http://twitter.com/merveillesxx และ http://www.facebook.com/merpage
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2555
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
2 ตุลาคม 2555
 
All Blogs
 
ทริปสังคโลกสิงคโปร์ อินดี้อย่างเดียวดาย : DAY 2 เกาะนรกเซนโตซ่า

by merveillesxx


(คำเตือน: ไม่ใช่คู่มือการท่องเที่ยว เป็นเพียงบันทึกประสบการณ์ส่วนตัว ใช้คำหยาบคายมากมาย และมีการเหยียดเชื้อชาติ)


หลังจากผ่านมหกรรมการต่อคิวอันแสนสาหัสเมื่อวาน ทริปวันที่สองตรงกับวันจันทร์ เลยเข้าใจว่าวันนี้น่าจะเที่ยวได้อย่างสบายๆ (แต่เดี๋ยวจะได้รู้ว่ามันไม่ใช่...) โรงแรมที่เราพักไม่มีอาหารเช้าให้ แต่ก็ไม่ลำบากอะไร เพราะมี Kopitiam ฟู้ดคอร์ท 24 ชั่วโมง และที่นี่มีเซ็ตอาหารเช้าด้วย ลืมเล่าว่า Kopitiam นี่แปลกตรงที่ตอนกลางวันก็เปิดแอร์เย็นช่ำดี แต่พอกลางคืนจะถอดกระจกออก เป็นโอเพ่นแอร์ซะงั้น แล้วช่วงที่เราไปสิงคโปร์นี่ร้อนพอๆ กับอยู่เมืองไทยเลย


เซ็ตอาหาเช้า ราคาถูกมาก แค่ 2.5 ดอลล่าร์ แม่งถูกกว่าน้ำในสวนสัตว์อีก

วันที่สองนี้เทคิวให้กับเกาะเซนโตซ่าทั้งวันไปเลย แต่ก่อนจะไปเซนโตซ่า มีสองภารกิจที่ขอแวะทำก่อน นั่นคือ หนึ่ง-ไปสำรวจ Fort Canning Park สถานที่เล่นคอนเสิร์ตของ Garbage และ New Order และสอง-กลับไปหาป้ายโฆษณา Baby-G ของ Girls’ Generation ที่ห้าง Ion Orchard อีกครั้ง (ยังไม่เลิกล้มความพยายาม) หลังจากนั่ง search เน็ตทั้งคืน ก็ได้พบตำแหน่งพิกัดที่ชัดเจนของป้าย คราวนี้ไม่น่าพลาด


บริเวณใกล้ๆ โรงแรมของเราจะมีมหาลัยชื่อ SMU (Singapore Management University) เวลาขึ้นรถไฟใต้ดินก็จะเจอเหล่านักศึกษาเรื่อยๆ (แต่ไม่ค่อยมีหน้าตาดี)


อันนี้ National Museum วันหลังค่อยมา / มีคนมาเข้าคิวรอตั้งแต่ยังไม่เปิด


ทางเข้า Fort Canning Park เป็นสวนสาธารณะใหญ่ๆ เดินจากโรงแรมเราประมาณ 15 นาทีเอง


มีป้ายคอนเสิร์ต New Order แปะอยู่ มาไม่ผิดที่แน่นอน

ตอนเดินเข้าไปใน Fort Canning Park เราก็งงๆ ว่าไอ้สถานที่แสดงคอนเสิร์ตมันคือตรงไหน รู้แค่ว่าเป็นกลางแจ้ง ก็เลยเดินไล่หาทั้งสวนเลย แล้วที่นี่ก็ใหญ่พอควร มีทั้งเรือนประติมากรรม, ป้อมปืนใหญ่, หอเตือนภัย, Battle Box ที่เป็นหลุมหลบภัยใต้ดิน ฯลฯ แต่คือกูไม่ได้สนสิ่งเหล่านี้ไงคะ กูมาเซอร์เวย์สถานที่จัดคอนเสิร์ตค่า แดดก็ดีเหลือเกิน ร้อนมากกกกก กูเดินมาครึ่งชั่วโมงแล้วยังไม่เจอเลย หรือจริงๆ มึงอินดี้ เล่นคอนเสิร์ตกันในหลุมหลบภัยคะ


แม้ต้นไม้จะเยอะ แต่กูมิอาจเอ็นจอยความรื่นรมย์ห่าหอยอะไรได้อีกต่อไป

แต่ในที่สุด พอเดินวนจะครบรอบสวน ก็เห็นเวทีและลำโพงอยู่ไกลๆ ...เจอแล้ววววววววววววววว แม่งเอ๊ย ความผิดพลาดมันอยู่ที่ตอนเดินเข้ามานั่นเอง ถ้าเมื่อกี้กูเลือกเดินวนซ้าย เดินต่อแค่นิดเดียวก็จะเจอเวทีคอนเสิร์ตทันที แต่เมื่อกี้เสือกเลือกไปทางขวา เลยวนอ้อมโลกกกกกกกกกกกก ได้ทัวร์ Fort Canning Park แบบครบถ้วน (โดยที่ไม่ต้องการ) มารู้ทีหลังว่าบริเวณจัดคอนเสิร์ตนี่เรียกว่า Fort Canning Green จ้ะ


ทีมงานกำลังเซ็ตเวทีกันอยู่ ตอนเห็นครั้งแรกก็แอบอึ้ง เพราะนึกว่าลานที่จัดจะใหญ่กว่านี้ แต่ของจริงมันขนาดไม่ใหญ่มาก

