http://twitter.com/merveillesxx และ http://www.facebook.com/merpage
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2549
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
6 ตุลาคม 2549
 
All Blogs
 

Blue + The Child : ชื่อหนังบอกอะไร?

โดย merveillesxx

(คำเตือน: บทความนี้มีการเปิดเผยตอนจบของหนังเรื่อง Blue ส่วนหนังเรื่อง The Child อ่านได้หายห่วงจ้า)




Blue (2001, Hiroshi Ando)

ทันทีที่หนัง Blue จบลง หญิงสาวที่นั่งข้างหลังผมก็พูดกับเพื่อนของเธอทันทีว่า “เอ้อ จบได้ซะที”

ประโยคแบบนี้เป็นอะไรที่ผมเกลียดที่สุดในชีวิตเลยครับ เพราะผมคิดว่าไม่ว่าเราจะชิงชังหนังเรื่องหนึ่งขนาดไหน ก็ไม่เห็นจะต้องแสดงความรู้สึกออกมาทันทีทันใดแบบนั้นเลย น่าจะลองคิดถึงใจคนอื่นๆ ในโรงที่กำลังนั่งดูเอนด์เครดิต (ยังมีอยู่หรือเปล่า?) พร้อมกับรู้สึกชื่นชมหนังในใจดูสิครับ เจอแบบนี้เข้าไปก็ไม่ต่างอะไรกับเวลาที่คุณจู๋จี๋อยู่กับแฟน แต่มีคนมากดออดหน้าบ้านหรอก

อย่างไรก็ตาม ก็เป็นสิทธิของเธอครับที่จะพูดแบบนั้นออกมา (แต่ถ้าเธอเป็นผู้หญิงที่ผมไปออกเดทด้วย เราคงจะเลิกกันภายใน 4 ชั่วโมงต่อมา) และหนังเรื่อง Blue เองก็มีองค์ประกอบหลายอย่างเหลือเกินที่เป็นอุปสรรคต่อผู้ชมในการติดตามหนังโดยไม่รู้สึกเบื่อ หรือพูดในอีกแง่หนึ่งมันมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้คนเกลียด

Blue ดำเนินเรื่องอย่างเชื่องช้า นิ่งเรียบ หลายฉากเป็นเพียงแต่แช่กล้องนิ่งๆ และอีกหลายฉากก็ยังใช้การถ่ายแบบ long take ด้วย ยิ่งไปกว่านั้นหนังก็แทบไม่มีดนตรีประกอบ หนังมีเพียงเสียงบรรยากาศ (ambient) อย่างเสียงนักเรียนเลื่อนโต๊ะเก้าอี้เวลาหมดคาบ เสียงรถราตามท้องถนน แต่เสียงส่วนใหญ่จะเป็น ‘เสียงของห้อง’ (หรือที่เรียกว่า Room Tone) ครั้นจะมีเสียงเพลงขึ้นมา ก็เป็นเสียงขลุ่ยประหลาดๆ ที่ไม่ใช่ทำนองเสนาะหูนัก (และถ้าลองฟังดีๆ จะมีเสียงดัง ‘ตึง ตึง ตึง’ เหมือนเสียงกลองแทรกอยู่ด้วย)

เพื่อนผมหลายคนเคยถามคำถามประมาณว่า ทำไมหนังเรื่องนี้เรื่องนั้นถึงต้องถ่ายให้นิ๊งงงงนิ่งจนคนดูหลับเสียขนาดนั้น สำหรับผมแล้วคำตอบเบื้องต้นก็คือ มันเป็น ‘สไตล์’ ที่หนังเรื่องนั้นๆ เลือกที่จะถ่ายทอดตัวเอง สไตล์นั้นมีหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะหนังแบบเล่าเรื่องอย่างตื่นเต้น เร้าใจ (มักพบในหนังฮอลลีวู้ด) หรือจะแบบนิ่งเงียบ ชวนหลับก็ตาม (มักพบในหนังยุโรป) ซึ่งผมคิดว่าสไตล์ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดชัดเจนว่าหนังเรื่องใดดีหรือเลว แต่สิ่งสำคัญก็คือ สไตล์นั้นสอดรับกับ ‘สาร’ ที่หนังต้องการสื่อหรือเปล่า

หนังอย่าง Blue นั้นไม่ใช่หนังที่ตั้งใจการเร้าอารมณ์คนดูให้รู้สึกเศร้าในฉากนั้นฉากนี้ แต่เป็นการให้ผู้ชมสังเกตตัวละครอย่างช้าๆ ผ่านพฤติกรรม การกระทำ หรือกระทั่งกิจวัตรประจำวัน (ซึ่งก็เอื้อกับการแสดงอันยอดเยี่ยมของนักแสดงนำทั้งสองคน) ดังนั้นเราจึงได้เห็นหลายฉากที่อาจดูไม่มีความหมายชัดเจน อย่างตอนที่ คิริชิม่า (รับบทโดย มิคาโกะ อิจิคาวะ ผู้ได้รางวัลนำแสดงหญิงจากเทศกาลมอสโคว) นอนนิ่งๆ ในบ้าน, เอาสายยางมาฉีดน้ำราดตัวเอง หรือกระทั่งฉากที่เธอรู้ความจริงจากเพื่อนของเอ็นโด้ ตอนท้ายของฉากนี้ก็เป็นภาพลองเทคที่เธอเดินไกลออกไปเรื่อยๆ ซึ่งฉากเหล่านี้ล้วนแต่ทำให้เราสงสัยว่า “เธอกำลังคิดอะไรอยู่นะ”

ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า Blue เป็นหนังตระกูล Minimalist ที่ใช้วิธีแบบทำน้อยได้มาก โดยตัดเทคนิคการปรุงแต่งหลายอย่างออกไป สิ่งที่น่าสังเกตก็คือ หนังยังได้ ‘ตัด’ ตัวละครผู้ใหญ่ออกไปจากชีวิตของเด็กๆ ด้วย ไม่ว่าจะพ่อแม่ หรืออาจารย์ก็แทบจะไม่ปรากฏตัวอออกมาเลย (ถ้าเป็นหนังเรื่องอื่นเราจะต้องเห็นตัวละครพวกนี้มารุมทำให้ชีวิตของนางเอกยิ่งน่าเศร้าไปกว่าเดิมแน่ๆ) หรือถ้ามีตัวละครเหล่านี้ออกมันก็จะส่งผลอย่างรุนแรงต่อเนื้อเรื่อง หนึ่งก็คือครูประวัติศาสตร์ที่ดุคิริชิม่าจนร้องไห้ และทำให้เธอรู้จักกับเอ็นโด้ (มานามิ โคนิชิ) สองก็คือครูศิลปะที่ช่วยสอนคิริชิม่าวาดรูป

สิ่งที่น่าคิดอีกอย่างก็คือ คำว่า Blue ในหนังเรื่องนี้หมายถึงอะไร มันอาจจะหมายถึง ท้องฟ้าที่คิริชิม่าเงยหน้ามองตอนเธอมีทุกข์ อาจจะหมายถึงทะเลที่เอ็นโด้ชอบไปนั่งเล่นหลังเลือกเรียน หรือมันอาจจะหมายถึง ‘ความเศร้า’ เพราะน่าคิดเหลือเกินว่าความเศร้านั้นเกิดขึ้นเพราะคิชิม่ากับเอ็นโด้รักกัน หรือความจริงแล้วทั้งคู่เข้าหากันเพราะความเศร้าแต่แรกแล้ว

(จากนี้ไปจะมีการเปิดเผยตอนจบของหนัง)

อย่างไรก็ตามดูเหมือนคำว่า Blue จะถูกเน้นย้ำมากที่ในตอนจบของเรื่องในวิดีโอที่เอ็นโด้ส่งให้คิริชิม่า (ที่อาจทำให้หนังดู ‘จงใจ’ ไปหน่อย) ภาพในเทปนี้คือ ทะเลที่เอ็นโด้เคยพาคิริชิม่าไป ภาพในตอนแรกก็ยังเป็นหาดทรายที่เอ็นโด้เหยียบย่ำไปเรื่อย แต่อยู่ดีๆ เอ็นโด้ก็กดซูมภาพทะเลตรงหน้า จนจอภาพเต็มไปด้วยสีฟ้า (อันชวนให้คิดถึงหนังเรื่อง Blue ของดีเร็ค จาร์แมน)

มีคำถามมากมายเกิดขึ้นว่า เอ็นโด้ทำแบบนี้เพื่ออะไร ...บางทีเธออาจจะไปที่นั่นเพื่อแค่ต้องการถ่ายวิดีโอส่งให้คิริชิม่า หรือบางทีเธออาจจะไปฆ่าตัวตายก็ได้ ในจุดนี้หนังไม่มีคำตอบให้เราชัดเจน แต่สำหรับผมแล้ววิดีโอนี้น่าจะบอกกับเราสองอย่าง

