http://twitter.com/merveillesxx และ http://www.facebook.com/merpage
Group Blog
 
<<
เมษายน 2555
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
24 เมษายน 2555
 
All Blogs
 
ทริปสังคโลกเบอร์ลิน อินดี้อย่างคลาสสิก : DAY 7 ฟิล์มเลิฟเวอร์ไปฟิล์มมิวเซียม (ตอนจบ)

by merveillesxx

หมายเหตุ

1) บทความนี้เป็นบันทึกประสบการณ์ส่วนตัว ไม่ใช่คู่มือการท่องเที่ยว

2) มีการใช้คำหยาบคายมากมาย


=================


และแล้วก็มาถึงวันสุดท้ายของทริปเบอร์ลิน อุตส่าห์ตั้งนาฬิกาไว้เจ็ดโมงเช้า จะได้รีบออกไปเที่ยว แต่ดันตื่นมาปิดมือถือตัวเองซะงั้น โชคดีว่าพี่บัง (รูมเมทเรา) ตั้งของแกไว้ตอนเจ็ดโมงครึ่ง เราเลยสะดุ้งตื่นขึ้นมา รีบอาบน้ำ ลงไปกินข้าว ครั้งสุดท้ายแล้วกับอาหารเช้าโรงแรมที่กินซ้ำๆ ซากๆ ติดต่อกันมาหกวันเต็ม ...พอกันที!

ส่วนใหญ่แล้วพี่ๆ คนอื่นจะมีโปรแกรมไปซื้อของฝากกัน แต่ข้าพเจ้าเป็นคนเพื่อนไม่คบเท่าไร จึงไม่ต้องมีกิจกรรมด้านนี้ ขอออกเที่ยวส่งท้ายดีกว่า มีสถานที่ที่อยากไปมากมาย ไม่ว่าจะสวนสัตว์ Zoologischer Garten, โบสถ์ Kaiser Wilhelm Memorial หรือซากกำแพงเบอร์ลินที่ East Side Gallery แต่ถ้าจะไปให้ครบเนี่ย คงต้องอยู่ต่ออีกสักอาทิตย์นึง เลยตัดใจสรุปภารกิจของวันนี้ให้เหลือสามประการ นั่นคือ

1. ไป Film Museum ที่ Potsdamer Platz เป็นนักวิจารณ์หนังทั้งที ไม่ไปที่นี่ก็ดูกะไรอยู่

2. ไปมิวเซียม Hamburger Bahnhof มีพี่คนนึงแนะนำมา บอกว่าเป็นแนว contemporary art

3. ซื้อนิตยสาร Interview เยอรมัน หน้าปกเป็น เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์

และสุดท้ายคือต้องกลับมาเจอกันที่โรงแรมตอนบ่ายสองโมง

เปิดไกด์บุ๊คก่อนดูว่าที่ไหนมันเปิดเช้ากว่ากัน Film Museum แม่งเปิดสิบโมงนู่น ส่วน Hamburger Bahnhof ยิ่งหนัก เพราะวันเสาร์แม่งเปิด 11 โมง ทำไมพวกมึงไม่เปิดกันเช้าๆ หน่อยวะ!! (มึงจะโวยวายทำไม มิวเซียมทั่วโลกเค้าก็เปิดสิบโมงเช้าอยู่แล้ว) แต่ก่อนอื่นต้องเอากระเป๋าไปฝากไว้กับรีเซพชั่นก่อน เดินลากกระเป๋าปุเลงๆ ไปหา staff หน้าสวย “เอ่อ จะขอฝากกระเป๋าหน่อยฮะ” เธอตอบอย่างยิ้มแย้ม “ได้เลยค่า แล้วจะเช็คเอาท์เลยมั้ยคะ” “เอ่อ...คือ...รูมเมทผมเค้ายังอยู่ในห้องน่ะครับ เดี๋ยวเค้าจะเป็นคนจัดการเช็คเอาท์” “โอเคค่า ได้เลยค่ะ เที่ยวให้สนุกนะค้า” โอเค เรียบร้อย ได้เวลาออกเดินทาง


เหมือนตอนไปเกาหลีเลย คือวันสุดท้ายฝนตก แอบเซ็งนิดนึง


ลงไปสถานี เจอคุณพี่ พนง. กำลังใข้ไม้ลอกสติ๊กเกอร์อยู่ มีพวกมือบอนเหมือนบ้านเราเด๊ะ

Film Museum อยู่ที่ Potsdamer Platz แต่จากที่ถามจอร์จเมื่อวาน วันนี้สาย U2 จะปิดซ่อมทั้งเส้นเลย ดังนั้นเราจึงไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวกับอีสายนี้ ต้องยอมนั่งอ้อมหน่อย เริ่มจากนั่งใต้ดินไปที่สถานี Gesundbrunnen แล้วเปลี่ยนมานั่งรถลอยฟ้า S1 หรือ S2 ไปที่ Potsdamer Platz ...ตอนไปถึง Gesundbrunnen ดันมีรถเข้าชานชลาพอดี ดูผ่านๆ แล้วคิดเอาเองว่า เออ ใช่ละมั้ง เลยกระโดดขึ้นรถไฟไปเลย แต่พอนั่งไปสักพัก ป้ายไฟมันขึ้นว่าสถานีต่อไป Bornholmer Srt. อ้าว เฮ้ย ทำไมกูออกนอกเมืองวะ ผิดทางๆๆๆ กลับด่วนๆๆๆ เลยต้องลงมาตั้งหลักใหม่