เพื่อความชัวร์เลยเดินเข้าไปถามทีมงานที่กำลังขนอุปกรณ์อยู่ว่า “เอ่อ นี่ใช่ที่จัดคอนเสิร์ต Garbage / New Order หรือเปล่าครับ” แต่พี่แกบอกไม่รู้เหมือนกัน ประมาณว่าถูกจ้างมาขน ก็ขนลูกเดียว ลองไปถามผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงนู้นนะ มองไปก็เจอพี่สาวคนแขกท่าทางดูเหมือนคนคุมงานนั่งอยู่ เลยลองดุ่มๆ เข้าไปด้วยประโยคเดิม “เอ่อ นี่ใช่ที่จัดคอนเสิร์ต Garbage / New Order หรือเปล่าครับ” เจ๊แกก็ตอบว่าใช่ๆ เราเลยบอกว่าเนี่ย ผมมาจากเมืองไทยครับ มาดูคอนเสิร์ตสองวงนี้ และวันนี้มาเซอร์เวย์สถานที่ก่อน

พอเราพูดเท่านั้นแหละ เจ๊แกก็ตื่นเต้นตกใจหยั่งกะ ไมเคิล แจ็คสัน ฟื้นคืนชีพ (อันที่จริงก็คงอึ้งว่าไอ้นี่แม่งบ้าหรือเปล่า อุตส่าห์ถ่อมาดูที่ก่อน) เจ๊แกพูดว่า “โอ้ มัน wonderful มากๆ เลยที่คุณมาจากต่างประเทศ” แล้วก็แนะนำใหญ่เลยว่า ประตูทางเข้าอยู่ทางนั้นนะ บูธขายของจะตั้งตรงนี้ จากนั้นก็ขออีเมลเราไว้เพื่อส่งข่าวสาร แล้วบอกว่า “คุณโชคดีจริงๆ ที่มาดูงานนี้ เพราะ New Order จะไม่มีวันกลับมาที่สิงคโปร์อีกแน่นอน” (ไอ้เราก็งงๆ เหมือนกันว่าทำไมเจ๊พูดแบบนั้น 5555 แต่คงประมาณว่าจบงานนี้ พวกลุงๆ แกคงพักยาวไรงี้มั้ง) ก่อนจะปิดท้ายว่าช่วยถ่ายรูปเวทีที่กำลังเซ็ตอยู่ไปลงเฟซบุ๊คด้วยนะคะ

โอเค เคลียร์ภารกิจที่หนึ่ง จากนั้นเดินไปขึ้นรถไฟที่สถานี Dhoby Ghaut (ทุกวันนี้ยังไม่แน่ใจว่ามันอ่านว่าอะไร) เป็นสถานีใหญ่ที่เชื่อมรถไฟหลายสาย พอเข้าไปปุ๊บเจอหญิงสาวมายืนขวางทาง แล้วพูดภาษาจีนฉอดๆๆๆๆๆ ใส่ จนเราต้องรีบเบรคว่า “หยุดก๊อนนน กูไม่เข้าใจ” เธอชะงักเล็กน้อย ประมาณว่า “อ้าว ตานี่ฟังจีนไม่ออกเหรอ หน้ามึงจีนจะตายห่า” แล้วก็เปลี่ยนโหมดเป็นภาษาอังกฤษทันที สรุปคือเธอจะชวนไปลงคอร์สติวสอบ IELTS นั่น...กูถูกเข้าใจว่าเป็นคนสิงคโปร์ไปแล้วเรียบร้อย ขี้เกียจอธิบายว่ากูเป็นนักท่องเที่ยวโว้ย เลยบอกว่า โทษครับ ไม่สนใจ แล้วรีบชิ่งหนี ...เป็นข้อสังเกตว่าตามท้องถนนสิงคโปร์มีพวก รับสมัครบัตรเครดิต, บริจาคกรีนพีซ มาคอยตื๊อเราอยู่เสมอ (เหมือนไทยเลย) และข้าเจ้าที่หน้าตาเนียนจะเป็นสิงคโปเรี่ยนได้ ก็ยิ่งถูกตื๊อหนักเป็นพิเศษ (เริ่มสับสนทางตัวตนมากขึ้นเรื่อยๆ ไปเกาหลี ก็กลายเป็นคนเกาหลี พอมาสิงคโปร์ ก็กลายเป็นคนสิงคโปร์)


สถานี Dhoby Ghaut ที่ถูกอาหมวย IELTS บุกเข้าชาร์จ

นั่งรถไปห้าง Ion Orchard อีกครั้ง เมื่อวานพอออกจากสถานีแล้วเลี้ยวซ้ายแล้วหาป้ายเกิร์ลเจนไม่เจอ วันนี้เลยลองเลี้ยวขวาดู เลี้ยวไปปุ๊บเจอป้ายโฆษณา Girls’ Generation อันใหญ่เบิ้มทันที ...ทำไมชีวิตกูเลือกทางผิดตลอดเลยนะ อ่ะ อย่าได้เศร้าไป ไหนๆ ก็อุตส่าห์เจอป้ายแล้ว ถ่ายรูปแหลกให้หนำใจโลด


ไม่ใช่แค่เราที่มาถ่ายป้ายนี้ เลยทำให้ไม่รู้สึกว่าตัวเองโรคจิตเกินไป



ระหว่างถ่ายรูปไป ก็มีเพลง “และเราก็หากัน...จนเจอออ” คลอในหัวไปด้วย

แต่เท่านี้มันยังไม่ฟินพอ อยากจะถ่ายรูปกับป้ายด้วย แต่มาคนเดียวไม่รู้จะทำไง (เที่ยวคนเดียวดีหมดทุกอย่าง เสียอย่างเดียวไม่มีคนถ่ายรูปให้) มองไปมองมาเห็นนักเรียน ม.ต้น สิงคโปร์กลุ่มใหญ่กำลังจับกลุ่มเม้ามอยอยู่ เลยทำใจบากหน้าไปขอให้น้องๆ ช่วยถ่ายรูปให้หน่อย แต่อีน้องทำหน้างงซะงั้น ไหนว่าคนสิงคโปร์เข้าใจภาษาอังกฤษไงวะ หรือกูพูดฟังไม่รู้เรื่อง? หรืออีพวกนี้มันไม่ใช่สิงคโปร์? โอ๊ย กูงง เลยต้องอธิบายไปอีกรอบ อีน้องพวกนี้ก็ดันแบบ “แกถ่ายสิ แกนั่นแหละ แกถ่ายเหอะ” อีห่าา กูแค่ขอให้ช่วยกดชัตเตอร์ ไม่ได้ขอจับนม จะอิดออดอะไรกันมากมาย แถมพอมันถ่ายออกมา ฝีมือแม่งจั๊ดง่าวไร้คอมมอนเซนส์มาก รูปห่วยแตกสิ้นดี นี่สินะ ที่สุนทรภู่บอก “แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์” สรุปก็ต้องมาถ่ายเองอยู่ดี