อย่างแรกก็คือ ข้อความในจดหมายที่เอ็นโด้เขียนว่า “ฉันทำได้เพียงเท่านี้” มันเป็นส่วนขยายต่อจากที่เธอเคยพูดอยู่เสมอว่า “ฉันมันทำอะไรไม่ได้ดีสักอย่าง” แต่อย่างน้อยที่สุดนี่ก็น่าจะเป็นสิ่งที่เธอได้ตั้งใจทำแล้ว

อย่างที่สองก็คือ เอ็นโด้พูดอยู่บ่อยๆ ว่า “ฉันอยากไปไกลๆ จากที่นี่” และทั้งสองคนก็ชอบพูดกับอีกฝ่ายว่า “เธอนั่นแหละจะเป็นคนจากไป ฉันต่างหากที่ต้องอยู่ที่นี่” และสุดท้ายคนที่ไปก็คือ คิริชิม่า (เธอไปเรียนต่อมหาลัยที่โตเกียว) แต่หากเอ็นโด้ยังคงยืนยันที่จะ ‘ไปไกลๆ’ จากที่ที่เธอเคยอยู่ บางทีภาพในวิดีโอนั่นเองที่เป็นจุดหมายของเธอ

เธอคงอยากจะไปที่สุดขอบฟ้า ขอบทะเล และบางทีเธอคงจะไปที่ที่ไกลแสนไกลของเธอแล้ว







The Child (L’Enfant) (2005, Jean-Pierre and Luc Dardenne)

เมื่อตอนเทศกาลหนังยุโรปเมื่อปี 2005 ขณะที่ดูหนังเรื่อง The Son ของพี่น้องดาร์เดนน์ ผู้ชายที่นั่งข้างผมหาวตลอดเวลา และดูเหมือนเขาจะไม่ใส่ใจดูหนังเท่าไร เดี๋ยวก็เปิดกระเป๋า เดี๋ยวก็หยิบมือถือขึ้นมาดู และพอเจอเขาอีกทีในลิฟต์ (ทั้งที่ผมพยายามหลบหน้าเขาสุดชีวิตแล้ว) เขาก็พูดกับผมว่า “ผมโคตรเกลียดหนังเรื่องเมื่อกี้เลย”

สำหรับนักดูหนังบางคนแล้ว ชื่อของพี่น้องดาร์เดนน์ (ฌ็อง ปิแอร์ และ ลุค ดาร์เดนน์ ผู้กำกับชื่อดังชาวเบลเยียม) คือสิ่งที่น่าหวาดผวา หนังของเขาบางทีก็ดูน่าเบื่อ ชวนหลับ แม้มันจะไม่ได้มีสไตล์อันเชื่องช้า แต่มัน ‘สมจริง’ จนน่ากลัว จนนึกว่าเรากำลังดูสารคดี หนังของเขามักใช้กล้องแฮนเฮลด์ติดตามตัวละคร และที่สุดขั้วที่สุดคือ มันไม่มีดนตรีประกอบ แม้แต่ตอนเอนด์เครดิต!

นอกจากนั้นหนังของพวกเขาได้ชื่อว่าเป็นการสืบต่อจิตวิญญาณของหนัง Neo-Realist ของอิตาลี (ที่มีผู้กำกับชั้นครูอย่าง วิตตอริโอ เดอ สิกา และโรแบร์โต รอสเซลลินี เป็นแกนนำ) ด้วยความ realistic และการพูดปัญหาสังคมผ่านการถ่ายทอดชีวิตของชนชั้นล่างหรือคนชายขอบ

ใน The Son (2002) พี่น้องดาร์เดนน์เล่าถึง ช่างไม้คนหนึ่งที่ต้องเผชิญหน้ากับเด็กฝึกงานที่เป็นคนฆ่าลูกชายของเขา ผมไม่แปลกใจเท่าไรที่พี่ผู้ชายคนนั้นจะเกลียดหนังเรื่องนี้สุดชีวิต เพราะนอกจากหนังจะใช้กล้องแฮนเฮลด์จนคนดู (บางคน) เวียนหัว สถานที่ในหนังยังจำกัดแคบๆ ในโรงงานไม้ และนั่นจึงทำให้เสียงของเครื่องยนต์ในโรงงานหรือเสียงทุบเคาะไม้กลายเป็น ‘ดนตรีประกอบ’ ของหนังไปโดยปริยาย

ผมไม่รู้ว่าพี่คนนั้นจะได้ดู The Child หนังเรื่องล่าสุดของพี่น้องดาร์เดนน์หรือยัง แต่ผมอยากให้เขาได้ลองดู เพราะ The Child ดูจะไม่กดดันเท่ากับ The Son เท่าไร อย่างน้อยที่สถานที่ในหนังก็หลากหลายและเป็นที่เปิดมากขึ้น (ไม่ต้องทนฟังเสียงตอกไม้โป๊กๆ แล้วนะพี่) แถมเนื้อเรื่องของมันก็ยังน่าสนใจ โดยหนังเล่าถึงวัยรุ่นชายหญิงคู่หนึ่งที่เกิดมีลูกขึ้นมา แต่ฝ่ายชายดูจะยังไม่พร้อมกับความเป็นพ่อนัก แถมเขายังมีอาชีพเป็นโจรลักเล็กขโมยน้อย และในที่สุดเขาก็เอาลูกตัวเองไปขาย! (โอ๊ย ตายแล้ว)

ถึงกระนั้นสไตล์ส่วนตัวของพี่น้องดาร์เดนน์ยังคงชัดเจน ในเรื่องของความสมจริง (จะมีหนังของใครบ้างที่พระเอกเป็นสิวแต่ก็ยังถ่ายหนังได้แบบพี่น้องคู่นี้) ไม่มีการเร้าอารมณ์คนดู และเน้นถ่ายทอดชีวิตประจำวันของตัวละคร ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลย เพราะแรงบันดาลใจของ The Child นั้นก็มาจากเรื่องจริง โดยขณะที่กำลังถ่ายทำเรื่อง The Son (ซึ่งก็ได้แรงบันดาลใจจากคดีที่เกิดจริงในอังกฤษเมื่อปี 1993 ที่เด็ก 10 ขวบสองคนฆ่าเด็กทารกตาย) พี่น้องคู่นี้เห็นเด็กสาวคนหนึ่งลากรถเข็นเด็กวนเวียนไปมาอย่างไร้จุดหมาย พวกเขาเลยนำมาสร้างเป็นหนังโดยเติมสิ่งที่ขาดหายไปก็คือ ‘พ่อของเด็ก’ (และหนังเรื่องนี้เกือบมีชื่อเรื่องว่า The Father)

The Child ได้รับรางวัลใหญ่จากเทศกาลหนังเมืองคานส์ปี 2005 จนทำให้พี่น้องดาร์เดนน์กลายเป็นผู้กำกับคนที่ 4 ในประวัติศาสตร์ที่ได้รางวัลปาล์มทองคำ 2 ครั้ง (ก่อนหน้านี้ได้จาก Rosetta ในปี 1999) ถัดจาก บิล ออกัสต์, ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปล่า และ เอมีร์ คุสตูริก้า และก็เป็นเรื่องที่คาดได้ว่าหนังที่ได้รางวัลใหญ่จะถูกจับตามองเป็นพิเศษ เพราะมีเสียงอื้ออึงไม่เห็นด้วย พร้อมกับบอกว่าเรื่องที่เหมาะสมกว่าคือ Hidden ของไมเคิล ฮาเนเก้ (ที่ได้รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมไป)

หนังทั้งสองเรื่อง (The Child และ Hidden) มีหลายอย่างที่คล้ายกัน ทั้งคู่เป็นหนังที่สมจริง ไม่มีการเร้าอารมณ์ ไม่มีดนตรีประกอบ (แถมตอนเอนด์เครดิตของสองคนนี้ยังไม่มีเพลงเหมือนกันด้วยนะ) และเป็นหนังวิพากษ์สังคมทั้งคู่ โดย The Child อาจพูดประเด็นที่เล็กกว่า เพราะเป็นเรื่องระดับปัจเจก ระดับเมือง ส่วน Hidden เป็นปัญหาระดับประเทศ ระดับโลก หรืออาจจะระดับจักรวาล (ถ้าเราเชื่อว่าทุกจักรวาลมีเรื่องการขัดแย้งทางเชื้อชาติ) และที่แน่ๆ ก็คือ Hidden มีอะไรแรงๆ เฮี้ยนๆ กว่า The Child อยู่หลายเท่าตัว

