Blue + The Child : ชื่อหนังบอกอะไร?
โดย merveillesxx
(คำเตือน: บทความนี้มีการเปิดเผยตอนจบของหนังเรื่อง Blue ส่วนหนังเรื่อง The Child อ่านได้หายห่วงจ้า)
Blue (2001, Hiroshi Ando)
ทันทีที่หนัง Blue จบลง หญิงสาวที่นั่งข้างหลังผมก็พูดกับเพื่อนของเธอทันทีว่า เอ้อ จบได้ซะที
ประโยคแบบนี้เป็นอะไรที่ผมเกลียดที่สุดในชีวิตเลยครับ เพราะผมคิดว่าไม่ว่าเราจะชิงชังหนังเรื่องหนึ่งขนาดไหน ก็ไม่เห็นจะต้องแสดงความรู้สึกออกมาทันทีทันใดแบบนั้นเลย น่าจะลองคิดถึงใจคนอื่นๆ ในโรงที่กำลังนั่งดูเอนด์เครดิต (ยังมีอยู่หรือเปล่า?) พร้อมกับรู้สึกชื่นชมหนังในใจดูสิครับ เจอแบบนี้เข้าไปก็ไม่ต่างอะไรกับเวลาที่คุณจู๋จี๋อยู่กับแฟน แต่มีคนมากดออดหน้าบ้านหรอก
อย่างไรก็ตาม ก็เป็นสิทธิของเธอครับที่จะพูดแบบนั้นออกมา (แต่ถ้าเธอเป็นผู้หญิงที่ผมไปออกเดทด้วย เราคงจะเลิกกันภายใน 4 ชั่วโมงต่อมา) และหนังเรื่อง Blue เองก็มีองค์ประกอบหลายอย่างเหลือเกินที่เป็นอุปสรรคต่อผู้ชมในการติดตามหนังโดยไม่รู้สึกเบื่อ หรือพูดในอีกแง่หนึ่งมันมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้คนเกลียด
Blue ดำเนินเรื่องอย่างเชื่องช้า นิ่งเรียบ หลายฉากเป็นเพียงแต่แช่กล้องนิ่งๆ และอีกหลายฉากก็ยังใช้การถ่ายแบบ long take ด้วย ยิ่งไปกว่านั้นหนังก็แทบไม่มีดนตรีประกอบ หนังมีเพียงเสียงบรรยากาศ (ambient) อย่างเสียงนักเรียนเลื่อนโต๊ะเก้าอี้เวลาหมดคาบ เสียงรถราตามท้องถนน แต่เสียงส่วนใหญ่จะเป็น เสียงของห้อง (หรือที่เรียกว่า Room Tone) ครั้นจะมีเสียงเพลงขึ้นมา ก็เป็นเสียงขลุ่ยประหลาดๆ ที่ไม่ใช่ทำนองเสนาะหูนัก (และถ้าลองฟังดีๆ จะมีเสียงดัง ตึง ตึง ตึง เหมือนเสียงกลองแทรกอยู่ด้วย)
เพื่อนผมหลายคนเคยถามคำถามประมาณว่า ทำไมหนังเรื่องนี้เรื่องนั้นถึงต้องถ่ายให้นิ๊งงงงนิ่งจนคนดูหลับเสียขนาดนั้น สำหรับผมแล้วคำตอบเบื้องต้นก็คือ มันเป็น สไตล์ ที่หนังเรื่องนั้นๆ เลือกที่จะถ่ายทอดตัวเอง สไตล์นั้นมีหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะหนังแบบเล่าเรื่องอย่างตื่นเต้น เร้าใจ (มักพบในหนังฮอลลีวู้ด) หรือจะแบบนิ่งเงียบ ชวนหลับก็ตาม (มักพบในหนังยุโรป) ซึ่งผมคิดว่าสไตล์ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดชัดเจนว่าหนังเรื่องใดดีหรือเลว แต่สิ่งสำคัญก็คือ สไตล์นั้นสอดรับกับ สาร ที่หนังต้องการสื่อหรือเปล่า
