http://twitter.com/merveillesxx และ http://www.facebook.com/merpage
Group Blog
 
<<
กันยายน 2552
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
13 กันยายน 2552
 
All Blogs
 

The Piano Teacher (excerpt from seminar @ BU)

by merveillesxx




เมื่อวันศุกร์ที่ 11 กันยา 52 น้องๆ จาก คณะนิเทศศาสตร์ ม.กรุงเทพ ได้ชวนผม และ อ.ประจวบ ผลิตผลการพิมพ์ ไปร่วมเสวนาหนังเรื่อง The Piano Teacher (2001, Michael Haneke) ก็เลยเอาบรรยากาศและเนื้อหาบางส่วนมาเล่าสู่กันฟังครับ

(อนึ่ง ขอถอดข้อความของเฉพาะที่ตัวผมพูดเท่านั้น ส่วนของ อ.ประจวบ หาอ่านได้ในคอลัมน์ This is Life ในนิตยสาร BIOSCOPE ฉบับที่ 94 หน้าปก Miao Miao จ้ะ)


- - - - - - - - - - - - -


พิธีกร: ลำดับแรกอยากถามวิทยากรทั้งสองท่านว่ารู้สึกอย่างไำรกับหนังเรื่องนี้ครับ

เมอร์: ก็ต้องบอกว่าตอนดูรอบแรกก็ช็อคทีเดียว สมัยที่ดูหนังเรื่องครั้งแรกก็น่าจะอายุเท่ากับน้องๆ ที่มาดูในวันนี้ คือช่วงปีหนึ่งปีสอง มันเป็นช่วงที่ค้นหาหนังมาดู แต่ก่อนหน้านั้นก็จะได้ดูแต่หนังป็อปๆ สวยๆ เหงาๆ ไง อย่างเช่น พวกหว่องกาไว อะไรแบบนั้น พอมาเจอแบบเรื่องนี้เข้าไป ก็เลยช็อคมาก

แต่หนังก็ยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำจนถึงทุกวันนี้ มันสร้างอิมแพ็คกับคนดูได้อย่างมาก ผมก็เลยอยากจะบอกน้องๆ ว่าโชคดีมากที่ได้ดูหนังเรื่องแรกสักครั้งหนึ่งในชีวิต เพราะนี่อาจถือเป็นหนังคลาสสิกของหนังร่วมสมัย

อ้อ แล้วก็ขอเสริมนิดนึงว่า ซับไตเติ้ลภาษาไทยของหนังเรื่องนี้รู้สึกจะแรงเกินจริงไปหน่อย อย่างคำว่า desire เขาจะแปลเป็น เงี่ยน หมดเลย ซึ่งเดาว่าตัวละครที่เป็นชนชั้นสูงไม่น่าจะพูดกันอย่างนั้น แต่ก็ไม่แน่เขาอาจจะพูดกันต่ำๆ แบบนั้นจริงก็ได้



หนังมีการนำเสนอประเด็นเรื่อง Masochism เลยอยากถามว่าในโลกภาพยนตร์มีการนำเสนอประเด็นนี้อย่างไรบ้าง

ต้องออกตัวเลยว่าไม่ได้มีความเชี่ยวชาญมากขนาดจะตอบได้ ก็เลยต้องอาศัยผู้ช่วยอย่างวิกิพีเดีย (หัวเราะ) ผมก็เซิร์ชคำว่า sadistic and masochistic in film ลงไป แล้วมันก็ขึ้นมาเพียบเลย ก่อนอื่นก็ต้องมาว่าหนังพวกนี้ส่วนใหญ่จะมีทั้งสองประเด็นอยู่ด้วยกัน หรือที่เรียกว่า S&M เพราะเป็นเหมือนแอ็คชั่น/รีแอ็คชั่นต่อกัน