ผมคิดว่าไม่ว่าหนังเรื่องไหนจะได้รางวัลก็น่ายินดี เพราะทั้งสองเรื่องมีความยิ่งใหญ่พอกัน แต่หากจะให้เดาใจกรรมการ โดยเฉพาะเอมีร์ คุสตูริก้า ประธานกรรมการในปีนั้น ผมคิดว่าคุสตูริก้าเลือก The Child เพราะมันมีความเป็น ‘ศิลปะบริสุทธิ์’ อยู่สูง (ตอนที่ได้รับตำแหน่งประธาน เขาประกาศเลยว่า “ผมจะทำให้คานส์ปีนี้เป็นศิลปะให้ได้” ซึ่งเป็นนัยว่าเขาไม่พอใจที่ปี 2004 คานส์ให้รางวัลกับ Fahrenheit 9/11 อันเป็นสัญลักษณ์ว่าศิลปะภาพยนตร์พ่ายแพ้ต่อการเมือง)

จริงอยู่ที่ Hidden ก็เป็นหนังศิลปะเหมือนกัน แต่มันเต็มไปด้วยความยอกย้อน หลอกลวง และการตบหน้าคนดู (ตามที่ฮาเนเก้กล่าวไว้ “ภาพยนตร์คือความลวง 24 เฟรมต่อวินาที”) หนังแบบ The Child จึงน่าจะเข้าทางคนอย่างคุสตูริก้ามากกว่า และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือคุสตูริก้าอาจต้องการลบคำสบประสาทที่ว่าเขาจะไม่ยอมให้รางวัลกับพี่น้องดาร์เดนน์เด็ดขาด เพราะจะทำให้พวกเขาได้ ‘ดับเบิ้ลปาล์ม’ แบบเดียวกับคุสตูริก้า (แต่ผมว่าจริงๆ แล้วเหตุผลไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลยครับ เรื่องของเรื่องคือ คุสตูริก้าแกหมั่นไส้ที่ป้าแอ็กเนส วาร์ด้ากระโดดเชียร์ Hidden เหยงๆ จนออกนอกหน้า แกเลยให้ The Child เสียเลย ฮ่าๆๆ)

นอกจากความเป็นศิลปะบริสุทธิ์แล้ว จุดแข็งของ The Child ยังอยู่ที่การแสดงอันสุดยอดของนักแสดงนำทั้งสอง นั่นคือ เดโบราห์ ฟรองซัวส์ (นางเอก - ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าเล่นหนังครั้งแรก!) และเชเรมี เรอนีร์ (พระเอกขาประจำของดาร์เดนน์) ผู้พลาดรางวัลนักแสดงนำชายไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งที่ปกติแล้วหนังของดาร์เดนน์นั้นจะเป็นหนัง ‘ดันดารา’ ที่คานส์เสมอ (เอมิลี เดอแกนน์ ได้นำหญิงจาก Rosetta ส่วนโอลิวิเยร์ กรูเมต์ ได้นำชายจาก The Son) เพราะหนังของพวกเขาติดตามตัวละครอย่างใกล้ชิด จึงทำให้นักแสดงได้แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่

ชื่อของหนังที่ว่า The Child (หรือ L’Enfant ในภาษาฝรั่งเศส) ก็ชวนให้ขบคิดว่า ‘เด็กน้อย’ ในที่นี้คือใครกันแน่ ซึ่งแน่นอนว่าในระดับแรกมันคงหมายถึงเด็กทารกในเรื่อง แต่ที่จริงแล้วพระเอกนางเอก (พ่อแม่ของเด็กทารกที่ว่า) ก็ไม่ต่างอะไรไปจากเด็กๆ เลย พวกเขายังคงหยอกล้อกัน วิ่งเล่นไล่จับกัน และนั่นเองที่เป็นปัญหา เพราะพวกเขายังไม่มีวุฒิภาวะพอที่จะเป็นพ่อเป็นแม่ โดยเฉพาะในรายของพระเอก เพราะสัญชาตญาณความเป็นพ่อนั้นถูกปลุกให้ตื่นได้ยากกว่าสัญชาตญาณความเป็นแม่

ฉากสุดท้ายของ The Child เป็นสิ่งที่ทรงพลังมาก ฉากนี้ไม่ต้องมีคำพูดใดๆ ทั้งสิ้น แต่ก็ถ่ายทอดความรู้สึกให้กับผู้ชมทั้งโรงได้ ผมสงสัยเหลือเกินว่านักแสดงทั้งสองคนเล่นฉากนี้เข้าไปได้ยังไง นอกจากด้านอารมณ์แล้ว ฉากจบนี้ยังสอดคล้องกับชื่อหนัง โดยมันอาจจะบอกกับเราว่าเด็กน้อยสองคนนี้กำลังจะเติบโตขึ้นแล้ว

ผมขอสารภาพอย่างไม่อายเลยว่าผมร้องไห้หลังจากหนังจบลง ด้วยสองเหตุผล หนึ่งคือความรู้สึกอินไปตัวละครในฉากจบของหนัง

และสองคือ รู้สึกอิ่มเอมใจเหลือเกินที่ได้ดูหนังดีๆ แบบนี้



เวบไซต์ทางการของ The Child
//www.sonyclassics.com/thechild/

เวบไซต์ทางการของ Jeremie Renier (พระเอก The Child)
//www.jeremie-renier.com/




 

Create Date : 06 ตุลาคม 2549
25 comments
Last Update : 6 ตุลาคม 2549 18:19:45 น.
Counter : 6720 Pageviews.

 

หนังที่ได้ดูในช่วงนี้ (เมื่อวานฝนตก เลยไปหลบฝนในโรงหนัง อิอิอิ)

1. Blue (2001, Hiroshi Ando)

2. The Child (2005, Jean-Pierre and Luc Dardenne, A+++++++++++)

-------------------------------------

ช่วงนี้ผมสอบแล้วนะครับ อาจจะหายหน้าไปบ้าง สอบตัวแรก (International Financial Management) เมื่อวาน ...หายนะชัดๆ เลยครับ ทำแทบไม่ได้เลย แต่ก็ไม่ค่อยแปลกใจ เพราะอาจารย์ชอบพูดเสมอว่า "ถ้าข้อสอบไม่ยาก จะออกทำไมล่ะฮึ"

สอบเสร็จ 16 ตุลา นู่นเลยครับ (มหาลัยอื่นเค้าสอบเสร็จกันแล้ว ฮือๆๆๆ)

ช่วงสอบผมจะดูละครโทรทัศน์ครับ เพราะมันช่วยคลายเครียดได้เยอะ มีสองประเด็นที่อยากพูดถึง

1. วิธีเปลี่ยนหุ่นยนต์มารให้เป็นเหยื่อมาร

ผมพอรู้วิธีที่จะเปลี่ยนนางเอกในเรื่อง "เหยื่อมาร" จากหุ่นยนต์ให้เป็นผู้เป็นคนแล้วครับ นั่นก็คือ...ส่งเธอไปเล่นหนังกับพี่น้องดาร์เดนน์!! (ฮ่า ฮ่า ฮ่า)


2. เกือบสอบตกเพราะ เป้ย-ปานวาด

เมื่อคืนวันพุธ จณะกำลังอ่านหนังสืออยู่ดีๆ ผมเบื่อๆ เลยเปิดช่อง 5 ดูละคร พอเจอเป้ย-ปานวาด ผมแทบช็อคเลยครับ เพราะชุดที่เธอใส่มัน...มาก (มันดันนมแทบจะถึงปากอยู่แล้ว) ผมมารู้ตอนหลังว่าเธอเล่นเป็นเลขาพระเอก...เลขาบ้าอะไรเนี่ย แต่งชุดราตรีไปทำงานทุกวัน

อีกฉากที่ฮามากๆ คือตอนที่ มิว เดอะสตาร์ (นางเอก...เอ่อ นางเอกจริงๆนะ) เดินผ่านกล้องแวบๆ แล้วมีตัวละครนึงชมขึ้นมาว่า "อุ๊ย เด็กคนนั้นใครเนี่ย หน้าตาดีจังเลย"

หน้าตาดีจังเลย??!!!

หล่อนเห็นแค่แวบๆ หยั่งกะผีผ่านกล้องเนี่ยนะ??

แถมยังบอกว่า หน้าตาดี...ดีจังเลยด้วย??

โอ๊ย ชั้นไม่เชื่อ!!! (บอกว่า อ.ยิ่งศักดิ์ เป็นผู้ชายชั้นยังเชื่อมากกว่าเลย)

 

โดย: merveillesxx 6 ตุลาคม 2549 18:59:55 น.  

 

รายชื่อศิลปินในงาน Fat Festival 6

//www.thisisclick.com/webboard/forum.aspx?id=135

Siam Secret Service กับ อรอรีย์ เท่านั้นที่เดี๊ยนต้องการ (ห้ามจัดคิวให้สองวงนี้อยู่วันเสาร์นะๆๆๆๆๆๆ ติดเรียนโทเฟลง่ะๆๆๆๆ)

 

โดย: merveillesxx 6 ตุลาคม 2549 19:27:28 น.  

