สธ.เตรียมฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ตามฤดูกาล 3 สายพันธุ์ ให้กลุ่มบุคลากรการแพทย์และประชาชนกลุ่มเสี่ยง 3.55 ล้านคน เริ่ม 1 มิ.ย.30 ก.ย. ที่โรงพยาบาลรัฐทุกแห่ง และสถานบริการที่เข้าร่วมโครงการ
วันที่ 16 พ.ค. 2555 ที่กรมควบคุมโรค นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้มอบหมายให้ นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการ คณะที่ปรึกษาทางวิชาการ และคณะทำงานโครงการให้วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ เพื่อเตรียมการวางแผนการบริการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่แก่ประชาชนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงในปี 2555
นพ.ไพจิตร์ กล่าวว่า นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายให้กระทรวงสาธารณสุขฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ให้ครอบคลุมกลุ่มเสี่ยงให้มากที่สุด เพื่อลดอัตราการป่วยและเสียชีวิตจากโรคนี้
ทั้งนี้ ได้ให้กรมควบคุมโรค และ สปสช. จัดซื้อวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ชนิดรวมป้องกันได้ 3 สายพันธุ์ คือ
- ชนิดเอ เอช 1 เอ็น 1 หรือไวรัสไข้หวัด 2009
- ชนิดเอ เอช 3 เอ็น 2 - และชนิดบี
ซึ่งเป็นเชื้อไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล จำนวน 3.55 ล้านโด๊ส เพื่อฉีดให้กลุ่มเสี่ยง 2 กลุ่มฟรี ได้แก่
- กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ที่ให้การดูแลรักษาผู้เจ็บป่วย และเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องกับการกำจัดสัตว์ปีก
- ประชาชนที่เป็นกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ได้แก่
*โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
*โรคหอบหืด
*โรคหัวใจ
*โรคหลอดเลือดสมอง
*โรคไตวายเรื้อรัง
* มะเร็งที่กำลังรับเคมีบำบัด
*เบาหวาน
*ธาลัสซีเมีย
*ภูมิคุ้มกันบกพร่อง รวมทั้งผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มีอาการ
*ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป
*ผู้มีน้ำหนักตัวมากกว่า 100 กิโลกรัม
*ผู้พิการทางสมองช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
*เด็กอายุ 6 เดือน-2 ขวบ
*หญิงตั้งครรภ์อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป
โดยจะเริ่มให้บริการพร้อมกันทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2555 จนถึง 30 กันยายน 2555 ที่โรงพยาบาลของรัฐ และสถานบริการที่เข้าร่วมโครงการ
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้วัคซีนจะมีมากกว่าทุกปีที่ผ่านมาก็ตาม ก็ขอให้กลุ่มเสี่ยงดังกล่าวอย่านิ่งนอนใจ ให้รีบไปฉีดวัคซีนตามกำหนดแต่เนิ่นๆ เพื่อให้สามารถป้องกันโรคได้ทันท่วงที แต่ในกลุ่มผู้ป่วยที่โรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ หากโรคเดิมยังควบคุมไม่ได้ดีก็ไม่ควรรีบฉีดวัคซีนนัก ขอให้ปรึกษาแพทย์ที่รักษา เพื่อควบคุมอาการให้ดีก่อนเริ่มฉีดวัคซีนเพื่อความปลอดภัยมากที่สุด
นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ประสิทธิภาพของวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ พบว่า ร้อยละ 70 ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่น้อยลง ร้อยละ 20 ยังมีอัตราการป่วยเหมือนเดิม ร้อยละ 5 -10 มีอัตราการป่วยมากขึ้น แต่การป้องกันไม่ได้ขึ้นอยู่กับการฉีดวัคซีนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ขึ้นอยู่กับการดูแลสุขภาพร่างกายและสุขอนามัยของผู้ป่วยด้วย
จากข้อมูลสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค รายงาน
ในปี 2552 พบผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ 120,400 ราย เสียชีวิต 231 ราย
ในปี 2553 มีผู้ป่วย 115,183 ราย เสียชีวิต 126 ราย
ปี 2554 มีผู้ป่วย 56,766 ราย เสียชีวิต 8 ราย
ในปี 2555 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-14 พฤษภาคม พบผู้ป่วย 11,380 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต
ขณะที่ ช่วงนี้เริ่มเข้าสู่ฤดูฝน หากประชาชนเปียกฝนขอให้รีบอาบน้ำ สระผม และเช็ดให้แห้ง และใส่เสื้อผ้ารักษาร่างกายให้อบอุ่น ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละประมาณ 30 นาที รับประทานผักและผลไม้ให้มากขึ้น เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงและเพิ่มภูมิต้านทานโรคให้แก่ร่างกาย กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ และคาดหน้ากากอนามัยหากเป็นหวัดเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่คนอื่น หากมีไข้ต้องหยุดพักแล้วรีบไปพบแพทย์ทันที และรักษาตัวจนอาการหายดี.