แต่้ถ้าเน้นเรื่องมาโซเนี่ย ก็อาจจะกรุ๊ปได้ประมาณนี้ อย่างแรกคือหนังยุโรป อย่างเช่น Belle du Jour ของหลุยส์ บุนเยล ที่แคทเธอรีน เดอเนิฟ เป็นหญิงชั้นสูงแล้วออกไปขายตัว หรือ Salo ที่เรื่องซาดิสม์ทจะชัดกว่า แต่ก็มีฉากอย่างที่นายพลบังคับใส่เด็กผู้หญิงฉี่ใส่หน้า ซึ่งหนังจากยุโรปมันจะมาเร็ว มาตั้งแต่ยุค 60 70 เพราะยุโรปนี่เขาล้ำ เขาพูดเรื่องเพศ เกย์ เรื่องหลายผัวหลายเมีย ได้อย่างเปิดเผย

ต่อมาก็คือหนังญี่ปุ่น เพราะญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมสุดขั้ว แบบ extreme culture ดูอย่างง่ายๆ ก็พวกหนังโป๊ญี่ปุ่น, หนังเอวี ซึ่งน้องๆ น่าจะเคยดูกัน ก็จะเห็นว่าหนังมันสุดๆ ไร้ความบันยะบันยังมากๆ หนังเด่นๆ ของแถบนี้ก็อย่าง In the Realm of the Senses หรือ Flower and Snake

ส่วนทางหนังฮอลลีวู้ด/หนังอเมริกันนี่ก็มี อย่างเรื่อง Secretary ที่ แม็กกี้ จิลเลนฮาล เล่นเป็นเลขาสาวที่ชอบถูกเจ้านายหนุ่มทรมานกลั่นแกล้งสารพัด

ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ หนังที่ว่าไปส่วนใหญ่ผู้กำกับก็เป็นผู้ชายทั้งนั้น เพราะโลกของภาพยนตร์มันก้คือโลกของผู้ชาย แต่จุดเปลี่ยนก็คือถึงเมื่อมีผู้กำกับหญิงที่ชื่อ แคทเธอรีน เบรลญาต์ หนังของเธอก็อย่างเช่น Romance ที่นางเอกวิ่งไปให้ชาวบ้านเขาข่มขืน หรือ Fat Girl ที่ตัวเอกถูกข่มขืนแต่ยืนยันกับตำรวจว่าไม่ได้ถูกข่มขืน

สำหรับ The Piano Teacher ก็มีความน่าสนใจว่ามันเหมือนจะมีส่วนผสมของทั้งผู้ชายและผู้หญิง ก็คือคนแต่งนิยายเรื่องนี้ เอลฟรีเดอ เยลิเนค เป็นผู้หญิง ส่วนไมเคิล ฮาเนเก้ ผู้กำกับหนังก็เป็นผู้ชาย และส่วนตัวผมก็เชื่อว่าเยลิเนคต้องมั่นใจในฝีมือของฮาเนเก้พอสมควร เพราะเธอเฮี้ยนมาก และคงไม่ปล่อยให้ใครเอานิยายของเธอไปทำหนังง่ายๆ



แล้วถ้าพูดถึงหนังเรื่องนี้ในประเด็น feminism ล่ะครับ

คือนางตัวเอกเนี่ย เธอเป็นทั้ง active และ passive คือทั้งกระทำเองและเป็นผู้ถูกกระทำ ถ้าเอาในด้าน passive ก่อน ก็อย่างที่เห็นในหนังว่าเธอเป็นครูสอนเปียโน ถือเป็นอาชีพมีหน้ามีตาในสังคม ถือเลยถูกจับตาเฝ้ามองตลอด โดยมีตัวละครแม่เป็นเหมือนตัวแทนของมุมมองจากสังคม อย่างเช่น เธอจะแต่งตัวแบบนั้นแบบนี้ไม่ได้ หรือจะเอาผู้ชายเข้าบ้านก็ไม่ได้

ความสัมพันธ์ของเธอกับแม่ก็น่าสนใจมาก เธออายุขนาดนี้แต่ก็ยังนอนเตียงเดียวกับแม่ สองคนนี้นี่มีความสัมพันธ์แบบ love/hate ที่เข้มข้นมาก ฉากนึงตบกัน แต่ถัดมาอีกฉากก็กอดคอร้องไห้กันแล้ว ผมดูแล้วก็นึกถึงหนังเรื่อง Carrie ของ ไบรอัน เดอ พัลมา ที่ยัยนางเอกประจำเดือนมา แต่ปรากฏว่าแม่ของเธอไม่เคยสอนเรื่องพวกนี้เลย เธอก็วิตกจริตว่าเลือดจะไหลหมดตัวตาย พอกลับบ้านมา แม่เธอก็ดันคลั่งศาสนามาก บอกว่านั่นคือเลือดบาป อะไรประมาณนี้ เพราะงั้นหนังสองเรื่องนี้ก็คล้ายกันมากๆ เพียงแต่นางเอกของ The Piano Teacher ไม่มีพลังจิต

