A Day on the Planet + Josee, the Tiger and the Fish : หนุ่มหล่อกับสารพัดสัตว์
โดย merveillesxx
หมายเหตุ ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร BIOSCOPE ฉบับที่ 56 (ก.ค. 2549) คอลัมน์ Symbolic Corner
คำเตือน : บทความนี้เปิดเผยตอนจบของหนังนะจ๊ะ
ช่วงที่ผมกำลังเขียนบทความชิ้นนี้อยู่ หนังเรื่อง The Fast and the Furious: Tokyo Drift กำลังเข้าโรงพอดี สาเหตุเดียวที่ทำให้ผมอยากไปดูหนังเรื่องนี้ก็คือ ซาโตชิ ทสึมาบูกิ (ถึงแม้เขาจะออกมาเพียงแค่ฉากเดียว เพื่อพูดคำว่า Go! ก็ตาม)
เมื่อไรที่พูดถึงซาโตชิ หลายคนก็จะนึกถึงเด็กหนุ่มหน้าตาทะลึ่งทะเล้น สาเหตุคงมาจากการติดภาพของเขาจากหนังเรื่อง Waterboys แต่เมื่อปีที่แล้วเราก็ได้เห็นซาโตชิในบทบาทที่จริงจังขึ้นใน Sayonara Kuro และต้นปีที่ผ่านมา เขาก็เข้าชิงรางวัลตุ๊กตาทองญี่ปุ่นสาขานักแสดงนำชายจาก Spring Snow (แต่นอนว่ารางวัลนี้ก็ถูกหนังเรื่อง Always ซิวไป)
ต้องสารภาพเลยว่า ตอนแรกนั้นผมไม่ชอบหนังเรื่อง Spring Snow เอาเสียเลย ผมรู้สึกรำคาญพระเอกในเรื่องนี้มากๆ เขาเป็นพวกคนประเภทปากไม่ตรงกับใจ รักใครก็ไม่พูดออกมา กว่าจะมารู้ตัวอีกทีก็พบว่าสายไปเสียแล้ว
แต่แล้วผมก็ไปอ่านเจอความคิดเห็นของคุณ Madeleine ในเวบบอร์ดไบโอสโคปว่า ตั้งแต่ดูหนังที่ซาโตชิ ทสึมาบูกิเล่นมาทั้งหมด บทบาทของเขาในเรื่อง Spring Snow เป็นบทที่ดิฉันชอบมากที่สุดค่ะ เพราะบทพระเอกที่ทำร้ายผู้คนและทุกสิ่งทุกอย่างรอบข้างตัวเองแบบนี้คงหาได้ไม่ยากนัก ซึ่งข้อความนี้ทำให้ความคิดที่ผมมีต่อเรื่อง Spring Snow เปลี่ยนไปโดยทันที
นอกจากนั้นแล้วยังมีหนังอีก 2 เรื่อง ที่ซาโตชิแสดงได้ดี จนคว้ารางวัลมาจากหลายเวที และผมก็ชอบมาก นั่นก็คือ A Day on the Planet และ Josee, the Tiger and the Fish
A Day on the Planet ถ้าใครติดตามวงการหนังญี่ปุ่นสักหน่อย คงคุ้นกับชื่อของ อิซาโอะ ยูกิซาดะ มาบ้าง
ยูกิซาดะเคยเป็นลูกมือของชุนจิ อิวาอิ (All About Lily Chou-Chou) มาก่อน เขาแจ้งเกิดจากหนังวัยรุ่นเลือดร้อนเรื่อง Go และดังสุดๆ จากหนังโกยเงินอย่าง Crying Out Love, in the Center of the World ความน่าสนใจคือ แทนที่เขาจะตามน้ำ ทำหนังรักเรียกคนดูต่อ เขากลับทำหนังย้อนยุคถึงสองเรื่องซ้อน นั่นคือ Year One in the North และ Spring Snow
ที่จริงแล้ว ก่อนจะมาแจ็กพ็อตแตกกับ Crying Out Love ยูกิซาดะเคยทำหนังอินดี้ที่เข้าฉายอย่างเงียบๆ ที่ญี่ปุ่นเรื่อง A Day on the Planet และนี่เป็นหนังของเขาที่ผมชอบมากที่สุด