หลังจากเล็งถ่ายรูปด้วยตัวเองไป 15 ที ก็ได้รูปนี้มาในที่สุด (ตอนถ่ายอายมาก เพราะห้าง Ion Orchard แม่งคนเยอะหยั่งกะหัวลำโพง)

โอเค จบมิชชั่นที่สอง ได้เวลาลาจากย่าน Orchard ซึ่งเราก็ไม่ได้กลับไปที่นั่นอีกเลย สรุปว่าย่าน Orchard ที่คนไทยฮิตๆ กัน กูมาเดินสองวันรวมแล้วไม่ถึง 30 นาทีด้วยซ้ำ

จากนั้นมุ่งหน้าสู่เกาะเซนโตซ่า โดยต้องนั่งรถไปที่สถานี Habour Front แล้วเข้าห้าง Vivo City จะมีรถไฟสาย Sentosa Express นั่งเข้าเกาะได้ (ถ้ามีบัตร EZ-Link ก็สบาย ใช้กับ Sentosa Express ได้เลย) แต่พอเข้าห้าง Vivo City ไปก็เริ่มสัมผัสถึงลางร้าย คือคนขึ้นบันไดเลื่อนจะไปสถานีเยอะมาก เยอะจนถึงขั้นต้องมีพี่ยามมาคอยกั้นคิว ปล่อยคนขึ้นเป็นชุดๆ ขึ้นไป ...เฮ้ย นี่มันวันธรรมดาไม่ใช่เหรอวะ ทำไมคนเยอะล่ะเนี่ย พี่ยามพูดผ่านโทรโข่งว่าตอนนี้คนรอคิว Sentosa Express เยอะมาก แนะนำให้เดินเอาดีกว่า คือจริงๆ มันจะมีสะพานข้ามเกาะด้วย เดินได้ แต่ท่าทางจะไกลพอควร แล้ววันนี้แดดแรงมาก กูยอมรอคิวดีกว่า ...ในที่สุดก็ขึ้นไปถึงชั้นบนได้ และสิ่งที่เจอคือ


นี่คือคิวขึ้นรถ Sentosa Express ...อีเหี้ยยยยยยยยยยยยยยยย ทำไมคนมันเยอะแบบนี้ พ่องงงงงงงงงงงง

บัดซบสิ้นดี! เห็นจำนวนผู้คนแล้วกูจะบ้าตาย ชีวิตยังหนีไม่พ้นการต่อคิวอยู่ดี สับสนงุนงงมากว่าทำไมคนเยอะ ทั้งที่เป็นวันธรรมดา แม่งต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ แต่เอาเหอะ ไว้ค่อยหาคำตอบ ตอนนี้ต้องซื้อพวกตั๋วการแสดงต่างๆ นานาบนเกาะเซนโตซ่าก่อน ที่กะว่าจะดูแน่ๆ ก็คือ โชว์ Songs of the Sea เป็นการแสดงพร้อมแสงสีอลังการ ซึ่งจะมีตอนค่ำๆ เลย


ชีวิตแห่งการต่อคิว ดำเนินต่อไป / ที่เห็นมีป้าย Happy Birthday เพราะเดือนสิงหามีวันชาติของสิงคโปร์ (9 สิงหา)

พอซื้อตั๋ว Songs of the Sea คนขายก็บอกว่าที่นั่งธรรมดา 10 เหรียญเต็มแล้ว เหลือแต่ที่นั่งพรีเมียม 15 ดอลลาร์ ...กูมีทางเลือกหรือไงล่ะ ก็ต้องยอมจ่ายไป ที่จริงมันมีตั๋วเป็นแพ็คเกจด้วยประมาณว่าจ่ายแพงหน่อยแต่เล่นได้ทุกอย่างบน เกาะ แต่ดูแล้วส่วนใหญ่มันแนวผาดโผนวิบาก เช่น ห้อยสลิง โหนตัว ขับรถลงเนิน อะไรเทือกนี้ ซึ่งเราไม่ได้ชอบเล่นเท่าไร เลยไม่เอาดีกว่า

ซื้อตั๋วเสร็จ ก็ต้องมาต่อคิวขึ้นรถ Sentosa Express ชีวิตกู slow life มากค่า คิวแม่งขยับทีละนิดๆๆ กว่าจะได้เข้าเกาะ แผ่นดินคงเคลื่อนจนเกาะหนีหายไปแล้วมั้ง แล้วอีรถ Sentosa Express นี่ก็คันเล็กน่ารักเหลือเกิ๊นนน คนเข้าได้ทีละนิดละหน่อย รออยู่เกือบครึ่งชั่วโมงในที่สุดก็ได้ขึ้นรถ ความเหี้ยคือ รถขบวนที่กูขึ้นนั้นเต็มไปด้วยคนแขกทั้งคันแบบแน่นเอี้ยด! แม่งเอ๊ย ได้ประสบการณ์เดินทางสี่มิติอีกแล้ว กลิ่นนี่สุดฤทธิ์สุดเดช จะยกมือขึ้นมาปิดก็กลัวจะถูกแขกรุมกระทืบเอา ตอนอยู่บนรถได้แต่ภาวนาให้ถึงสถานีหน้าเร็วๆ นี่คือวินาทีแห่งความเป็นความตายของชีวิต ถ้ารายการ เฉียด ของคุณไตรภพ ยังอยู่ กูจะเขียนจดหมายไปขอออกรายการเลย


