http://twitter.com/merveillesxx และ http://www.facebook.com/merpage
Group Blog
 
<<
เมษายน 2555
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
20 เมษายน 2555
 
All Blogs
 
ทริปสังคโลกเบอร์ลิน อินดี้อย่างคลาสสิก : DAY 4 ตะลุยเกาะมิวเซียม

by merveillesxx

หมายเหตุ

1) บทความนี้เป็นบันทึกประสบการณ์ส่วนตัว ไม่ใช่คู่มือการท่องเที่ยว

2) มีการใช้คำหยาบคายมากมาย


=================


วันนี้จอร์จนัดแปดโมง ทำให้เราต้องแหกขี้ตาตื่นตั้งแต่หกโมงเช้า โชคดีว่าสามารถตื่นได้อย่างราบรื่น พอลงไปกินข้าวเช้านี่ร้างมาก ไม่มีคนเลย ประหนึ่งว่ากูเป็นคนแรกที่ลงมา จอร์จบอกว่าสาเหตุที่ต้องนัดเช้ามาก เพราะวันนี้จะไป Pergamon Museum ปกติที่นี่คนเยอะอยู่แล้ว ช่วงนี้ดันเป็นอีสเตอร์อีก คนจากต่างจังหวัดจะยิ่งแห่กันมา

พอใกล้แปดโมง ชาวคณะต่างมากันพร้อมหน้า ตอนนี้ทุกคนได้รู้ซึ้งถึงธรรมเนียมตรงต่อเวลาของคนเบอร์ลินแล้ว พี่บางคนบอกว่า “เกิดมา กูไม่เคยนึกถึงหน้าผู้ชายคนไหนบ่อยขนาดนี้ จะหลับจะตื่น หน้าจอร์จโผล่มาตลอด” 555555 บ้างก็แอบเรียกแกว่า “คุณพ่อจอร์จ” ...มองออกไปด้านนอก อ้าว ชิบหายแล้ว ฝนตกหนักเชียว ร่มก็อยู่บนห้อง รีบขึ้นไปเอาอย่างสุดชีวิต กลัวว่าจะกลายเป็นคนสาย เดี๋ยวพี่จอร์จจะทำหน้ามาคุใส่กูอีก


ฝนที่นี่ตกหนัก ไม่เหมือนตอนไปโซลที่ตกปรอยๆ ตลอด


วันนี้จอร์จพาเราขึ้นรถราง (Tram) ซึ่งตอนขึ้นคนแน่นมาก อัดเป็นปลากระป๋องเลย (คงเป็นช่วง Rush Hour พอดี) พอประตูเปิด เกือบมีคนร่วงลงไป แต่สักพักคนก็ทยอยลง ค่อยยังชั่วหน่อย


ถึงแล้วเกาะมิวเซียม (Museum Island) บริเวณนี้จะมี 5 มิวเซียม ยูเนสโกขึ้นชื่อให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี 1999 อันที่ฮิตสุดคือ Pergamon

มาถึงหน้า Pergamon ตั้งแต่ยังไม่เก้าโมง มีคนมารอก่อนเราอยู่ชุดนึงแล้ว เแอบศึกษามาว่ามันจะมีตั๋วแพ็คเกจแบบเข้าได้ทั้งห้ามิวเซียมเลย เฮียจอร์จบอกว่า “โอ้ แค่เพอร์กามอนอันเดียว ก็เดินได้ทั้งวันแล้ว” แต่แหม พี่ครับ ผมไม่ได้จะมาเบอร์ลินบ่อยๆ แบบพี่นิครับ ผมอาจจะไม่มีโอกาสมาอีกแล้วในชีวิตนี้นะพี่ ดังนั้นจึงปลุกระดมให้ทุกคนเห็นดีเห็นงามกับการซื้อตั๋วชุด ซึ่งอาจารย์ก็เห็นด้วย สรุปเลยซัดตั๋วชุดกันทุกคน (และมารู้ภายหลังว่ามีกูคนเดียวที่บ้าเดินครบทั้งห้า คนอื่นกันแค่ 2-3 อัน) จากนั้นตกลงกันว่าปล่อยฟรีตามสบาย นัดเจอกันที่โรงแรม 17.30 แต่ถ้าใครอยากฟัง อ.บวรพงศ์ เลคเชอร์เรื่อง The Magic Flute โอเปร่าที่เราจะดูกันได้คืนนี้ ให้มาตอน 17.00

พอเก้าโมง ประตูเปิดให้เข้าไปดูส่วน Temporary Exhibition ตัวเพอร์กามอนจะเปิดสิบโมง ช่วงนี้เป็นนิทรรศการ Panorama มีถึงเดือนกันยายนปีนี้ ทางเข้ามันจะต้องขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ ...หนึ่งชั้น สองชั้น สามชั้น สี่ชั้น ...เฮ้ย ทำไมมันไม่ถึงซะทีวะ สรุปแล้วถึงขึ้นไปประมาณตึกแปดชั้นได้ ชั้นสุดท้ายนี่กูแทบจะคลานแล้ว แต่ขึ้นไปถึงก็คุ้มนะ มันจะเป็นภาพวิว 360 องศาที่จำลองวิถีชีวิตยุคกรีกมาให้ดู ใหญ่อลังการมาก รายละเอียดยุ่บยั่บไปหมด ทั้งคนกำลังก่อไฟ, ร้องเพลง, เรียนหนังสือ, ดูมหรสพ ฯลฯ แถมยังมีโหมดกลางวัน/กลางคืนให้ดูด้วย แต่ว่าที่นี่ห้ามถ่ายรูป (ตามมิวเซียมหรือแกลเลอรี่ที่เบอร์ลิน อะไรที่เด็ดๆ มักห้ามถ่ายรูป)


