http://twitter.com/merveillesxx และ http://www.facebook.com/merpage
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2553
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
30 มิถุนายน 2553
 
All Blogs
 

5 หนังโดดเด้งจาก กางจอสิบเจ็ด ลูกเป็ดขี้เหร่

by merveillesxx



(หมายเหตุ - ออนไลน์ครั้งแรกที่ //www.fuse.in.th/blogs/comment/3169)


ผ่านไปแล้ว สำหรับงานกางจอครั้งที่ 17 งานฉายหนังตัวจบ ของเหล่านิสิต คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ที่จัดเป็นประจำทุกปี โดยปีนี้ใช้ชื่อว่า "ลูกเป็ดขี้เหร่" โดยภาพรวมแล้วหนังปีนี้ก็ค่อนข้างโอเค และมีหลายเรื่องน่าสนใจทีเดียว พูดได้ว่าลูกเป็ดบางตัวก็เป็นหงส์ที่ออกบินได้อย่างสวยงาม แม้จะบินผิดท่าผิดทางไปบ้างก็ตาม

ทั้งนี้เราขอเลือก 5 หนังที่น่าสนใจจากงานมาเล่าสู่กันฟัง

(** ความเห็นบางส่วน เรียบเรียงจากคอมเมนต์ของวิทยากร 5 ท่าน ได้แก่ จิระ มะลิกุล, คมภิญญ์ เข็มกำเนิด, อลงกต เื้อื้อไพบูลย์, ไกรวุฒิ จุลพงศธร และ ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ขอขอบคุณทุกท่านไว้ ณ ที่นี้)




เราคุ้นเคยชื่อของ เมธัส ศิรินาวิน ในฐานะคนทำหนังโหด-คัลต์-เลือดสาด (จากงานชิ้นก่อนๆ อย่าง หล่อสัตว์สัตว์ หรือ มึงฆ่าแฟนกู) เมื่อได้ยินข่าวว่าเมธัสจะหันมาทำหนังรัก เราก็อดแปลกใจไม่ได้ แต่แล้;หนังเรื่องนี้ก็ถือเป็นการปิดฉากการทำหนังสั้นนักศึกษาของเขาอย่าง สวยงาม

หนังอิงจากประสบการณ์จริงของเมธัส ว่าด้วยเด็กหนุ่มที่ไปหลงรักลูกสาวร้านขายของชำ เขาก็เลยลงทุนไปซื้อเป็ปซี่ทุกวัน แต่แล้วอยู่ดีๆ สาวเจ้าก็เลือดกระฉูดตายไปซะงั้น หลังจากนั้นเธอปรากฏให้พระเอกเห็นอีกครั้ง หนังไม่บอกชัดเจนว่านี่คือผี, วิญญาณ หรือภาพหลอนของฝ่ายชาย เขาเริ่มลุ่มหลงหมกมุ่นกับเธอมากเรื่อยๆ แต่ก็ดูตลกขบขันในสายตาคนดู ก่อนที่หนังทวีความจริงจังมากขึ้น เช่นภาพของถุงเป็ปซี่ที่เขาเก็บสะสมไว้เป็นร้อย หรือการที่เขาเริ่มตระหนักได้ว่าสิ่งที่เขาทำไปอาจเปล่าประโยชน์

การผสมผสานระหว่างความตลกกับความซีเรียส เจือความหลอกหลอนเล็กน้อย เป็นสิ่งที่หนังทำได้ลงตัว การแสดงของนักแสดงชายก็น่าเชื่อถือ อย่างไรก็ดี ผู้เขียนมีความรู้สึกว่าหนังน่าจะไปไกลกว่านี้ และรู้สึกว่าฉากแถมตอนท้ายอันเป็นเรื่องราวของชาติต่อไปดูไม่จำเป็นนัก




เห็นทั้งความยาว 40 นาที และพล็อตเรื่องที่ว่าด้วยโรคเอดส์ ตอนแรกก็แอบหวั่นใจกับหนังเหมือนกัน แต่สุดท้ายหนังเรื่องนี้ก็ไม่ได้ยืดยาวน่าเบื่อ หรือเป็นหนังรณรงค์ดาดๆ แต่อย่างใด แต่เป็นหนังที่มีความเป็นมนุษย์และสะท้อนมิติของมนุษย์ได้ดี หนังเล่าถึงน็อต เกย์หนุ่มที่เผลอมีเซ็กซ์กับคนแปลกหน้าโดยไม่ได้ใส่ถุงยาง เขาวิตกจริตกลัวว่าจะติดเอดส์ พล็อตหลักจึงว่าการหาหนทางรักษา และตามหาชายแปลกหน้าในคืนนั้น ส่วนพล็อตรองของหนังก็ว่าด้วยแม่ของน็อตที่ค่อยๆ ค้นพบเรื่องเพศสภาพของลูก