 

- มาช่วยเพิ่มข้อมูลให้ Merเล็กน้อย โชเฮย์ อิมามูระ เป็นอีกคนที่ได้รับปาล์มทองคำสองครั้ง ส่วน คอปโปล่า นี่ไม่แน่ใจว่านับรวมไปด้วยได้รึเปล่า เพราะ The Conversation ได้รับรางวัลสูงสุดคือ Granprix ในปี 1974 ซึ่งเป็นช่วงที่คานส์ยกเลิกรางวัลปาล์มทองคำไปพอดี (1964 - 1974) แต่จากศักดิ์ศรีแล้วก็เปรียบได้กับปาล์มทองคำแหละเนาะ


- ชอบ The Child น้อยที่สุดในบรรดาหนัง 4 เรื่องของพี่น้องคู่นี้ที่เคยดูมาเลยแหะ ไม่ได้หมายความว่าไม่ชอบ คือชอบมากๆนะ(ในระดับA+) แต่ชอบเรื่องนี้น้อยที่สุดเท่านั้น รู้สึกว่าตอนจบของ The Child มันยังพอเห็นความหวังของตัวละครอยู่บ้าง ต่างจากอีก3เรื่องที่เคยดูที่แทบจะมองไม่เห็นหนทางซักเท่าไหร่ ที่สำคัญเรื่องนี้ดูประนีประนอมกับคนดูมากที่สุดแล้ว

อันดับหนังของพี่น้องคู่นี้ที่เคยดู
1.Rosetta
2.La Promesse
3.The Son
4.The Child


- พรุ่งนี้สอบวิชาที่สองตอนเช้า คืนนี้ว่าจะดู War of the Worlds คลายเครียดซะหน่อย แล้วเจอกันตอนงานเทศกาลนะจ๊ะ

 

โดย: เก้าอี้มีพนัก IP: 124.120.11.69 6 ตุลาคม 2549 20:18:40 น.  

 


ตอบ เก้าอี้มีพนัก

-- แหะๆ ขอบคุณที่ช่วยแก้ไข้ข้อผิดให้นะ พอดีเบลอๆ

สรุปผู้กำกับ 5 คน ที่ได้ double golden palm

1. ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา จาก The Conversation (1974) และ Apocalyse Now (1979)

2. บิล ออกัสต์ จาก Pelle the Conqueror (1988) และ The Best Intention (1992)

3. เอมีร์ คุสตูริก้า จาก When Father Was Away On Business (1985) และ Underground (1995)

4. โชเฮ อิมามูระ จาก Ballad of Narayama (1983) และ The Eel (1997)

5. ฌ็อง ปิแอร์ และ ลุค ดาร์เดนน์ จาก Rosetta (1999) และ The Child (2005)


-- รู้สึกเหมือนกันว่าหนังเรื่อง The Child จบแบบให้ความหวัง เรายังไม่เคยดู The Promise กับ Rosetta นะ แต่ได้ข่าวว่า Rosetta หดหู่น่าดู (โอย หดหู่แบบสมจริงจากพี่น้องดาร์เดนน์ น่ากลัวมากกก ฮ่าๆๆๆ) แต่ถ้าลองคิดเล่นๆ โดยเอา Rosetta เป็นจุดตัดในชีวิตการทำงานของพี่น้องคู่นี้ งานหลังจากเรื่อง Rosetta อย่าง The Son และ The Child ดูจะจบแบบมีความหวังนะ (เราว่า The Son ก็จบแบบสว่างๆ)

อย่างไรก็ตาม ตอนจบของหนังพี่น้องดาร์เดนน์จะทำให้ผู้คนอึ้งเสมอว่า "อ๊ะ จบแล้วเหรอ" (ฮา)


-- เราดู War of the World แล้วยิ่งเครียดว่ะ รำคาญอีเด็กผี ดาโกต้า แฟนนิ่ง (ซึ่งเล่นหนังเก่งกว่าดาราช่อง 3 บางคนอีก ...อ๊ะ เผลอกัดอีกละ)

 

โดย: merveillesxx (merveillesxx ) 6 ตุลาคม 2549 21:21:30 น.  

 

อะร๊ายยย... น้องมิว เดอะสตาร์เค้าออกจะสวย ล่ำ ถึก บึกบึนนะครับ อย่าไปว่าน้องเค้าสิ แต่ว่าน้องเป้ยนี่ของตาย สวยเว่อเป็นประจำ และแน่นอนนางเอกละครไทยถึงจะต่ำต้อย แต่ขอสวยและตู้มทุกสถานการณ์ 555+

 

โดย: Moonlight Mile 6 ตุลาคม 2549 21:36:18 น.  

 

อยากดูเรื่อง Blue ตั้งแต่อ่านเล่มพิเศาใน Pulp
แต่ฉายรอบเดียว แล้วดันตรงกับวันสอบอีก
เศร้าจังเลย

มิว เราเคยเห็นตัวจริง น่ารักดี แถมตัวไม่ใหญ่ขนาดในทีวี นี่ถ้าเราเข้ากล้องคงเป็นหมูตอนเป็นแน่

เราดู War of the World แล้วเหมือนกัน (พ่อบังคับให้ดู) ที่จริงสงครามมนุษย์ต่างดาวเนี่ย เหมือนสงครามโลกของมนุษย์เลย เพราะนองไปด้วยเลือดคนบริสุทธ์เหมือนกัน และผู้นำประเทศก็ไม่เคยช่วยอะไรได้

เห็นด้วนกับคุณ merveillesxx บางครั้งเสียของ ดาโกต้า แฟนนิ่ง ก็ทำเอาปวดแก้วหูเหมือนกัน

 

โดย: penguin_bear 7 ตุลาคม 2549 0:48:36 น.  

 

555+ ขำเรื่องเป้ย ปานวาด มากๆค่ะ
คือแบบละครเรื่องงนั้นก็ได้ดูค่ะ
พอดีเปิดไปเจอ โอ้แม่เจ้า
คุณเป้ยเธอแรงมาก
นมจะโผล่อยู่แล้ว ฮาจริงๆ
แบบว่ามั่นมากเลย
เค้าไม่อายคนในกองถ่ายมั่งเหรอเนี่ยะ 55+

โอ้ว แฟตเฟสปีนี้ไม่มีโมเดิร์นด็อก
กับอวสานเซลส์แมนเหรอเนี่ยะ
แต่อยากดูอรอรีย์มากๆเลย

ปล. คุณ merveillesxx
ไปดู another sound in the room มั้ยคะ

 

โดย: กี่เพ้า 7 ตุลาคม 2549 1:17:06 น.  

 

ตอบ คุณกี่เพ้า

ผมเห็นหลายทีแล้ว ที่เป้ย-ปานวาด เค้าใส่ชุดประมาณนั้นไปออกงาน เห็นแล้วเครียด บางทีมันก็ทำให้ดูแย่นะนั้น

แฟตเฟสอาจมีเซอร์ไพรส์ได้เรื่อยๆ แหละครับ จำได้ว่าปีที่แล้วใน schedule ก็ไม่มี MD แต่แล้วจู่ๆ ก็โผล่มาเฉยเลย

ปีที่แล้วไม่ค่อยได้ดูไลฟ์เลย ได้ดูแค่วง KIIII จากญี่ปุ่น (วงนี้ชิบหายมากๆ) วง The Observatory จากสิงคโปร์ (ดีมากวงนี้) แล้วก็ดู FUTON ท่ามกลางสายฝนในเต้นท์ตำรวจ แย่มากๆ ไม่เห็นอะไรเลย ได้ยินแต่เสียง

อยากดู อรอรีย์ สุดชีวิตเลย อยากฟังเพลง "แล้วเธอ" หรือ "ระหว่างเรา" สดๆ เชื่อขนมกินได้เลย ถ้าผมได้ฟัง ระหว่างเรา สดๆ ล่ะก็ ผมร้องไห้บ้านแตกแน่ๆ

ไม่ได้ไปดูงาน another sound in the room ครับ (มีแต่คนเข้าใจผิดว่าไปดู) รู้สึกเฉยๆ น่ะครับ Goose ก็ดูบ่อยแล้ว ส่วน DOSM ก็ชอบนะ แต่ช่วงนี้สอบน่ะ แล้วก็ขี้เกียจด้วย

 

โดย: merveillesxx 7 ตุลาคม 2549 2:55:37 น.  