นิทรรศการ Panorama เป็นประมาณนี้ (รูปจากอินเตอร์เน็ต)

โอเค ได้เวลาเข้าไปดูตัวนิทรรศการจริงแล้ว เพอร์กามอนเป็นชื่อเมืองในยุคกรีก ปัจจุบันเป็นพื้นที่ในประเทศตุรกี ดังนั้นใน Pergamon Museum จึงเต็มไปด้วยอะไรกรีกๆ ทั้งรูปปั้นกรีก ชามไหกรีก เสากรีก ซึ่งมันมีเยอะมากกกกกกกกกก เป็นร้อยๆ ห้อง ชนิดที่ว่าถ้าอยากบรรลุกรีกศึกษา ท่านต้องมาที่นี่แล

ก่อนเข้าข้างใน เราสามารถเอาหูฟัง Audio Guide จากเคาท์เตอร์ข้างหน้าได้ เค้าจะถามว่าเอาภาษาอะไร ก็บอกไปว่า English, please ในเกาะมิวเซียมหูฟังนี่เอาได้ฟรี รวมอยู่ในค่าตั๋วแล้ว แต่มิวเซียมและแกลเลอรี่หลายแห่ง ถ้าจะเอาหูฟัง ต้องเสียเงินเพิ่ม ประมาณ 3-4 ยูโร

ช่วงแรกๆ ก็ตั้งใจฟังออดิโอไกด์อยู่ แต่พี่พูดกันยาวเหลือเกิน เฉลี่ยอันละ 3 นาที บางอันล่อไป 5 นาที ถ้ากูฟังหมดทุกอันเนี่ย กูคงได้ติดอยู่ในเพอร์กามอนตลอดกาลอย่างที่จอร์จว่าไว้ ดังนั้นเพื่อจะให้ครบห้ามิวเซียมอย่างที่ตั้งเป้าหมายไว้ ต้องสวมวิญญาณชะโงกทัวร์บ้าง อันไหนไม่อินก็เดินผ่านๆ อันไหนน่าสนใจค่อยกดฟังแล้วกัน (แล้วนี่กูจะได้ความรู้อะไรกลับไปบ้างมั้ยเนี่ย -_-‘’)


ออดิโอไกด์ พูดสำเนียงฟังง่าย เป็นความกรุณาอย่างยิ่ง






ภายในเพอร์กามอน ก็ประมาณนี้


มีแผนผังเทพปกรณัมกรีกให้ดูเลยทีเดียว ซึ่งไม่ได้ช่วยให้กูเข้าใจขึ้นเลย 555


ท็อปฮิตของที่นี่ คือ Pergamon Altar มีดราม่าว่าไอ้แท่นนี้จริงๆ มันขุดได้ที่ตุรกี แล้วเยอรมันเอามาบูรณะ บางคนเลยด่าว่าเยอรมันไปขโมยของเค้ามา มึงควรจะส่งกลับให้ตุรกีสิเว้ย


มุมจากด้านบน เห็นได้ว่าจุดนี้คนเยอะยิ่งกว่าตลาดสด ตอนลงบันไดต้องก้าวอย่างมั่นคง เพราะถ้าลื่นล้มแถวนี้ จะน่าอายกว่าปกติ 99 เท่า


Market Gate of Miletus อีกจุดยอดฮิตจองเพอร์กามอน ซึ่งไปขโมย เอ๊ย ขุดได้จากตุรกีเช่นกัน


อันนี้ไม่ใช่รูปปั้นกรีก แต่น้องคนนี้หน้าตาดี เลยแอบถ่ายมา

เพอร์กามอนใหญ่มาก เดินจนเมื่อย แถมยังมีนิทรรศการย่อยๆ อีกสองอัน แต่เป็นเกี่ยวกับ Islamic Art เลยดูแบบผ่านๆ หมดเวลาในเพอร์กามอนไปแล้วสองชั่วโมง พอเดินออกมาข้างนอก ก็ต้องช็อคกับ...


คิวยาวมหาศาล แถมยังต้องกางร่มตากฝนด้วย


เห็นหางแถวแล้ว รู้สึกขอบคุณจอร์จที่ให้พวกเรามาแต่เช้า


ยังเหลืออีกหลายมิวเซียม แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว

คำนวณเวลาแล้ว ถ้าจะเดินให้ครบ ต่อไปต้องใช้เวลามิวเซียมละหนึ่งชั่วโมง ชีวิตตอนนี้กลายเป็นเกมผจญภัย ต้องเคลียร์แต่ละสเตจไปเรื่อยๆ แถมแต่ละมิวเซียมไม่ได้เดินง่ายๆ มีหลายชั้น มีหลายห้อง ถึงจะมีหมายเลขห้องกำกับไว้ แต่มันไม่ได้เรียง 1 2 3 น่ะสิ บางทีวนซ้าย บางทีขนขวา บางทีเริ่มชั้นสอง ไปต่อชั้นหนึ่ง แล้วค่อยชั้นสาม มิน่าแต่ละมิวเซียมถึงต้องมีแผนที่ + ไกด์วิธีเดิน แจกข้างหน้า