บริเวณสถานี Bornholmer Srt. แลดูทุ่งๆ ต้นไม้เยอะๆ ประหนึ่งอยู่แถวรังสิต


ขนาดวันสุดท้าย ก็ยังเซ่อซ่าหลงทางต่อไป

ในที่สุดก็นั่งรถถูกทางและมาถึง Potsdamer Platz จนได้ (มาเป็นรอบที่เท่าไรแล้วไม่รู้) ถึงตอนประมาณ 9.30 เงียบและร้างมาก ร้านรวงยังไม่เปิดกัน แต่เห็นมีคนเดินเข้าไปในตึก Sony Center เลยเนียนๆ ตามเค้าไป


เข้าไปจะเจอนิทรรศการย่อมๆ บอกความเป็นมาของ Potsdamer Platz


ใช้เป็นที่จัดเทศกาลหนังเบอร์ลินมาตั้งแต่ปี 2001


เดินออกไปดูรอบนอก เห็นคนรอต่อคิว Legoland กันแล้ว จริงๆ อันนี้ก็อยากดูนะ แต่ในคู่มือเค้าบอกว่าเหมาะสำหรับเด็กๆ


เจอโปสเตอร์ My Week with Marilyn และ Martha Marcy May Marlene ชอบทั้งสองเรื่อง


คาเฟ่ข้างๆ Film Museum ชื่อ Billy Wilder’s ตั้งชื่อตามผู้กำกับดัง

เดินเล่นท่ามกลางฝนปรอยๆ อยู่พักนึง แต่ฝนก็เริ่มตกหนักขึ้น และไอ้หลังคาดีไซน์สุดเก๋ของ Sony Center ก็ไม่อาจกันฝนได้ เพราะมันเป็นรูโหว่ๆ เลยไปหลบอยู่ข้างหน้า Film Museum มีความตลกเกิดขึ้นอย่างหนึ่งคือ พอเราเห็นผู้ชายตัวสูง หัวเกรียนๆ จากด้านหลังทีไร เราจะเผลอคิดว่าเป็นจอร์จทุกที! สงสัยคงอยู่ด้วยกันมากไปจนหลอน แถมตอนขากลับไปเล่าให้พี่คนอื่นฟัง เค้าบอกว่าเค้าก็เป็นเหมือนกัน 555


ด้านหน้าของ Film Museum ชื่อทางการคือ Deutsche Kinemathek - Museum für Film und Fernsehen เปิดครั้งแรกเมื่อปี 2000 ตอนแรกมีแต่ส่วนของภาพยนตร์ พอปี 2006 ค่อยเพิ่มมิวเซียมส่วนโทรทัศน์เข้าไปด้วย

ตอนนั้นยังไม่สิบโมงดี แต่แอบเห็นมีคนเข้าไปข้างในแล้ว เอ๊ะ หรือว่าเค้าจะเปิดก่อนเวลา เลยเดินเข้าไปตรงที่ขายตั๋ว บอก พนง. ว่าขอตั๋วใบนึงครับ เจ๊แกตอบแบบเย็นๆ ว่า “ยังไม่เปิดค่ะ ช่วยรอด้านนอกนะคะ” เพล้งงง หน้าแตกอีกแล้ว ลืมไปว่าคนเบอร์ลินเป็นชนชาติที่ตรงเวลาที่สุดในโลก พอสิบโมงเป๊ง เจ๊เดินมาเปิดประตูทันที โอเค คราวนี้ซื้อได้จริงแล้ว จ่ายไป 6 ยูโร ...Film Museum จะมีแผนผังแปลกๆ หน่อย คือที่ขายตั๋วจะถือว่าเป็นชั้น 0 ตัวนิทรรศการจะเริ่มที่ชั้น 3 ต้องขึ้นลิฟท์ไป โดยชั้นสามจะแบ่งครึ่งเป็นโซนภาพยนตร์กับโทรทัศน์ เราก็เลือกเข้าฝั่งหนังก่อน


เข้าไปปุ๊บ จะเจอทางเข้าสุดอลังการอันนี้ก่อนเลย ไอ้เส้นคดเคี้ยวสีขาวนั่นคือทางเดิน รอบห้องจะเต็มไปด้วยกระจกและจอทีวีที่ฉายฉากจากหนังเยอรมันเรื่องดัง (แน่นอนว่าต้องมี Run Lola Run ด้วย) อ้อ จริงๆ ที่นี่เค้าห้ามถ่ายรูปนะ นี่แอบถ่ายมา ต้องคอยหลบพี่เจ้าหน้าที่ที่เดินตรวจตรา


พอเดินเข้าไปด้านใน เห็นว่ามีสติ๊กเกอร์หมายเลขของออดิโอไกด์ด้วย เลยเดินไปขอที่เคาท์เตอร์ตรงข้างเข้า แต่พี่แกบอกว่ามันต้องเอาจากที่ขายตั๋วจ้ะ ฮ่วย ขี้เกียจลงไปเอา เสียเวลา แถมรู้สึกต้องเสียตังค์เพิ่มด้วย ไม่เอาก็ได้ฟะ