A Day on the Planet เล่าถึง นาคาซาว่า (ซาโตชิ ทสึมาบูกิ), มิกะ (เรนะ ทานากะ - ที่เรื่องนี้น่ารักขาดใจ) แฟนสาวง้องแง้งของเขา และ เคท (อายูมิ อิโตะ) เพื่อนสาวที่ติงต๊องพอกัน สามคนนี้กำลังขับรถไปยังเกียวโตเพื่อฉลองกับเพื่อนคนหนึ่งที่สอบเข้าปริญญาโทได้
ทางด้านเกียวโตก็มีชายหนุ่มอีก 4 คนที่รออยู่แล้ว มีทั้งเด็กเรียนที่ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าคนอื่น, รุ่นน้องขี้แหย แต่หน้าหล่อ, เจ้าแว่นปากร้าย และที่ฮาสุดคือ ลูกพี่ที่หน้าเหมือนสมาชิกวงคาราบาว
หลังจากรวมตัวกันครบแล้ว ทั้ง 7 คนก็เริ่มเมาเละทันที มิกะเริ่มสวมวิญญาณเป็นช่างตัดผมโดยลากผู้ชายในบ้านมาเป็นลูกค้า ส่วนเคทก็เข้าไปอ่อยเจ้าหนุ่มแหยด้วยประโยคว่า เธอว่ามั้ยเวลาเราเมา เราจะรู้สึกเหมือนอยู่ในไข่เนาะ (???) จากนั้นพวกผู้ชายก็เริ่มหนีขึ้นชั้นสองไปเล่นเกม ด้านสองสาวก็ปรับทุกข์กันเรื่องความรัก และเมื่อตัวละครหนึ่งขี่จักรยานออกไปซื้อของที่เซเว่น...เขาก็ถูกรถชน
แต่ก็ยังอุตส่าห์ลุกขึ้นมารับโทรศัพท์แฟนได้! (โถ แฟนรักตายเลยนะเนี่ย)
นี่คือภาพโดยคร่าวๆ ของหนังเรื่องนี้ หนังเต็มไปด้วยเหตุการณ์ยิบย่อยเต็มไปหมด แถมส่วนใหญ่ก็ดูเพ้อเจ้อและเสียสติอย่างสมบูรณ์แบบ เป็นแบบนี้ไปจนถึงตอนจบ
สาเหตุที่ผมชอบหนังเรื่องนี้ ก็เพราะผมรู้สึกว่าหนังสะท้อนภาพของตัวผมกับเพื่อนๆ ได้เป็นอย่างดี ตัวละครในหนังเป็นนักศึกษาที่ใกล้จะจบมหาลัยเต็มทีเกือบทุกคน มันเป็นวัยที่เป็นรอยต่อระหว่าง ชีวิตขำๆ กับ โลกแห่งความเป็นจริง และบางทีฉากปาร์ตี้ในหนังก็อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเขาได้ทำอะไรบ้าๆ บอๆ แบบนี้
อีกข้อก็คือ หนังเรื่องนี้พูดถึงสองคำสำคัญอย่าง ชีวิต และ เวลา ตามชื่อเรื่องของมัน
1. Planet
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่ผมรู้สึกว่าคำว่า planet นั้นดู มีชีวิต มากที่สุดในบรรดาคำที่เราใช้เรียกโลก (ถ้าคำว่า earth ก็นึกถึงพื้นดิน ส่วน globe ก็จะเป็นอะไรกลมๆ) ซึ่งคำนี้ก็เหมาะกับหนังดี เพราะที่จริงแล้วท่ามกลางเสียงหัวเราะอันไร้สติ หนังก็แอบใส่รายละเอียดบางอย่างเข้ามาทีละนิด เพื่อบอกเล่าถึง ชีวิต ของทุกคน และในที่สุดเราก็จะรับรู้ว่าพวกเขากำลังมี ปัญหา
นาคาซาว่าเรียนหนังแต่ไม่เคยทำหนังเลยสักเรื่อง, มิกะเริ่มไม่แน่ใจว่าเธอรู้จักแฟนหนุ่มดีขนาดไหน หรือบางทีเธออาจจะไม่รู้จักเขาเลยก็ได้, เคทผิดหวังเรื่องความรักซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วก็ยังมีบางคนที่กำลังระหองระแหงกับแฟน ไปจนถึงคนที่ไม่เคยมีแฟนกับเขาเลย
ฟังดูแล้วมีแต่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ แต่สำหรับเด็กมหาลัย นี่คือปัญหาโลกแตก!