อันที่จริงแล้วตัวหนังมีองค์ประกอบที่แปร่งๆ อย่างหลายส่วน แต่ผู้กำกับสามารถเอามันอยู่ได้ เช่น เพลงประกอบที่ยัดทะนานเข้ามา จนราวกับจะเป็นอัลบั้มรวมฮิต แต่จังหวะการใช้เพลงก็ค่อนข้างแม่นยำ หรือบทสนทนาที่เป็นภาษาเขียนอยู่หลายตอน แต่การแสดงที่เป็นธรรมชาิติก็ช่วยตรงนี้ได้ (โดยเฉพาะตัวละครเื่พื่อนเกย์สาวของน็อต กับประโยคว่าด้วยความเป็นเด็กและผู้ใหญ่) แต่ส่วนที่เกินเลยของหนังที่ผู้กำกับเอาไม่อยู่ก็มี เช่น เสียงวอยซ์โอเวอร์ช่วงท้ายที่ยัดเยียดเกินไป หรือพล็อตส่วนของแม่และพ่อที่นอนรอความตายของน็อตที่ดูไม่มีผลสักเท่าไรกับ เรื่อง แต่หนังก็มีความน่าสนใจเรื่องความย้อนแย้งบางอย่าง เช่น ชายแปลกหน้าเป็นนักเรียนแพทย์, หมอของน็อตที่ดูเย็นชา หรือพฤติกรรมของพระเอกในฉากจบ

อีกสิ่งที่น่าเสียดายคือความยาว 40 นาทีของหนัง ที่อาจทำให้พลาดโอกาสประกวดบนเวทีต่างๆ ไปซึ่งกำหนดความยาวปกติ 30 นาที เพราะหนังสามารถตัดทอนบางส่วนได้ โดยไม่เสียหายนัก




ใครก็ต่างพูดว่ามันคือ "ของเหลวที่หลั่งจากกาย" ของปีนี้ มันเป็นหนังประเภทที่รื้อถอนโครงสร้างของหนังเล่าเรื่องแบบทั่วไป ถ้าให้้สรุปเรื่องคร่าวๆ มันว่าด้วยผู้กำกับอารมณ์ร้อน (ซึ่งอาจจะตัวแทนของผู้กำกับของหนังเรื่องนี้) กับกองถ่ายที่เต็มไปด้วยวุ่นวาย อาทิ ช่างแต่งหน้าที่พูดหลายภาษา, นางเอกคุณหนูเจ้าน้ำตา ไปจนกระทั่งรถที่ระเบิดกลางกองถ่าย ธีมหลักอย่างหนึ่งของหนังเรื่องนี้คงพูดแบบขำๆ ได้ว่า "การทำหนังคือศูนย์รวมแห่งความชิบหาย"

หนังทะเยอะทะยานมาก ในการเล่นกับรูปแบบ เช่น การล้อตระกูล (Genre) ต่างๆ ของหนัง โดยเปิดมาเป็นหนังหายนะ (disaster film), ตอนที่นางเอกถ่ายโฆษณาก็ดูเป็นเมโลดราม่า, ผู้กำกับเข้าไปในห้องเก็บของกลายเป็นหนังระทึกขวัญ หรือช่วงท้ายสุดที่ดูหลอกหลอนแบบหนังไซไฟ หนังยังเล่าแบบไม่ลำดับเวลา และมีมุกกวนประสาทคนดูมากมาย อาทิ ตัวละครหยิบรีโมทมาเปลี่ยนภาษาพูดของตัวเอง หรือการกรอหนังไปมา แต่ส่วนที่น่าชื่นชมที่สุดของหนังคือโปรดักชันและการถ่ายภาพระดับห้าดาว โดยเฉพาะฉากไฟกองถ่ายล้ม ที่ดูแล้วแทบจะกราบกรานกันไป

ถึงกระนั้นความแปลกแหวกของหนังก็เป็นดาบสองคมในตัวมันเอง แน่นอนว่าคนดูกลุ่มใหญ่อาจรู้สึกถอยห่างกับหนัง ในขณะที่คนดูกลุ่มที่ดูหนังมาจำนวนหนึ่งก็จะรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ระเบิด ของมากจนเกินไป เป็นความรู้สึกเหมือนใครกำลังตะโกนใส่หน้าเราตลอดเวลา แต่ก็เป็นเรื่องดีที่ช่วงท้ายของหนังมีอารมณ์ที่สงบนิ่ง และน่าฉงนสงสัยราวกับ The Matrix Reloaded การจบด้วยฉากที่โรงหนังห้อง ดร.เทียม (ซึ่งปกติเป็นที่จัดฉายงานกางจอ แต่ปีนี้เปลี่ยนมาที่หอศิลป์ กทม.) ก็ทำให้หนังเรื่องนี้เป็นงานคอนเซ็ปต์ที่สมบูรณ์ในตัวมันเอง