หน้าตาของ Sentosa Express นี่ข้าพเจ้าเกือบเสียชีวิตคารถ

นั่งรถไฟแค่ประมาณ 3 นาที แต่รู้สึกยาวนานเหมือนสามปี พอหลุดออกมาได้ กูแทบร้องไห้ ...อย่าหาว่า racism เลย แต่หลังเจอทั้งกองทัพคนจีนบนเครื่องบิน และกองทัพพี่คนแขกบน Sentosa Express กูก็ตัดสินใจตัดย่าน Chinatown และ Little India ออกจากโปรแกมเที่ยวทันที! ส่วนเรื่องที่คนเยอะนั้น เพื่อนมาบอกในเฟซบุ๊คทีหลังว่า วันที่เราไปมันตรงวันหยุดตรุษอิสลามมาเลย์มลายูอะไรสักอย่างพอดี เป็นวันหยุดของคนแขก รวมถึงแขกจากมาเลย์และอินโดจะมาเที่ยวสิงคโปร์ด้วย นั่นแปลว่าตอนนี้พี่แขกแกได้ยึดเกาะเซนโตซ่าไปแล้ว!!! แม่งเอ๊ยยยยยยย แล้วกูจะรู้มั้ยยยยยยยยยยยยย ปฏิทินวันหยุดสิงคโปร์ก็ไม่มีบอกไว้ ถ้ากูรู้กูไม่มาวันนี้หรอก ควยยยยย ~@!~#!#@@~!@~!@#$$@#@!R%%$^^%$^%!@~@~!@#!#!

แต่ ณ ตอนที่อยู่บนเกาะเซนโตซ่านั้น ข้าพเจ้ายังไม่รู้ถึงความจริงเรื่องวันหยุดตรุษอิสลาม ดังนั้นก็เลยเที่ยวอย่างมึนๆ พร้อมสงสัยทุก 3 วินาทีว่าทำไมคนมันเยอะจังโว้ยยยย แต่นั่นแหละ ต้องก้มหน้ายอมรับชะตากรรมไป ...โอเค กลับมาเรื่องเที่ยว รถไฟสาย Sentosa Express จะแบ่งเป็น 3 สถานีด้วยกัน คือ Waterfront, Imbiah และ Beach โดยเราลงที่สถานี Waterfront ก่อน เพื่อยังไปสถานที่ที่โคตรจะแมส นั่นคือ Universal Studio


อ่ะ มาถึงแล้ว Universal Studio

อันที่จริง Universal Studio นี่ไม่ได้อยากมาเท่าไร ไม่ได้ชอบเครื่องเล่นสวนสนุกมากมาย แต่ก็มาให้รู้ว่ามันเป็นยังไง ค่าเข้าก็แพงอยู่ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 1700 บาท โดยเราซื้อตั๋วออนไลน์ไปจากเมืองไทยเลย ซื้อผ่านเวบของ Sentosa ปรินท์บัตรออกมา พอไปถึงหน้า Universal ก็ส่งให้ พนง. แสกนบาร์โค้ด เป็นอันจบ ตอนที่ซื้อบัตรเนี่ย มันระบุในเวบว่าวันที่เรามาเป็น Non-Peak Day คือวันที่คนไม่เยอะ แต่สิ่งที่กูเจอเมื่อเข้าไปข้างในคือ...


คน


และคน!

พ่อมึงต๊ายยยยย นี่มัน Non-Peak บ้านมึงเหรอออออ????? แบบนี้กูเรียกว่า Extremely Peak โว้ยยย แม่งเหมือนถูกเวบ Sentosa หลอก กูอยากจะไปฟ้อง สคบ. สิงคโปร์จริงๆ คนเยอะมากกกก แถมวันนี้ไม่มีฝนหยดลงมาสักแหมะ แดดร้อนมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ กูเดิน Universal Studio ด้วยความทรมานอย่างยิ่ง มึงจะแบ่งเป็นโซนฮอลลีวูด โซนแฟรี่เทล โซนมัมมี่ อะไรเนี่ยกูไม่อาจรับรู้อีกต่อไป ร้อนจนจะเป็นลม แถมยังถูกรอบล้อมไปด้วยประชากรแขกอีก ระหว่างทางต้องคอยซื้อน้ำหวานกินเป็นระยะ แถมน้ำบนเซนโตซ่าแม่งแพงมาก 4-6 ดอลล่าร์อัพ แต่กูมีทางเลือกเหรอคะ นอกจากแพงแล้วยังไม่อร่อยด้วย เช่น อยากกินชามะนาว แม่งก็มีแต่ชารสพีช หรือไม่ก็ชามะนาวแบบเวรี่จือจาง พออยากกินน้ำส้ม แม่งก็มีแต่น้ำส้มผสมแอปเปิ้ล มึงจะไปผสมกันทำเหี้ยอะไร คือถ้ากูอยากกินน้ำส้ม ก็คืออยากกินน้ำส้มเซ่! สิ่งที่หงุดหงิดอันดับต้นๆ ตอนอยู่สิงคโปร์คือ น้ำมันไม่อร่อยเนี่ยแหละ เพราะคนเขาไม่กินหวานกัน ซื้อน้ำอะไรมาแดกแม่งเหมือนน้ำล้างจานหมด แถมแพงด้วย