ถัดจากเพอร์กามอน มาต่อที่ Bode Museum


จัดแจงเอาโค้ท + กระเป๋าฝากในล็อคเกอร์

แต่พอหยอดเหรียญ 1 ยูโรลงไป ดันไขกุญแจล็อคไม่ได้ซะงั้น ลองอีกสองตู้ก็ยังไม่ได้อยู่ดี ขณะกำลังงงๆ ก็มีเจ้าหน้าที่หน้าดุเดินเข้ามา พูดเยอรมันใส่ ~!@#$%^&* (แปลไม่ออก) คือลุงพยายามจะช่วยเรานั่นแหละ แกลองหยอดเหรียญให้อีกสามตู้ ไม่ได้อยู่ดี ลุงเลยพูดกับเราว่า &%^$#%#$%@#$@$ กูงงสิ แปลว่าอะไรว้าาาาา ลุงอธิบายอีกรอบ *%$@!#!$@%^$^#$ กูจะรู้เรื่องมั้ยเนี่ย แต่เดาเอาจากภาษามือ ลุงต้องการสื่อว่า ไปล็อคเกอร์อีกฝั่งนึงเถอะ เผื่อจะหยอดได้ ก็เดินตามเค้าไปอย่างว่าง่าย ลุงหยอดอีกหลายตู้ มาสำเร็จตู้ที่ห้า ไม่รู้เหรียญกูมีอาถรรพ์อะไรนักหนา ก็พูดขอบคุณลุงแกไป ถึงหน้าตาจะโหด แต่ที่จริงแกใจดีนะเนี่ย

Bode Museum จะเน้นพวกศิลปะที่อิงกับศาสนาคริสต์ โดยเฉพาะประติมากรรม ดังนั้นจะได้ดูรูปพระเยซูถูกตรึงไม้กางเขนหรือพระแม่มารีอุ้มพระเยซูกันจนหลอนไปเลย แต่เราค่อนข้างชอบมิวเซียมนี้ ยังรู้สึกว่ามันมีอะไรที่เราคอนเน็คได้ ตอนเดินเพอร์กามอนไม่ค่อยอินเท่าไร แถมที่ Bode คนยังน้อยดี เดินสบายมาก


ทางเดินบรรยากาศขลังดี



Greatest Hits พระเยซู


เดินลงมาชั้นใต้ดิน เจอประตูที่ท่าทางดูลึกลับมาก ลองเข้าไปดูซิ


ปรากฏว่าข้างในเป็นนิทรรศการสำหรับเด็ก ...แล้วทำไมมึงต้องทำประตูให้น่ากลัวขนาดนั้น


ความประสาทแดกของ Bode Museum คือประตูมันจะเป็นแบบนี้หมดเลยและหนักมาก ถ้าปล่อยให้มันปิดเองเสียงจะดังมาก เวลาเปิดปิดประตูเราเลยค่อยๆ สุดชีวิต แต่ดูเหมือนจะมีกูมารยามงามอยู่คนเดียว ตอนเดินได้ยินเสียงปึงปังของประตูตลอดเวลา


จุดเด่นของ Bode อีกอย่างคือ คอลเลชั่นศิลปะยุคไบเซนไทน์


คงไม่ต้องบอกนะ ว่ารูปนี้ตั้งใจถ่ายอะไร 555

เคลียร์ Bode Museum ไปอีกด่าน มาต่อด้วย Neues Museum เป็นมิวเซียมที่ฮิตเป็นอันดับสองรองจากเพอร์กามอน เนื่องจากเพิ่งเปิดหลังจากปิดซ่อมไปนานเมื่อปี 2009 ที่นี่จะเกี่ยวกับอียิปต์ เหมาะสำหรับท่านที่หลงใหลในไอยคุปต์ศาสตร์ ตอนเดินไปเห็นคนต่อแถวกันยาวมาก โชคดีที่เราซื้อตั๋วชุดไว้แล้ว สามารถเดินเข้าไปได้เลย




อียิปต์ ฟาโรห์ อะไรกันไป

ไฮไลท์ของ Neues Museum คือ รูปปั้นของพระนางเนเฟอร์ติติ ซึ่งมีอายุกว่า 3300 ปี นางได้ฉายาว่า Queen of Beauty ว่ากันว่าใบหน้าของนางคือตัวอย่างสัดส่วนหน้าที่สมบูรณ์แบบ รูปปั้นนี้ทำให้เยอรมันดราม่ากับประเทศอียิปต์ เพราะฝ่ายหลังเห็นว่าเยอรมันควรส่งคืนรูปปั้นให้ (สรุปว่าของในมิวเซียมมึงนี่จิ๊กมาจากชาวบ้านทั้งนั้นเลยนี่หว่า) แน่นอนว่าของเด็ดเช่นนี้ ทางมิวเซียมห้ามถ่ายรูป แต่พอข้าพเจ้าฝ่าผู้คนเข้าไปดู ก็พบว่า ...อืมมม โอเค ดูแล้วนะ ...จบภายใน 15 วินาที


เนเฟอร์ติติ (รูปจากอินเตอร์เน็ต)

เมื่อกี้ตอนเดิน Bode ถูกหลอกหลอนด้วยเสียงประตูปึงปัง พอมาเดิน Neues Museum ได้ยินเสียงเด็กคนนึงร้องไห้ตลอดเวลา ร้องเสียงดังมาก ยามในมิวเซียมพยายามจะหาต้นตอของเสียง แต่หาเท่าไรก็ไม่เจอ มองหน้ากันเลิ่กลั่ก บางทีรัฐบาลเยอรมันอาจจะต้องเชิญคุณริว จิตสัมผัส มาที่ Neues Museum

มาต่อที่ด่านสี่ Altes Museum รู้สึกเหนื่อยล้าจริงๆ พบว่าหนึ่งในสาเหตุที่เหนื่อยคือการที่กูต้องถอดๆ ใส่ๆ เสื้อหนาวนี่แหละ เสื้อขนเป็ดมันตัวใหญ่มาก จะใส่จะถอดทีไม่ได้สนุกเลย พอมาที่ Altes Museum มันไม่มีล็อคเกอร์ เลยได้ประเดิมประสบการณ์ฝากโค้ทกับห้องฝากโค้ท (Cloakroom) ก็ไม่มีอะไรพิสดาร เหมือนกับฝากกระเป๋าตาม B2S นั่นแล ซึ่งเราสามารถฝากกระเป๋าด้วยก็ได้ อ้อ จาก Cloakroom ได้เรียนรู้ว่าที่เบอร์ลิน การโยนของให้นี่ไม่ถือเป็นเรื่องไม่สุภาพนะ เพราะไม่ว่าจะรับ tag ฝากกระเป๋า หรือเงินทอนจากร้านค้า เจอเค้าโยนใส่โต๊ะเกือบทุกครั้งเลย แรกๆ ก็เหวอไปเหมือนกัน แต่เข้าใจว่าคงเป็นเรื่อง culture