ในขณะเดียวกันหนังยังตัดไปที่ภาพข่าวสองเหตุการณ์ใหญ่ๆ คือ เรื่องของชายดวงซวยที่ไปติดอยู่ในซอกตึก และปลาวาฬที่ว่ายมาติดอยู่ตรงชายหาด นี่คือสภาพของตัวละครในหนัง เพราะทุกคนคือ ปลาวาฬเกยตื้น ที่กำลังติดอยู่กับอุปสรรคบางอย่าง
นอกจากนั้นคำว่า planet ยังให้ความรู้สึกที่ดู กว้างใหญ่ ด้วย (เพราะจริงๆ แล้ว planet หมายถึงดาวเคราะห์ทั้ง 9 ดวงอันเป็นบริวารของดวงอาทิตย์) มีอยู่ฉากหนึ่งที่พวกผู้ชายนั่งดูข่าวทีวีเกี่ยวกับสองเรื่องที่ว่า แล้วก็มีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า มีเรื่องมากมายเกิดขึ้นในหลายสถานที่โดยที่เราไม่รู้เนอะ
มีบางคนเริ่มรู้ตัวแล้วว่า โลกนี่มันมันช่างกว้างใหญ่ และไม่ใช่เขาคนเดียวที่มีปัญหา
2. A Day
สิ่งหนึ่งที่ผมชอบมากในนิตยสาร a day ก็คือ อัลบั้มชุด a day ที่แถมมากับหนังสือเป็นพักๆ มันเป็นงานที่ทุกเพลงมีชื่อว่า a day เหมือนกันหมด ศิลปินแต่ละคนจะไปตีความกันเองว่าเขาคิดอย่างไรกับคำๆ นี้
สิ่งที่ยูกิซาดะทำก็คล้ายกัน หนังเรื่องนี้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดภายใน 1 วัน แต่เขาก็แกล้งคนดูด้วยการเล่าสลับเหตุการณ์ไปมา เดี๋ยวเป็นฉากกลางคืนบ้างกลางวันบ้าง จนดูไม่รู้แล้วว่าตกลงตอนนี้มันกี่โมงกี่ยามกันแน่ มันคล้ายกับที่เคทถามว่า ฉันสงสัยมากเลยนะว่าเราจะรู้ได้ยังไงว่าวันนี้เปลี่ยนเป็นพรุ่งนี้แล้ว
สำหรับเด็กใกล้จบแล้ว เวลา เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากสำหรับพวกเขา ทุกคนจะบ่นว่า โอ๊ย ทำไม 4 ปีมันผ่านไปเร็วจัง นี่ฉันจะเรียนจบแล้วเหรอเนี่ย (ทั้งที่ปกติเวลานั่งเรียนก็ดูนาฬิกากันไม่ต่ำกว่าสามรอบ) นอกจากนั้นยังต้องตัดสินใจที่จะเริ่มเอาจริงเอาจังกับชีวิต ว่าจะไปเรียนต่ออะไร ทำงานที่ไหน ซึ่งทุกคนก็มักจะเจอปัญหาว่า แล้ว วันไหน ล่ะที่ฉันควรจะเริ่มคิดเรื่องแบบนั้น