เดินตากแดดหน้าเงือกไปสักพัก เห็นเครื่องเล่นคือ Enchanted Airways เป็นรถไฟเหาะแบบมินิ ขึ้นเวลา waiting time ว่า 10 นาที เออ รอไม่นานมาก ลองเล่นดูแล้วกัน ปรากฏว่าถึงแม้จะเป็นรถไฟกิ๊กก๊อก แต่ตอนถลาลงนี่แม่งเสียวใช่เล่นนะเนี่ย (หรืออาจเพราะไม่ได้เข้าสวนสนุกมาเกือบสิบปีแล้ว) กำลังเสียวสนุกได้ที่ อ้าว แม่งจบแล้ว วิ่งกลับมาทีเดิมแล้ว อีห่า ต่อคิว 10 นาที ได้นั่งแค่ 3 นาที ขอบคุณค่ะ


เวลา Enchanted Airways กลับมาจอดที่สถานี พนักงานจะพากันตบมือประมาณ “ยินดีต้อนรับกลับค่ะ คนเก่ง” ซึ่งเป็นบรรยากาศน่าอับอายอดสูมาก


มองเห็นรถไฟเหาะอันนี้ ท่าทางจะเสียวดี ห้อยขากลางอากาศด้วย ลองเล่นดีกว่า แต่ปัญหาคือคนแม่งเยอะมาก จนกูหาสถานีขึ้นรถไม่เจอ ใช้เวลาเดินหานานมาก


และพอหาเจอ แม่งขึ้นว่าเวลารอคือ 50 นาที ...จบกัน


โซนมันมี่ ข้างในมีอะไรไม่รู้ แต่ขึ้นเวลารอว่า 60 นาที ...จบกัน


โซนเปิดใหม่ล่าสุด ทราม เอ๊ย ทรานฟอร์มเมอร์ส


เวลารอ 160 นาที ...160!!!???? ไม่ใช่ 60 นะคะ แต่เป็น 160 !!! ...จบกัน


จริงๆ ถ้าอยากขึ้นเร็ว มีสองวิธีคือ ใช้เงินซื้อตั๋ว Universal Express จ่ายเพิ่มอีก 30 เหรียญ แล้วจะมีช่องพิเศษให้เลย หรือเข้าช่อง single rider คือแบบนั่งคนเดียวได้ ไม่แคร์ว่าไม่ได้นั่งกับเพื่อน กับผัว กับเมีย

สรุปว่าชีวิตกูเฟลกับ Universal Studio สุดขีด จะเล่นอะไรแม่งก็ต้องรอเป็นชาติ (เพื่อนบอกว่ามันมาวันธรรมดา ไม่มีคิวเลย ...กูก็มาวันธรรมดา แต่ไม่รู้นิว่ามันคือวันตรุษอิสลามอะไรเนี่ยยย ความผิดกูมั้ย!!??) ว่าจะเข้ามาเดินเล่นชิวๆ ก็ไม่ชิวเลย คนเยอะล้านแปด + ร้อนตับแตก รู้สึกเหมือนเอาเงิน 1700 มาทิ้งเปล่าๆ แต่นั่งไตร่ตรองดูแล้ว ถ้ากูรอเล่นไอ้พวกเครื่องเล่นเนี่ย มันจะกินเวลาจนไม่ได้เที่ยวอย่างอื่นในเกาะเซนโตซ่าพอดี ดังนั้นเลือกไปที่อื่นต่อดีกว่า...ดีกว่าที่จะมาติดอยู่ในอีสตูดิโอนรกแห่ง นี้!


ลาก่อน Universal Studio อย่าหวังว่ากูจะกลับมาอีก (คนแม่งยังเยอะต่อไป)


แวะกินข้าว สั่งข้าวอินโดเนเซียอะไรสักอย่าง ก็อร่อยดี แต่มื้อนี้เจอไป 500 บาท กูจะบ้าตาย เหี้ยห่าอะไรในเกาะนี้แม่งแพงหมด


แถว Universal จะมี Maritime Museum รู้สึกว่าจะเกี่ยวกับโจรสลัด แต่ดูโปสเตอร์แล้วดูลิเกๆ เสร่อๆ ยังไงไม่รู้ เลยไม่เข้าดีกว่า (แถวนั้นจะมีอีกอย่างคือ Marine Life Park ซึ่งโม้ไว้ว่าจะเป็นสวนน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ตอนเราไปยังสร้างไม่เสร็จ)


หันมาถ่ายรูปแก้เซ็งแทนดีกว่า ...ต้นไม้ขนมหวาน


เด็กคนนี้เล่นน้ำพุอย่างไม่แคร์ใครจริงๆ


เมอร์ไลออนแบบคิกขุ


เคลื่อนตัวไปยังสถานีถัดไป คือ Imbiah แต่พอเดินไปขึ้นรถ Sentosa Express ก็ต้องเจอกับมหกรรมการต่อคิวอีกครั้ง กูจะเปลี่ยนชื่อทริปนี้เป็น “ทริปสังคโลกสิงคโปร์ ต่อคิวอย่างอินดี้” แล้วนะโว้ยยย


แลนด์มาร์กสำคัญของสถานี Imbiah ก็คือ เมอร์ไลออนตัวใหญ่นั่นเอง


อีเมอร์ vs. เมอร์ไลออน

ในตัวเมอร์ไลออนก็สามารถขึ้นไปได้ เสียค่าเข้า 8 ดอลล่าร์ อันนี้ไม่มีคิว เข้าใจว่าคงไม่ฮิตเท่าไร ตอนจ่ายตังค์พนักงานจะให้เหรียญทองมา บอกว่าให้ไปหยอดปากเมอร์ไลออนด้านบนเพื่อเสี่ยงโชคว่าได้ของรางวัลมั้ย ข้างในก็มีนิทรรศการนิดๆ หน่อยๆ เกี่ยวกับความเป็นมาของเมอร์ไลออน