ด้านหน้า Altes Museum



ที่นี่ก็เน้นพวกกรีกๆ อีกแล้ว เจอรูปปั้นอันที่ 1860 ได้แล้วมั้ง เลยใช้เวลาดูที่นี่ไม่นานมาก

ผ่านด่านสี่ไปอย่างรวดเร็ว ถึงด่านสุดท้ายเสียที Alte Nationalgalerie ตอนแรกแอบหาไม่เจอด้วย เพราะมันอยู่ด้านหลังของ Neues Museum ที่นี่จะเป็นรวมภาพวาดและรูปปั้นจากศตวรรษที่ 19 เน้นผลงานตระกูลคลาสสิก, โรแมนติก และอิมเพรสชั่นนิสม์ แม้สภาพร่างกายตอนนี้จะอ่อนล้ามาก ขากลายเป็นเหมือนท่อนไม้ตายซาก แต่ที่นี่ก็ดูได้อย่างเพลิดเพลิน เพราะเป็นศิลปะแบบยุคใกล้ตัวหน่อย (อย่างน้อยก็ใกล้กว่าไอ้พวกกรีกๆ)


Alte Nationalgalerie / สังเกตธงแดงๆ ข้างบน นั่นคือ โลโก้รวมหมู่ของมิวเซียม 18 แห่งในเบอร์ลิน มันจะมีบัตรซูเปอร์แพ็คเกจที่สามารถเข้าได้ทุกมิวเซียมเลย (แต่คงต้องมีเวลาสักสองสัปดาห์)


เข้ามาข้างในละ



เนื่องจากต้องเดินดูอย่างรวดเร็ว ไม่มีเวลาจดเวลาจำว่าภาพไหนเป็นของใคร แต่ชอบเช็ตความตายอันนี้มาก



อันนี้ก็ฟุ้งๆ เหงาๆ ดี



เซ็ตนี้เราชอบมาก เป็นส่วนนิทรรศการหมุนเวียน งานชื่อ October 18, 1977 ของ Gerhard Richter เป็นภาพเขียน 15 ภาพที่วาดจากชีวิตและการตายของสมาชิกสี่คนในกลุ่มหัวเอียงซ้าย Red Army Faction (RAF) (ถ้าอยากรู้จักกลุ่มนี้ให้หาหนังเรื่อง The Baader Meinhof Complex มาดู)

เยสสสส...ในที่สุดก็เคลียร์เกาะมิวเซียมแล้ว เหนื่อยแสรดดด ขานี่แทบจะพิการเลยทีเดียว เดินตั้งแต่เก้าโมงยันสามโมงเย็น รีบหาข้าวกินแล้วกลับไปนอนพักที่โรงแรมดีกว่า เดี๋ยวจะหลับคาโอเปร่าคืนนี้ แต่...เกมตะลุยด่านนี้ยังไม่จบง่ายๆ เพราะเรายังไม่ได้เคลียร์บอสใหญ่ นั่นคือ...


โบสถ์ยักษ์ Berlin Cathedral นั่นเอง

สองจิตสองใจอยู่พักนึงว่าจะเข้าโบสถ์ดีมั้ย เวลาก็เหลืออีกไม่เยอะ แต่โปรแกรมช่วงวันหลังๆ มันจะแน่น เราอาจไม่มีวันได้กลับมาที่นี่อีกแล้ว ดังนั้นเข้าโลดดดด เดินตามๆ เค้าเข้าประตูตรงกลางไป อ้าว ปรากฏว่าเข้าผิดประตู ต้องไปซื้อตั๋วที่ประตูขวามือก่อนนะจ๊ะ เจอไป 7 ยูโร ชักเริ่มรู้สึกว่าเงินทั้งหมดกูไปลงค่ามิวเซียมนี่แหละ แต่พอเดินเข้าไปในโบสถ์ก็เลิกบ่นทันที


เพราะมันอลังการงานสร้างสุดๆ บรรยากาศขลังมาก เวลาเจอฉากโบสถ์ในหนังเราก็จะเฉยๆ แต่พอได้เข้ามาเองแล้ว เริ่มเข้าใจถึง Spiritual ของมัน


เงยหน้ามองหลังคา กรี๊ดสลบ แต่กรี๊ดออกเสียงไม่ได้ เพราะในนี้เค้าอยู่กันเงียบๆ


อันนี้เป็นห้องทำพิธี

จริงๆ ได้ดูแค่นี้ก็คุ้ม 7 ยูโรแล้ว แต่เห็นป้ายชี้ว่าที่ชั้นสองยังมีมิวเซียมอีก ขึ้นไปดูก็ไม่มีอะไรมาก เป็นแบบจำลองความเป็นมาของการสร้างโบสถ์แห่งนี้ นึกว่าจบแล้ว อ้าว ยังมีบันไดขึ้นไปอีก ไต่บันไดขึ้นไปเรื่อย มีชั้นลอยที่ให้ดูโบสถ์จากระเบียงด้วย โอ้ว สวยงามมาก ฟินอีกรอบ เดินออกมา เฮ้ย มีบันไดอีกแล้ว! อะไรกันเนี่ย ไม่จบไม่สิ้นเสียที สรุปเจอป้ายเขียนว่า Dome Walkway อืม มันคงเป็นทางไปสู่ยอดสุดของโบสถ์นี้ อ่ะ ลองขึ้นดู คราวนี้โหดกว่าเดิม เพราะเป็นบันไดเหล็ก แบบบันไดหนีไฟ แต่ละขั้นค่อนข้างชันด้วย โหดกว่าไอ้ Panorama ที่เพอร์กามอนอีก กูจะเป็นลม แต่ก็ห้ามเป็นอะไร ขืนมานอนตายอยู่ตรงบันได คงอับอายขายขี้หน้า ในที่สุดเจอประตู เออ ถึงซะที เปิดออกไป ผัวะ! สิ่งที่เจอคือ...