นิทรรศการของ Film Museum จะไล่มาตั้งแต่ยุคหนังเงียบเลย มีฟุตเทจหนังหายากให้ดูมากมาย ข้อมูลแน่นเอี้ยด แล้วก็จะมีโซนเฉพาะของหนังดังๆ ยุค 20 หลายเรื่อง เช่น The Cabinet of Dr. Caligari หรือ Metropolis จากนั้นจะเป็นโซนของดาราดัง Marlene Dietrich เธอเป็นนักแสดงเยอรมัน แต่ไปเล่นหนังในฮอลลีวู้ดด้วย ทางมิวเซียมจัดห้องให้เธอไปเลยคนเดียวสามห้องใหญ่ๆ (แต่เราว่ามันแอบเยอะไปหน่อยนะ)



อันนี้โซน Metropolis

จากนั้น จะเป็นยุค 30-40 ที่พรรคนาซีเข้ามามีอำนาจ ผู้กำกับเยอรมันก็ต้องทำหนังโปรปากันดากันไป และหลายคนทนไม่ไหวหนีไปทำหนังที่อเมริกา ข้อมูลส่วนที่ว่าใครหนีไปไหน ทำเรื่องอะไร ละเอียดดี แต่ที่เราแอบผิดหวังคือ มันไม่มีเกี่ยวกับหนังเรื่อง Triumph of the Will สักเท่าไร (เป็นหนังเชิดชูพรรคนาซี ของ ผกก.หญิง Leni Riefenstahl ซึ่งถือว่ามีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ภาพยนตร์มาก ทั้งแง่การเมืองและเทคนิคภาพยนตร์) มีพูดอยู่นิดเดียว เหมือนกับทางมิวเซียมแกล้งเลือนหนังเรื่องนี้ออกไปซะงั้น แต่ก็พอเข้าใจได้ว่ามันเป็นบาดแผลที่ไม่ค่อยอยากพูดถึง



ตอนท้ายๆ ก็จะมีหน้าผู้กำกับรุ่นเก๋าให้ดูกัน

โซนสุดท้ายจะเป็นหนังร่วมสมัย ซึ่งก็มีไม่ค่อยเยอะเท่าไร ห้องแรกจะเป็นพวกพร็อพจากหนังเรื่องนั้นเรื่องนี้ ซึ่งแน่นอนว่ามี Run Lola Run อีกแล้ว (คือบางทีเรารู้สึกว่ามิวเซียมนี้มันหยุดตัวเองไว้ที่ยุค Run Lola Run ยังไงพิกล)


เรือจากเรื่อง Fitzcarraldo ของ แวร์เนอร์ แฮร์โซก ว่าด้วยการเข็นเรือขึ้นภูเขา (จริงๆ โซนนี้มีของน่าสนใจเยอะ แต่พี่ยามอยู่ใกล้ๆ เลยไม่กล้าถ่ายมาก)


ห้องสุดท้าย จะเป็นภาพนิ่งของหนังและผู้กำกับรุ่นใหม่หน่อย มีพวก Christian Petzold หรือ Hans-Christian Schmid


ตรงทางเดินมีป้ายรวมนิทรรศการครั้งก่อนๆ มีของ Ulrike Ottinger ด้วย (เป็นผู้กำกับหญิง หนังของเธอเฮี้ยนมากๆ) อยากย้อนเวลาไปปี 2007

ส่วนที่เหลือของมิวเซียมเป็นเกี่ยวกับเรื่องโทรทัศน์เยอรมัน อันนี้ไม่ได้สนใจ เดินผ่านอย่างรวดเร็ว แล้วก็มีนิทรรศการชั่วคราวเป็นงานชื่อ HELDEN (แปลว่า Hero) จะเป็นรวมฮีโร่จากทั่วโลก สไปเดอร์แมน, เซลเลอร์มูน, ลาร่า ครอฟท์ ฯลฯ มีเอาตุ๊กตุ่นมาตั้งบ้าง เกมบ้าง อนิเมะบ้าง เออ เล่นง่ายดีนะมึง เป็นงานที่ดูไก่กามาก แถมไม่มีภาษาอังกฤษด้วย จึงดูเสร็จภายใน 10 นาที

มองออกไปข้างนอก ฝนตกหนักเลย ชิบหายแล้วไง ไม่ได้เอาร่มมา เลยไปเดินช็อปฆ่าเวลาก่อน ได้เสื้อมาอีกหนึ่งตัว เป็นลายผีจากเรื่อง Nosferatu ของ F. W. Murnau (แต่พอเอากลับมาให้แม่ดู แม่บอกว่าเป็นลายหุ่นยนต์ซะงั้น) พอซื้อเสร็จ ฝนซาพอดี เลยรีบเดินทางต่อ เพื่อไปยัง Hamburger Bahnhof นั่งรถใต้ดินสาย U55 ไปลงสถานี Hauptbahnhof (อ่านว่าอะไรวะเนี่ย) และพอขึ้นมาจากสถานีก็ต้องอึ้ง...