เตรียมพร้อมก่อนไปรับวัคซีนไข้หวัดใหญ่
เรามารู้จักกันหน่อยว่า ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ไปแล้วได้อะไร และมีผลกระทบต่อร่างกายของเราหรือไม่
.
สิ่งที่เราจะได้หลังจากฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่
คือ ภูมิคุ้มกันโรคไข้หวัดใหญ่ 2 สัปดาห์หลังฉีด
- สามารถลดความรุนแรงของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ และไข้หวัดนก แต่ไม่สามารถป้องกันทั้ง 2 โรคได้
- ลดภาวะแทรกซ้อน ในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง
สิ่งที่กระทบต่อเรา
1. เจ็บนิดหน่อย
2. อาจมีอาการไข้ต่ำๆ ได้หลังฉีด
3. หากมีประวัติแพ้ ไข่ โปรตีนไก่ นีโอมัยซิน เจนต้ามัยซิน ฟอร์มาดีไฮด์ ออกโตซินอล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนฉีด
4. อาจเกิดอาการแพ้ (หากเคยแพ้จากการได้รับวัคซีนครั้งก่อนๆ) ควรปรึกษาแพทย์ก่อนฉีด
5. มีผลต่อโรคทางระบบประสาท หรือ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ความปรึกษาแพทย์ก่อนฉีด
วัคซีนไข้หวัดใหญ่..ฉีดแล้วฉีดอีกจะดีมั้ย ?!
ปลายฝนต้นหนาวเป็นช่วงเวลาที่ไข้หวัดใหญ่จะกลับมาระบาดอีกครั้ง หากใครที่เคยฉีดวัควีนป้องกันไปแล้ว และอยากกลับมาฉีดซ้ำ ก็สามารถฉีดได้อีก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันโรค
การแพร่ติดต่อเชื้อไข้หวัดใหญ่จากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งเกิดขึ้นได้ง่าย ทั้งจากการถูกผู้ป่วยไอจามรดโดยตรง หรือหายใจเอาฝอยละอองเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย ในระยะ 1 เมตร เนื่องจากเชื้อไวรัสอยู่ในเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย แต่บางรายอาจได้รับเชื้อทางอ้อมผ่านทางมือ หรือสิ่งของเครื่องใช้ที่ปนเปื้อนเชื้อ เช่น แก้วน้ำ ลูกบิดประตู โทรศัพท์ ผ้าเช็ดมือ เป็นต้น เชื้อจะเข้าสู่ร่างกายผ่านทางจมูก ปาก ตา ผู้ป่วยอาจเริ่มแพร่เชื้อได้ตั้งแต่ 1 วันก่อนป่วย ช่วง 3 วันแรกจะแพร่เชื้อได้มากที่สุด ระยะแพร่เชื้อมักไม่เกิน 7 วัน
การป้องกันไม่ให้ติดเชื้อ
-
หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่
-
ผู้ดูแลผู้ป่วยควรสวมหน้ากากอนามัย และให้ผู้ป่วยสวมห้นากากอนามัยด้วย หลังดูแลผู้ป่วยทุกครั้ง ควรรีบล้างมือด้วยน้ำและสบู่ให้สะอาดทันที
-
ไม่ใช่้แก้วน้ำ หลอดดูดน้ำ ช้อนอาหาร ผ้าเช็ดมือ ผ้าเช็ดหน้า ร่วมกับผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่
-
ใช้ช้อนกลางทุกครั้ง เมือ่รับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น
-
หมั่นล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจล โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังไอ จาม
-
รักษาสุขภาพให้แข็งแรง โดยรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ รวมทั้ง ไข่ นม ผัก และผลไม้ ดื่มน้ำสะอาดและนอนหลับให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หลีกลี่ยงการสูบบุหรี่และสุรา
-
ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล
ทำอย่างไรเพื่อห่างไกลไข้หวัดใหญ่
1 ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ (ทานผลไม้ที่มีวิตามินC)
2 ล้างมือให้สะอาดก่อนทานอาหาร
3 ออกกำลังกายพอเหมาะ
4 เสื้อผ้า ห้องนอน บริเวณที่เกี่ยวข้องดูแลให้สะอาดจะป้องได้หลายโรคเลยค่ะ
5 ถ้ามีงบประมาณดูแลสุขภาพก็ฉีดวัคซีนป้องไว้ก็เพิ่มความห่างไกล
6 ถ้ามีอาการควรไปพบแพทย์ ไม่ควรซื้อยาทานเองหรือวิเคราะห์โรคกันไปเอง
7 อย่ากลัวหรือคิดทางลบหรือวิตกกังวลไปก่อน
8 รักกันและดูแลคนร้อบข้าง