ต่อด้วยห้องฉายวิดีโอประวัติของเมอร์ไลออน เป็นแอนิเมชั่น ทำได้ดีทีเดียว


ปิดท้ายด้วยการขึ้นไปชมวิวบนเมอร์ไลออน (มีลิฟท์ให้จ้ะ) มีสองจุดคือ ตรงหัว กับตรงปาก ซึ่งวิวก็ไม่ได้สวยอะไร ...นี่แหละ 8 เหรียญที่กูเสียไป

ส่วนไอ้เหรียญทองที่เค้าให้มา พอไปหยอดดูแล้วก็เป็นกระดาษออกมาว่า “ยินดีด้วย คุณได้ของราวัลจ้า” แต่กูเห็นทุกคนก็ได้กันหมดเลยค่ะ และของที่ได้ก็เป็นพัดลาย Sentosa กระจอกๆ อันนึง แต่ ณ จุดนี้ก็ดี เพราะอากาศร้อนมาก ถือว่าใช้ประโยชน์ได้


ด้านหลังเมอร์ไลออน จะเป็นทางเดินชื่อ Merlion Walk เป็นประติมากรรมเซรามิกสีๆ และน้ำพุ

ถัดจากเมอร์ไลออน จะเป็นบันไดเลื่อนขึ้นไปเรื่อยๆ เพื่อไปสู่ Imbiah Lookout จะรวมสถานที่ท่องเที่ยวของโซนนี้ไว้หลายอัน มีสวนผีเสื้อและแมลง, โรงหนังสามมิติ-สี่มิติ, พวกเครื่องห้อยโหนนู่นนี่ และอะไรอีกมากมาย แต่ไม่ค่อยได้สนใจไอ้พวกนี้ ไปเข้ามิวเซียมตามสไตล์คนอินดี้อย่างเราๆ ดีกว่า


Images of Singapore พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของสิงคโปร์ เจอไปอีก 10 ดอลล่าร์


ด้านในก็เล่าประวัติความเป็นมาของการที่ ประเทศนี้มีคนหลายเชื้อชาติทั้งมลายู, อินเดีย, จีน รวมถึงพิธีการสำคัญต่างๆ เช่น งานแต่งงาน งานไหว้เจ้านั่นนี่ ส่วนใหญ่จะนำเสนอด้วยหุ่นขี้ผึ้งขนาดคนจริง เจอเข้าไปเยอะๆ ก็แอบหลอนเหมือนกัน


ด้านบน สุดของ Imbiah Lookout จะเจอ Tiger Sky Tower แต่ตั้งแต่ได้ไปขึ้น TV Tower ที่เบอร์ลิน ก็ได้ข้อคิดว่าไอ้พวกหอสูงๆ พวกนี้ไม่ต้องไปขึ้นหรอก แม่งมีไว้หลอกเอาเงินนักท่องเที่ยวล้วนๆ


เคลียร์ด่าน Imbiah Lookout เป้าหมายต่อไปคืออควอเรียมชื่อ Underwater World ซึ่งต้องนั่งรถบัสไป รถบัสในเกาะเซนโตซ่าจะมีสามสายด้วยกัน คือ Blue, Yellow และ Red แต่ละสายจะจอดตามจุดสำคัญต่างๆ บนเกาะ สำหรับ Underwater World ต้องนั่งสาย Blue


ข้อควรระวังคือ รถทุกคันมันสีส้มหมดค่ะ สายรถต้องดูที่ป้ายหน้ารถ (แม่งหลอกลวงกูจริงๆนะ ไอ้เกาะนี้)


มาถึง Underwater World และต้องเจอกับมหกรรมต่อคิวอีกแล้ว (อ๊ากกกกกกกกกกก)

ที่จริงเราพลาดมาก ตอนที่ซื้อบัตร Songs of the Sea ที่เคาน์เตอร์ Vivo City ก็น่าจะซื้อบัตร Underwater World ไปด้วยเลย จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาต่อคิวอีก ดังนั้นขอแนะนำเป็นทิปว่า หากท่านไปเซนโตซ่าในวันเสาร์อาทิตย์ วันหยุด หรือวันบัดซบอะไรก็ตามที่คนมันเยอะขึ้นมา ตอนที่ซื้อตั๋วที่ Vivo City ให้ซื้อทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านจะเข้าหรือจะเล่นบนเกาะเซนโตซ่าไปรวดเดียวเลย หรือไม่ก็ซื้อตั๋วแพคเกจถ้าเข้าหลายอัน (แต่โดยหลักอันที่คนจะเยอะก็คือ Songs of the Sea กับ Underwater World นั่นแหละ)


ที่ Underwater World จะมีโชว์ปลาโลมาและแมวน้ำ แต่ปรากฏว่ารอบ 16.00 เต็มไปแล้ว ต้องรออีกที 17.45 นู่นเลย ...เฮ้อ ชีวิตกู วางแผนอะไรไว้พังพินาศหมด

เข้าไปใน Underwater World ให้ความรู้สึกเดจาวูเหมือนตอน COEX Aquarium ที่เกาหลีเลย คือเต็มไปด้วยครอบครัวสุขสันต์ พ่อแม่และเด็กเปรต โอยยยยย ปลาเปลออะไรแม่งไม่ต้องดูหรอกค่ะ หัวเด็กแม่งบังหมด ไหนจะต้องคอยเอี้ยวตัวหลบอีพวกเด็กนรกที่วิ่งไปมาอีก (กูอยากจะขัดขาให้พวกมันหัวทิ่มจริงๆ)


ใช้เวลาหลบหัวเด็กนานมาก กว่าจะได้รูปนี้มา


อุโมงค์ปลาก็ยาวพอควร มันทางเลื่อนวิ่งไปเรื่อยๆ บรรยากาศสวยงามดีทีเดียว แต่ก็จะมีพวกเด็กนรกคอยวิ่งสวนทางมา (พ่อแม่มันไม่ดูลูกบ้างหรือไงคะ)