หนังเรื่องนี้ไม่ได้ฉายภาพไปไกลถึงวันนั้น หนังจบด้วยการที่ตัวละครทั้งหมดไปที่ชายหาดเพื่อดูปลาวาฬ แต่พอไปถึงก็พบว่ามันหายไปเสียแล้ว
พล็อตส่วนของปลาวาฬนั้น มีตัวละครนักเรียนหญิงคนหนึ่งที่พยายามจะมาฆ่าตัวตายที่ชายหาด แต่หลังจากเธอเห็นปลาวาฬว่ายลงทะเลไป เธอก็ล้มเลิกความคิด และเดินกลับบ้าน
เหมือนหนังจะบอกกับเราว่าชีวิตมันยังมี ทางเลือก
พร้อมกับปลาวาฬที่กลับลงทะเลไป ผู้ชายดวงซวยคนนั้นก็หลุดออกมาจากซอกตึกได้ ปัญหาของทุกคนก็เริ่มจะคลี่คลาย พวกเขาเริ่มจะมองเห็นหนทาง เริ่มรู้ว่าควรจะทำยังไงกับมัน
ภาพสุดท้ายของหนังคือ ทุกคนกำลังนั่งอยู่ที่ชายหาด และจ้องมองพระอาทิตย์ขึ้นอย่างช้าๆ เปรียบเสมือนการบอกลาเมื่อวาน และเริ่มต้นชีวิตกับวันใหม่
อย่างที่มิกะบอกไว้ นี่ไม่ใช่ พรุ่งนี้ หรอก แต่มันกลายเป็น วันนี้ ไปแล้ว
Josee, the Tiger and the Fish
หนังชื่อประหลาดเรื่องนี้ (กำกับโดย อิชชิน อินุโดะ ผู้กำกับญี่ปุ่นอีกคนที่น่าจับตามอง) มีอะไรที่คล้ายกับ A Day on the Planet จนไม่น่าเชื่อ พระเอกก็คนเดียวกัน นักแสดงบางคนก็ไปโผล่ทั้งสองเรื่อง มีการใช้สัญลักษณ์โดยชื่อเรื่องและ ปลา เหมือนกัน แถมมันยังพูดถึงเรื่องเดียวกันคือ การดำเนินชีวิตต่อไป
เรื่องนี้ซาโตชิรับบทเป็น ทสึเนะโอะ นักศึกษามหาลัยใกล้จบ (อีกแล้ว) ที่ใช้ชีวิตแบบชิวๆ จีบผู้หญิงคนนู้นทีคนนี้ทีไปเรื่อย จนวันหนึ่งเขาได้พบกับสาวขาพิการนิสัยประหลาด เธอบอกว่าตัวเองชื่อ โจเซ่ (จิซุรุ อิเควากิ - เธอเล่นเรื่อง A Day on the Planet ด้วย แต่ไม่ได้เข้าฉากกับซาโตชิเลย) เธอชอบไปเก็บหนังสือตามกองขยะมาอ่านที่บ้าน (ชื่อโจเซ่ของเธอก็ได้มาจากนางเอกในนิยายของ ฟรังซัวส์ ซากัน) และเธอก็มีคุณยายคนหนึ่งที่คอยย้ำตลอดเวลาว่า เธอน่ะมันคือของที่เสียแล้ว
ทสึเนะโอะแวะไปเยี่ยมโจเซ่ที่บ้านบ่อยๆ เขาเริ่มเกิดความรู้สึกดีๆ กับเธอ และในที่สุดเขาก็ทิ้งสาวสวยที่เขากำลังกิ๊กอยู่ แล้วก็ย้ายข้าวของมาอยู่กับโจเซ่เสียเลย
ถ้าหากหนังเลือกจะจบที่ตรงนี้ มันก็คงจะดี...