เพราะขึ้นมาเจอแต่ไซต์ก่อสร้าง นี่กูมาผิดที่หรือเปล่าวะ แต่เช็คดูในไกด์บุ๊คก็ถูกแล้ว

งงๆ อยู่พักนึง ก็เห็นป้ายชี้ไป Hamburger Bahnhof เดินตากฝนตามป้ายไปเรื่อยๆ แถมยังโดนป้ายหลอกด้วย มันเขียนว่าให้เลี้ยวซ้าย เราก็รีบเลี้ยวเลย แต่ดันไปเจอสวนอะไรไม่รู้ ที่จริงคือมันต้องเลี้ยวซ้ายที่สองต่างหาก ถนนก็เดินยาก เพราะมีก่อสร้าง แถมฝนยังตกอีก เละเทะไปกันใหญ่


ในที่สุดก็มาถึง Hamburger Bahnhof จนได้ ชื่อมิวเซียมไม่ได้หมายถึงแฮมเบอร์เกอร์ที่เป็นของกิน แต่มันมาจากเมืองฮัมบูร์ก (Hamburg) เพราะว่าแต่ก่อนตรงนี้เคยเป็นสถานีรถไฟสำหรับเส้นทาง เบอร์ลิน-ฮัมบูร์ก (คำว่า Bahnhof แปลว่า station) แต่ภายหลังเลิกใช้ไป และปรับปรุงเป็นมิวเซียมเมื่อปี 1996

เข้ามาใน Hamburger ด้วยสภาพเปียกปอน จ่ายค่าเข้าไป 12 ยูโร (ที่นี่แอบแพงแฮะ) คนขายถามด้วยว่า “เป็นนักเรียนหรือเปล่าจ๊ะ” (ถ้าโชว์บัตรนักเรียนจะได้ส่วนลด) แอบเผลอดีใจไปว่า โอ๊ะ เราหน้าเด็กเหรอเนี่ย ลืมไปว่าที่นี่มันเบอร์ลิน เด็กมหาลัยก็หน้าแก่กันหมด เฟลลลลล ...ส่วนคนมาดูก็เยอะเหมือนกัน ไม่รู้เพราะเป็นวันเสาร์หรือเข้ามาหลบฝน


เวลาไม่เยอะ ต้องรีบเดินทันที


ส่วน Collection จะมีงานของพวก Andy Warhol หรือ Roy Lichtenstein อย่างอันนี้คือรูปท่านเหมาของวอร์ฮอล


เอาเก้าอี้ไปห้อยบนภาพกันเลยทีเดียว


ตรงกลางมิวเซียมจะมีร้านขายหนังสือศิลปะ แต่ไม่มีเงินซื้อแล้วค่า


เข้าสู่โซนคอนเทมโพรารี งานล้ำๆ คอนเซ็ปต์แรงๆ เพียบ ถูกใจมากกกก


ชอบเซ็ตนี้มาก


โคตรแห่งความมินิมอล


อันนี้เหมือนจะไม่มีอะไร แต่ในภาพ ศิลปินจะเขียนเลข 1 2 3 4 5 ไปเรื่อยๆ จนถึงหลักล้านกันเลยทีเดียว

เดินไปเดินมา เจอป้ายชี้ให้ขึ้นบันไดไปดูงานของ เรียวจิ อิเคดะ (Ryoji Ikeda) ตอนแรกก็ เอ๊ะ ทำไมชื่อคุ้นๆ วะ สักพักถึงนึกออกว่า โอ้ นี่มัน audio-visual artist ชื่อดังนี่หว่า ที่สำคัญคือเราเคยดูงานอันนึงของเค้าที่หอศิลป์ กทม. แล้วชอบมาก คราวนั้นเป็นงานชื่อ data.matrix [n° 1-10] มันจะเป็นห้องใหญ่ๆ เต็มไปด้วยหน้าจอที่เป็นตัวเลขสีฟ้าวิ่งเต็มไปหมด แต่อยู่ดีๆ ไฟมันจะดับ มืดตึ๊ดตื๋อทั้งห้องเลย พอออกมาอ่านคำอธิบายหน้างาน เค้าต้องการจะสื่อว่า แม้เทคโนโลยีเราจะสูงส่งแค่ไหน แต่ถึงจุดๆ หนึ่งทุกอย่างก็ต้องดับสูญไปเอง

งานคราวนี้ของอิเคดะชื่อว่า db (ย่อมาจาก เดซิเบล) แค่ก่อนเข้าก็เริ่มเหวอแล้ว เพราะเราจะต้องใส่ถุงครอบรองเท้าก่อน ป้องกันไม่ให้พื้นเปื้อน เพราะว่าพื้นห้องของนิทรรศการนี้เป็นสีขาวล้วน