ทีนี้เรื่องสถานะของนางเอกก็น่าสนใจ คือเธอเป็นครูเปียโนที่ดูจะสูงศักดิ์ แต่ดูกันจริงๆ แล้วเธอก็เป็นเบี้ยล่างของผู้ชายอยู่ดี อย่างเพลงที่เธอใช้สอนก็เป็นของ บาค ชูเบิร์ต ชูมันน์ ซึ่งล้วนแต่เป็นผู้ชาย คือเธอเป็นแค่ครูสอนเปียโนน่ะ สอนให้ตายชาตินี้เธอก็คงไม่ได้รางวี่รางวัลอะไร คุณไกรวุฒิก็เคยเขียนสมกาไว้ในบทวิจารณ์ว่า คีตกวี = ผู้ชาย = เจ้านาย ส่วน ครูสอนเปียโน = ผู้หญิง = คนใช้ อ้อ แล้วยังมีข้อสังเกตว่าพวกคีตกวีส่วนใหญ่นี่้ก็มักจะเป็นบ้า ก็ไม่น่าแปลกที่เธอจะเป็นแบบนี้ (หัวเราะ)

แต่ในขณะเดียวกันนางเอกก้มีสถานะแบบ active หรือผู้ควบคุมด้วย อย่างการกระทำของเธอทั้งหลายอย่าง ดูวิดีโอโป๊, แอบดูคนเอากัน หรือฉี่กลางถนนเนี่ย ถ้าเป็นผู้ชายทำในหนังมันจะเป็นเรื่องปกติมาก แต่พอเป็นผู้หญิงทำความหมายมันก้ต่างออกไปทันที พูดได้ว่าเธอลุกขึ้นมาท้าทายสังคมเลยก็ว่าได้

ภาพของเธอในการเป็นผู้ควบคุมมากจากฉากเซ็กส์ในห้องน้ำ คือเธอสามารถควบคุมพระเอกไม่ให้มีอะไรกับเธอ แถมในมือเธอยังกำไอ้นั่นของเขาอยู่ในมือด้วย ซึ่งก็อุปมาได้ว่าเธอสามารถควบคุมพระเอกได้

ส่วนฉากที่เธอเอามีดโกนกรีดจิ๋มตัวเองนี่ก็ถือเป็นขั้นสูงสุด คือเราต้องยอมรับกันว่าการช่วยตัวเองเป็นที่ยอมรับในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง การที่หนังเรื่องใดๆ นำเสนอฉากผู้หญิงช่วยตัวเองก็ถือเป็นความน่าสนใจในระดับหนึ่ง แต่เรื่องนี้มันสุดขั้วกว่าเพราะเธอสำเร็จความใคร่ด้วยมีดโกน

มีข้อสังเกตว่าหนังหลายเรื่องมีการใช้ฉากที่ผู้หญิงทำร้ายอวัยวะเพศของตัวเองเพื่อสื่อถึงสภาวะความมีอำนาจ อย่างเช่น Cries and Whispers ของอิงมาร์ เบิร์กแมน ที่มีตัวละครนึงยัดเศษแก้วไปในตรงนั้นเพื่อประชดผัวตัวเอง หรือ Antichrist ของ ลาร์ส วอน ทีเยร์ ก็อาจจะเข้าข่ายเหมือนกัน



เมื่อสักครู่มีการพูดถึงเรื่องชนชั้นทางสังคม ก็เลยอยากถามต่อว่าหนังมีประเด้นทางสังคมอื่นๆ อีกหรือเปล่า