 

--น้อง merveillesxx เขียนถึง BLUE ได้ดีมากๆเลยค่ะ

--ส่วนความเห็นเกี่ยวกับ THE CHILD นั้น ดิฉันเห็นด้วยกับคุณเก้าอี้มีพนักค่ะ นั่นก็คือชอบหนังเรื่องนี้มากๆในระดับ A+ แต่น้อยกว่าหนังเรื่องอื่นๆของสองพี่น้องดาร์เดนน์

-ใน OPEN ONLINE มีบทความเกี่ยวกับ RAYMOND DEPARDON ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังชาวฝรั่งเศสด้วย อ่านได้ที่นี่ค่ะ
//www.onopen.com/2006/02/1029

--อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ RAYMOND DEPARDON ได้ที่
//filmref.com/notes/archives/raymond_depardon/

--เห็นคุณอ้วนแห่ง SCREENOUT บอกว่าคุณแฟรงเกนสไตน์มีตำแหน่งเป็น หัวหน้า ค.ป.ค. หรือ หัวหน้าคณะปฏิรูปคุยหฐาน

ส่วนน้อง merveillesxx ก็บอกว่าตัวเองเป็น เลขาธิการคณะปฏิรูปการชมภาพยนตร์ในระบอบประพันธาธิปไตย

ดิฉันก็เลยขอแต่งตั้งตำแหน่งให้ตัวเองบ้างค่ะ เนื่องจากดิฉันชอบคุยเรื่องไร้สาระ ดิฉันก็เลยขอแต่งตั้งให้ตัวเองเป็นประธาน “คณะปัดติโถโวหารยุทธการขยับเหงือก” ค่ะ (หรือ ค.ว.ย.)




หนังที่อยากดูในตอนนี้


1.GARDENS IN AUTUMN (2006, OTAR IOSSELIANI)

หนังเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับผู้ชายที่เคยดำรงตำแหน่งสูงทางการเมืองถึงขั้นเป็นรัฐมนตรี แต่ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองก็ส่งผลให้ชีวิตของเขาต้องตกต่ำ เขาต้องออกจากคฤหาสน์ที่หรูหรา และต้องใช้ชีวิตแบบร่อนเร่หาที่พักพิงไปเรื่อยๆ แต่เขาก็ค้นพบความสุขในชีวิตได้อีกครั้ง

จุดเด่นของ GARDENS IN AUTUMN รวมถึงการที่ MICHEL PICCOLI (BELLE DE JOUR, BELLE TOUJOURS, I’M GOING HOME) มารับบทเป็นผู้หญิง โดยรับบทเป็น “แม่” ของพระเอก

อ่านบทวิจารณ์ GARDENS IN AUTUMN ได้ที่
//filmref.com/journal/

Iosseliani's familiar aesthetic of medium shots, muted humor, near wordless scenarios, and endearing, representational characterizations proves especially suited to the film's timeless, modern fable of a person's fall from grace, transforming the humiliation of the vanquished into the humble victory of the everyday hero, reinvigorated and impassioned by the quotidian pleasures found in the often overlooked minutiae of quiet self-liberation.


2.หนังสารคดีปากีสถานเรื่อง SHAME อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ได้ในเว็บไซท์ของประชาไท

SHAME มีเนื้อหาเกี่ยวกับผู้หญิงที่ถูกข่มขืนในปากีสถาน เท่าที่ได้ยินได้ฟังมา รู้สึกว่ากฎหมายในปากีสถานชั่วร้ายมาก เพราะกฎหมายระบุว่า ถ้าหากผู้หญิงคนไหนที่ถูกข่มขืนไม่สามารถหาพยานที่เป็นผู้ชายมาได้ 4 คนเพื่อยืนยันว่าการข่มขืนเกิดขึ้นจริง ผู้หญิงคนนั้นจะไม่สามารถเอาผิดอาชญากรได้ และผู้หญิงคนนั้นจะต้องถูกลงโทษทางกฎหมายในข้อหามีเพศสัมพันธ์นอกสมรสด้วย โดยบทลงโทษสำหรับการมีเพศสัมพันธ์นอกสมรสนั้นรุนแรงถึงขั้นประหารชีวิต

ในความเห็นของดิฉัน กฎหมายนี้เป็นกฎหมายที่ชั่วร้ายมาก เพราะอาชญากรที่ไหนกันจะพา “พยาน” 4 คนมาร่วมชมการข่มขืนด้วย

ข้อมูลจาก BBC
//news.bbc.co.uk/1/hi/world/south_asia/5346968.stm

In Pakistan, rape is dealt with under Islamic laws known as the Hudood Ordinances. These criminalise all sex outside marriage.

So, under Hudood, if a rape victim fails to present four male witnesses to the crime, she herself could face punishment.

This has made it almost impossible to prosecute rape cases.

According to the country's independent Human Rights Commission, a woman is raped every two hours and gang-raped every eight hours in Pakistan.

These figures are probably an under-estimation as many rapes are not reported.


--MOST FAVORITE SONG OF THE YEAR

โชคดีมีผัว

ฟังเพลงนี้ได้ที่
//0musiconline.no-ip.info/0musiconline/showall.php?Type=L&page=


--วันพฤหัสบดีที่ผ่านมาเจอฝนตกหนัก ก็เลยหลบฝนด้วยการเข้าไปดูหนังเรื่อง FORBIDDEN SIREN (2006, YUKIHIKO TSUTSUMI, B+) ที่โรงเซ็นจูรี่
//www.imdb.com/title/tt0494815/

 

โดย: M.Scudery Worships Volker Eichelmann & Roland Rust IP: 61.7.156.20 7 ตุลาคม 2549 11:02:00 น.  

 

เห็นด้วยกับทั้งคุณเก้าอี้มีพนัก และคุณแมดเดอลีนครับ
เพราะผมก็ชอบเรื่อง The Child น้อยกว่า Rosetta และ The Son เหมือนกัน เหอๆ (ส่วน La Promesse ยังไม่เคยดูครับ)

ถ้าเรียงลำดับหนังของพี่น้องดาร์เดนที่เคยดู ก็เรียงได้ตามนี้ครับ
1. The Son (ถึงมันจะง่วง และอึดอัดมากแค่ไหน แต่ตอนจบ มันก็ทำให้ผมจุกได้อย่างจังเลยครับ)
2. Rosetta (ชอบการแสดงของนางเอกมาก โดยเฉพาะฉากท้ายๆ เรื่อง ที่เธอพยายามเปิดแก๊สทิ้งไว้ เพื่อฆ่าตัวตาย !)
3. The Child (จริงๆ เรื่องนี้สนุกมากนะครับ ดูได้โดยไม่รู้สึกง่วงหงาวหาวนอนเลยแม้แต่น้อย แต่ที่ชอบน้อยกว่าสองเรื่องข้างต้น ก็คงคล้ายๆ กับคุณเก้าอี้มีพนักอ่ะครับ เพราะรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ ยังพอมีทางออกให้กับปัญหาเหล่านี้อยู่ (พักนี้เป็นโรคจิต ชอบหนังมองโลกในแง่ร้ายครับ แบบหนังเรื่อง Queens ที่น่าจะเข้าทางตัวเองมากๆ แต่ดูจบกลับไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ เพราะมันจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง ฮา!)

ส่วนเรื่อง Blue ยังไม่ได้ดู เลย no comment ครับ

หนังเรื่องอื่นๆ ที่ได้ดูช่วงนี้ก็ 12 เกมสยามและ 13 เกมสยอง เรื่องในบล็อกก่อนหน้าของน้องเมอร์นั่นแหละครับ

ความเห็นส่วนตัว : ชอบ 12 มากกว่า 13 ครับ เพราะรู้สึกว่า 12 มีอะไรให้ลุ้นอยู่ตลอดเวลา บรรยากาศชวนน่าค้นหา แต่ 13 มันออกแนวโป๊งๆ ชึ่ง ไปหน่อย ...ตอนดู รำคาญกับซาวด์และเสียงเอฟเฟกต์ต่างๆ เป็นอย่างมาก คิด(เอาเอง) ว่า ถ้าตัดๆ เสียงพวกนี้ออกไป หนังน่าจะดูดีกว่านี้ (มั้ง)

อีกอย่างที่รู้สึกว่า 13 ควรปรับปรุง คือ คอมพ์และโปรแกรมต่างๆ มันดูไม่ค่อยไฮเทคเลย เหอๆ
เพราะพอเอาไปเปรียบเทียบกับหนังอย่างเดธโน้ต ที่พี่แอลสุดหล่อใช้ทั้ง Powerbook G4, Powermac G3 หรือ Devil wears prada ที่คนทั้งกอง runway ใช้ iMac แล้ว 13 เลยดูด้อยกว่าเห็นๆ พวกฉากท้ายๆ เรื่อง ตอนที่อยู่ในเมทริกซ์ มันก็เลยดูแหม่งๆ ไม่สมจริงยังไงบอกไม่ถูก (แต่ว่าไป ที่พูดมาทั้งหมดนี้ มันเป็นประเด็นที่ไร้สาระอย่างแรง แหะๆ)

อย่างไรก็ดี ก็ยังคงชอบ 13 อยู่ครับ เพราะประเด็นหลายๆ อย่างที่ต้องการจะสื่อ ถือได้ว่าโดนใจเป็นอย่างมาก (ชอบฉากตีแมลงวัน แล้วแมลงวันไปติดอยู่ตรงหน้าของคนที่คุณก็รู้ว่าเป็นใคร ) ความชอบอยู่ในระดับ A เพียงแต่ชอบน้อยกว่า 12 ก็เท่านั้นเอง (ชอบ 12 ในระดับ A++++)

ป.ล. จริงๆ จะให้ 13 แค่ A- แต่เพราะคะแนนพิสวาสน้องกี้ เลยเพิ่มคะแนนให้อีกหนึ่งประจุ ก๊ากๆๆๆๆๆ

 

โดย: it ซียู IP: 161.200.174.138 7 ตุลาคม 2549 12:01:46 น.  