ก่อนเข้าต้องใส่ถุงนี้ก่อน


พอเข้าไป เจอสิ่งนี้เข้า ไม่ต้องรู้เรื่องรู้ราวอะไรกันอีกแล้ว

สิ่งที่เจอในงาน db คือ ห้องขาวๆ เปล่าๆ มีรูปสีดำแปะอยู่ข้างฝา ตรงหน้ามีลำโพงอันใหญ่เท่าดาวเทียม เปิดเสียงวี้ๆๆๆๆๆๆ ไปเรื่อยๆ โอ๊ย อาร์ตแดกมาก เหมือนเป็นงานทดสอบความอดทนคนดูด้วย ยิ่งอยู่ไป ไอ้เสียงวี้ๆ นี่มันก็เริ่มทำลายโสตประสาท อยู่ได้แค่ไม่ถึง 5 นาที เราก็ต้องเดินออก แต่เห็นมีคู่หนุ่มสาวคู่หนึ่งนั่งกันไปเรื่อยๆ โดยไม่มีอาการหวั่นไหวใดๆ ทั้งสิ้น โชคดีนะน้อง พี่ไม่ไหวแล้ว ขอลา (มารู้ทีหลังว่า ที่จริงแล้วห้องสีขาวที่เราดูไป คือตึกฝั่ง East มันจะมีอีกห้องที่ฝั่ง West เป็นห้องสีดำล้วน เหมือนเป็นคู่ตรงข้าม ความซวยคือ วันที่กูไป ตึก West แม่งเสือกปิดซ่อมพอดี อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก T_T)

เจองานอิเคดะเข้าไป ถือว่าฟิน ได้คอนเทมกันแบบสุดตีน เวลาเหลือน้อยเต็มที ต่อจากนี้ต้องเดินดูงานแบบติดสปีด


เข้าไปห้องฉายหนัง กำลังฉายเรื่อง The Umbrellas of Cherbourg (ซับเยอรมัน) โอเค เคยดูแล้ว เดินออกทันที



โซนด้านหลังจะเป็นงานแนว Industrilaism เอาเหล็ก พลาสติก ขยะ นู่นนี่ มาก่อๆ รวมกัน


ชั้นใต้ดินจะเป็นห้องฉายหนัง ซึ่งโหดมาก เพราะจะเป็นห้องโล่งๆ และมืดมาก เดินเข้าไปนี่ไม่รู้เลยว่า มีคนอยู่หรือเปล่า พออยู่คนเดียวแล้วน่ากลัว


หนังเรื่องนี้หลอนสุดขีด จะเป็นถ่ายทางเดินสีขาวๆ แล้วไฟทางเดินมันก็จะไล่ปิดมาเรื่อยๆ จนหมด ซึ่งพอหน้าจอมันมืด ห้องที่เราอยู่ มันก็จะมืดไปด้วย บรื๋ออออออออ

เดิน Hamburger Bahnhof อย่างครบถ้วน ได้เวลากลับโรงแรม แต่ยังเหลืออีกภารกิจนึงคือ ซื้อหนังสือ Interview เข้าไปในสถานี Hauptbahnhof เห็นว่าเป็นสถานีใหญ่มาก มันต้องมีร้านหนังสือแหละน่า


บรรยากาศสถานี Hauptbahnhof หยั่งกะสนามบิน

แต่เดินเท่าไร ก็หาร้านหนังสือไม่เจอ เจอแต่ร้านขายมือถือ ร้านบริการเช่ารถ ร้านอุปกรณ์ไฟฟ้า แต่ทำไมมันไม่มีร้านหนังสือวะ (หรือกูหาไม่เจอเอง) เดินหลงเข้าไปในร้านของที่ระลึก มีมุมหนังสืออยู่หน่อยนึง มีแต่พวกหนังสือแนวทีวีพูล โอเค เลิกหวังกับสถานีนี้ดีกว่า นั่งรถไฟไป Alexanderplatz แถวนั้นดูเจริญ ต้องมีร้านหนังสือแน่ ลงมาปุ๊บเจอร้านหนังสือใหญ่ๆ ดูคล้ายร้านนายอินทร์บ้านเรา เข้าร้านก็เจอ Interview วางแผ่อยู่เลย สำเร็จแล้วววว จ่ายไปอีก 6 ยูโร


ได้น้องเจนนิเฟอร์มาครอบครอง (แต่ที่จริงแล้วข้างในมีรูปเจนนิเฟอร์อยู่นิดเดียวเอง -_-‘’)


ตอนรอรถไฟ เห็นพี่ผู้ชายคนนี้นั่งคุยกับกระเป๋าตัวเอง ก็งงว่าบ้าหรือเปล่า แต่พอมองดีๆ จึงเห็นหมาน้อยสองตัวยื่นหน้ามาจากกระเป๋า สรุปว่าแกคุยกับหมานั่นเอง ...น่ารักดีนะ ทั้งคนทั้งหมา 555

นั่งรถไฟกลับมาสถานี Rosenthaler Platz เดินขึ้นมาเจอร้านมินิมาร์ท หน้าของพี่สาวแขกผู้ยิ้มแย้มคนนั้นลอยขึ้นมา เลยขออุดหนุนร้านแกส่งท้ายเสียหน่อย จ่ายตังค์เสร็จแกพูดว่า Have a nice day ประโยคของแกทำให้แอบเศร้า เพราะที่จริงวันนี้ มันวันสุดท้ายแล้ว และ ณ จุดนี้ กูไม่ได้ไปที่ไหนต่อแล้ว จะไปสนามบินแล้วเนี่ย เราเลยพูดกับแกว่า Actually, this is my last day in Berlin. I’m going back to my home town. พี่แขกก็ทำหน้าตกใจ แล้วถามว่า Really? พูดเสร็จกูก็นึกว่าได้ว่า ประโยคที่กูพูดแม่งดราม่าเกินเหตุว่ะ เค้าคงตีความเป็นว่ากูมาเรียนที่นี่สองปี แล้วจะกลับบ้านเกิดอะไรงี้แน่เลย แต่พี่เค้าก็อวยพรว่า Safe trip home ...ถึงจะมาซื้อร้านแกแค่สามสี่ที แต่นี่ก็เป็นการอำลาที่น่าจดจำนะ (ช่วยซึ้งไปกับผมหน่อยเถอะ)