บางทีการที่มีใครบางคนเข้ามาในชีวิตเรา มันก็ส่งอิทธิพลมากจนเราไม่คิดถึง ผู้หญิงอย่างโจเซ่ก็เช่นกัน การเข้ามาของทสึเนะโอะทำให้เธอเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ซึ่งตรงนี้เองที่ชื่อหนังบอกกับเราไว้
ช่วงแรกนั้นโจเซ่เธอดุร้าย เกรี้ยวกราด ไม่ไว้ใจคนรอบข้าง (ครั้งแรกที่เจอกัน เธอทักทายทสึเนะโอะด้วยการหยิบมีดขึ้นมาขู่เขา!) เธอไม่ต่างอะไรไปจาก เสือ (Tiger)
มีฉากหนึ่งที่ทสึเนะโอะพาโจเซ่ไปดูเสือที่สวนสัตว์ เสือตัวนั้นคำรามใส่ และเธอก็กลัวมากจนต้องคอยจับมือทสึเนะโอะไว้ พอเขาถามว่า ทำไมถึงให้พามาที่นี่ล่ะ โจเซ่ตอบว่า ฉันเคยคิดไว้ว่าถ้าฉันมีคนรัก ฉันจะให้เขาพามาดูสิ่งที่ฉันกลัวที่สุด
สิ่งที่โจเซ่กลัวที่สุดก็คือ ภาพที่แท้จริงของตัวเอง ว่าที่จริงแล้วคนที่เอาแต่ปิดกั้นตัวเองอย่างเธอไม่ใช่เสือ แต่เป็นเสือที่ถูกขังอยู่ในกรง
หลังจากคบกันได้ 1 ปี โจเซ่รบเร้าให้ทสึเนะโอะพาไปดูพิพิธภัณฑ์ปลา แต่ปรากฏว่ามันดันปิด เธอร้องไห้อยู่พักนึง ก่อนที่จะบอกเขาว่า ไปทะเลกันเถอะ ฉันอยากเห็นทะเล
พอไปถึงทะเล ทสึเนะโอะก็อุ้มโจเซ่ขี่หลังเดินเลียบชายหาดไปเรื่อยๆ โจเซ่ดูตื่นเต้นมาก เธอร้องโวยวายเหมือนเด็กๆ ไม่มีผิด เธอชี้ให้ทสึเนะโอะเดินไปทางโน้นทางนี้มั่วไปหมด ...ภาพน้ำทะเลระยิบระยับท่ามกลางแดดจ้าในฉากนี้สวยมาก และการใช้กล้องแฮนเฮลด์ก็ทำให้ฉากนี้ดู จริง สุดๆ
ตอนอยู่ที่ชายหาด โจเซ่ไม่ได้เห็นปลาสักตัว เธอได้แต่เก็บเปลือกหอย แต่ตอนที่ขับรถหาที่พัก เธอก็บอกให้ทสึโนะเอะเข้าไปที่ โรงแรมวังปลา ที่ชื่อเป็นแบบนี้ก็เพราะว่าห้องของโรงแรมนี้ตกแต่งด้วยบรรยากาศแบบใต้ท้องทะเล (อยากไปกับแฟนบ้างจัง)
หลังจากเมคเลิฟกัน โจเซ่ก็บอกให้ทสึเนะโอะลองหลับตาดู แล้วเธอก็บอกว่า นั่นแหละคือที่ที่ฉันมา ฉันมาจากใต้ท้องทะเลลึกอันดำมืด
ตอนนั้นเองที่โจเซ่รู้ตัวว่าทสึเนะโอะได้เปลี่ยนเธอจาก เสือ เป็น ปลา (Fish) ...เธอเหมือนปลาที่แหวกว่ายจากท้องทะเลขึ้นมาหาแสงอาทิตย์บนผิวน้ำ เธอรู้จักที่จะเปิดเผยความรู้สึกของตัวเอง และที่สำคัญเธอได้รู้จักกับความรัก
แต่ในฉากเดียวกันนั้นเอง โจเซ่ก็พูดต่อว่า หากวันหนึ่งที่เธอไม่ได้อยู่กับฉันอีกแล้ว ฉันก็คงเหมือนเปลือกหอยที่คอยกลิ้งไปเรื่อยๆ ที่ก้นบึ้งทะเล
แล้วทั้งสองก็เลิกกันจริงๆ...