ก็รู้สึกว่าหนังถ่ายทอดความเย็นชาของโลกดนตรีออกมาชัดมาก อย่างในฉากออดิชั่นเราเห็นนักเรียนเครียดมาก บางคนก็ร้องไห้ ซึ่งผมเองก็เคยเห็นจากเพื่อนที่เวลาสอบ level เปียโนเขาจพะดูเครียดมาก หนังหลายเรื่องเองก็พูดถึงประเด็นนี้อย่างเช่น The Page Turner ที่นางเอกสอบเปียโนไม่ผ่านแล้วก็บ้าไปเลย หรือแม้แต่ใน Tokyo Sonata ก็มีเรื่องพวกนี้เช่นกัน



แล้วมีสัญลักษณ์อื่นๆ ในหนังที่น่าสนใจมั้ยครับ

ก็มีอย่างฉากเล็กๆ ที่สนามฮ็อคกี้่ที่พวกผู้หญิงซ้อมสเก็ตอยู่ แล้วอยู่ดีๆ พวกผู้ชายก็ลงไปแย่งสนามเฉยเลย ฉากนี้สั้นๆ แต่ก็พูดเรื่องผู้ชาย/ผู้หญิงได้แล้ว

อีกฉากสำคัญก็คือ ตอนที่นางเอกอมของพระเอกอ้วกออกมา ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เหมือนการดูหมิ่นเหยียดหยามฝ่ายชายเป็นอย่างมาก และดูเหมือนฉากนี้จะส่วนจุดระเบิดให้พระเอกตัดสินใจบุกไปหานางเอกตอนกลางคืน แต่ที่ตลกก็คือ พระเอกพูดกับนางเอกว่าเธอนี่ปากเหม็นมากๆ ทั้งที่เธอก็เพิ่งอมไอ้นั่นของเขานั่นแหละ

หรือในฉากจบที่ผมคงไม่ตีความว่านางเอกเป็นอะไรกันแน่ เพราะมันเถียงกันมาเกือบจะ 10 ปีแล้ว แต่จะตั้งข้อสังเกตว่าในภาพสุดท้ายเราจะเห็นเธอเดินออกจากโรงละครมา แล้วก็ต้องผ่านประตูมากมาย ซึ่งหนังก็ถ่ายให้เห็นประตูเป็นกรอบสี่เหลี่ยมล้อมเธออยู่หลายชั้นๆ หรือตอนที่เดินออกมาแล้วก็จะเจอรั้วเหล็กเป็นโฟร์กราวด์ด้วย ซึ่งน่าจะสื่อถึงการที่นางเอกตัดสินใจออกจากภาวะาบางอย่างนั่นคือการเป็นครูเปียโน เพราะในฉากนี้เธอตัดสินใจไม่เล่นขึ้นคอนเิิิสิร์ต อย่างไรก็ดี เราก็ไม่แน่ใจได้ว่าเธอจะหลุดพ้นจากภาวะนี้จริงๆ หรือเปล่า ไม่แน่เธออาจจเดินไปที่เซ็กซ์ช็อปก็ได้ (เสียงผู้ชมหัวเราะ)



สุดท้ายอยากถามว่าประทับใจฉากไหนในหนังที่สุดครับ

ก็คงต้องตอบว่าทุกฉากที่มี อิซาเบล อูแปต์ ปรากฏตัว เพราะหนังเรื่องนี้คือกา่รแสดงขั้นสุดยอดของเธอ สิ่งที่ชอบมากคือหน้าเธอดูเย็นชามาก แต่มันก็ไม่ได้เย็นๆ แข็งๆ ไร้อารมณ์เหมือนพวกหนังฟินแลนด์ แต่ใบหน้าเธอในไม่กี่วินาทีมีอารมณ์ที่หลากหลายและซับซ้อนมาก อย่างเช่นในฉากที่เธอดูพระเอกออดิชั่น ที่ตอนแรกเธอเหมือนจะทำเป็นไม่มอง แล้วก็ค่อยๆ หันมามอง แล้วก็มียิ้มที่มุมปากบ้าง ซึ่งตรงนี้มันซับซ้อนมากๆ