ยังคงมีป้าย Dome Walkway ต่อไป สรุปว่ายังไม่ถึงชั้นบนสุด นี่มาได้แค่ครึ่งเดียว กูจะร้องไห้


ป้ายเขียนบอกว่า ไอ้กล่องเหลี่ยมๆ คือเลี้ยงผึ้งเอาไว้ เพื่อดำรงไว้ถึงความสมานฉันท์ของมนุษย์กับสัตว์โลก (ห๊ะ!?)


เจอบันไดอีกแล้วววววว ต้องขึ้นไปอีก (มารู้ทีหลัง บันไดมันมีทั้งหมด 270 ขั้น)

ไต่บันไดเช็ตที่สอง คราวนี้เหนื่อยแบบไม่ไหวแล้วจริงๆ ใจนึงก็คิดว่าถอยตอนนี้ยังทันนะมึง แต่อีกใจก็บอกว่าถ้ามึงขึ้นไปถึงยอดนี่มึงเอาไปอวดชาวบ้านได้นะ เอาไปเขียนลงเฟซบุ๊คได้ด้วย (นี่หรือ เป้าหมายชีวิตของกู) บอสใหญ่ของเกมต้องก็ต้องโหดแบบนี้แล ...และในที่สุดก็เจอประตูอีกบาน คราวนี้ถ้าเปิดไปเจอป้าย Dome Walkway อีก กูจะเผาโบสถ์จริงๆ ด้วย แต่พอเปิดปุ๊บ ฟู่มมมม สัมผัสถึงลมหนาว ในที่สุดก็ขึ้นมายอดโดมแล้ว!!!


วิวสวยงามล้ำค่า รู้สึกว่าเวิร์คกว่าอี TV Tower เยอะ อยากจะตะโกนจริงๆ ว่า I’m on the top of the dome!


เจอสองสาวกำลังเหนื่อยหอบแฮ่กๆๆ เช่นเดียวกับกู


ขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึกหน่อย อุตส่าห์พิชิตยอดโดมได้ ถ่ายกับอี TV Tower นี่แหละ

จริงๆ อยากซาบซึ้งกับวิวที่ยอดโดมให้คุ้มกับที่ปีนขึ้นมา แต่เวลาเหลือน้อยเต็มทีแล้ว ต้องจำใจลงไป ขาลงไม่โหดเท่าไร เดินลงมาถึงชั้นหนึ่ง มีทางลงไปชั้นใต้ดินอีก โบสถ์นี้มันมีอะไรเยอะจริงๆ เว้ย ข้างล่างจะเป็นพวกโลงศพ หลุมศพ แล้วก็รูปปั้นพระเยซูนู่นนี่


ชั้นใต้ดินของ Berlin Cathedral


ทางออกของโบสถ์ บังคับว่าเราต้องเดินผ่านช็อป เลยซื้อเสื้อมาเป็นที่ระลึก ตอนนี้เป็นช่วงกลางๆ ของทริปแล้ว เลยเริ่มใช้เงินแหลก อยู่ที่เบอร์ลินมีความสุขกับการซื้อเสื้อมาก เพราะมีไซส์ใหญ่ (แต่ก็มีปัญหาว่า XL กับ XXL ของแต่ละที่เสือกไม่เท่ากันอีก) ข้อเสียคือ เสื้อตามมิวเซียมจะแพง ตกตัวละ 20 ยูโร หรือ 800 บาท (อนึ่ง เคยได้ยินว่าห้องน้ำที่เบอร์ลินเก็บตังค์ แต่เพิ่งมาเจอครั้งแรกก็ที่โบสถ์นี่แหละ โดนไป 0.40 ยูโร)


โอเค ถือว่าเคลียร์เกมวันนี้อย่างสมบูรณ์แบบ ได้เวลาหาข้าวกิน มองไปด้านตรงข้ามของโบสถ์เจอ DDR Museum ที่เรามาเมื่อวานซืน ดังนั้นร้านข้าวที่ไปกินคือ...


กลับมาที่ร้าน Happy Noodles อีกแล้ว

แต่วันนี้ร้านคนเยอะ ถึงขั้นมีคนต้องยืนกิน คงเพราะเป็นช่วงอีสเตอร์ แต่โชคดีว่ามีโต๊ะว่างเหลือที่นึงพอดี วันนี้พนักงานที่รับออเดอร์ไม่ใช่สาวหมวยคนเดิม แต่เป็นเจ๊ที่ดูผ่านโลกมาเยอะ เจ๊แกพูดเยอรมันใส่ลูกเดียวเลย (กูนึกว่าเป็นคนเอเชียด้วยกันจะสื่อสารกันง่ายหน่อย กูคิดไปเอง...) เราเลยสั่งเหมือนเดิม เพื่อความง่าย แต่เจ๊ก็พูดกับเราว่า ~!@#$%^&*&^$#%@#$#$%#%@#$#@$#$@$#@%@%#$^#$^#$%^$ อะไรล่ะเนี่ย ใครก็ได้ช่วยกูด้วยยยย ฟังไม่ออกเลยตีมึนเยสๆ ใส่แกไป แต่เอ๊ะ ทำไมกูกินเหมือนเดิมแต่ราคาแพงกว่าวันก่อนวะ พอเดินไปที่ตู้น้ำ เจ๊ก็พูด ~!@#$%^$#@% จับได้ว่ามีคำว่า โคล่า กับ แฟนต้า อ้อ เก็ทแล้ว เมื่อกี้คือเจ๊ถามว่าจะสั่งเป็นเซ็ตมั้ย แถมน้ำให้ด้วย เลือกระหว่างโค้กกับแฟนต้า มิน่าเลยแพงขึ้น ขอบคุณครับ ถือว่าเจ๊ล่อลวงผมสำเร็จครับ


