ถนนสายนี้มีตะพาบประจำหลักกิโลเมตรที่ 117เรื่องเจ้ากรรมนายเวร
ถนนสายนี้มีตะพาบประจำหลักกิโลเมตรที่ 117เรื่องเจ้ากรรมนายเวร
โจทย์โดยน้องเป็นสวรรค์ ผู้ดูแลงานตะพาบของพวกเรานี่เอง
ขอตั้งชื่อตอนนี้ว่า ศรัทธาและปัญญา
ศรัทธาและปัญญา
สัตว์ทั้งหลาย เป็นผู้มีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มี
กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กระทำกรรมใดไว้ ดีก็ตามชั่วก็ตาม
จักเป็นผู้รับผลแห่งกรรมนั้น.
เราชาวพุทธมีความเชื่อ"เรื่องกฎแห่งกรรม"เป็นพื้นฐานของศาสนาพุทธเลยก็ว่าได้
เราเชื่อว่ามีการเวียนว่ายตายเกิดเพื่อรับผลแห่งการกระทำในอดีตชาติ
เหตุการณ์ทั้งหลายแหล่ที่เกิดในชีวิตทั้งดีและร้ายอธิบายด้วยกฎแห่งกรรมได้ทั้งสิ้น
เจ้ากรรมนายเวรโดยนิยามคือผู้ที่ถูกเราทำร้ายอย่างรุนแรงจนผู้นั้นผูกใจอาฆาต
จองเวรกับเราไม่ยอมไปผุดไปเกิด มีวิญญาณคอยจ้องจะทำร้ายเราในชาติปัจจุบัน
อาจเป็นเหตุการณ์ในชาตินี้หรือในชาติก่อนๆก็ได้
บางพวกก็บอกว่าผู้ที่ลงโทษเรา อาจไม่ใช่เจ้ากรรมนายเวรจริงๆ
แต่อาจจะเป็นเทวดาหรือพรหม ที่มีอำนาจมีอำนาจฤทธิ์เดชที่จะดลบันดาล
เหตุการณ์กับเรา ซึ่งฟังแล้วก็น่ากลัวกว่าผีสางนางไม้เสียสัมภเวสีอีก เราพึงระวัง
อย่างยิ่ง ไม่ไปพูดหรือไปกระทำการลบหลู่พวกท่านในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เด็ดขาด
การเชื่อเรื่องเจ้ากรรมนายเวรมีข้อดีในการอธิบายเหตุการณ์ร้ายๆหลายๆอย่าง
ว่ามีเจ้ากรรมนายเวรเป็นผู้กระทำ เช่นการเกิดอุบัติเหตุแบบไม่คาดฝัน
การเจ็บป่วยแบบไม่ทราบสาเหตุรักษาไม่หาย เช่นโรคประหลาดที่ไม่เคยมีใครเป็น
โรคร้ายแรงเช่นโรคมะเร็ง โรคประจำตัวที่สร้างความทุกข์ทรมานแก่เจ้าของโรค
การเกิดเหตุการณ์ร้ายๆขึ้นบ่อยๆในบ้าน ดวงไม่ดี การฝันร้าย เป็นต้น
แม้ความเชื่อเรื่องเจ้ากรรมนายเวรนี้ เป็นความเชื่อที่ไม่พบในพระไตรปิฎก
แต่ก็เป็นความเชื่อที่ได้รับความนิยมอย่างมากในสมัยปัจจุบัน
อาจเป็นเพราะคนสมัยนี้ไม่ค่อยกลัวเวรกลัวกรรมกันเท่าไหร่
สัญลักษณ์ในเรื่องกรรมจึงต้องสร้างให้น่ากลัว จึงต้องมี"เจ้ากรรมนายเวร" ตัวเป็นๆ
แบบวิญญาณมาตามหลอกหลอน คอยเอื้อมมือมาเป็นตัวเป็นตน
ในรูปแบบน่ากลัว มาดลใจเรา มาหมุนพวงมาลัย มาบีบคอทำร้ายเรา
มาฆ่าเราให้ตาย สมกับบาปเวรที่ได้กระทำลงไป
ขอเล่าเรื่องที่พบกับตัวเองให้เพื่อนๆได้อ่านกันสักหน่อยในเรื่อง"เจ้ากรรมนายเวร"นี้
เมื่อประมาณหกปีที่แล้วผมเคยป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ไซนัสอักเสบเรื้อรัง
ซึ่งผมนั้นเป็นมาตั้งแต่เด็กเป็นหนักชนิดที่ต้องรับประทานยาปฏิชีวนะ
อยู่ทุกๆสองสามเดือนเลยทีเดียวตลอดเวลาหลายสิบปีที่เป็นอย่างทรมาน
เพราะปวดหัวทุกวัน หายใจก็ไม่ออกเพราะมีน้ำมูกไหลตลอดเวลา
ชีวิตก็เหมือนคนที่สิ้นหวัง ท้อแท้ ไม่หายแต่ก็ไม่ตาย