 

เพิ่งอ่านเจอกระทู้นี้ เลยแวะเอามาฝากจ๊ะ
"คุณจะแนะนำน้ำฝน พัชรินทร์ นางเอกเจ้าบ้านไร่อย่างไร ให้มีพัฒนาการการแสดงดีขึ้น"
//www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A4763364/A4763364.html


อ่านไป ก็ขำไป เหอๆ

 

โดย: it ซียู IP: 161.200.174.138 7 ตุลาคม 2549 15:27:19 น.  

 

เฮ้ย เท่าที่ฟังมา SSS มันเล่นวันเสาร์ไม่ใช่หรอ (เวทีนรก ต่อด้วยอะไรจ๊ะ แล้วก็ อพาร์ตเมนต์คุณป้าต่อเลย)

ตอนนี้อยากดู เจ๊อร SSS Goose (แต่รู้สึกว่าจะเล่นอาทิตย์ ซึ่งกำลังคิดว่าจะไม่ไป) แล้วก็อะไรอีกหนอ นึกไม่ค่อยออก

เออนี้ ฝากอัลบั้มพี่หน่อยนะครับ ไปงานแฟตอย่าลืมซื้อล่ะ ใกล้ๆ เดี๋ยวมาโพสต์ให้ดูอีกที

ป.ล.เบื่อโฆษณา Smart Purse นี้คือตัวอย่างของ Pseudo need โดยแท้

ป.ล. 2 ยังไม่ได้ซื้อบัตรแฟตเฟสฯ เลย จนโคตร

 

โดย: I will see U in the next life. 8 ตุลาคม 2549 20:25:41 น.  

 


-- วันนี้สอบตัวที่ 2 ไปแล้ว วิชา Health Economics ก็ทำได้ค่อนข้างโอเคนะ น่าจะ A ไม่ก็ B+

-- วันนี้เปิด นสพ.ไทยรัฐ หน้าโปรแกรมหนังก็เห็นหนัง 2 เรื่องที่ตัวเองอยากดู




1. Art of Seduction

หนังเกาหลีนำแสดงโดย ซอนเยจิน นางเอกที่ร้องไห้จนหน้าแก่ เอ๊ย! นางเอกที่ร้องไห้สวยที่สุด (เรื่องนี้ดูเธอจะเล่นบทน่ารักๆ)

//www.hancinema.net/korean_movie_The_Art_of_Seduction.php





2. Star Reformers (กรี๊ด!)

หนังญี่ปุ่นนำแสดงโดย Kou Shibasaki เจ้าสาวในอนาคตของ จขบ. นั่นเอง (แต่กำลังเซ็งเพราะตอนนี้เธอตัดผมแล้ว) หนังจะเข้าเฉพาะที่ Century อนุสาวรีย์ชัย ...เฮ้อ สงสัยจะอดดูแหงๆ

เวบของหนัง
//kaikaku-movie.jp/

เวบแฟนไซต์ของ Kou Shibasaki
//kou-shibasaki.nihon-zone.com

ดูโปรแกรมใน PANTIP เห็นว่ามีหนังเรื่อง The Sinking of Japan จะเข้าด้วย ซึ่งนำแสดงโดย Kou Shibasaki เช่นกัน

The Sinking of Japan
//www.nc06.jp/


-- ได้ดูตัวอย่างหนังเรื่อง The Departed แล้ว รู้สึกว่าหนังไม่น่าดูเลย แต่ชอบที่ใช้เพลง Comfortably Numb ของ Pink Floyd


-- ไม่รู้จริงรึป่าว แต่ได้ยินมาว่าชื่อไทยของหนังเรื่อง เดอะ เสปิร์ม คือ "อสุจ๊าก" (ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ)


----------------------------

ตอบ พี่แมดเดอลีน

เคยได้ยินเรื่องพยาน 4 คนกับการข่มขืนในปากีสถานมาบ้างเหมือนกัน รู้สึกแย่มากๆ กับเรื่องนี้

ยังไม่ได้ฟังเพลง "โชคดีมีผัว" แต่น้อง penkor บรรยายสรรพคุณเพลงนี้ให้ฟังบ้างแล้ว ท่าทางจะฮามาก


ตอบ it ซียู

ฮากระทู้ หุ่นยนต์มาร ที่แปะมามากๆ (ตอนนี้ผมกำลังสร้างกระแสให้เพื่อนๆ ที่มหาลัยหันมาดูละครเรื่องนี้กันครับ)


ตอบ พี่ดอง

ถ้าตารางเล่นในงานแฟตมันออกแล้ว พี่ช่วยบอกต่อด้วยนะ ไม่ค่อยอยากเข้าไปในเวบแฟต แต่วันนี้ได้ยินว่า SSS เล่นวันเสาร์จริงด้วยๆ T__T (ควบ SSS + อะไรจ๊ะ + อพาร์ตเมนท์คุณป้า 45 นาที) แต่เราชอบเฉพาะ SSS อ่ะ อีก 2 อันเราเฉยๆ

ตอนนี้ก็รอลุ้นให้ อรอรีย์เล่นวันอาทิตย์

เบื่อโฆษณา Smart Purse เหมือนกัน เบื่อมาตั้งแต่ฝึกงานที่ CP 7-11 แล้วอ่ะ หลอนจริงๆ

ซื้ออัลบั้มพี่ดองแน่นอน ยังไงก็อย่าลืมซื้อ GM เดอนตุลาคมนะ (อ้าว ซะงั้น)

 

โดย: merveillesxx 9 ตุลาคม 2549 0:54:53 น.  

 

เคยเช่า Art of Seduction จากเฟม
มันม่ายยยหนุกเลยง่ะ

มุกกะล่อนของนางเอก พระเอกที่พยายามแถให้ดูเป็นคาซาโนวา คาซาโนวี่ ก็ไม่ทำให้เชื่อได้เลย

สถานการณ์ที่จัดขึ้นเพื่อเข้าพระเข้านางก็ดูซ้ำๆอย่างที่เคยเห็นในละครช่องเจ็ด

ถ้าไปดูก็จะได้แต่ความน่ารักของนางเอก
ซึ่งพยายามยังไงก็ไม่เซ็กซี่
และเธอทำได้ดีกว่าหลายช่วงตัวใน April Snow เสียงร้องไห้ด้วยความอัดอั้นสุดขีดที่ขอบเลนถนนยังค้างอยู่ในความทรงจำอยู่เลย

อาจเป็นเพราะเธอเศร้าแล้วสวยกว่าตลกต๊องมั๊ง???

 

โดย: EVIL=LIVE IP: 206.73.209.94 9 ตุลาคม 2549 17:17:04 น.  

 

เรื่อง Art of Seduction ชั้นมีดีวีดีแล้วนะ เดี๋ยวเอาไปให้ดูก็ได้ แต่ฉันว่ามันไม่สนุกว่ะ เพราะชั้นหลับ

 

โดย: ฮาเลชั่น IP: 202.5.87.136 9 ตุลาคม 2549 17:40:23 น.  

 

มาชวนไปฟังเพลงของอูทาดะสุดที่รักครับผม ฮือ... เมื่อไหร่จะออกอีกน้า...

 

โดย: Moonlight Mile 9 ตุลาคม 2549 20:28:15 น.  

 

ดู 13 แล้ว เห็นด้วยกับคุณข้างบนว่า 12 ดีกว่า เพราะเรื่องกระชับ แล้วก็หักมุมดีกว่า ส่วน 13 ใส่มุขขำมากไปหน่อย แต่ตอนเดินออกจากโรงนี่หลอนมาก

ไปดู another sound in the room มา slur เล่นดีมากกกกกกกกกกก (goose กับ doas ก็ดีอยู่แล้ว) ขอเป็นหน้าม้าหน่อย เพราะชอบมาก (แต่เห็นคนเฉยๆ หรือไม่ชอบอัลบั้มของ slur เยอะเหมือนกันแฮะ)

 

โดย: strawberry machine gun 9 ตุลาคม 2549 20:56:05 น.  

 


-- วันนี้สอบวิชา Thai Economy อิชั้นเขียนตอบไป 15 หน้าค่ะ เหนื่อยมาก และเจ็บมากค่ะ เขียนจนจิ๋ม เอ๊ย...มือแทบจะแหกเลยค่ะ

มีข้อสอบนึงถามประมาณว่า "จงอธิบายความหมายของ เส้นความยากจน บลา บลา บลา" อะไรประมาณนี้แหละค่ะ ตอนนั้นดิชั้นก็เริ่มรำคาญ ขี้เกียจเขียนอีกต่อไปแล้ว ก็เลยเกิดความคิดแว่บเข้ามาในสมอง จะเขียนตอบลงไปว่า...