หนังไม่ได้บอกสาเหตุชัดเจนว่าทำไมทั้งสองถึงเลิกกัน แต่ที่ผมชอบมากก็คือ หนังเลือกจะเล่าว่า หลังจากนั้นชีวิตของทั้งสองเป็นยังไง ทางด้านทสึเนะโอะ หนังบอกกับเราว่า สุดท้ายเขาก็กลับไปหากิ๊กเก่า แน่นอนว่าคนดูต้องรู้สึกไม่ดีกับเขา แต่ในฉากที่ทสึเนะโอะเดินอยู่กับกิ๊กเก่า (ที่กลายเป็นแฟนคนใหม่) แล้วอยู่ดีๆ เขาก็ทรุดตัวลงไปร้องไห้ ก็บอกกับเราได้เป็นอย่างดีว่าเขาเองก็เสียใจกับการจากโจเซ่มาเหมือนกัน (ฉากนี้ซาโตชิเล่นดีมากๆ)
ส่วนด้านโจเซ่เธอกลับไปใช้ชีวิตตัวคนเดียวแบบเดิมอีกครั้ง และหนังก็จบด้วยฉากที่โจเซ่กระโจนลงมาจากเก้าอี้ดังพลั่ก (เหมือนครั้งแรกที่ทสึเนะโอะมาที่บ้านเธอ) เพราะวันนี้ไม่มีใครคอยอุ้มเธออีกต่อไปแล้ว
แต่ก่อนหน้านั้น หนังก็มีฉากที่โจเซ่นั่งรถเข็นไปซื้อของที่ตลาดเอง ทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยทำได้เลย
ถึงไม่มีเขา เธอก็ยังอยู่ได้...
โจเซ่จึงไม่ใช่เพียงแค่เปลือกหอยที่จะกลิ้งไปมาอย่างไร้จุดหมาย เธอเป็นเหมือนปลาที่ถึงจะไม่มีขา แต่ก็เวียนว่ายไปในท้องทะเลอย่างไม่รู้จักจบสิ้น
Create Date : 24 กันยายน 2549 |
|
58 comments |
Last Update : 24 กันยายน 2549 4:07:12 น. |
Counter : 8148 Pageviews. |
|
|
|
เนื่องด้วยสถานการณ์บ้านเมือง และสถานการณ์ของตัวเจ้าของบล็อกเอง (จะสอบไฟนอลแล้ว แต่ยังไม่ได้อ่านหนังสือสักตัว + รายงานท่วมหัวเอาตัวไม่รอด) จึงขอหากินกับของเก่าไปก่อนนะจ๊ะ
และมีเรื่องประกาศ (ขายของ) โดยท่านสามารถพบกับผลงานของ จขบ. ได้ดังนี้
1. Bioscope ฉบับเดือนตุลาคม (เขียนเรื่อง The Host)
2. GM ฉบับเดือนตุลาคม (สัมภาษณ์ - คุยกัน 3 ชั่วโมง เค้าให้ลงสัก 3 บรรทัดก็บุญแล้ว ฮ่าๆๆ)
จึงเรียนมาเพื่อทราบ
โปรดดูแลตัวเอง...เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย
-----------------------------
ประกาศ...
ประกาศจากคณะปฏิรูปการชมภาพยนตร์ในระบอบประพันธาธิปไตย
ฉบับที่ 1/2549
เนื่องด้วยขณะนี้เวบบอร์ดของ bioscope ถูกปิดไปเสียแล้ว ทางคณะปฏิรูปฯ จึงขอเรียนเชิญ มาดาม Madeliene du Scudery มาพูดคุยเรื่องหนังกับ merveillesxx ที่บล็อกนี้ไปพลางๆ ก่อน (แต่ขอให้เพลาๆ แหล่งลิงค์ข้อมูลอันมีประโยชน์ลงสักนิด เพื่อไม่ให้ประชาชนแตกตื่น) จนกว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติอีกครั้ง
ทั้งนี้ท่านอื่นๆ ก็สามารถแลกเปลี่ยนความเห็นเรื่อง หนัง-เพลง-หนังสือ ได้เช่นกัน
โปรดฟังอีกครั้ง... (ย้อนไปอ่านตั้งแต่ต้นใหม่)
จึงเรียนมาเพื่อทราบ
merveillesxx
เลขาธิการคณะปฏิรูปการชมภาพยนตร์ในระบอบประพันธาธิปไตย