ทุกครั้งที่กูไปอควอเรียม จะถ่ายรูปแมงกะพรุนได้ทุกที เพราะเด็กแม่งไม่ค่อยดู


อยู่ใน Underwater World ได้สามสิบนาที ก็ทนเหล่าเด็กน้อยผู้น่ารักไม่ไหว ขอจรลี อีกทั้งโชว์ปลาโลมารอบถัดไปก็ตอน 17.45 นู่น เลยมาที่ Fort Siloso เป็นป้อมปืนป้องกันชายฝั่งในช่วงสงคราม (เสียค่าเข้าอีก 8 เหรียญ)


พอเข้าไปแล้วเจอรถจอดรออยู่ ไอ้เราก็นึกว่าเค้าจะขับรถพาชมจนทั่ว ปรากฏว่าขับไปสักพัก ไปหยุดที่ลานเล่นบีบีกัน คนทั้งรถแม่งลงกันหมดเลย (มึงมาสิงคโปร์เพื่อเล่นบีบีกันเนี่ยนะ??) เหลือแค่เรากับคุณลุงที่นั่งหน้าสุด (ตามรูป) เหวอเลยทีเดียว พอรถขับไปอีกสักพัก ก็พาเราไปปล่อยทิ้งที่มิวเซียมของ Fort Siloso น้องไกด์ (ถ้าจำไม่ผิดชื่อ เอดิสัน หน้าตาดีทีเดียว) อธิบายว่าจากนี้จะปล่อยให้เดินเองตามสบายนะครับ ถ้าเดินให้ทั่วก็ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่งครับ จากนั้นน้องก็ขึ้นรถจากไป ...กรี๊ดดดดด น้องเอดิสันทิ้งพี่แบบนี้ได้ไง แถมทิ้งไว้กับคุณลุงที่ไหนไม่รู้อีก T_T


พยายาม ‘เดินตามสบาย’ อย่างที่น้องเอดิสันกล่าวไว้ แต่ที่ Fort Siloso มันก็มีแต่ซากปืนใหญ่ ซากปืนใหญ่ และซากปืนใหญ่ ...จบ


แถมเดินไปเดินมา ยังเจอป้ายเตือนว่าแถวนี้เป็นป่ารกทึบ ดังนั้นอาจมีงูนะจ๊ะ ไม่ต้องตกใจไป ถ้าเจอก็เฉยๆ ไว้จ้ะ ...อีห่า มึงพูดง่ายไปมั้ย เลยตัดสินใจออกจาก Fort Siloso เสียเงินไปเปล่าๆ ปลี้ๆ 8 เหรียญ ถึงตอนนี้สรุปได้แล้วว่าเกาะเซนโตซ่านี่มันคือเกาะที่เอาเงินมาละลายดีๆ นี่เอง


กลับมาดูโชว์ปลาโลมา รอบ 17.45 คนเยอะมากกกก ข้าพเจ้าไม่มีทั่นั่ง ต้องยืนดู แถมอากาศยังร้อนหีละลายต่อไป



ตัวโชว์ก็ดูเพลินๆ ดี แต่ก็คล้ายๆ กับที่เขาดินเลย


จากนั้นนั่งรถบัสสาย Blue มาลงที่ Beach Station อันเป็นสถานที่ของโชว์ Songs of the Sea สิ่งที่เราจะเจอเป็นอย่างแรกคือตึกของ iFly เครื่องเล่นเป่าลมพลังควาย ที่จะทำให้เราเหมือนกับลอยกลางอากาศได้ ค่าเล่นก็แค่ 2200 กว่าบาทเองค่า ดังนั้นดิชั้นจึงข้ามไปทันที

กว่า Songs of the Sea จะเล่นก็ตอน 19.40 ยังมีเวลาเหลือพอควร เลยไปเดินหาอะไรกิน เจอร้านแม็คโดนัลด์ แต่โต๊ะเต็ม ไม่มีที่นั่ง ชีวิตกูรันทดต่อไป กะอีแค่จะกินแม็คยังไม่ได้เลย ก็เลยต้องพึ่งพารถเข็นขายฮ็อทด็อกแถวนั้น ซึ่งกัดคำแรกก็พบว่า...ไม่อร่อยเลย


มองเห็นทางเดินสวยงาม มีเปิดไฟเก๋ๆ เอ๊ะ มันจะพาเราไปที่ไหน


อุตส่าห์ปีนเนินขึ้นไป เพียงเพื่อพบว่า แม่งพากลับมาที่ Merlion Walk เวร... (ไอ้ที่อยู่ลิบๆ ตรงกลางคือ เมอร์ไลออน นั่นเอง)


วางแผนไว้ว่าจะนั่งรถ Tram ไปชายหาด Siloso ปรากฏว่าวันนี้รถแทรมหยุดวิ่ง !@#!@#@$!#@! โว้ยยยยยยยยยย มันจะอะไรกันนักหนา!! ทริปกูไม่เคยเป็นอย่างที่แพลนไว้สักอย่าง ถึงตอนนี้สติขาดผึงแทบจะกระโดดถีบป้ายทีเดียว แต่ก็ทำใจ แล้วลองเดินเท้าเอา เดินไปตั้งไกลแม่งพึ่งผ่านไปป้ายรถเมล์เดียว เหลืออีกสามป้าย แบบนี้จะกลับมาดู Songs of the Sea ไม่ทัน เลยจำใจเดินกลับไปที่แถวๆ Beach Station



ลงไปโฉบแถวชายหาดพอเป็นพิธี


โอเค ได้เวลาดู Songs of the Sea เนื่องจาก(ถูกบังคับให้)ซื้อบัตรพรีเมียมจึงไม่ต้องรีบไปแย่งที่ เพราะเขามีแถว VIP ให้โดยเฉพาะ