ข้อห้ามในการฉีดวัคซีน
ผู้ที่ไม่สามารถฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ได้ คือ
*ผู้ที่มีอาการแพ้ไข่ หรือโปรตีนจากไก่ หรือไข่
*ผู้ที่เคยแพ้ส่วนประกอบของวัคซีน
*ผู้ที่มีประวัติแพ้วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่อย่างรุนแรง
*เด็กที่อายุต่ำกว่า 6 เดือน
*ผู้ที่กำลังมีไข้ หรือมีการติดเชื้ออย่างเฉียบพลัน
*ผู้ที่มีอาการโรคประจำตัวกำเริบ ไม่สามารถควบคุมได้
แต่หากเป็นหวัดเล็กน้อย และไม่มีไข้ สามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนได้
ช่วงเวลาที่เหมาะในการฉีดวัคซีน
ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ คือ ช่วงเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงก่อนฤดูฝน ก่อนเกิดการระบาดของโรค และช่วงก่อนฤดูหนาวในเดือนตุลาคม โดยวัคซีนนี้ต้องฉีดซ้ำทุก 1 ปี เนื่องจากแต่ละปีเชื่อไวรัสจะมีการกลายพันธุ์ จึงต้องมีการผลิตวัคซีนขึ้นมาใหม่ทุก ๆ ปี
วัคซีนสามารถป้องกันได้เมื่อไหร่
หลังจากฉีดวัคซีนแล้ว จะต้องใช้เวลา 2-3 อาทิตย์ เพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์ ได้แก่ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ไข้หวัดใหญ่ชนิด B และไข้หวัดใหญ่ชนิด เอ H3N2 (ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล) แต่วัคซีนนี้ไม่สามารถป้องกันไข้หวัดที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์อื่น ๆ หรือโรคหวัดทั่วไปได้
อาการหลังฉีดวัคซีน
ผู้ที่ฉีดวัคซีนบางคนอาจมีอาการบวมแดง ปวด เป็นตุ่มนูนบริเวณที่ฉีด บางคนอาจเป็นไข้ มีอาการปวดเมื่อยตามมา แต่จะหายได้เองภายใน 1-2 วัน แต่หากใครเกิดอาการหายใจไม่สะดวก เสียงแหบ หายใจเสียงดัง เกิดลมพิษ หน้าซีดขาว อ่อนเพลีย หัวใจเต้นเร็ว หรือเวียนศีรษะ ให้รีบพบแพทย์ทันที เนื่องจากอาจแพ้วัคซีนดังกล่าว
ไข้หวัดใหญ่ 2009 เป็นแล้วเป็นอีกได้หรือไม่
โดยทางกระทรวงสาธารณสุข ได้ชี้แจงคำถามนี้ว่า โดยทั่วไปการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลซ้ำ สามารถเกิดขึ้นได้ในธรรมชาติ แต่พบได้น้อยมาก ซึ่งเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ก็อาจเป็นไปได้ในลักษณะเดียวกัน
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้ผู้ป่วยมีการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ซ้ำ อาจประกอบไปด้วยปัจจัยหลายประการ เช่น ปัจจัยในตัวผู้ป่วย ที่ทำให้สร้างภูมิต้านทานโรคได้น้อยกว่าคนปกติ ตัวเชื้อไวรัสอาจเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมทีละน้อย ทำให้ภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อครั้งแรกไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อซ้ำได้อย่างสมบูรณ์
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่มีผู้ป่วยติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ซ้ำนี้ ยังเป็นกรณีที่พบได้น้อยมาก จึงยังไม่มีผลกระทบต่อแนวทางการป้องกันโรค การรักษา การใช้วัคซีนในปัจจุบัน และยังไม่เป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญในภาพรวม แต่อย่างใด
หากเคยฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009 มาก่อน จะฉีดวัคซีนตัวนี้ได้อีกหรือไม่
สามารถฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์ได้อีก เนื่องจากเมื่อฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ไปแล้ว ร่างกายจะมีภูมิต้านทานอยู่ได้ประมาณ 6 - 12 เดือน หากฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์เข้าไปอีก จะช่วยกระตุ้นภูมิต้านทานของร่างกาย