ถ้าเป็นรุนแรงก็ต้องเข้าห้องผ่าตัดเพื่อดมยา ผ่าตัดเจาะล้างไซนัสกันสักทีหนึ่ง
ผ่าตัดแต่ละครั้งเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสเลยทีเดียว
แล้ววันหนึ่งซึ่งเหมือนฟ้าดินมีเมตตา หรือกรรมเก่าจะหมดสิ้นไปก็ไม่ทราบ
คือได้มีคณะพลังกายทิพย์มาจากกรุงเทพ นำโดยคุณย่าเยาวเรศ บุนนาคซึ่งเป็น
ประธานชมรมได้มาสอนวิธีรักษาตัวเองด้วยวิชานี้ให้กับเจ้าหน้าที่รพ.อภัยภูเบศร
ที่ผมอยู่ หลักสูตร 6 วันจันทร์ถึงเสาร์
วิชานี้เป็นวิชาที่เรียนเกี่ยวกับการรักษาตัวเองด้วยการใช้พลังสมาธิ
โดยการเพ่งไปยังจุดสำคัญที่เรียกว่าจักระในร่างกายแล้ว
ถ่ายทอดไปยังอวัยะที่มีความผิดปกติเพื่อการรักษา
ซึ่งพื้นฐานเรื่องจักระนี้เหมือนวิชาโยคะของอินเดีย หรือ ชี่กงของประเทศจีนนั่นเอง
เมื่อเรียนแล้วต้องถือศีลห้า สวดมนต์นั่งสมาธิทุกวัน
ถ้าทำได้ก็จะมีพลังสามารถรักษาตัวเองและผู้อื่นได้ด้วย
เมื่อผมเรียนไปวันที่สี่ คุณย่าท่านมาบอกว่า
ท่านมองเห็นว่าผมมีวิญญาณงูสองตัวสิงอยู่ในร่างกาย
เป็น"เจ้ากรรมนายเวร"ไปอุดตันจักระไว้ทำให้อาการเจ็บป่วยรุนแรงไม่หายสักที
ท่านจึงถามว่า "ผมไปตีงูที่ไหนมาหรือ?"
ผมถึงกับอึ้ง เพราะผมตีลูกงูตายไปจริงๆสองตัวก่อนหน้านั้นหลายปี
ซึ่งปกติผมก็แทบจะไม่ได้ตบยุ่ง หรือบี้แมลงด้วยซ้ำไป
ตัวแรกอยู่ที่ข้างบ้านพัก รพ. ผมกลัวมันจะเข้าบ้าน
เพราะตอนนั้นลูกชายผมยังเล็กๆอยู่
ตัวที่สองผมตีตายเพราะว่ามันกัดผม ต้องตีเพื่อเอาไปให้หมอดู
จะได้ให้เซรุ่มได้ถูกชนิดของงู ผมเล่าเรื่องให้คุณย่าฟังจนหมด
และท่านได้ทำพิธีไล่วิญญาณงูในตัวผมออกไป ในตอนบ่ายของวันรุ่งขึ้น
หลังจากจบคอร์สแล้วผมก็ได้ใช้วิชาพลังกายทิพย์นี้รักษา
ตัวเองมาจนถึงทุกวันนี้อาการก็ดีขึ้นมากอย่างกับเป็นคนละคน
หนทางชีวิตก็ไม่ได้มืดมนอยู่กับความเจ็บป่วยเหมือนเก่า
ถ้าท่านสนใจแวะคลิ๊กลิงค์ด้านล่างไปชมรายละเอียดได้ที่
สถาบันพลังกายทิพย์เพื่อสุขภาพ
เปิดสอนให้ผู้สนใจฟรี โดยไม่คิดมูลค่าใดๆทั้งสิ้น
ท่านอาจได้รับโอกาสดีๆในชีวิตแบบผมก็ได้ ^^
ถึงจะมีข้อโต้แย้งว่าเจ้ากรรมนายเวรไม่น่าจะมีจริง
เพราะทุกคนล้วนต้องเวียนว่ายตายเกิดไปตามกรรมที่ตัวเองได้กระทำไว้
ไม่น่าจะมีใครมารอคอยใครได้นานๆชนิดข้ามภาพข้ามชาติได้
สำหรับคำถามข้อนี้ ผมครุ่นคิดถึงคำตอบด้วยตัวเองและสิ่งที่ผมอยากจะชี้ให้เห็น
ก็คือ"ศรัทธาและปัญญา"สองสิ่งที่ต้องไปด้วยกัน
เพราะศรัทธาเสมือนทรัพย์ของจิตใจ
คนที่ใกล้ตายถ้าขาดศรัทธาในความดี ในภพในภูมิที่จะไป
ความรู้สึกก็จะเปล่าเปลี่ยวอ้างว้างเป็นที่สุด ลำพังสติปัญญาของเรานั้นไม่พอเสียแล้ว
ปัญญาก็เปรียบเสมือนแสงที่จะส่องทางเดินไปในชาตินี้และชาติหน้า
เราชาวพุทธได้อาศัยปัญญาจากคำสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อก้าวจากความโง่เขลา