"กูไม่รู้จักความยากจนโว้ย เส้นความยากจนกูก็ไม่รู้จัก กูรู้จักแต่เพียงความร่ำรวย และเส้นความร่ำรวยเท่านั้น นั่นก็คือ ความร่ำรวยนั้นจะแปรผันตรงกับความง่ายในการหาเมีย มึงเข้าใจมั้ย..."

(แต่ดิชั้นก็ไม่ได้เขียนตอบไปแบบนี้จริงๆ หรอกนะคะ)

หวังว่าการเขียนไปด้วยจิตวิญญาณ และอีเธอร์ทั้งชีวิตของดิชั้นจะทำให้ได้เกรด B+ หรือ A ตอบแทนคืนมาบ้าง


-- เมื่อคืนดูละครเรื่อง "รอยอดีตแห่งรัก" ชอบฉากที่ 3 นางแบบนรกแตกเข้าไปอาละวาดในร้านอาหารของนางเอกมากๆ ขอยกให้นี่เป็นฉากแห่งปี (คิดได้ไงเอาขวดน้ำปลามาสาดใส่กัน แถมตอนหลังถูกจับด้วยตาข่าย)

 

โดย: merveillesxx 10 ตุลาคม 2549 20:36:57 น.  

 


-- วันนี้สอบวิชา Thai Economy อิชั้นเขียนตอบไป 15 หน้าค่ะ เหนื่อยมาก และเจ็บมากค่ะ เขียนจนจิ๋ม เอ๊ย...มือแทบจะแหกเลยค่ะ

มีข้อสอบนึงถามประมาณว่า "จงอธิบายความหมายของ เส้นความยากจน บลา บลา บลา" อะไรประมาณนี้แหละค่ะ ตอนนั้นดิชั้นก็เริ่มรำคาญ ขี้เกียจเขียนอีกต่อไปแล้ว ก็เลยเกิดความคิดแว่บเข้ามาในสมอง จะเขียนตอบลงไปว่า...

"กรูไม่รู้จักความยากจนโว้ย เส้นความยากจนกรูก็ไม่รู้จัก กรูรู้จักแต่เพียงความร่ำรวย และเส้นความร่ำรวยเท่านั้น นั่นก็คือ ความร่ำรวยนั้นจะแปรผันตรงกับความง่ายในการหาเมีย มิงเข้าใจมั้ย..."

(แต่ดิชั้นก็ไม่ได้เขียนตอบไปแบบนี้จริงๆ หรอกนะคะ)

หวังว่าการเขียนไปด้วยจิตวิญญาณ และอีเธอร์ทั้งชีวิตของดิชั้นจะทำให้ได้เกรด B+ หรือ A ตอบแทนคืนมาบ้าง


-- เมื่อคืนดูละครเรื่อง "รอยอดีตแห่งรัก" ชอบฉากที่ 3 นางแบบนรกแตกเข้าไปอาละวาดในร้านอาหารของนางเอกมากๆ ขอยกให้นี่เป็นฉากแห่งปี (คิดได้ไงเอาขวดน้ำปลามาสาดใส่กัน แถมตอนหลังถูกจับด้วยตาข่าย)

 

โดย: merveillesxx 10 ตุลาคม 2549 20:38:18 น.  

 

ชั้นไปสอบมาแล้วนะยะ 6 ข้อ 3 ชม. ไม่มีอะไรที่ชั้นทำไม่ได้เลย !! ให้ตายเถอะ แต่...เส้นนี้สำคัญกว่าความสามารถว่ะ

 

โดย: ฮาเลชั่น IP: 202.5.87.151 11 ตุลาคม 2549 9:50:09 น.  

 

รอยอดีตแห่งรักนี้มีนางเอกสองคนรึเปล่าคะ

 

โดย: Yuii_sweet IP: 58.8.156.24 11 ตุลาคม 2549 11:15:48 น.  

 

15 หน้า

บทความทางวิชาการสดหรือครับ

 

โดย: I will see U in the next life. 11 ตุลาคม 2549 18:39:04 น.  

 

จิงดิ "ภาพยนตร์คือความลวง24เฟรมต่อวิ" แล้วที่โกดาร์ค พูดว่า "ภาพยนตร์คือความจริง24เฟรมต่อวิ" จะเชื่อใครดีละเนี่ย

ช่วงนี้ไม่ได้ดูหนังเลยอ่า ดู deathnote ไปเรื่องเดียวเอง แต่ชอบๆๆ สะใจ

 

โดย: โทยะ อากิระ IP: 124.121.37.38 12 ตุลาคม 2549 22:14:27 น.  

 


//www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A4771416/A4771416.html

ความคิดเห็นที่ 2

รอรีวิวเรื่องblueมานานแล้ว ขอบคุณนะคะ

จากคุณ : Typhoon No.29 - [ 6 ต.ค. 49 20:43:45 ]


ความคิดเห็นที่ 4

เราดู Blue แล้วคิดถึงหนังสองเรื่อง Bule Gate Crossing กะ LES 400 COUPS ของ TRUFFAUT (ไม่มีอะไรนะ แค่คิดถึงเฉยๆ เราไม่ใช่คนดูหนังเยอะแยะมากมาย ดูเมื่อมีโอกาส)

สำหรับเราดูจบแล้วรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้เป็นการสำรวจอารมณ์ของตัวละคร ว่ารู้สึกblue เราว่ามันเป็นอาการdepression หนังสื่อให้เห็นผลกระทบของสังคมที่มีต่อชีวิตตัวละคร ครอบครัวของทั้งสอง หรือเรื่องของชายที่มีเมียแล้วมาติดพัน Endo

คิริชิม่าโชคดีที่สามารถผ่านช่วงเวลากดดัน และอารมณ์blueๆไปได้ แต่ Endo...

เราว่าเพราะตัวละคร Endo มีพื้นฐานที่ได้รับการกดดันจากสิ่งรอบตัว โดยเฉพาะครอบครัวมากๆ (รวมถึงเหตุที่เธอก่อ คือ ท้องจนต้องไปทำแท้ง = กลายเป็นอีกหนึ่งแผลในใจ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลอาจจะเป็นผลจากการเลี้ยงดูที่เคร่งครัดเกินไปตั้งแต่เด็ก)

คิริชิม่าเลือก รดน้ำต้นไม้ วาดรูป ช่วยปลดปล่อยความกดดัน

ส่วน Endo ใช้เวลาช่วงปิดเทอมเพื่อที่จะไปหาชายมีเมียแล้วที่เธอหลงรัก

เราไม่รู้ว่าที่สุดชะตาของตัวละครทั้งสองจะเป็นอย่างไร อิ อิ เพราะหนังไม่ได้ฟันธง แต่ภาพสะท้อนในจอ ให้อะไรๆกะคนดูแน่ๆ ก็เลือกเอานะว่าจะมีชีวิตอย่างไร

ภาพความนิ่งเรียบ ดูน่าเบื่อหน่าย ความเวิ้งว้าง เหงาๆ ช่วยขับเน้นอารมณ์ความรู้สึกของตัวละคร (และอาจจะอารมณ์ร่วมคนดูด้วย)

:) อิ อิ ขอแสดงความเห็นอย่างนี้นะ เรื่อง The Child ไม่ได้ดู แม้อยากดูมากๆ แต่รอบที่เหลือเย็นไปสำหรับเรา เลยอดเลย

จากคุณ : trml - [ 6 ต.ค. 49 22:24:16 ]






ความคิดเห็นที่ 5

อ้อ อีกเรื่อง คือ เรื่องความรักของทั้งสอง การที่คิริชิม่าหลงรัก Endo (รักเพศเดียวกัน) ก็อาจเป็นผลจากการเลี้ยงดู เพราะคอรอบครัวของคิริชิม่า พ่อแม่แยกทางกัน เธอเป็นพี่คนโต และมีน้องชาย

น่าจะเป็นโชคของเธอ ที่ยังได้รับความอบอุ่นจาก ย่า/ยายก็ไม่รู้ จำไม่ได้ ยามปิดเทอมเธอและน้องถูกส่งตัวไปอยู่ชนบท

ส่วนตัวเราว่า ความอบอุ่น สวยงามในชนบท น่าจะส่งผลต่อชีวิต ความคิดของเธอในขณะที่กำลังเติบโตขึ้นไม่มากก็น้อย

จากคุณ : trml - [ 6 ต.ค. 49 22:35:55 ]






ความคิดเห็นที่ 6

ขอบคุณ คุณ Typhoon No.29 และ คุณ trml มากเลยครับ สำหรับความเห็น

ผมเองก็ไม่ใช่คนได้ดูหนังมากมายอะไรครับ ง่ายๆ เลย เรื่อง The 400 Blows ของทรุฟโฟต์นี่ผมยังไม่ได้ดูครับ (เคยดูแต่ What Time is it There? ของพี่ไหมิงเลี่ยง ที่อินสไปร์มาจากเรื่องนี้อีกที แหะๆ) ส่วน Blue Gate Crossing ชอบครับ ชอบฉากที่ผลักกันไปผลักกันมาในห้องประชุม (ที่เก้าอี้เยอะๆ อ่ะ)

