M.I.A. : Born Free จะแรงไปเพื่อ...!
by merveillesxx
(Note: บทความนี้ออนไลน์ครั้งแรกที่ //www.fuse.in.th/blogs/movement/3016) นักร้องสาวอังกฤษเชื้อสายศรีลังกา M.I.A. เจ้าของเพลง ดังอย่าง Paper Planes และ Jimmy เป็นที่รู้จักจากทำนองเพลงแบบอัลเทอร์เนทีฟแดนซ์เก๋ๆ, เอ็มวีไอเดียบรรเจิด และเนื้อเพลงที่มีเรื่องของการเมืองเสมอ และเอ็มวีตัวล่าสุดของเธอที่ชื่อว่า Born Free ก็แรงจนถึงขั้นถูกแบนจาก YouTube!! วิดีโอตัวนี้มีความยาวถึง 9 นาที กำกับโดยผู้กำกับชาวฝรั่งเศส Romain Gavras (ลูกชายของ Costa-Gavras ผกก.ชื่อดัง) เล่าเรื่องของทหารกลุ่มหนึ่งที่บุกเข้าไปอพาร์ตเมนต์ และทำร้ายประชาชนอย่างรุนแรง จากนั้นพวกเขาก็จับพวกวัยรุ่นผมแดงมาขึ้นรถ แล้วนำไปปล่อยให้วิ่งกลางสนามที่เต็มไปด้วยกับระเบิด แถมพวกทหารยังไล่ยิงเหล่าเด็กๆ ไปด้วย! เอ็มวีเต็มไปด้วยฉากโหดมากมาย ตั้งแต่ทหารซ้อมคนแก่, เด็กวัยรุ่นถูกเอาปืนจ่อหัวยิงระยะเผาขน, หรือร่างมนุษย์ที่โดนกับระเบิดจนแหลก อวัยวะกระเด็นกระดอนไปทั่ว ภาพยิงหัวจะๆ ในเอ็มวี Born Free อาจได้แรงบันดาลใจจากภาพถ่ายดังของ Eddie Adams ที่เป็นภาพทหารเวียดนามยิงปืนใส่ชาวเวียดกงในปี 1968 หน้าปกซิงเกิ้ลเพลงนี้ก็ทั้ง แรง ดิบ และเซอร์ เป็นภาพวิดีโอคลิปอันโด่งดังของชาวทมิฬที่ถูกกองกำลังของรัฐบาลสังหาร ถ้าสังเกตดีๆ ครึ่งล่างของปกจะมีข้อความประมาณเวบไซต์ถูกบล็อคด้วย มีสัญลักษณ์ทางการเมืองมากมายในมิวสิกวิดีโอเพลงนี้ แน่นอนว่ามันสื่อถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (Genocide) หนุ่มสาวผมแดงในเพลงนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับชาวยิวในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ที่แรงมากคือ ทหารโฉดทั้งหลายติดตราธงชาติอเมริกาไว้ที่ไหล่อย่างชัดเจน จึงเป็นที่ชัดเจนว่าเอ็มวีนี้มีแนวคิด Anti-America อย่างแน่นอน (แถมยังมีฉากวัยรุ่นที่ใส่ผ้าโพกหัวของชาวปาเลสไตน์ขว้างปาก้อนหินใส่รถทหาร ซึ่งในความขัดแย้งของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ อเมริกาถือหางฝ่ายแรกอย่างเต็มที่ นั่นคืออเมริกากับปาเลสไตน์จึงตบตีกันไปโดยปริยาย) นอกจาั้กนั้นยังมีฉากหนึ่งถ่ายให้กำแพงที่เขียนว่า Our day will come ซึ่งเป็นสโลแกนของกลุ่ม IRA (กองกำลังที่พยายามทำให้ไอร์แลนด์เป็นอิสระจากเครือจักรพลอังกฤษ) นั่นอนุมานได้ว่าเอ็มวีนี้ M.I.A. กำลังแอนตี้อังกฤษไปด้วย ทั้งที่เป็นดินแดนที่เธออาศัยอยู่ในปัจจุบัน ไม่น่าแปลกใจนักที่ M.I.A. จะมีความคิดเห็นทางการเมืองอันแรงกล้า เธอเติบโตในประเทศศรีลังกา ซึ่งมีความโหดร้ายทางการเมืองอย่างมากจาการฆ่าฟันกันระหว่างฝ่ายทมิฬกับ สิงหล ในขณะเดียวกันผู้กำกับ Romain Gavras ก่อนหน้านี้ก็เคยมีผลงานเป็นเอ็มวีเพลง The Age of The Understatement ของวง The Last Shadow Puppets ที่เป็นภาพสมาิชิกวงเดินไปทั่วกรุงมอสโคว ประเทศรัสเซีย ซึ่งบรรยากาศออกมาเหมือนสมัยโซเวียตล่มสลายใหม่ๆ เป็นอย่างมาก ว่าแล้วเราลองไปดูเอ็มวีกัน (คำเตือน: เหมาะสำหรับผู้มีอายุมากกว่า 18 ปี ขึ้นไป)M.I.A, Born Free from ROMAIN-GAVRAS on Vimeo .