เมนูเดิมเด๊ะ แต่ได้แฟนต้ามาด้วย ปัญหาคือเราไม่กินน้ำอัดลมน่ะสิ แถมรู้สึกว่าน้ำอัดลมที่เบอร์ลินยิ่งซ่ากว่าที่ไทยอีก


พี่ฝรั่งคนนี้หล่อดี แต่เล่นตลกโชว์เพื่อน ด้วยการเอาตะเกียบยัดจมูก หมดกัน... (สังเกตพี่ผู้หญิงผมแดงที่มุมซ้าย ในเบอร์ลินเจอคนที่แต่งตัวจัดๆ ย้อมผมแรงๆ เยอะเหมือนกัน)


หันไปมองด้านข้างตกใจเลย มีพระพุทธรูปตั้งอยู่ข้างที่หยิบช้อนส้อมซะงั้น (วันก่อนไม่ทันสังเกต)

กินเสร็จ รีบเดินทางกลับโรงแรม กว่าจะถึงห้องก็เกือบห้าโมงพอดี ใกล้เวลาเลคเชอร์ของ อ.บวรพงศ์ แล้ว แต่ ณ จุดนี้ ไม่ไหวจริงๆ ขอพักนวดเท้าหน่อยเถอะ ลงไปเลทหน่อยแล้วกันนะ พอลงไปตอน 17.15 ปรากฏว่าทุกคนกำลังนั่งฟังอาจารย์อย่างเพียบพร้อม มีกูคนเดียวที่มาสาย เวรกรรม กลายเป็นจุดบอดของสังคมไปโดยปริยาย ยังไม่ทันจะนั่งจอร์จก็ปรี่เข้ามาหาเรา อธิบายว่าเดี๋ยวจะเดินทางยังไง เนื่องจากมีปัญหารถไฟหยุดที่สาย U2 เราเลยต้องนั่งอ้อมหน่อย แต่ที่งงคือ จอร์จจะมาบอกกูทำไม!?!? สงสัยเพราะเมื่อวานดันอวดไปว่ารู้เส้นทาง จอร์จเลยมอบตำแหน่ง Navigator ให้กูซะงั้น


ทุกคนตั้งใจฟังอาจารย์เล่าเรื่อง The Magic Flute โอเปร่าที่เราจะดูในคืนนี้ เนื่องจากมาสาย ข้าพเจ้าเลยได้ฟังตอนท้ายนิดเดียว T_T

สถานที่แสดงโอเปร่าคือ Deutsche Oper Berlin แต่เนื่องจาก อ.โด้ แฟนของ อ.นพีสี แยกไปดูโอเปร่าอีกเรื่องนึงที่ Schiller Theater จอร์จเลยเสนอว่าตอนนี้เรายังมีเวลา งั้นพวกเราไปส่ง อ.โด้ ที่ Schiller Theater จากนั้นเดินต่อไปที่ Deutsche Oper แล้วกัน เพราะสองที่นี้ห่างกันแค่สถานีเดียว อ.โด้ บอกว่าโอเปร่าที่แกดูจะเป็นแนว Contemporary ใจจริงแอบอยากหนีไปกับ อ.โด้ นะ เพราะ The Magic Flute เป็นงานของโมสาร์ท ซึ่งเราไม่ค่อยถูกโฉลกกับงานของพี่แกเท่าไร


Schiller Theater


ระหว่างทางเจอโฆษณานิตยสาร Interview ฉบับเยอรมัน หน้าปกน้อง เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ เป็นหนึ่งในลิสต์ของที่ต้องซื้อ


มาถึงแล้ว Deutsche Oper Berlin


ด้านหน้า


พี่ๆ ชาวคณะบางคนอยากหาอะไรกินก่อนดู ที่จริงใน Deutsche Oper ก็มีร้านอาหาร แต่จอร์จบอกว่าแพง ไปหาอะไรกินที่อื่นดีกว่า


เราเลยไปถล่ม Bat Viet ร้านอาหารเวียดนาม


ลองชิมอันนี้ไป อร่อยดีนะ


แต่เรากินข้าวมาแล้ว และไม่ชอบอาหารเวียดนามเท่าไร เลยขอออกมาเดินเล่นข้างนอก เจอพี่บัง (รูมเมทเรา) ยืนอยู่หน้าร้าน Currywurst เป็นไส้กรอกขึ้นชื่อของเยอรมัน เพิ่งนึกได้ว่ากูมาเยอรมัน แต่ยังไม่ได้ลองกินไส้กรอกเลยนี่หว่า


ชิม Currywurst ไป โอ้ว อร่อยมาก เพิ่งจะมีอาหารเยอรมันที่กูชอบก็อันนี้แหละ


เดินเล่นมาเจอร้านซีดีมือสอง มีแผ่นน่าสนใจหลายอันเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่เน้นขายไวนิล