ผู้ใดที่มีทั้งศรัทธาและปัญญาจะเข้าใจมั่นใจในชีวิตมากที่สุด
อีกทั้งยังใช้ชีวิตได้ดีและไม่ประมาทอีกด้วย
ยกตัวอย่างเป็นรูปธรรมให้เห็นง่ายๆที่ผมคิดขึ้นมาได้ตอนนี้
ชาวเขาเผ่าปกาเกอะญอเชื่อเรื่องผีที่อยู่ในต้นไม้จะดลบันดาลความสมบูรณ์ให้กับ
พืชพันธุ์ธัญญาหาร จึงไม่กล้าตัดไม้ทำลายป่าที่ตัวเองอาศัยอยู่ผลก็คือ
ป่าไม้และชาวบ้านอยู่ร่วมกันด้วยความสงบสุขต่างเอื้อประโยชน์แก่กันและกัน
คนสมัยนี้เป็นพวกคนสมัยใหม่ เชื่อมั่นแต่ใน"วิทยาศาสตร์"
ทุกสิ่งต้องพิสูจน์ด้วยการทดลอง ต้องเห็นชัดจับต้องได้เท่านั้น
วิทยาศาสตร์จึงปฏิเสธเรื่องไร้สาระพวกนี้ หรืออาจให้คำตอบว่าตายแล้วสูญสิ้นไป
เพราะวิญญาณวัดค่าอะไรไม่ได้ ซึ่งเป็นคำตอบที่ไม่ให้คุณค่าทางจิตใจสักเท่าไร
คนสมัยใหม่อย่างเราจึง"กลัวแก่และกลัวความตาย"เพราะไม่รู้ว่าตายแล้วจะไปไหน
เพราะขาดศรัทธาและปัญญา จึงไร้ทรัพย์ติดตัวและมืดมิดด้วยปัญญา
กลัวจะไปเจอสิ่งน่ากลัว กลัวเจ็บปวดทรมาน กลัวว่าจะต้องสูญเสียทุกอย่างไป
วิ่งหาความสุขปลอบประโลมใจไปวันๆว่าความตายยังอยู่อีกไกลยังไม่มาถึง
แต่ชาวอียิปต์เชื่อในชีวิตหลังความตายว่าจะได้ไปพบพระเจ้า
และจะได้กลับมาเข้าร่างเดิมอีกถ้าทำความดี จึงไม่มีความกลัวแต่อย่างใด
ซึ่งเห็นชัดในกษัตริย์ที่ทำพระศพเป็นมัมมี่และปิรามิดได้อย่างยิ่งใหญ่อลังการ
ไม่ว่าศรัทธาจะนำปัญญา หรือ ว่าปัญญาจะนำศรัทธาก็ตาม
ความคิดความเชื่อใดที่ทำให้เรามีความสุข
มีความโลภ โกรธ กลัว ความหลงผิดลดน้อยลง
คิดและทำตามแล้ว สุขภาพกายและใจดีขึ้น
มีประโยชน์ต่อตัวเองสังคมและประเทศชาติส่วนรวม
นั่นคือความคิดความเชื่อที่ดีและเหมาะสมกับเราที่สุด
เราควรยึดถือความคิดนั้นไว้ ทำชีวิตให้ดีขึ้นตามแนวคิดและความเชื่อนั้น
ในมุมนี้ ความคิดความเชื่อของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันได้
โดยไม่ต้องเปรียบเทียบกันแต่อย่างไรให้เป็นปัญหา
และไม่ว่า"เจ้ากรรมนายเวร"จะมีหรือไม่
แต่ผลกรรมที่เราได้กระทำดีและชั่วด้วยตัวของเรานั้น
เป็นสิ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้อย่างแน่นอน
ไม่ว่าจะมีเจ้ากรรมนายเวรหรือไม่
ผมจะไม่คิด พูดหรือทำลายผู้อื่นให้ได้รับความเจ็บช้ำน้ำใจเด็ดขาด
ผมกลัวเขาเหล่านั้นจะกลายมาเป็นเจ้ากรรมนายเวรมาตามราวีกันไม่เลิกรา
เพราะชาตินี้ผมเข็ดหลาบกับผลกรรมที่ได้รับอย่างเต็มที่แล้วจริงๆครับ ^^
เรื่องและภาพประกอบ วนารักษ์
ขอบคุณเนื้อหามากมายจากอินเตอร์เน็ต
ขอบคุณเพื่อนๆทุกๆคนที่เข้ามาอ่านและให้กำลังใจติชม
ขอบคุณเพื่อนประจำบล็อกที่ยังไม่ลืมกัน
ขอบคุณโจทย์ดีๆจากน้องเป็ดสวรรค์
ขอบคุณที่กฎแห่งกรรมยังปกป้องและคุ้มครองทุกคนอย่างเท่าเทียมกันเสมอมา^^
Create Date : 05 พฤศจิกายน 2557 |
Last Update : 13 พฤศจิกายน 2557 19:39:34 น. |
|
46 comments
|
Counter : 2263 Pageviews. |
|
|
|