ถนนสายนี้มีตะพาบโครงการที่ 68 "สลับร่างสร้างบล็อก"
ให้เขียนบล็อก โดยพยายามใช้สำนวนภาษาของบล็อกเกอร์
คนอื่นหรือจะเป็นสำนวนสำเนียงของนักเขียนที่ชื่นชอบ ก็ได้ไม่ว่ากัน
แล้วแต่ใครอยากจะเขียนด้วยสำนวนภาษาและสไตล์ของใคร
เอาให้ถูกใจตัวเองเข้าไว้ ยิ่งเหมือน ยิ่งดี
โจทย์ไอเดียสร้างสรรค์นี้โดยน้อง ชีริว หนุ่มโสดอารมณ์ดีของเรานี่เอง
ขอให้ชื่อตอนนี้ว่า
"ก๋าราณีตอบปัญหาน้องเสีอภูเขา"
:: ก๋าราณีตอบปัญหาน้องเสือภูเขา ::
ทำดีอย่างไรถึงจะไม่เป็นทุกข์ทีหลังครับ
บางครั้งทำดีกับคนอื่น เขาไม่เห็นคุณค่าเลย
เราต้องมาเสียใจทีหลังทุกที
หรือว่าสังคมตอนนี้มีแต่คนไม่ดีเสียแล้ว
เดี๋ยวนี้ไม่อยากทำดีกับใครกลัวเจ็บอีก?
คำถามโดย : น้องเสือภูเขาหิมาลัยซอยสี่
วันที่ : 12 /12/ 2012
เวลา : 12:12:12 น.?
พี่อ๋าเอ๊ยพี่ก๋าว่าคำถามนี้แยกเป็นสองข้อนะครับ ^^
คำถามข้อแรกคนเรานั้นดีหรือไม่ดี?
สมัยพี่ก๋า ^^เป็นวัยรุ่นเคยคิดทฤษฎีแปลกๆ
ว่า คนเราแท้จริงแล้วพื้นฐานจิตใจเป็นคนไม่ดี
ที่ทำดีเพราะหวังผลประโยชน์ตอบแทน ไม่มีผลตอบแทนก็ไม่ทำ
แล้วก็พยายามหาตัวอย่างมาสนับสนุนความคิดของตัวเอง
ลองคิดและทำแบบที่ตัวเองคิด
พยายามคิดและมองว่าคนอื่นเป็นคนไม่ดี
ทำอะไรเพราะตัวเองได้ประโยชน์
ไม่มีประโยชน์ก็ไม่ทำ
แต่ว่าพี่ก๋าล้มเหลวครับ ไม่สามารถหาคนที่มีแต่เลวเพียงอย่างเดียวได้ เช่น
บางทีคนเลวสุดๆคนนั้นเขาก็ยังรักลูกรักเมีย รักญาติพี่น้องทุ่มเทเต็มที่
บางคนหงุดหงิดเจ้าอารมณ์เอาแต่ใจ แต่เขาก็ชอบเล่าเรื่องตลกๆขำๆ
ให้คนอื่นอารมณ์ดีได้ยิ้มแม้ว่าบางที่ไม่ค่อยตลก แต่ก็พยายามเต็มที่
บางคนหน้าบูด วันๆไม่ค่อยจะพูดจากับใคร ใครจะยิ้มจะทำอะไรให้ก็เฉย
แต่ก็รักหมารักแมวเหมือนลูก แถมรักยิ่งกว่าลูกแท้ๆของตัวเองเสียอีก
เสียดายที่ไม่ค่อยจะรักเมตตาคนด้วยกัน อันนี้ก็เห็นกันได้บ่อยๆ
พี่ก๋าเลยสรุปได้ว่า
ส่วนใหญ่แล้วคนเรามีดีและเลวปะปนกัน มีดีมากกว่าเลว หรือเลวมากกว่าดี
ไม่มีใครที่เลวอย่างเดียว หรือ ดีอย่างเดียว เพราะว่าความเห็นและการ
กระทำของเรายังไม่ถูกต้องดีงามทั้งหมด
บางเรื่องเราก็คิดผิดทำผิด บางเรื่องเราก็คิดถูกทำถูก
บางวันก็อารมณ์ดีคิดดีทำดี บางวันก็อารมณ์ไม่ดีคิดร้ายทำเลวๆ
บางเรื่องก็เป็นนิสัยแย่ๆที่แก้ยาก เช่นชอบพูดหรือแสดงกิริยาแย่ๆใส่คนอื่น
และก็พบว่า
เราทุกคนมีคนที่สนิทและไม่สนิทด้วย
บางคนเขาชอบเราทำดีกับเรา
บางคนเขาไม่ชอบเราทำไม่ดีกับเรา
บางคนก็เฉยๆกับเราทำเฉยๆกับเรา
บางคนทำถูกใจเรา เราก็ว่าเขาดีกับเรา
บางคนทำไม่ถูกใจเรา เราก็ว่าเขาไม่ดีก็ได้
ในส่วนตัวเราเอง การทำไม่ดีสำหรับคนดีแล้วก็ทำยากนะครับ
จะให้ไปทำร้ายใคร จะให้ไปด่าใคร เบียดเบียนใคร