บัตรพรีเมียม ก็เลยได้ที่นั่งแถวกลางๆ



ส่วนโชว์ Songs of the Sea ความยาวประมาณ 25 นาที เป็นมัลติมีเดียที่เล่นกับม่านน้ำ ในแง่เทคนิคก็อลังการทีเดียว แต่เนื้อเรื่องออกจะโง่ๆ สลิ่มๆ หน่อย เกี่ยวกับพระเอกที่มีเสียงอันไพเราะ แล้วต้องร้องเพลงช่วยเจ้าหญิงจากการคุมขัง บลาๆๆ อ้อ แต่เค้าลิปซิงค์กันทั้งเรื่องนะ ทั้งฉากร้องเพลงและไดอะล็อก

พอ Songs of the Sea จบปุ๊บ รีบวิ่งมาที่สถานีรถ Sentosa Express ทันที เพราะกลัวคนเยอะ และกูต้องการไปให้พ้นๆ จากอีเกาะเซนโตซ่านี่สักที แต่วิบากกรรมยังดำเนินต่อไป เหมือนกับเกิดเหตุบ้าบออะไรสักอย่าง รถ Sentosa Express แม่งไม่วิ่ง! จนท. บอกว่าให้ขึ้นรถ shuttle bus จะไปส่งถึง Vivo City เลย กูก็งงสิ อะไรยังไง ต้องไปขึ้นรถที่ไหน ผู้คนแม่งวิ่งไปหารถกันจ้าละหวั่น แม่งยังกะจลาจล



ในที่สุดก็หาคิวรถเจอ เข้าสู่โหมดการต่อคิวอีกเช่นเคย...กูปลง

หลังจากต่อคิวข้ามศตวรรษ ก็ได้ขึ้นรถ shuttle bus และแน่นอนว่าต้องยืน พอรถจอดห้าง Vivo City กูแทบจะวิ่งเลย พอกันที!!! ขอไปให้ไกลสุดหล้าจากเกาะนรกเซนโตซ่า กูจะไม่มีวันกลับมาที่นี่อีกกกกกกกกกก


เนื่องจากเพิ่งจะสามทุ่ม เลยไปแร่ดต่อที่ Clarke Quay (อ่านว่า คีย์ ไม่ใช่ ค_ย แปลว่า ท่าเรือ) เป็นท่าเรือที่เต็มไปด้วยร้านอาหารและผับเก๋ๆ อารมณ์คล้ายทองหล่อ


ไอ้แท่งๆ นี่คือเครื่องเล่น G-Max เป็นลูกกลมๆ หมุนติ้วๆ ลอยกลางอากาศ แต่เคยเล่นแล้วสมัยงานสวนสนุกที่เมืองทอง


ตึกกระทรวงวัฒนธรรมของสิงคโปร์ ดีไซน์บ่งบอกว่าวิสัยทัศน์น่าจะล้ำสมัยกว่าของบางประเทศแน่ๆ


บริเวณริมแม่น้ำมีร้านอาหารดูดีเต็มไปหมด แต่ท่าทางจะแพง



อันนี้เป็นโซนผับ ตรงกลางจะน้ำพุให้เล่น


ร้านนี้แอบประทับใจมีสาวสวยมาโชว์ระบำ + ร้องเพลง หน้าร้านเลย


มาเดิน Clarke Quay นี่ค่อยสงบหน่อย หลังจากตบตีกับผู้คนบนเกาะเซนโตซ่ามาทั้งวัน


ปิดท้ายด้วยการแวะไปที่สถานี Bugis เพียงเพื่อถ่ายป้ายเกิร์ลเจนอีกอัน (กูดูจริงจังกับเรื่องนี้มาก)

พอกลับโรงแรมก็แวะหาอะไรกินที่ Kopitiam ตามเคย สั่งร้านอาหารญี่ปุ่นที่คนขายเป็นคนจีน แต่เจ๊คนขายแม่งมัวแต่คุยมือถืออยู่นั่นแหละ จนไม่ยอมเอาซุปให้เราสักที สักพักอีลูกสาวของเจ๊เลยเดินมาด่า เท่านั้นแหละ อีแม่ลูกสองคนนี้ด่าภาษาจีนกันไฟแล่บ ถึงขั้นผลักแขนกัน กูนึกว่าจะตบกันแล้ว แต่สักพักพวกเจ๊แกก็หัวเราะๆ ยิ้มๆ ให้กันซะงั้น ...นี่คือเหี้ยอะไร!!?? การแสดงความรักแบบคนจีนหรือไงเนี่ย!!?? โอ๊ยยย กูไม่อาจเข้าใจอะไรอีกต่อไป !!!!???!!!


เกือบจะได้เห็นแม่ลูกตบกัน เพื่อได้สิ่งนี้มาแดก

และแล้วทริปสิงคโปร์วันที่สองก็จบลงอย่างเหนื่อยสัสและโหดสัส พร้อมกับเงินที่มลายสิ้น (อย่างไม่ค่อยคุ้มค่า) ไปบนเกาะเซนโตซ่า

แต่ช่างมัน อย่าเซ็งไปเลย ร่าเริงเข้าไว้ เพราะพรุ่งนี้จะถึงวันสำคัญของทริปแล้ว นั่นคือวันที่จะได้พบกับ Garbage

วงดนตรีที่รอคอยจะได้เจอตัวจริงมาเกือบสิบกว่าปี

โปรดติดตามตอนต่อไป




Create Date : 02 ตุลาคม 2555
Last Update : 2 ตุลาคม 2555 19:25:00 น. 0 comments
Counter : 6353 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

merveillesxx
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 58 คน [?]




สำส่อนทางการดูหนัง ฟังเพลงและเสพวรรณกรรม
New Comments
Friends' blogs
[Add merveillesxx's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.