อีกฉากที่ชอบมากก็คือ ตอนที่นางเอกครุ่นคิดก่อนที่จะเอาเศษแก้วใส่ไปในเสื้อโค้ทของลูกศิษย์ เพราะฉากนี้ถ่ายอูแปต์จากด้านหลังเป็นเวลานาน แต่เธอก็สามารถส่งอารมณ์ความรู้สึกออกมาได้ ซึ่งถ้าจำไม่ผิดในหนังเรื่อง Hidden ของฮาเนเก้ก็มีฉากที่ถ่าย จูเลียต จากด้านหลังเช่นกัน



(คำถามจากผู้ชม) : คิดว่าหนังเรื่องนี้ให้อะไรกับสังคมครับ

ผมขอเลือกตอบจากมุมมองส่วนตัวแล้วกัน เพราะคงไม่สามารถเป็นตัวแทนของสังคมได้ แต่สิ่งที่ชอบมากจากการดูหนังเรื่องนี้ หรือหนังนอกกระแสก็คือ การได้ศึกษาความเป็นมนุษย์ ก็เหมือนกับธีมของงานคราวนี้ที่ตั้งว่า The Protagonist คือการดูหนังพวกนี้ เราก็จะได้เราว่า เฮ้ย มันมีคนแบบนี้อยู่ในโลกนี้ ซึ่งเขาก็ถ่ายทอดอกมาได้อย่างมีมิติและซับซ้อน คือคงไม่มีใครดู The Piano Teacher แล้วรู้สึกว่ายัยนี่้เป็นฮีโร่ หรืออยากลุกขึ้นมาเอามีดโกนกรีดตัวเองหรอกนะ แต่เราก็ดูไว้เพื่อเรียนรู้ ศึกษา และรับมือกับความเป็นจริง เพราะอย่างตัวละครแม่ในเรื่องก็สร้างมาจากแม่ของเยลีเนค

อีกสิ่งที่ชอบก็คือ ชอบหนังของ ไมเคิล ฮาเนเก้ ตรงที่เขามักจะทำให้เราต้องคิดเสมอ แม้บางทีจะใช้วิธีที่ค่อนข้างกวนประสาทเรา เพราะปรัชญาของฮาเนเก้คือการทำหนังเพื่อตั้งคำถามทางสังคม เพราะถ้าหนังบอกหมด เฉลยทุกอย่าง สรุปทุกอย่าง มันก็จะไม่อยู่ในหัวเราหรอก เดินออกมาจากโรงก็ลืมแล้ว แต่ถ้าหนังมีทิ้งคำถามไว้ มีตอนจบแบบปลายเปิด หนังเรื่องนั้นก็จะอยู่กับเราไปอีกนาน




















 

Create Date : 13 กันยายน 2552
14 comments
Last Update : 14 กันยายน 2552 0:08:04 น.
Counter : 3247 Pageviews.

 

ตอบคำถามเก่งจัง ^^

 

โดย: christmas IP: 58.8.119.43 14 กันยายน 2552 2:19:44 น.  

 

นั่นน่ัะสิ รู้สึกที่ตัวเองตอบน้องๆไปง่อยมาก 55+ (ต้องฝึกอีกมากมาย)

 

โดย: nanoguy IP: 125.24.121.88 14 กันยายน 2552 12:01:57 น.  

 

อืมมม เป็นการวิเคราะห์ที่ได้แง่มุมใหม่ๆมากมายเลย

เพราะตอนเราดู มั่วแต่อึ้งอยู่ 555+

แล้วไอ้ตอนที่เธอเอาทิชชู่ขึ้นมาดม (ตอนนี้ติดตาสุดสำหรับเรา) มันคืออะไรหรือ?

 

โดย: Seam - C IP: 58.9.196.216 14 กันยายน 2552 13:52:46 น.  

 

เราว่าหนังเรื่องนี้ถ้าเอาให้ Feminist ดู เขาไม่น่ายอมรับนะ เพราะการกระทำที่เธอทำแล้วเราเอะอะเอาว่าเสื่อม ก็เกิดจากมาตรฐานของผู้ชายทั้งสิ้น

 

โดย: I will see U in the next life. (I will see U in the next life. ) 14 กันยายน 2552 17:00:15 น.  

 

เฮ้อ ดีนะที่เราไม่ต้องศึกษาหนังขนาดนี้เพื่อทำงาน

แต่ก็อ่านเพลินดีจัง

 

โดย: BloodyMonday 15 กันยายน 2552 1:59:39 น.  