หนังอย่าง Blue นั้นไม่ใช่หนังที่ตั้งใจการเร้าอารมณ์คนดูให้รู้สึกเศร้าในฉากนั้นฉากนี้ แต่เป็นการให้ผู้ชมสังเกตตัวละครอย่างช้าๆ ผ่านพฤติกรรม การกระทำ หรือกระทั่งกิจวัตรประจำวัน (ซึ่งก็เอื้อกับการแสดงอันยอดเยี่ยมของนักแสดงนำทั้งสองคน) ดังนั้นเราจึงได้เห็นหลายฉากที่อาจดูไม่มีความหมายชัดเจน อย่างตอนที่ คิริชิม่า (รับบทโดย มิคาโกะ อิจิคาวะ ผู้ได้รางวัลนำแสดงหญิงจากเทศกาลมอสโคว) นอนนิ่งๆ ในบ้าน, เอาสายยางมาฉีดน้ำราดตัวเอง หรือกระทั่งฉากที่เธอรู้ความจริงจากเพื่อนของเอ็นโด้ ตอนท้ายของฉากนี้ก็เป็นภาพลองเทคที่เธอเดินไกลออกไปเรื่อยๆ ซึ่งฉากเหล่านี้ล้วนแต่ทำให้เราสงสัยว่า เธอกำลังคิดอะไรอยู่นะ
ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า Blue เป็นหนังตระกูล Minimalist ที่ใช้วิธีแบบทำน้อยได้มาก โดยตัดเทคนิคการปรุงแต่งหลายอย่างออกไป สิ่งที่น่าสังเกตก็คือ หนังยังได้ ตัด ตัวละครผู้ใหญ่ออกไปจากชีวิตของเด็กๆ ด้วย ไม่ว่าจะพ่อแม่ หรืออาจารย์ก็แทบจะไม่ปรากฏตัวอออกมาเลย (ถ้าเป็นหนังเรื่องอื่นเราจะต้องเห็นตัวละครพวกนี้มารุมทำให้ชีวิตของนางเอกยิ่งน่าเศร้าไปกว่าเดิมแน่ๆ) หรือถ้ามีตัวละครเหล่านี้ออกมันก็จะส่งผลอย่างรุนแรงต่อเนื้อเรื่อง หนึ่งก็คือครูประวัติศาสตร์ที่ดุคิริชิม่าจนร้องไห้ และทำให้เธอรู้จักกับเอ็นโด้ (มานามิ โคนิชิ) สองก็คือครูศิลปะที่ช่วยสอนคิริชิม่าวาดรูป
สิ่งที่น่าคิดอีกอย่างก็คือ คำว่า Blue ในหนังเรื่องนี้หมายถึงอะไร มันอาจจะหมายถึง ท้องฟ้าที่คิริชิม่าเงยหน้ามองตอนเธอมีทุกข์ อาจจะหมายถึงทะเลที่เอ็นโด้ชอบไปนั่งเล่นหลังเลือกเรียน หรือมันอาจจะหมายถึง ความเศร้า เพราะน่าคิดเหลือเกินว่าความเศร้านั้นเกิดขึ้นเพราะคิชิม่ากับเอ็นโด้รักกัน หรือความจริงแล้วทั้งคู่เข้าหากันเพราะความเศร้าแต่แรกแล้ว
(จากนี้ไปจะมีการเปิดเผยตอนจบของหนัง)