ข้าวกลางวันไม่ขอคิดมาก กินร้าน China Box เหมือนเดิม เมนูก็อันเดิม และอีคนขายจีนก็ยังพูดเยอรมันเป็นชุดใส่กูเช่นเคย

กลับมาโรงแรม เห็นพี่ๆ ทุกคนกำลังต่อสู้กับการยัดของลงกระเป๋าอย่างเคร่งเครียด บางคนซื้อรองเท้า 6 คู่, บางคนซื้อกาแฟ 3 โหล, อีกคนซื้อเบียร์ 4 ขวด, บ้างก็ซื้อช็อคโกแลต 18 ถุง (นี่กะแบบมั่วๆ เอา) มีลางสังหรณ์ว่าต้องมีการน้ำหนักเกิน 20 กิโลแน่นอน พอบ่ายสอง แท็กซี่ที่เปิ้ลให้โรงแรมนัดไว้ก็มา เป็นแท็กซี่แบบ 6 ที่นั่ง นั่งสบายดี อย่างน้อยก็ไม่ลำบากเหมือนตอนขามาที่จอร์จพาขึ้นรถเมล์


นั่งแท็กซี่มุ่งสู่สนามบินเทเกล

ประมาณ 30 นาที ก็มาถึงเทเกล ค่าแท็กซี่ 19 ยูโร + ค่าโทรเรียกอีก 6 ยูโร รวมเป็น 25 ยูโร จริงๆ กะว่าจะทิปพี่คนขับสัก 1-2 ยูโร แต่พอจ่ายไป 30 ยูโร แกก็ทอนมาให้ 5 ยูโร แล้วเดินขึ้นรถไปเลย สรุปว่าทิปไม่ทัน งั้นเลยตามเลยแล้วกันนะ ...พอลากกระเป๋าเข้าสนามบิน กระเป๋าจีนแดงที่ซื้อมาใหม่ของ อ.บวรพงศ์ ก็ล้อพัง (ตามคาด) ต้องช่วยกันแบกเข้ามา

ใช้เวลาจากโรงแรมมาเทเกลเร็วกว่าที่คิด ไฟลท์ตั้งรอบ 17.55 นู่น นี่เพิ่งจะ 14.30 เอง (คราวนี้เป็นนั่ง Air Berlin ยาวรวดเดียว 10.5 ชั่วโมง) เคาท์เตอร์ยังไม่เปิดเช็คอิน พี่ๆ เลยเดินไปกินเบอร์เกอร์คิงกัน ส่วนเรากับเปิ้ลกินข้าวมาแล้วเลยอาสาเฝ้ากระเป๋าให้ รอสักพักเคาท์เตอร์ก็เปิด แอบลุ้นเหมือนกันว่ากระเป๋ากูจะเกินมั้ย เอาขึ้นชั่งปุ๊บ 19.5 กิโล โอ้วววว ผ่านเว้ยยยย ก็บอกพี่ พนง. ไปว่าขอ Aisle Seat นะจ๊ะ

หันไปดูพี่ๆ คนอื่น น้ำหนักเกินกันเกือบทุกคน แต่ความงงคือ พนง. บางคนใจดี 23 กิโล ก็ให้ผ่าน แต่อีกคน 21 กิโล กลับไม่ให้ผ่านซะงั้น พี่หลายคนเลยต้องเอาของออกกันวุ่นวาย (จริงๆ ไม่เอาออกก็ได้ แต่ต้องจ่ายกิโละละ 20 ยูโร) แต่ที่เราเป็นห่วงสุดคือ อ.บวรพงศ์ นี่แหละ เพราะแกช็อปเยอะมาก พอชั่งกระเป๋าแก เห็นตัวเลขแล้วจะเป็นลม ล่อไป 40 กิโล!! พระเจ้าช่วย แล้วนี่แกแบกกระเป๋ามาได้ไงวะ!? ของกูแค่เกือบยี่สิบโล ยังหนักชิบเป๋งเลย เลยต้องใช้แผนกระจายของจาก อ.บวรพงศ์ ให้แต่ละคนช่วยกันถือขึ้นเครื่องไป ส่วนพวกเสื้อกันหนาวเสื้อโค้ททั้งหลาย แกก็ต้องใส่ไว้กับตัวนั่นแหละ เพื่อลดน้ำหนักในกระเป๋า กว่ากระเป๋าแกจะผ่าน เล่นเอาลุ้นใจหายใจคว่ำ