นี่อาจถือได้ว่าเป็นหนังที่เนื้อเรื่องดูธรรมดาสุด แต่ก็เป็นหนังที่แข็งแรงที่สุดในกางจอปีนี้ หนังเล่าถึงพ่อที่พยายามสอนลูกสาวขับรถ แต่ระหว่างทางก็เต็มไปด้วยความทุลักทุเล พ่อก็ด่าว่าที่ลูกสาวทำตัวเงอะงะ ส่วนฝ่ายลูกสาวก็สวนกลับว่าที่แท้พ่อนั่นแหละที่ไม่เคยสนใจหรือรับฟังลูก ทั้งหมดทั้งมวลนำไปสู่การไม่มองหน้ากันในที่สุด

หนังมีเพียงตัวละครหลักสองตัว โดดเด่นด้วยการนำเสนอแบบสมจริง ผู้กำกับใช้วิธีการตั้งกล้องนิ่งๆ ที่หน้ารถ อันถือเป็นวิธีที่ท้าทายอย่างยิ่ง (เช่น ผู้กำกับจะได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากสั่งคัทและมาเช็คฟุตเทจในกล้อง หรือถ้าหนังทำได้ไม่ถึงก็จะน่าเบื่อทันที) การแสดงของนักแสดงทั้งสองก็ทำได้ดี แม้ว่าตัวพ่อจะพูดติดขัดไปบ้าง หนังยังน่าสนใจตรงที่ผู้กำกับจงใจให้ผู้ชมไม่เห็นตัวละครแม่ กล่าวคือทั้งพ่อและลูกสาวต่างปรับทุกข์หรือบ่นถึงอีกฝ่ายกับแม่ แต่ตัวละครของแม่จะไม่เคยโผล่เข้ามาในเฟรมตลอดทั้งเรื่อง หนังเรื่องนี้จึงสะท้อนภาพของสังคมไทยหลายประการ ทั้งเรื่องบทบาทของผู้หญิงที่แสนจะ passive ในฐานะแม่และเมีย, การปกครองที่ฝ่ายชายเป็นใหญ่ รวมถึงการขับรถก็บอกเล่าอคติของผู้ชายต่อผู้หญิงได้ เช่น เวลาผู้ชายเจอรถคันหน้าที่ขับห่วยๆ ก็บอกจะพูดว่า "ผู้หญิงขับแน่ๆ"

สิ่งที่น่าดีใจคือ หนังไม่เลือกตอนจบแบบไม่เข้าท่า ประเภทพ่อลูกคืนดีกันอย่างตื้นเขิน หรือพ่อขับรถชนตายจนลูกมานั่งร้องไห้เสียที ตอนจบที่นางเอกตอบกับครูสอนขับรถว่าไม่เคยเรียนกับรถกับใครมาก่อน ถือเป็นประโยคง่ายๆ ที่คมคายและสะเทือนลึกในใจผู้ชม




และปิดท้ายด้วยหนังที่เฮี้ยนที่สุดในงาน กับหนังเรื่อง คนธรรพ์ ที่รับรองจะเป็นที่โจษจันไปตลอดปีนี้ หนังว่าด้วยครอบครัวพ่อ-แม่-ลูก ที่พ่อชอบการปลูกต้นไม้เป็นชีวิตจิตใจ ขณะเดียวกันลูกก็ไปค้นพบต้นไม้ประหลาด (ที่มากับซีจีสุดเหวอ) ต่อมาต้นไม้นี้ก็ค่อยๆ โตขึ้น ส่วนแม่ก็บ่นว่าได้กลิ่นเหม็นประหลาด และต่อว่าสามีที่ไม่ทำงานทำการ เอาแต่ปลูกต้นไม้และสะสมของไร้สาระ หนังนำมาสู่จุดคาดเดาไม่ได้เมื่อต้นไม้ที่ว่าคือมักกะลีผล มีหญิงสาวออกมาจากต้นไม้ ยังไม่พอ...ต้นไม้ที่ว่ายังมีเทพารักษ์ออกมาด้วย โอ๊ย นี่มันอะไรกัน

หนังเต็มไปด้วยเหนือจริงสุดขั้ว ความตลกสุดขีด จากเอฟเฟกต์แบบบ้านๆ คาดไม่ถึง และการแสดงระดับร้อยแรงม้าของตัวละครคุณแม่ ในฉากเด็ด ถ่ายลองเทค ที่เธอด่าผัวเป็นชุด จนตัวเองร้องไห้เป็นเลือด (!) แถมยิ่งฮา ที่คุณแม่โกรธเมื่อเห็นสามีอุ้มนางมักกะลีผลเข้ามาในบ้าน แต่เธอกลับด่าเขาเรื่องเงินทองไม่พอใช้ในบ้าน (!) มันเป็นหนังที่เล่นกับเสน่ห์ของความเชื่อแบบไทยๆ ได้อย่างน่ารักน่าชัง ให้กลิ่นบรรยากาศแบบเรื่องเล่าของป้าเจนในหนังของอภิชาติพงศ์