อย่างไรก็ตามดูเหมือนคำว่า Blue จะถูกเน้นย้ำมากที่ในตอนจบของเรื่องในวิดีโอที่เอ็นโด้ส่งให้คิริชิม่า (ที่อาจทำให้หนังดู จงใจ ไปหน่อย) ภาพในเทปนี้คือ ทะเลที่เอ็นโด้เคยพาคิริชิม่าไป ภาพในตอนแรกก็ยังเป็นหาดทรายที่เอ็นโด้เหยียบย่ำไปเรื่อย แต่อยู่ดีๆ เอ็นโด้ก็กดซูมภาพทะเลตรงหน้า จนจอภาพเต็มไปด้วยสีฟ้า (อันชวนให้คิดถึงหนังเรื่อง Blue ของดีเร็ค จาร์แมน)
มีคำถามมากมายเกิดขึ้นว่า เอ็นโด้ทำแบบนี้เพื่ออะไร ...บางทีเธออาจจะไปที่นั่นเพื่อแค่ต้องการถ่ายวิดีโอส่งให้คิริชิม่า หรือบางทีเธออาจจะไปฆ่าตัวตายก็ได้ ในจุดนี้หนังไม่มีคำตอบให้เราชัดเจน แต่สำหรับผมแล้ววิดีโอนี้น่าจะบอกกับเราสองอย่าง
อย่างแรกก็คือ ข้อความในจดหมายที่เอ็นโด้เขียนว่า ฉันทำได้เพียงเท่านี้ มันเป็นส่วนขยายต่อจากที่เธอเคยพูดอยู่เสมอว่า ฉันมันทำอะไรไม่ได้ดีสักอย่าง แต่อย่างน้อยที่สุดนี่ก็น่าจะเป็นสิ่งที่เธอได้ตั้งใจทำแล้ว
อย่างที่สองก็คือ เอ็นโด้พูดอยู่บ่อยๆ ว่า ฉันอยากไปไกลๆ จากที่นี่ และทั้งสองคนก็ชอบพูดกับอีกฝ่ายว่า เธอนั่นแหละจะเป็นคนจากไป ฉันต่างหากที่ต้องอยู่ที่นี่ และสุดท้ายคนที่ไปก็คือ คิริชิม่า (เธอไปเรียนต่อมหาลัยที่โตเกียว) แต่หากเอ็นโด้ยังคงยืนยันที่จะ ไปไกลๆ จากที่ที่เธอเคยอยู่ บางทีภาพในวิดีโอนั่นเองที่เป็นจุดหมายของเธอ
เธอคงอยากจะไปที่สุดขอบฟ้า ขอบทะเล และบางทีเธอคงจะไปที่ที่ไกลแสนไกลของเธอแล้ว
The Child (LEnfant) (2005, Jean-Pierre and Luc Dardenne)
เมื่อตอนเทศกาลหนังยุโรปเมื่อปี 2005 ขณะที่ดูหนังเรื่อง The Son ของพี่น้องดาร์เดนน์ ผู้ชายที่นั่งข้างผมหาวตลอดเวลา และดูเหมือนเขาจะไม่ใส่ใจดูหนังเท่าไร เดี๋ยวก็เปิดกระเป๋า เดี๋ยวก็หยิบมือถือขึ้นมาดู และพอเจอเขาอีกทีในลิฟต์ (ทั้งที่ผมพยายามหลบหน้าเขาสุดชีวิตแล้ว) เขาก็พูดกับผมว่า ผมโคตรเกลียดหนังเรื่องเมื่อกี้เลย
สำหรับนักดูหนังบางคนแล้ว ชื่อของพี่น้องดาร์เดนน์ (ฌ็อง ปิแอร์ และ ลุค ดาร์เดนน์ ผู้กำกับชื่อดังชาวเบลเยียม) คือสิ่งที่น่าหวาดผวา หนังของเขาบางทีก็ดูน่าเบื่อ ชวนหลับ แม้มันจะไม่ได้มีสไตล์อันเชื่องช้า แต่มัน สมจริง จนน่ากลัว จนนึกว่าเรากำลังดูสารคดี หนังของเขามักใช้กล้องแฮนเฮลด์ติดตามตัวละคร และที่สุดขั้วที่สุดคือ มันไม่มีดนตรีประกอบ แม้แต่ตอนเอนด์เครดิต!
