โดย: ALDI วันที่: 8 กันยายน 2559 เวลา:21:27:54 น. |
|
|
|
โดย: ข้ามขอบฟ้า วันที่: 9 กันยายน 2559 เวลา:1:26:55 น. |
|
|
|
โดย: moresaw วันที่: 9 กันยายน 2559 เวลา:7:07:29 น. |
|
|
|
โดย: กฤษราภรณ์ บุญศรี IP: 1.47.99.168 วันที่: 9 กันยายน 2559 เวลา:7:59:43 น. |
|
|
|
โดย: ศิริวิมล สายมงคล IP: 1.47.107.154 วันที่: 9 กันยายน 2559 เวลา:8:22:06 น. |
|
|
|
โดย: ควายเฒ่า วันที่: 9 กันยายน 2559 เวลา:11:15:21 น. |
|
|
|
โดย: กิ่งฟ้า วันที่: 9 กันยายน 2559 เวลา:12:37:47 น. |
|
|
|
โดย: zungzaa วันที่: 9 กันยายน 2559 เวลา:19:38:50 น. |
|
|
|
โดย: ตุ๊กจ้ะ วันที่: 9 กันยายน 2559 เวลา:20:22:42 น. |
|
|
|
โดย: comicclubs วันที่: 9 กันยายน 2559 เวลา:22:22:02 น. |
|
|
|
โดย: Sweet_pills วันที่: 10 กันยายน 2559 เวลา:0:20:04 น. |
|
|
|
โดย: ภาวิดา (คนบ้านป่า ) วันที่: 10 กันยายน 2559 เวลา:20:58:20 น. |
|
|
|
โดย: ปรัซซี่ วันที่: 10 กันยายน 2559 เวลา:21:58:11 น. |
|
|
|
โดย: Quel วันที่: 11 กันยายน 2559 เวลา:2:32:12 น. |
|
|
|
โดย: mariabamboo วันที่: 11 กันยายน 2559 เวลา:7:44:40 น. |
|
|
|
โดย: กาปอมซ่า วันที่: 11 กันยายน 2559 เวลา:20:27:27 น. |
|
|
|
โดย: mastana วันที่: 11 กันยายน 2559 เวลา:21:29:53 น. |
|
|
|
โดย: ชมพร วันที่: 12 กันยายน 2559 เวลา:11:13:58 น. |
|
|
|
โดย: sawkitty วันที่: 12 กันยายน 2559 เวลา:19:44:23 น. |
|
|
|
โดย: Sweet_pills วันที่: 13 กันยายน 2559 เวลา:23:53:48 น. |
|
|
|
โดย: mambymam วันที่: 14 กันยายน 2559 เวลา:6:11:07 น. |
|
|
|
โดย: LoveLikli วันที่: 14 กันยายน 2559 เวลา:18:41:31 น. |
|
|
|
โดย: ข้ามขอบฟ้า วันที่: 15 กันยายน 2559 เวลา:2:13:39 น. |
|
|
|
โดย: เรียวรุ้ง วันที่: 16 กันยายน 2559 เวลา:11:52:42 น. |
|
|
|
โดย: ปิย์วรา แก่นพิทักษ์ IP: 182.52.32.87 วันที่: 22 กันยายน 2559 เวลา:13:02:17 น. |
|
|
|
โดย: Pongpat Siripan IP: 115.87.238.8 วันที่: 15 พฤศจิกายน 2559 เวลา:13:47:34 น. |
|
|
|
โดย: nokyungnakaa วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา:18:47:16 น. |
|
|
|
โดย: เด็กตัวเล็กๆคนหนึ่ง :3 IP: 223.204.248.151 วันที่: 23 มกราคม 2561 เวลา:20:19:07 น. |
|
|
|
โดย: คนน่าตาดี2017เอ้ย!..2018 IP: 223.204.248.151 วันที่: 23 มกราคม 2561 เวลา:20:43:19 น. |
|
|
|
|
|
|
เริ่มทำ Blog ครั้งแรกเมื่อ 27 ก.ค.54
เริ่มนับ 2 มี.ค.55
ขอบคุณภาพประกอบจากบล็อค
คุณญามี่
คุณยายเก๋า
คุณนุช oranuch_sri
กรอบภาพจากบล็อค
คุณ Lozacat
คุณ KungGuenter
|
|
|
|
|
|
|
ขอบคุณน้องปานสำหรับข้อมูลมีประโยชน์นี้ค่ะ
บันทึกการโหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
pantawan Health Blog ดู Blog
.................................
นอนหลับฝันดีนะคะ