โลกของหนังนี่มันเหมือนมหาสมุทรครับ กว้างใหญ่ไพศาลเหลือเกิน

เท่าที่นึกออกตอนนี้ มีหนัง 3 เรื่องที่ชื่อว่า Blue และที่น่าสนใจคือ สีฟ้า ในแต่ละเรื่องมักมีความหมายพิเศษเสมอ ได้แก่

1. หนังญี่ปุ่นเรื่อง Blue ที่พูดถึงข้างบน

2. Blue (1993) ของคริสตอฟ เคียสลอฟสกี้
สีฟ้าในเรื่องนี้น่าจะหมายถึงความเศร้า (นางเอก -จูลี่ บิโนช- เสียสามีและลูกไปในอุบติเหตุรถยนต์) แต่สุดท้ายแล้วสีฟ้าในที่นี้หมายถึง "อิสรภาพ" ตามความหมายในธงชาติฝรั่งเศส นั่นก็คือ สุดท้ายนางเอกก็เป็นอิสระจากความเศร้า

3. Blue (1993) ของ ดีเร็ค จาร์แมน
หนังเรื่องนี้ก็เหมือนฉากสุดท้ายของ Blue ญี่ปุ่น คือเต็มไปด้วยสีฟ้า เพราะจริงๆ หนังเรื่องนี้มันไม่มีภาพอะไรเลย นอกจากสีฟ้า (อ้าว!) นอกจากนั้นก็คือ เสียงพูดของผกก.ดีเร็ค จาร์แมน โดย Blue เป็นหนังเรื่องสุดท้ายของเขา ก่อนที่จะเสียชีวิตด้วยโรคเอดส์ (เขาเป็นเกย์)

ผมเคยได้ยินมาว่า ตอนที่จาร์แมนทำหนังเรื่อง Blue เขาตาบอดเสียแล้ว ดังนั้นผมก็เลยคิดว่าสีฟ้าในหนังเรื่องนี้ก็เหมือนโลกของคนตาบอด แต่ทว่าสำหรับจาร์แมนแล้ว ณ ตอนนั้นโลกของเขามีเพียงสีฟ้า (ความเศร้า) หรือ? ก็สุดจะแล้วแต่คิดกันไป

ผมชอบคำว่า blue ครับ เพราะว่าความเศร้าแบบ blue มันดูมีเสน่ห์ดี มันดูไม่ฟูมฟาย แต่ดูมีมิติ เหมือนที่ Hikaru Utada ร้องในเพลงว่า "Darling, Darling, Questions only male me blue..."

สำหรับเรื่อง The Child ตอนแรกผมนึกว่าจะอดดูแล้วเหมือนกัน แต่พอดีเมื่อวานไปติดฝนอยู่สยาม เหลือรอบ 20.30 ก็เลยดูได้ ตอนแรกทั้งโรงมีดูกัน 3 คน แต่ตอนหลังๆ ก็ทยอยๆ มาเป็น 6-7-8 คนได้

กำลังพยายามดันให้ The Child ติดท็อปเท็นของตัวเองครับ


จากคุณ : merveillesxx - [ 6 ต.ค. 49 22:44:40 ]






ความคิดเห็นที่ 7

ส่วนตัวคิดว่าไม่ใช่หนังที่ดีมากอะไรขนาดนั้น การผลิตก็ไม่ได้เนี้ยบ (แอบจับผิดได้หลายจุดอยู่) แต่ไม่ใช่หนังห่วยแน่นอน

ชอบหนังสไตล์นี้มากๆ ทั้งความความเงียบและวิธีเล่าเรื่อง ดูแล้วไม่ได้เบื่อหรืออึดอัดซักนิด แต่กลับรู้สึกเพลินและดื่มด่ำไปกับหนัง ก็เลยไปดูมาซะ 2 รอบ ทั้งๆที่เป็นคนไม่ชอบดูหนัง
แต่เพราะความเงียบของหนัง ทำให้เราได้ยินเสียงเคี้ยวขนม เสียงพากย์ที่มีทุกระยะ และเสียงกรนในโรง ฮึ่ย!


ประเด็นที่ติดใจก็คือเรื่องความสัมพันธ์ของคิริชิม่ากับเอ็นโด้

สำหรับคิริชิม่า ความรู้สึกที่มีต่อเอ็นโด้มันคือสิ่งที่ก้าวข้ามมาจากความชื่นชมหลงใหลใฝ่ฝัน จึงไม่แปลกที่ทำให้เธอหลงรักคนเพศเดียวกันได้ในที่สุด
(ในการ์ตูนยูริมักจะมีตัวละครประเภทนี้อยู่ และหนังเรื่องนี้ก็สร้างมาจากการ์ตูนซะด้วยสิ)
ส่วนเอ็นโด้ คิริชิม่าผู้ก้าวเข้ามาหาเธอก่อนนั้น ทำให้เธอที่รู้สึกว่าตัวเองที่ไม่เอาไหนได้รับการยอมรับจากใครซักคน
และมันทำให้การมีตัวตนอยู่ของคิริชิม่าคือสิ่งพิเศษสำหรับเธอ แต่ก็ไม่ใช่ที่หนึ่งอยู่ดี

แล้วมันคือความรักจริงๆรึเปล่า?

จะเห็นได้ว่าทั้งคู่แทบไม่มีสกินชิปเลย ที่มีคือแค่จูบอย่างเดียว ซึ่งคิดว่ามันค่อนข้างแปลก (ไม่รู้ว่าหนังจงใจไม่มีฉากแบบนี้รึเปล่า)
และอีกอย่างหนึ่งคือจนกระทั่งจบเรื่อง ต่างคนต่างก็ไม่ได้เรียกชื่อจริงของอีกฝ่ายเลย
เนื้อเรื่องเกิดขึ้นในหน้าร้อน จนถึงที่คิริชิม่าไปโตเกียว แปลว่าอย่างน้อยก็ต้องเข้าช่วงฤดูใบไม้ผลิแล้ว
ระยะเวลาประมาณ 8-9 เดือนน่าจะนานพอทำให้ทั้งคู่สนิทกันมากขึ้นจนเรียกชื่อต้นกันได้ แต่กลับไม่ได้เป็นอย่างนั้น ก็เลยรู้สึกว่ามันแปลกๆอยู่

จากคุณ : NTT DoCoMo - [ 13 ต.ค. 49 12:43:22 ]


 

โดย: merveillesxx IP: 161.200.130.230 15 ตุลาคม 2549 2:55:15 น.  

 

Blue นอกจากสีฟ้า ก็น่าจะหมายถึง ความเศร้าโศก

ขอร่วมแสดงความคิดเห็นด้วยค่ะ

คิริชิมา สนใจ เอนโด เพราะไม่เหมือนใคร ดูเธอมีอิสระ ปลดปล่อยความเศร้าโศกในใจเธอได้
เธอสามารถหลงรักอะไรก็ได้ ที่สามารถปลดปล่อยความทุกข์ใจในตัวเธอ และทำให้เธอมีอิสระ

เอนโด สนใจ คิริชิมา เพราะคิริชิมา เห็นความสำคัญในตัวเธอ อย่างที่ไม่มีใครมี
เธอจึงสามารถที่จะหลงรักอะไรใครก็ได้ ที่มองเห็นความสำคัญของเธอ นั่นอาจจะเป็นเพราะเธอขาดความมั่นใจในตัวเอง

สองคนมาพบกันด้วยความจงใจ เพราะสามารถเติมเต็มความรู้สึกของกันและกันได้

เรื่องนี้ตอนที่ดู รู้สึกอึดอัด ไม่ใช่เพราะวิธีการดำเนินเรื่อง แต่เป็นเพราะความรู้สึกร่วมกับตัวละคร
ในท้ายสุด
คิริชิมา ได้พบอิสระอย่างที่เธอใฝ่ฝันมานาน ในขณะที่
เอนโด ยังคงยึดแนวทางแบบเดิมอยู่
ใครจะรู้ว่า คิริชิมา จะยังคงมีเอนโด อยู่เสมอไปหรือไม่
แต่สำหรับ เอนโด เป็นไปได้ว่า เธอจะมี คิริชิมา ในใจเสมอ


ชอบเรื่องแนวนี้ เพราะดูแล้วทำให้อยากจะแสดงความคิดเห็น และอยากจะรับรู้ความคิดเห็นของคนอื่นด้วย

 

โดย: MDA IP: 203.159.12.16 16 ตุลาคม 2549 15:44:26 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


merveillesxx
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 58 คน [?]




สำส่อนทางการดูหนัง ฟังเพลงและเสพวรรณกรรม
New Comments
Friends' blogs
[Add merveillesxx's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.