นอกจากนั้นหนังของพวกเขาได้ชื่อว่าเป็นการสืบต่อจิตวิญญาณของหนัง Neo-Realist ของอิตาลี (ที่มีผู้กำกับชั้นครูอย่าง วิตตอริโอ เดอ สิกา และโรแบร์โต รอสเซลลินี เป็นแกนนำ) ด้วยความ realistic และการพูดปัญหาสังคมผ่านการถ่ายทอดชีวิตของชนชั้นล่างหรือคนชายขอบ
ใน The Son (2002) พี่น้องดาร์เดนน์เล่าถึง ช่างไม้คนหนึ่งที่ต้องเผชิญหน้ากับเด็กฝึกงานที่เป็นคนฆ่าลูกชายของเขา ผมไม่แปลกใจเท่าไรที่พี่ผู้ชายคนนั้นจะเกลียดหนังเรื่องนี้สุดชีวิต เพราะนอกจากหนังจะใช้กล้องแฮนเฮลด์จนคนดู (บางคน) เวียนหัว สถานที่ในหนังยังจำกัดแคบๆ ในโรงงานไม้ และนั่นจึงทำให้เสียงของเครื่องยนต์ในโรงงานหรือเสียงทุบเคาะไม้กลายเป็น ดนตรีประกอบ ของหนังไปโดยปริยาย
ผมไม่รู้ว่าพี่คนนั้นจะได้ดู The Child หนังเรื่องล่าสุดของพี่น้องดาร์เดนน์หรือยัง แต่ผมอยากให้เขาได้ลองดู เพราะ The Child ดูจะไม่กดดันเท่ากับ The Son เท่าไร อย่างน้อยที่สถานที่ในหนังก็หลากหลายและเป็นที่เปิดมากขึ้น (ไม่ต้องทนฟังเสียงตอกไม้โป๊กๆ แล้วนะพี่) แถมเนื้อเรื่องของมันก็ยังน่าสนใจ โดยหนังเล่าถึงวัยรุ่นชายหญิงคู่หนึ่งที่เกิดมีลูกขึ้นมา แต่ฝ่ายชายดูจะยังไม่พร้อมกับความเป็นพ่อนัก แถมเขายังมีอาชีพเป็นโจรลักเล็กขโมยน้อย และในที่สุดเขาก็เอาลูกตัวเองไปขาย! (โอ๊ย ตายแล้ว)
ถึงกระนั้นสไตล์ส่วนตัวของพี่น้องดาร์เดนน์ยังคงชัดเจน ในเรื่องของความสมจริง (จะมีหนังของใครบ้างที่พระเอกเป็นสิวแต่ก็ยังถ่ายหนังได้แบบพี่น้องคู่นี้) ไม่มีการเร้าอารมณ์คนดู และเน้นถ่ายทอดชีวิตประจำวันของตัวละคร ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลย เพราะแรงบันดาลใจของ The Child นั้นก็มาจากเรื่องจริง โดยขณะที่กำลังถ่ายทำเรื่อง The Son (ซึ่งก็ได้แรงบันดาลใจจากคดีที่เกิดจริงในอังกฤษเมื่อปี 1993 ที่เด็ก 10 ขวบสองคนฆ่าเด็กทารกตาย) พี่น้องคู่นี้เห็นเด็กสาวคนหนึ่งลากรถเข็นเด็กวนเวียนไปมาอย่างไร้จุดหมาย พวกเขาเลยนำมาสร้างเป็นหนังโดยเติมสิ่งที่ขาดหายไปก็คือ พ่อของเด็ก (และหนังเรื่องนี้เกือบมีชื่อเรื่องว่า The Father) The Child ได้รับรางวัลใหญ่จากเทศกาลหนังเมืองคานส์ปี 2005 จนทำให้พี่น้องดาร์เดนน์กลายเป็นผู้กำกับคนที่ 4 ในประวัติศาสตร์ที่ได้รางวัลปาล์มทองคำ 2 ครั้ง (ก่อนหน้านี้ได้จาก Rosetta ในปี 1999) ถัดจาก บิล ออกัสต์, ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปล่า และ เอมีร์ คุสตูริก้า และก็เป็นเรื่องที่คาดได้ว่าหนังที่ได้รางวัลใหญ่จะถูกจับตามองเป็นพิเศษ เพราะมีเสียงอื้ออึงไม่เห็นด้วย พร้อมกับบอกว่าเรื่องที่เหมาะสมกว่าคือ Hidden ของไมเคิล ฮาเนเก้ (ที่ได้รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมไป)