จะไม่ไปช่วยคนที่เขาทุกข์ยากลำบากอยู่ทั้งๆที่ไม่เกินกำลังเราที่จะช่วย
ก็ลำบากใจทั้งนั้นเลย เพราะมันฝืนความรู้สึกในใจ
บางทีก็กลับมานั่งเสียใจที่ไม่ได้ช่วยเขาด้วยซ้ำไป
สุดท้ายพี่ก๋าเลยสรุปทฤษฎีใหม่ว่า
โดยพื้นฐานแล้วคนทุกคนเป็นคนดีแต่ว่าที่ทำเลวเพราะหลายๆเหตุปัจจัย
ที่แต่ละคนสั่งสมกันมา
เช่น อุปนิสัยใจคอ อัตตามานะทิฐิ สติปัญญาความคิด
ความชอบ ความรักความเกลียจในใจของเขา แล้วแต่มุมมองความเชื่อ
ทัศนคติ ชีวิตการงาน ภาระหน้าที่ตำแหน่งเอื้อต่อการทำดีทำชั่วแค่ไหน
และพี่ก๋ายังสรุปได้อีกว่า
ไม่มีใครเลยที่ทำให้คนอื่นมีทุกข์แล้วตัวเองจะสุขอยู่ได้
ไม่มีเลยจริงๆ เพราะในใจของมนุษย์ทุกคนนี้สูงพอ
ที่จะรู้ว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก สิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร
การปฏิเสธความจริงด้วยความคิดความเชื่อว่า
"ถ้าเราคิดว่าเราเป็นก้อนหินที่ไร้หัวใจ เราไม่คิดว่าทุกข์ มันจะไม่ทุกข์"
แบบที่คนสมัยนี้ชอบคิดกันนั้น เป็นไปไม่ได้เลย
แม้แต่นักโทษที่เลวที่สุดในคุกก็ยังรังเกียจคนที่ผิดในข้อหาหนัก
มากกว่าตัวเอง เช่นฆ่าพ่อแม่ ฆ่าข่มขื่นลักทรัพย์ จนถึงขนาดไม่ยอมคบด้วย
ข้อที่สองคือทำไมทำดีแล้วจึงรู้สึกทุกข์ใจภายหลัง?
พระท่านว่า
คนเลวทำเลวได้ง่ายทำดีได้ยาก
คนดีทำดีได้ง่ายทำเลวได้ยาก
เมื่อเราทำความดีเรามีความสุขในใจทันทีโดยไม่ต้องคิดหวังอะไรเลย
การทำความดีเป็นการลดกิเลสตัณหาในใจของเรา และยกใจเราให้สูงขึ้น
เมื่อเรารู้จักให้ ความรู้สึกอยากในใจก็ลดลง ลดทิฐิมานะ
แต่ใจของเราที่มุ่งหวังการตอบแทนก็คอยฉุดใจเราให้ต่ำลง
เป็นกิเลสที่เข้ามาแทรกในการให้นั้น
ด้วยเป็นธรรมดาของคนทั่วๆไปที่ทำอะไรก็มักหวังสิ่งตอบแทนเสมอ
วิธีที่ดีก็คือต้องวางใจที่จะให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนด้วยสติปัญญา
ฝึกที่จะให้บ่อยๆให้เป็นนิสัย
"ให้แล้วพยายามลืม ให้แล้วก็แล้วกันไป"
การฝึกการให้แบบนี้สำคัญมากๆ
คนที่จะยิ่งใหญ่และเป็นผู้นำที่ดีนั้นเขาให้ได้มากจริงๆ
ให้น้ำใจ ให้ความช่วยเหลือ ให้ความเสียสละสิ่งของแรงกายแรงใจ
ไม่กลัวว่าเมื่อทำแล้วตนจะได้รับอะไรตอบแทนกลับมา
หรือได้รับความยากลำบากสักเพียงใดก็ตาม
มีอีกหนึ่งข้อคิดที่เป็นจริงและควรจดจำก็คือ
คนเราให้ได้เท่าที่ตัวเองนั้นมี
สิ่งที่ตัวเองมีนั้นอาจไม่ใช่ปริมาณเงินทองสิ่งของแต่เป็นจิตใจที่
รู้สึกว่า"มีและพอใจ"ในชีวิตของตัวเอง
ถ้าเรารู้จักมีและพอใจได้เมื่อไหร่ เราก็เป็นเศรษฐีได้เดี๋ยวนี้เลย
คนที่รวยร้อยล้านอาจจะให้ใครไม่ได้เพราะใจเขายังไม่รู้จักอิ่มไม่รู้จักเต็ม