นั่น...เจอร้านนวดแผนโบราณไทยด้วย


หยิบโบรชัวร์มาดูเล่นๆ ข้างหน้าก็ดูปกติดี


พลิกดูด้านหลัง ตกใจเลย เจ๊คนนี้คงคือเจ๊อร เจ้าของร้านกระมัง

เดินกลับมาร้าน Bad Viet กะว่าคงกินกันเสร็จแล้ว แต่ปรากฏว่าเกิดปัญหาร้ายแรง เพราะอีร้านเวียดนามนี่ทำช้ามาก ขนาดกาแฟยังช้าเลย เพราะมันใช้วิธีกลั่นเอาทีละหยด ตอนนี้ก็ใกล้เวลาแสดงเต็มที ไม่ต้องเดาเลยครับ...หันไปมองปุ๊บ โอ้ว จอร์จ แปลงร่างอีกแล้ว พวกเราพยายามเร่งคนขาย แต่อีเจ๊เวียดนามนี่พูดภาษาเยอรมันลูกเดียว จึงไม่อาจสื่อสารอะไรกันได้ จอร์จต้องมาช่วยแปลให้ คนไหนที่ได้ข้าว ก็ต้องกินแบบแดกด่วน โอว บรรยากาศตึงเครียดมาก พวกเราเลยตัดสินใจว่า คนไหนเสร็จแล้วให้เข้าฮอลล์ไปก่อนเลยแล้วกัน

พอเข้าไปใน Deutsche Oper เกิดอาการมึนเล็กน้อย เพราะที่นั่งในตั๋วดันเขียนเป็นภาษาเยอรมัน มันเขียนว่า Reihe 20 Platz 37 แล้วกูจะรู้มั้ยเนี่ย เลยวิ่งไปถามจอร์จ จึงได้ความว่ามันคือ แถว 20 ที่นั่ง 37 นั่นเอง พอเดินขึ้นไปเจอขายสูจิบัตรอยู่หน้าทางเข้า อ่ะ ซื้อซะหน่อย หยิบขึ้นมาดู นั่นภาษาเยอรมันล้วน มีเรื่องย่อเป็นอังกฤษนิดนึง ขอบคุณค่ะอีห่า เดินเข้าฮอลล์ไป หาที่นั่งเจอจนได้ สรุปว่าพี่ๆ ทุกคนก็มากันทันเวลา มองไปรอบฮอลล์ มีวัยรุ่นมาดูเยอะเหมือนกัน แต่อีวัยรุ่นฝรั่งเศสตรงแถวเรา น่ารำคาญมาก มันมีคนนึงมาช้า แล้วเสือกนั่งซะตรงกลาง มันก็ยึกยักๆ ไม่ยอมเข้า จนเจ้าหน้าที่ต้องเดินมาด่าว่ามึงรีบๆ เข้าไปนั่งซะที แต่พอกลางเรื่องไอ้เด็กคนนี้ก็ walk out ออกไป ไม่รู้อะไรของมัน (อนึ่ง ค่าตั๋วโอเปร่า 40.60 ยูโร ที่นั่งอยู่แถวกลางๆ ค่อนมาทางหลังหน่อย)


กำลังจะเริ่มแล้ว

จริงๆ การดูโอเปร่าควรอ่านเรื่องย่อมาสักหน่อย ก่อนเริ่มแสดงเราก็พยายามอ่านจากสูจิบัตร แต่ตัวละครแม่งเยอะเหลือเกิน ชื่อก็ยาก เหตุการณ์ยิบย่อย หมดความพยายาม เอาวะ ดูเอาเลยแล้วกัน ก่อนดูจอร์จเตือนให้ทุกคนปิดมือถือ พร้อมเล่นมุกว่า “ถ้ามือถือใครดัง ถือว่าไอไม่รู้จักยูนะ” (นี่มันหลอกด่าพวกกูหรือเปล่า 555) สักพักไฟดับพรึ่บ เปิดฉากแรกเป็นพระเอกถูกไล่ล่าด้วยพญางู โอ้ ฉากเจ๋งมาก ตื่นตาตื่นใจสุดๆ พญางูนี่ทำออกมาหยั่งกะเทพเจ้ามังกรในดราก้อนบอล มีเล่นเอฟเฟกต์เหมือนหิมะตกปรอยๆ เริ่มมีกำลังใจในการดูว่าคงไม่หลับหรอกนะ กลัวตัวเองจะหลับมาก เพราะวันนี้เดินเหนื่อยทั้งวัน

แต่ความชิบหายก็เริ่มเกิดขึ้น มีซับไตเติ้ลวิ่งที่จอข้างบน แต่ เอ๊ะ ทำไมกูอ่านไม่ออก อ้าวเหี้ยเล้วไง แม่งมีแต่ซับเยอรมัน ไม่มีซับอังกฤษ!!!!!!! (ทั้งที่โอเปร่ามันร้องเป็นเยอรมันอยู่แล้ว) นี่มึงจะชาตินิยมกันไปถึงไหน ไม่นึกถึงหัวอกชาวต่างชาติที่มาดูบ้างหรือง้ายยย โอเค สรุปว่าดูเอาเนื้อเรื่องไม่ได้แล้ว งั้นดูเอาความอลังการ แต่หลังจากฉากพญางูแล้ว มันไม่มีความตื่นเต้นอะไรอีกเลย ร้องๆ พูดๆ กันอย่างเดียว เวรจริงๆ หนักไปกว่านั้นคือ พระเอกไม่หล่อ แก่ และลงพุง ไม่ชวนติตตามอย่างยิ่ง อีนางเอกก็สวยใช้ได้ แต่เสียงไม่ได้เทพมาก คนที่เสียงดีที่สุดคือ เจ๊ที่เล่นเป็นราชินีแห่งรัตติกาล เสียงดีมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ร้องทีขนลุกกันทั้งฮอลล์ แต่เจ๊ก็บทไม่เยอะอีก