หนังทั้งสองเรื่อง (The Child และ Hidden) มีหลายอย่างที่คล้ายกัน ทั้งคู่เป็นหนังที่สมจริง ไม่มีการเร้าอารมณ์ ไม่มีดนตรีประกอบ (แถมตอนเอนด์เครดิตของสองคนนี้ยังไม่มีเพลงเหมือนกันด้วยนะ) และเป็นหนังวิพากษ์สังคมทั้งคู่ โดย The Child อาจพูดประเด็นที่เล็กกว่า เพราะเป็นเรื่องระดับปัจเจก ระดับเมือง ส่วน Hidden เป็นปัญหาระดับประเทศ ระดับโลก หรืออาจจะระดับจักรวาล (ถ้าเราเชื่อว่าทุกจักรวาลมีเรื่องการขัดแย้งทางเชื้อชาติ) และที่แน่ๆ ก็คือ Hidden มีอะไรแรงๆ เฮี้ยนๆ กว่า The Child อยู่หลายเท่าตัว
ผมคิดว่าไม่ว่าหนังเรื่องไหนจะได้รางวัลก็น่ายินดี เพราะทั้งสองเรื่องมีความยิ่งใหญ่พอกัน แต่หากจะให้เดาใจกรรมการ โดยเฉพาะเอมีร์ คุสตูริก้า ประธานกรรมการในปีนั้น ผมคิดว่าคุสตูริก้าเลือก The Child เพราะมันมีความเป็น ศิลปะบริสุทธิ์ อยู่สูง (ตอนที่ได้รับตำแหน่งประธาน เขาประกาศเลยว่า ผมจะทำให้คานส์ปีนี้เป็นศิลปะให้ได้ ซึ่งเป็นนัยว่าเขาไม่พอใจที่ปี 2004 คานส์ให้รางวัลกับ Fahrenheit 9/11 อันเป็นสัญลักษณ์ว่าศิลปะภาพยนตร์พ่ายแพ้ต่อการเมือง)
จริงอยู่ที่ Hidden ก็เป็นหนังศิลปะเหมือนกัน แต่มันเต็มไปด้วยความยอกย้อน หลอกลวง และการตบหน้าคนดู (ตามที่ฮาเนเก้กล่าวไว้ ภาพยนตร์คือความลวง 24 เฟรมต่อวินาที) หนังแบบ The Child จึงน่าจะเข้าทางคนอย่างคุสตูริก้ามากกว่า และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือคุสตูริก้าอาจต้องการลบคำสบประสาทที่ว่าเขาจะไม่ยอมให้รางวัลกับพี่น้องดาร์เดนน์เด็ดขาด เพราะจะทำให้พวกเขาได้ ดับเบิ้ลปาล์ม แบบเดียวกับคุสตูริก้า (แต่ผมว่าจริงๆ แล้วเหตุผลไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลยครับ เรื่องของเรื่องคือ คุสตูริก้าแกหมั่นไส้ที่ป้าแอ็กเนส วาร์ด้ากระโดดเชียร์ Hidden เหยงๆ จนออกนอกหน้า แกเลยให้ The Child เสียเลย ฮ่าๆๆ)
นอกจากความเป็นศิลปะบริสุทธิ์แล้ว จุดแข็งของ The Child ยังอยู่ที่การแสดงอันสุดยอดของนักแสดงนำทั้งสอง นั่นคือ เดโบราห์ ฟรองซัวส์ (นางเอก - ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าเล่นหนังครั้งแรก!) และเชเรมี เรอนีร์ (พระเอกขาประจำของดาร์เดนน์) ผู้พลาดรางวัลนักแสดงนำชายไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งที่ปกติแล้วหนังของดาร์เดนน์นั้นจะเป็นหนัง ดันดารา ที่คานส์เสมอ (เอมิลี เดอแกนน์ ได้นำหญิงจาก Rosetta ส่วนโอลิวิเยร์ กรูเมต์ ได้นำชายจาก The Son) เพราะหนังของพวกเขาติดตามตัวละครอย่างใกล้ชิด จึงทำให้นักแสดงได้แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่