ภายในสนามบินเทเกล

เนื่องจากเวลาเหลือเยอะ ทุกคนเลยแยกกันไปเดินเล่นในสนามบิน ก่อนมาทริปนี้เราคิดว่าขากลับจะต้องมีเงินเหลือเยอะแน่ๆ แต่สรุปตอนนี้เราเหลือเงินติดตัวอยู่ประมาณ 20 ยูโร มาถึงขั้นนี้แล้ว ก็ใช้ๆ ให้มันหมดไปเลยแล้วกัน เลยซื้อเสื้อ (อีกแล้ว) ไปอีกตัวนึง เบ็ดเสร็จเหลือเงินอยู่ 2.75 ยูโร คิดว่าคงพอซื้อน้ำเปล่าใน gate เพราะดูราคาข้างนอกแล้ว ขนาดน้ำแร่เอเวียงยังไม่ถึง 2 ยูโรเลย

เดินวนรอบสนามบินเล่นๆ ไปรอบนึง ก็ได้เวลาเข้า gate คราวนี้ผ่านเครื่องแสกนแบบฉลุย เพราะทริปนี้กูเจอแสกนมาหลายรอบแล้ว เนื่องจากสนามบินมันเล็กมาก พอเข้า gate ไป จะมีแค่ที่ให้นั่งรอ แล้วก็ประตูที่ต่อกับงวงขึ้นเครื่องบิน และมีร้านค้าเล็กๆ อยู่แค่ร้านเดียว เดินเข้าไปดู อ้าว ไม่มีน้ำเปล่าซะงั้น มีแต่เหล้ากับน้ำหอม เดินออกมา อ๊ะ มีตู้ให้กดน้ำขวดนี่เอง แต่...ราคาน้ำเปล่า 3 ยูโร พ่อมึงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง ~!@#$%@$@#$$%$#% น้ำเปล่าธรรมดาด้วย ไม่ใช่น้ำแร่ แม่งโขกกันแบบนี้เลย เงินก็เหลืออยู่แค่ 2.75 ยูโร ไม่พอด้วย แม่งเอ๊ย ไม่เอาก็ได้วะ (แต่ตอนหลังพอขึ้นเครื่อง เค้าก็แจกน้ำเปล่าให้ขวดนึง)

ถึงเวลาขึ้นเครื่องซะที ทำใจไว้แล้วว่า กูต้องเจอเครื่องโทรมๆ + ทีวีจอรวมอีกแน่ แต่กลายเป็นว่า เครื่องตอนขากลับนี่ดีกว่าลำขามาแฮะ ดูใหม่กว่า นั่งสบายกว่า ที่นั่งว่างเยอะ ย้ายกันตามสบาย และที่สำคัญคือมีทีวีส่วนตัว กรี๊ดดดดดด กูรอดตายแล้วค่าาา พอนั่งเครื่องไปสักพัก พี่สจ๊วตก็เข็นหูฟังมาให้ พอเอื้อมมือจะหยิบ แกบอก “สามยูโรจ้า” แสรดดดดดด หูฟังมึงยังจะคิดตังค์กูอีก คือให้จ่ายไม่มีปัญหาหรอก แต่ตอนนี้กูเหลือแค่ 2.75 ยูโรโว้ยยยยยย เศร้าใจกันไป อดได้หูฟัง ดูหนังฟังเพลงไม่ได้ นั่งเล่นเกมไปแล้วกันวะ แต่สักพักเริ่มคิดได้ เอ๊ะ รูหูฟังมันก็เป็นรูกลมๆ ธรรมดานี่หว่า (ไม่เหมือนตอนนั่ง Etihad มันจะเป็นแบบสามรู ต้องใช้กับหูฟังที่เค้าแจกเท่านั้น) เลยลองเอาหูฟังจากเอ็มพีสามตัวเองเสียบดู อ้าว เฮ้ย ก็ได้นี่หว่า เสียงดังชัดเจน ดีนะ ว่ากูไม่โง่จ่าย 3 ยูโรไป (อนึ่ง คราวนี้ก็นั่งใกล้เด็กเปรตตามเคย แต่น้องเค้าร้องอยู่สักพัก แล้วก็หลับยาวเลย)

เอาล่ะ ไหนดูสิ มีหนังอะไรบ้าง เปิดดูแล้วแอบผิดหวัง มีแต่หนังฮอลลีวูดเป็นส่วนใหญ่ ไม่มีหนังยุโรป หนังอินดี้เลย แต่มีพวกหนังเก่าเยอะมาก ย้อนไปถึงพวก Four Weddings and a Funeral อะไรแบบนี้เลย จนปัญญาไม่รู้จะดูอะไร อ่ะ ดูเรื่อง Tresspass แล้วกัน ตอนเข้าโรงไม่ได้ไปดู และ นิโคล คิดแมน ก็เป็นดาราที่ชอบ หนังมันคงมีดีอะไรบ้าง แต่...หนังมันช่างระยำต่ำช้ามากค่ะ!!! ตัวละครโง่จนไม่รู้จะโง่ยังไง ทุกคนในเรื่องดูเหมือนขาดสารไอโอดีนกันหมด แล้วก็ตะโกนโหวกเหวกโวยวายเหมือนคนเมายา แถมหนังยังมีฉากแฟล็ชแบ็คเสร่อๆ เกือบทั้งเรื่อง นี่กูดูหนังหรือละครช่องสามกันแน่เนี่ย ดูจบแล้วอยากทำพิธีไว้อาลัยเผากงเต้กไปให้ นิโคล คิดแมน เลยทีเดียว (ส่วน นิโคลัส เคจ ช่างมันเถอะ)