ผ่านไปชั่วโมงนึง จบองก์แรกไปอย่างว่างเปล่า ไม่รู้เรื่องโดยสิ้นเชิง 555 เอาเถอะ อย่าคิดมาก เอาบรรยากาศละกัน เดินออกมาเข้าห้องน้ำ ยืดเส้นยืดสาย ยืนพิงกำแพงดูนู่นนี่ไปเรื่อย สังเกตการแต่งตัว อืม เค้าก็แต่งตัวกันไม่ทางการมากนะ ใส่เชิ้ต + ยีนส์ เหมือนเรากันหลายคนเลย ที่ใส่สูทก็เยอะเหมือนกัน แต่เอ๊ะ...ทำไมเค้าไม่เข้าฮอลล์กันสักทีวะ มึงจะพักกันนานเกินไปรึป่าว จึงได้เรียนรู้ธรรมเนียมเบอร์ลินว่า ที่นี่เวลาพักครึ่ง เค้าพักกันทีครึ่งชั่วโมง (อย่างบ้านเราจะประมาณ 15-20 นาที) มิน่าล่ะเห็นหลายคนไปยืนจิบเบียร์กินไวน์ ซื้อขนมกันจริงจังมาก


พี่ล้อมวงจิบไวน์กันชิวมาก

กลับเข้ามาสู่องก์ที่สอง (ดีนะว่าเรื่องนี้มันแค่สององก์จบ) ยังคงดูไม่รู้เรื่องต่อไป แถมคราวนี้หลับอีกต่างหาก ไม่หลับยาว แต่หลับเป็นวูบๆ ประมาณ 18 วูบได้ เวลาอีเจ๊ราชินีร้องที ก็ตื่นมาฟังทีนึง ยังดีหน่อยว่าครึ่งหลังอีนางเอกจะได้ปล่อยพลังโชว์พาวเยอะหน่อย ช่วงหลังเลยตื่นตลอดรอดฝั่งไปถึงตอนจบ สรุปแล้วงานนี้กูก็ยังไม่ถูกชะตากับโมสาร์ทตามเคย

พองานเลิก รีบลงมาเอาโค้ทที่ฝากไว้ทันที เพราะกลัวจะคิวยาว แต่พี่ๆ หลายคนก็กระจายหายตัวกันไป รอกันอยู่พักนึงกว่าจะรวมตัวครบ ทีนี้พวกเราเกิดหิวกันขึ้นมา และมองไปเห็นร้านมินิมาร์ท Kaiser ที่ฝั่งตรงข้ามพอดี จึงคิดกันว่าเราไปซื้ออะไรกินที่นั่นดีกว่า เพราะซูเปอร์แถวโรงแรมปิดตั้งแต่สองทุ่มแล้ว (ที่เบอร์ลินลำบากหน่อยคือ ไม่มีพวก 7-11 หรือ Family Mart) เลยบอกจอร์จว่ายูกลับไปก่อนเลยแล้วกัน

เดินเข้าร้าน Kaiser มีสินค้าให้เลือกมากมาย ซื้อขนมปังมาก้อนนึง ที่เบอร์ลินมีแต่ขนมปังก้อนใหญ่เท่าหัว กินได้ประมาณสองวัน แล้วก็ซื้อโยเกิร์ต ซึ่งไม่มีช้อนให้กูอีก ตอนกินต้องยกดื่มเอา อนาถมาก ช็อปเสร็จสรรก็พากันขึ้นรถไฟ ตอนแรกนึกว่าคนจะเยอะ เพราะงานเพิ่งเลิก แต่ปรากฏว่าไม่มีคนเลย สถานีร้างมาก แอบน่ากลัว หรือว่าพวกเราช็อปกันนานมาก จนเค้ากลับบ้านไปหมดแล้วหว่า


สถานีอันว่างเปล่า มีแต่พวกเรา

ขณะที่รอรถไฟอยู่ อ.นพีสี ก็ทักขึ้นมาว่า “เอ๊ะ คุณดวงหายไปไหน” คือพี่ดวงแกเป็นคนตัวเล็กมาก นึกถึงนางเอกเรื่อง ชีวิต 150 ซม. นั่นแหละคือแกเลย เราเลยไม่ได้สังเกตว่าแกหายไป พี่แม็กซ์กับ อ.บวรพงศ์ เลยรีบวิ่งขึ้นไปหาพี่ดวง สรุปคือแกมัวช็อปเพลินอยู่ในร้านมินิมาร์ท พี่ดวงบอกว่าซาบซึ้งใจมากที่อาจารย์อุตส่าห์ขึ้นไปตาม แต่ อจ. ดันบอกว่า “อ๋อ เปล่า ผมกลับขึ้นไปถ่ายรูป” 5555 (แต่คิดว่า อจ. แกล้อเล่นนะ)

นั่งรถไฟกันอยู่หลายสถานี กว่าจะถึง Rosenthaler Platz ก็เกือบเที่ยงคืน ตรงสถานีมีขี้เมาสามคนนอนแผ่อยู่กลางทางเลย ถ้ามาคนเดียวคงแอบน่ากลัว โชคดีว่านี่มากันเป็นหมู่คณะ เข้าห้องปุ๊บ ถึงขั้นต้องทำสปาให้เท้าตัวเองเลยทีเดียว จัดการแช่น้ำอุ่น + นวดยา ปวดเท้ามากกกกกกกกกกกก เหนื่อยสุดๆ แถมโปรแกรมพรุ่งนี้คือ Jewish Museum ด้วย นี่ต้องหดหู่กันอีกแล้วใช่มั้ยเนี่ย

โปรดติดตามตอนต่อไป...





Create Date : 20 เมษายน 2555
Last Update : 20 เมษายน 2555 3:43:23 น. 0 comments
Counter : 4453 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

merveillesxx
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 58 คน [?]




สำส่อนทางการดูหนัง ฟังเพลงและเสพวรรณกรรม
New Comments
Friends' blogs
[Add merveillesxx's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.