ชื่อของหนังที่ว่า The Child (หรือ LEnfant ในภาษาฝรั่งเศส) ก็ชวนให้ขบคิดว่า เด็กน้อย ในที่นี้คือใครกันแน่ ซึ่งแน่นอนว่าในระดับแรกมันคงหมายถึงเด็กทารกในเรื่อง แต่ที่จริงแล้วพระเอกนางเอก (พ่อแม่ของเด็กทารกที่ว่า) ก็ไม่ต่างอะไรไปจากเด็กๆ เลย พวกเขายังคงหยอกล้อกัน วิ่งเล่นไล่จับกัน และนั่นเองที่เป็นปัญหา เพราะพวกเขายังไม่มีวุฒิภาวะพอที่จะเป็นพ่อเป็นแม่ โดยเฉพาะในรายของพระเอก เพราะสัญชาตญาณความเป็นพ่อนั้นถูกปลุกให้ตื่นได้ยากกว่าสัญชาตญาณความเป็นแม่
ฉากสุดท้ายของ The Child เป็นสิ่งที่ทรงพลังมาก ฉากนี้ไม่ต้องมีคำพูดใดๆ ทั้งสิ้น แต่ก็ถ่ายทอดความรู้สึกให้กับผู้ชมทั้งโรงได้ ผมสงสัยเหลือเกินว่านักแสดงทั้งสองคนเล่นฉากนี้เข้าไปได้ยังไง นอกจากด้านอารมณ์แล้ว ฉากจบนี้ยังสอดคล้องกับชื่อหนัง โดยมันอาจจะบอกกับเราว่าเด็กน้อยสองคนนี้กำลังจะเติบโตขึ้นแล้ว
ผมขอสารภาพอย่างไม่อายเลยว่าผมร้องไห้หลังจากหนังจบลง ด้วยสองเหตุผล หนึ่งคือความรู้สึกอินไปตัวละครในฉากจบของหนัง
และสองคือ รู้สึกอิ่มเอมใจเหลือเกินที่ได้ดูหนังดีๆ แบบนี้
เวบไซต์ทางการของ The Child //www.sonyclassics.com/thechild/
เวบไซต์ทางการของ Jeremie Renier (พระเอก The Child) //www.jeremie-renier.com/
Create Date : 06 ตุลาคม 2549 |
|
25 comments |
Last Update : 6 ตุลาคม 2549 18:19:45 น. |
Counter : 6720 Pageviews. |
|
|
|
1. Blue (2001, Hiroshi Ando)
2. The Child (2005, Jean-Pierre and Luc Dardenne, A+++++++++++)
-------------------------------------
ช่วงนี้ผมสอบแล้วนะครับ อาจจะหายหน้าไปบ้าง สอบตัวแรก (International Financial Management) เมื่อวาน ...หายนะชัดๆ เลยครับ ทำแทบไม่ได้เลย แต่ก็ไม่ค่อยแปลกใจ เพราะอาจารย์ชอบพูดเสมอว่า "ถ้าข้อสอบไม่ยาก จะออกทำไมล่ะฮึ"
สอบเสร็จ 16 ตุลา นู่นเลยครับ (มหาลัยอื่นเค้าสอบเสร็จกันแล้ว ฮือๆๆๆ)
ช่วงสอบผมจะดูละครโทรทัศน์ครับ เพราะมันช่วยคลายเครียดได้เยอะ มีสองประเด็นที่อยากพูดถึง
1. วิธีเปลี่ยนหุ่นยนต์มารให้เป็นเหยื่อมาร
ผมพอรู้วิธีที่จะเปลี่ยนนางเอกในเรื่อง "เหยื่อมาร" จากหุ่นยนต์ให้เป็นผู้เป็นคนแล้วครับ นั่นก็คือ...ส่งเธอไปเล่นหนังกับพี่น้องดาร์เดนน์!! (ฮ่า ฮ่า ฮ่า)
2. เกือบสอบตกเพราะ เป้ย-ปานวาด
เมื่อคืนวันพุธ จณะกำลังอ่านหนังสืออยู่ดีๆ ผมเบื่อๆ เลยเปิดช่อง 5 ดูละคร พอเจอเป้ย-ปานวาด ผมแทบช็อคเลยครับ เพราะชุดที่เธอใส่มัน...มาก (มันดันนมแทบจะถึงปากอยู่แล้ว) ผมมารู้ตอนหลังว่าเธอเล่นเป็นเลขาพระเอก...เลขาบ้าอะไรเนี่ย แต่งชุดราตรีไปทำงานทุกวัน
อีกฉากที่ฮามากๆ คือตอนที่ มิว เดอะสตาร์ (นางเอก...เอ่อ นางเอกจริงๆนะ) เดินผ่านกล้องแวบๆ แล้วมีตัวละครนึงชมขึ้นมาว่า "อุ๊ย เด็กคนนั้นใครเนี่ย หน้าตาดีจังเลย"
หน้าตาดีจังเลย??!!!
หล่อนเห็นแค่แวบๆ หยั่งกะผีผ่านกล้องเนี่ยนะ??
แถมยังบอกว่า หน้าตาดี...ดีจังเลยด้วย??
โอ๊ย ชั้นไม่เชื่อ!!! (บอกว่า อ.ยิ่งศักดิ์ เป็นผู้ชายชั้นยังเชื่อมากกว่าเลย)