แน่นอนว่าเมื่อเอ็วมีถูกปล่อยออกมา มันก็กลายเป็นที่ถกเถียงถึงความแรงของมันทันที ว่าตกลงแล้วมัน ทรงพลัง หรือ ไร้ความหมาย กันแน่ Ian Hamrick นักแสดงวัย 12 ปีที่ถูกยิงหัวระเบิดในเอ็มวีกล่าวว่า "นี่คือการเน้นย้ำความรุนแรง เพื่อหยุดความรุนแรง" แต่ก็มีคำถามจากอีกฝ่ายว่ามันจำเป็นด้วยหรือที่เนื้อหาในเอ็มวีจะต้องรุนแรง ขนาดนั้น / มันแรงก็จริง แต่ดูเหมือนมันจะไม่ค่อยสื่อสารอะไร / และที่สำคัญที่สุดคือ ผู้สร้างทำไปเพื่อความสะใจ หรือความต้องการโจมตีชาติใดเป็นพิเศษเท่านั้นหรือเปล่า แนวคิดการต่อต้านความรุนแรงด้วยความรุนแรงไม่ใช่เรื่องใหม่ในสังคม อย่างหนังสงครามหลายเรื่องก็ใช้วิธีการเช่นนี้ เพียงแต่ว่าอาจทำด้วยรูปแบบที่คมคายกว่าหรือมีชั้นเชิงมากกว่า ตัวอย่างที่ดีของกรณีคือ The Hurt Locker หนังออสการ์ปีล่าสุดที่แสดงให้ความถึงความบ้าระห่ำของทหารกู้ระเบิดในอิรัก แต่ในขณะเดียวกันหนังก็สะท้อนความเป็นมนุษย์โดยไม่ต้องเข้าข้างฝ่ายใด หรือมุ่งร้ายต่อใคร และเป็นเรื่องบังเอิญเหลือว่าในขณะที่เอ็มวี Born Free โจมจีทหารอเมริกันอย่างรุนแรง ในช่วงเดียวกันก็ดันมีไวรัลคลิปสุดฮิต ที่เป็นภาพของทหารอเมริกันในอัฟกานิสถาน ล้อเลียนเอ็มวีเพลง Telephone ของ Lady Gaga อย่างสุดเหวี่ยง ทหารอเมริกันกลุ่มนี้บอกว่าพวกเขาทำเอ็มวีบ้าๆ ตัวนี้ขึ้นมาเพราะว่า พวกเขาว่างและเบื่อมาก! (ทหารที่ไปประจำต่างแดนแบบนี้บางทีต้องนั่งเฝ้าฐานทั้งวันโดยที่ไม่มีอะไร เกิดขึ้นเลย) ดังนั้นในความฮาของคลิปนี้ มันจึงมีความเศร้าแฝงอยู่ และคลิปนี้จึงเป็นเหมือนขั้วตรงข้ามของ Born Free โดยไม่ได้ตั้งใจ มันกำลังบอกกับเราว่าทหารอเมริกันเหล่านี้ก็มีชีวิตจิตใจเหมือนกับเราๆ ท่านๆ นั่นแล
Create Date : 07 พฤษภาคม 2553
6 comments
Last Update : 7 พฤษภาคม 2553 13:19:47 น.
Counter : 4125 Pageviews.
ผลงานในเดือนนี้
* นิตยสาร FINE ART ฉบับที่ 67 (พฤษภาคม 2553) เขียนถึงหนังเรื่อง Moon ครับ
* นิตยสาร BIOSCOPE ฉบับที่ 102 (พฤษภาคม 2553) คอลัมน์การ์ตูน เหมือนเดิมครับ
* นิตยสารละครยามเช้า ฉบับที่ 4 เขียนถึงหนังเรื่อง The Farewell - Brecht's Last Summer และ Hedwig and the Angry Inch (ดูรายละเอียดที่ //lakornyamchao.exteen.com/)
* เทอมหน้าสอนวิชา Flm Business มหาลัยเดิมจ้า
จบการอัพเดท