คนที่มีเงินพอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องก็อาจจะทำบุญได้ตามฐานะอย่างมีความสุข
เราให้ได้เท่าที่ตัวเองไม่ลำบาก และ เต็มใจที่จะให้
ยิ่งมีใจที่เต็มเปี่ยมด้วยความรักความเมตตาก็สามารถให้ได้มากขึ้นเท่านั้น
ส่วนใหญ่การให้ก็ไม่ต้องเสียเงินเสียด้วย
ให้รอยยิ้ม ให้การทักทาย ให้คำพูดที่ไพเราะน่าฟัง ให้น้ำใจ ให้มิตรภาพ"
การให้แบบนี้เราให้ได้ตลอดเวลากับคนที่อยู่รอบๆตัวเรา
ยิ่งอยากได้ ใจของเราจะยิ่งแคบ
ยิ่งอยากให้ ใจของเราก็จะยิ่งกว้าง
ยิ่งให้ได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้รับกลับมามากเท่านั้น
ฝึกให้อยู่เสมอๆ ใจเราก็เต็มและกว้างเท่าผืนดิน และท้องฟ้า
จิตใจที่เปี่ยมด้วยเมตตา ก็จะมีความสุขได้ง่ายขึ้นเรื่อยๆนะครับ
เราค่อยๆเรียนรู้การให้ได้เป็นลำดับๆขั้น ยกตัวอย่างเช่น
ให้โดยได้รับผลตอบแทนทุกครั้ง
ให้ด้วยความเต็มใจไม่หวังผลตอบแทน
แต่ก็ยังวางใจเฉยไม่ได้ต่อสิ่งที่ให้และผู้ให้
ให้ด้วยความเมตตา ไม่หวังผลตอบแทน แล้วก็วางใจเฉยกับการให้นั้นได้อย่างสมบูรณ์
ข้อสุดท้ายเป็นการให้ที่สมบูรณ์ที่สุดไม่เกิดทุกข์กับผู้ให้อย่างแท้จริง
ไม่ว่าคำพูด การกระทำ วัตถุสิ่งของใดๆก็ตามที่ออกจากตัวเราแล้ว
เราเรียกคืนไม่ได้ คนรับการช่วยเหลือเราก็ควบคุมความคิดของเขาไม่ได้
แต่เราพอจะควบคุมใจของเราได้แม้ว่าจะไม่ง่ายก็ตาม
ให้ถือว่าทุกสิ่งที่ทำเมื่อทำแล้วก็แล้วกันไป
สิ้นสุดลงที่ใจความพอใจเกิดขึ้นในขณะที่ได้ให้
ถือว่าเราให้แล้วเป็นบุญแล้ว
จะเกิดผลตอบแทนอย่างไรต่อมาไม่ใช่สิ่งที่เราจะควบคุมได้เลย
เป็นธรรมะสำคัญที่เรียกว่าอุเบกขา ทำให้ใจเรายิ่งใหญ่เสมอพระพรหม
ที่เรียกว่า"พรหมวิหารสี่"นั่นเอง
ทุกครั้งที่ให้การช่วยเหลือใคร ก็ให้น้องเสือภูเขาสังเกตจิตใจของตัวเองด้วย
ว่าการให้การช่วยเหลือนั้นอยู่ในระดับใด
และฝึกที่จะให้บ่อยๆ จิตก็จะเคยชินและค่อยๆมีใจที่สูงขึ้นๆ
ความทุกข์ก็จะลดลงๆ จิตใจก็จะมีความสุขมากขึ้นๆ
จนอยากที่จะให้บ่อยๆ ไม่เข็ดกับการให้อีกต่อไป
ชีวิตก็จะพบกับความสุขโปร่งโล่งเบาเย็นสบายเพราะไม่ได้แบกภาระไว้
เหมือนขุนเขาและสายน้ำที่ฉ่ำเย็น มีแต่คนรักและอยากอยู่ใกล้ๆ
เป็นคนที่มีประโยชน์และคุณค่าตลอดไปนะครับ
ขอบคุณเพื่อนๆประจำบล็อกทุกๆคนที่แวะเวียนมาทักทายกันทุกๆวัน
ขอบคุณทุกๆคนที่เข้ามาอ่านและร่วมติชมให้กำลังใจ
ขอบคุณน้องก๋าที่ยอมเป็นต้นแบบงานตะพาบสลับร่างครั้งนี้
ขอบคุณน้องชีริว ที่ตั้งโจทย์ดีๆ ให้คิดกัน
ขอบคุณน้องเป็ดที่ดำเนินงานตะพาบด้วยความเสียสละและมีน้ำใจนะครับ
Create Date : 12 พฤศจิกายน 2555 |
|
101 comments |
Last Update : 16 พฤศจิกายน 2555 15:26:20 น. |
Counter : 4181 Pageviews. |
|
|
|