จบเรื่องแรกไปด้วยความต่ำตม เรื่องที่สองกูขอดูอะไรที่มันเป็นผลดีกับชีวิตบ้างเถิด นั่งไล่ๆๆ หา สรุปมาลงเอยที่...เอ่อ...Forrest Gump อันที่จริงก็ไม่ค่อยชอบเรื่องนี้เท่าไร แต่เคยดูใน UBC เมื่อนานมาแล้ว ลืมๆ ไปเยอะเหมือนกัน แถมหนังก็ยาวดีด้วย ฆ่าเวลาได้ดี ดูเรื่องนี้แล้วกันวะ ซึ่งพอดูไป ก็โอเคนะ ทอม แฮงค์ ในเรื่องนี้ยังอยู่ในโหมดที่รับได้ (นับตั้งแต่เรื่อง The Da Vinci Code มา ไม่สามารถทนดูหน้าแกบนจอได้จริงๆ) โรบิน ไรท์ เพนน์ ยังเอ๊าะอยู่เลย เรื่องการเขียนบทมันก็สุดยอดมาก ต้องยอมรับ เอาไปสอนหนังสือได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะฉากที่ ฟอร์เรสต์ ไปยืนพูดหน้ากลุ่มประท้วงสงครามเวียดนาม แล้วอยู่ดีๆ นางเอกวิ่งลุยน้ำมาหา ฉากนี้อี๋นะ แต่เป็นอี๋ที่กูยอมจริงๆ ส่วนตอนฉาก “I'm not a smart man... but I know what love is” กูก็ยังร้องไห้อยู่ดี


นั่งเมื่อยไปเรื่อย จนถึงเวลาเสิร์ฟอาหารเช้า เมนูขนมปังและแฮมตามสไตล์เยอรมัน

กดดูแผนที่บนจอ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะถึงสุวรรณภูมิ กลับไปสู่ดินแดนที่อุณภูมิสามสิบกว่าองศาอีกครั้ง นึกแล้วก็อดคิดถึงลมหนาวที่เบอร์ลินไม่ได้ ตอนนี้จอร์จทำอะไรอยู่นะ เค้าอาจจะกำลังบ่นเรื่องคนไทยกับเพื่อนเยอรมันอยู่ก็ได้, พี่สาวแขกที่ร้านมินิมาร์ทคงกำลังเตรียมปิดร้าน, คนเมาที่เจอทุกวันที่สถานี Rosenthaler Platz ก็คงยังเมาอยู่เหมือนเดิม, นักดนตรีเปิดหมวกที่ Alexanderplatz จะยังเล่นเพลง California Dreaming อยู่มั้ย...

ไม่รู้กลับไปเบอร์ลินคราวหน้าจะได้เจอคนเหล่านี้มั้ย แต่ก็อยากกลับไปอีกครั้ง

หวังว่าจะได้เจอกันอีกนะ เบอร์ลิน!



==================


ขอขอบคุณ

วิทยาลัยดุริยางค์ศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล และ อ.สุกรี เจริญสุข สำหรับคอร์สวิจารณ์ดนตรีและทริปนี้

สถานบันเกอเธ่ กรุงเทพ สำหรับเรื่องวีซ่าและช่วยจัดโปรแกรม

อ.นพีสี และ เปิ้ล ที่ดูแลเราเป็นอย่างดีตลอดทริป

จอร์จ ถึงบางครั้งพี่จะโหด แต่ผมก็ซึ้งใจพี่มากนะ

พี่ๆ ชาวคณะ ผู้ร่วมทริป

และ...ทุกท่านที่อ่านบรรทัดนี้อยู่



ทริปหน้า...โตเกียว! (แต่ต้องเก็บตังค์อีกนานเลยล่ะ 555)




Create Date : 24 เมษายน 2555
Last Update : 7 สิงหาคม 2555 0:59:47 น. 4 comments
Counter : 5331 Pageviews.

 
ตามไปเที่ยวด้วยคนค่ะ


โดย: ครูปัญญดา วันที่: 24 เมษายน 2555 เวลา:3:59:33 น.  

 
แวะมาทักทายครับ น่าสนใจมากๆ


โดย: กัปตันลูกชุบ วันที่: 24 เมษายน 2555 เวลา:9:20:21 น.  

 
อ่านแล้วแอบเหนื่อยแทนค่ะ รอทริปโตเกียวนะ


โดย: travelsaint วันที่: 27 พฤษภาคม 2555 เวลา:7:39:21 น.  

 
Highly descriptive blog, I loved that a lot. Will there be a part 2?
Louis Vuitton Borse //www.hotelvillalauri.com/images/servizi/nklf.asp


โดย: Louis Vuitton Borse IP: 94.23.252.21 วันที่: 20 สิงหาคม 2557 เวลา:23:54:58 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

merveillesxx
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 58 คน [?]




สำส่อนทางการดูหนัง ฟังเพลงและเสพวรรณกรรม
New Comments
Friends' blogs
[Add merveillesxx's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.