มีข่าวลือว่าหนังไม่สมบูรณ์เพราะฟุตเทจหายไปสองชุด จนหนังเปลี่ยนไปในทิศทางที่ทีมงานไม่คาดคิด แต่ผู้เขียนก็อยากจะบอกว่า...แบบนี้น่ะดีแล้ว :-)





 

Create Date : 30 มิถุนายน 2553
5 comments
Last Update : 30 มิถุนายน 2553 3:39:53 น.
Counter : 2174 Pageviews.

 


(Copy from my facebook)


Films

1. Uncle Boonmee Who Can Recall His Past Lives (A+++++)

2. The Ghost Writer (A+)
128 นาทีแห่งความเพลิดเพลิน นี่แหละหนังระทึกขวัญแบบไม่ต้องตุ้งแช่ หรือยัดทะนานสารพัดสิ่งอะไรมากมาย / สดุดีโปลันสกี้ ขอให้เค้าได้ทำหนังต่อไป และสัญญาว่าจะย้อนหางานเก่ามาดูให้มากขึ้น / ชอบการแสดงของ Olivia Williams มากๆๆๆๆ / ชอบสกอร์ของ Alexandre Desplat ด้วย

3. The Private Lives of Pippa Lee (A-)
วิโนน่า ไรเดอร์ หนักมากกกกก

4. เราสองสามคน (C+)

One of the most annoying film I've ever seen. All characters look like a retard. I wish they have a car crash every minute I'm sitting in the cinema.

คือรู้สึกอยากเอาอีนางเอกสองตัว นี้ไปเก็บช่องผัก แล้วเอาพี่เจเป็นผัวแทน อย่างไรก็ดี ในช่วงท้ายๆ พี่เจก็ปัญญาอ่อนได้โล่ได้ทีเดี ยว จนอยากให้โดนรถชนตายไป (ในหนังนะจ๊ะ)



Stage Play

1. VIP (A+/A)

2. สุดทางที่บางแคร์ (A)


Art Exhibition

1. Brand New 2010 @ Chula Art Center (B+/B)

2. Oud Oud @ Whitespace (A-)

3. Lowwrong (Un) cover @ Creative House Bangkok (B)

4. Liberation @ 100 Tonson (A-)

5. Ploy Saeng 6 @ TCDC (B)


 

โดย: merveillesxx 30 มิถุนายน 2553 3:45:26 น.  

 

 

โดย: หาแฟนตัวเป็นเกลียว 30 มิถุนายน 2553 8:23:05 น.  

 

กร๊าก ไม่อยากบอกเลยว่า อ่านเรื่อง On the Road แล้วนึกถึงตอนตัวเองหัดขับรถกับพ่อว่ะ แต่คงไม่มีอะไรดราม่าขนาดนั้น
ถึงฉันเกือบจะทำรถชนจนพ่อหน้าหงิก แต่วันที่ชั้นรถคว่ำ ชั้นก็ได้รู้ว่า เออ รถมันก็ไม่มีค่าเท่าชีวิตชั้นหรอก วะฮะฮ่า

แต่ตอนไปเรียนขับรถ ชั้นก็บอกครูเหมือนกันว่า "ไม่เคยเรียนมาก่อน" 555
แต่กับคนอื่นบอกหมดแหละ ว่าเคยพุ่งเข้าโกลตอนหัดขับกับพ่อไปอย่างสวยงามแค่ไหน

ปล. ชั้นกำลังคิดอยู่ว่า ปัญหาของหนังเรื่องเราสองสามคนคืออะไร
ยังไงก็ตาม นักเดิาทางหล่อๆเท่ๆแบบเจอ่ะ มันไม่มีหรอก
ที่ชั้นเคยเจอก็มีแต่ ตี๋ๆ อวบๆ แล้วก็ หน้าหม้อโคตรๆ

 

โดย: เสจัง IP: 125.26.162.88 2 กรกฎาคม 2553 1:17:45 น.  

 

จะมีโอกาสได้ดูไหมหนอเรา??? T_T

เราสองสามคน - น้องเอลลี่เป็นไงบ้าง???

 

โดย: Seam - C IP: 58.9.193.195 3 กรกฎาคม 2553 9:45:09 น.  

 

โผล่มาไม่กี่วิเอง

 

โดย: merveillesxx 9 กรกฎาคม 2553 7:24:57 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


merveillesxx
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 58 คน [?]




สำส่อนทางการดูหนัง ฟังเพลงและเสพวรรณกรรม
New Comments
Friends' blogs
[Add merveillesxx's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.