 

พลาดไปดู flower & snake เพราะอยากหื่น และเห็นหน้าปกแผ่นนางเอกดู OK (เน้นอารมณ์นางเอกย้อนยุคนิดหนึ่ง)

จาก หื่น กลายเป็น หด แถม งง ด้วย เพราะหนังบ้าบอคอแตกได้สุด ๆ

น้องเมอร์จะมีงานเขียนแนว หื่น ๆ บ้างไหม รออุดหนุนอยู่ห่าง ๆ อย่างหื่น ๆ

ปล. ฮาแตกกับวงสนทนาเรื่องเรตติ้งใน Bio เล่มใหม่มาก ที่บอกว่า lust,caution ไม่เห็นตอนสอด แต่เห็นตอนคาน่ะ เจ๊แกสุดติ่งมาก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๕๕๕๕๕๕๕๕
สรุปว่ามีเรตติ้ง แต่ก็มีตัด เบลอ เซ็นเซอร์ แบน อยู่ดี แล้วมันจะจัดเรตติ้งทำไม (ฟะ)


 

โดย: เอิ่ม IP: 58.8.53.222 15 กันยายน 2552 3:30:21 น.  

 

ก็ยังเป็นหนึ่งในบรรดาหนังที่แรงที่สุดเท่าที่เคยดูมา และน่าจะเป็นตลอดไป

ชอบฉากกระทืบแก้วแตกแล้วไปไว้ในเสื้อโค้ทให้น้องคนนั้นเล่นเปียโนไม่ได้อีกต่อไป มันโคตรโหดร้ายเย็นชาชนิดนางเอกละครไทยชิดซ้ายไปเลย

 

โดย: เอกเช้า IP: 165.89.84.90 15 กันยายน 2552 12:39:51 น.  

 

ตอบคำถามได้ครอบคลุมดีมากครับ ทำให้อยากกลับไปดูหนังเรื่องนี้อีกรอบเลย
(คราวก่อนยอมรับว่าทนดูไม่จบเรื่อง)

 

โดย: ฟ้าดิน 16 กันยายน 2552 3:46:49 น.  

 

ตอบซะอยากดูหนังเรื่องนี้เลย

...

ัยังไม่เคยดูน่ะ

 

โดย: เสจัง IP: 125.26.170.23 16 กันยายน 2552 7:26:53 น.  

 

ยังไม่เคยดูเหมือนใครอีกหลายๆคน แต่ก็อยากดูมาก

ชอบที่น้องต่อตอบจังเลยครับ ดูได้สาระและแง่มุมให้คิดตามได้ดี (นี่ขนาดยังไม่ได้ดูหนังนะนี่) และสำหรับคนที่ยังไม่เคยดู มันทำให้ความอยากดูพุ่งมากขึ้นไปอีก

 

โดย: แฟนผมฯ IP: 112.142.209.184 16 กันยายน 2552 23:34:29 น.  

 

เล่าได้น่าฟังจนนึกอยากตามไปดู

ถ้าต้องดูหนังเยอะเท่านี้คงสลบ...กว่าจะตามไปเก็บแต่ละเรื่องที่เอ่ยถึง

 

โดย: หมีบางกอก (Bkkbear ) 17 กันยายน 2552 21:42:16 น.  

 

น้องเมอร์ฯ

ขออนุญาตแท็กนะ

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=pakwan&month=21-09-2009&group=1&gblog=98

 

โดย: สาวไกด์ใจซื่อ 21 กันยายน 2552 9:30:50 น.  

 

เป็นหนังที่ชอบมากครับ
พยายามหาบทวิจารณ์ คำตอบเหมือนกัน
ชอบที่น้องเมอร์พูดไว้มาก ๆ ครับ

 

โดย: angel of music 28 กันยายน 2552 23:42:54 น.  

 

อ่านจบแล้วถึงกับปลาบปลื้ม T^T

 

โดย: เอ้ IP: 161.200.206.134 3 พฤศจิกายน 2553 0:05:56 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


merveillesxx
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 58 คน [?]




สำส่อนทางการดูหนัง ฟังเพลงและเสพวรรณกรรม
New Comments
Friends' blogs
[Add merveillesxx's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.