ถนนสายนี้มีตะพาบประจำหลักกิโลเมตรที่ 121 วันพักผ่อน
ถนนสายนี้มีตะพาบประจำหลักกิโลเมตรที่ 121 วันพักผ่อน
โจทย์โดยน้อง toor36 หนุ่มโสดสุดหล่อจากบล็อกการ์ตูนลำดับหนึ่งของเรานี่เอง
ขอให้ชื่อตอนนี้ว่า "พาครอบครัวเที่ยวพม่า"
พาครอบครัวเที่ยวพม่า
หนึ่งปีมีครั้งสำหรับวันพักผ่อนของผมที่จะได้พาครอบครัวไปเที่ยวไกลๆรพ.
เมื่อวันที่ 8-10 พย.ที่เพิ่งผ่านมาผมได้มีโอกาสไปเที่ยวพม่ากับจนท.
และสมาชิกสหกรณ์ของโรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่ง
แต่ผมก็ยังไม่มีโอกาสเหมาะที่จะนำภาพความประทับใจมาลงให้เพื่อนๆได้ชมกัน
ในหัวข้อวันพักผ่อนเหมือนชี้โพรงให้กระรอก เอ๊ย เหมือนเปิดโอกาส
ให้ผมได้ลงเรื่องแบบสบายๆในวันหยุดพักผ่อนยาวช่วงปีใหม่ปีนี้พอดี
1
ภาพคณะเจ้าหน้าที่ รพ.ที่ร่วมเดินทางไปด้วยกันประมาณ 50 ชีวิต
ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสที่สนามบินดอนเมือง
2
สถานที่แรกที่ไปถึงตอนบ่ายๆที่ต้องถอดรองเท้าเข้าไปเป็นวัดแรกคือ
วัดพระนอนเจ้าทัตจี หรือพระนอนตาหวาน (CHAUK HTAT GYI)
สวยงามอลังการกว่าภาพที่เห็นเพราะองค์ใหญ่และงามมากๆ
มีรายละเอียดที่หาข้อมูลมาดังนี้...
พระพุทธไสยาสน์เจ้าทัดจี หรือ พระตาหวาน มีความยาว 65 เมตร
นอนตะแคงขวา (ส่วนขวาของร่างกายติดกับพื้น ) เป็นพระนอนที่งดงามน่าประทับใจแห่งหนึ่ง
ซึ่งตั้งอยู่ในเขตเมืองย่างกุ้งของประเทศพม่า ฝ่าพระบาทมีลายมงคล 108
แสดงความเป็นมหาบุรุษ พระนอนองค์ปัจจุบันสร้างเมื่อ พ.ศ. 2509
แทนองค์เดิมที่ชำรุดเสียหายที่เรียกว่าพระตาหวานคนไทยแอบตั้งชื่อให้เอง(ไกด์
ว่าอย่างนั้นเพราะพม่าไม่ได้เรียกแบบนี้ ^^)
ที่ตาหวาน เนื่องจากทางวัดได้ให้ช่างระบายสีองค์พระใหม่ตลอดเวลาโดยเฉพาะ
ที่พระพักตร์ ทาสีขาวแต้มสีแดงที่พระโอษฐ์ และระบายที่ฟ้าที่เปลือกพระเนตร ทำ
ไห้มีดวงตาที่สวยงามเรียกว่าพระตาหวาน
เป็นพระนอนที่ใหญ่ที่สุดและมีความงดงามที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศพม่า ทั้งพระพักตร์และ
ขนตาที่งดงาม ดวงตาของท่านเป็นแก้ว สั่งผลิตมาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะรวม
ไปถึงพระจีวรที่มีความพริ้วไหวสมจริงและเมื่อเดินมายังปลายสุดพระบาทของพระ
นอนองค์นี้
ตรงที่พระบาทมีภาพวาดเป็นมิ่งมงคลสูงสุด เพราะประกอบด้วยลายลักษณธรรมจักร
ในบริเวณใจกลางฝ่าพระบาทและล้อมด้วย รูปมงคล 108 ประการ ด้าน
หน้าวัดก็จะมีร้านค้าขายของที่ระลึกมากมาย
3
ใบหน้าอันงดงามประทับใจเมื่อแรกเห็น มีพระเนตรทำด้วยแก้วงดงามมากเป็น
ด้านหน้าเป็นตำแหน่งแรกที่ไกด์แนะนำให้ถ่ายรูป
4
เตรียมสักการะท่านด้วยดอกไม้ธูปเทียน เที่ยบกับขนาดคนแล้วคนตัวเล็กนิดเดียว
ความสูง 16 ฟุตหรือ ห้าเมตรกว่าๆ มีความยาวถึง 65 เมตร
5
ตำแหน่งที่สองถ่ายภาพให้เห็นบริเวณขนตางามงอน
6
ถ่ายภาพคู่เป็นที่ระลึกกันสักหน่อย อิอิ ^^
7
ตำแหน่งที่สามในการถ่าย ให้ถ่ายจากเท้ามาเพื่อให้มองเห็นหมดทั้งองค์ท่าน
8
ฝ่าพระบาทมีภาพมงคล 108 ประการแสดงความเป็นมหาบุรุษ
9
ถ่ายภาพในมุมที่ท่านมองมาพอดี
10
ภาพในมุมที่ลอดช่องคานเป็นกรอบภาพ เป็นมุมที่สวยงามน่าประทับใจอีกมุมหนึ่ง
11
ก่อนตะวันจะลับขอบฟ้า ไกด์ก็รีบพาเราเพื่อไปสถานที่มีชื่อเสียงที่สุด(เป็น 1ใน5
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องไปสักการะอีกด้วย) เพื่อให้ได้ชมช่วงที่งามที่สุดของวันและแดดไม่
ร้อนจนเกินไปเพราะต้องถอดรองเท้าเดินเข้าไปในบริเวณวัดอีกเช่นกัน
ต้องเดินไกลกว่าทุกที่เพราะที่จอดรถอยู่ค่อนข้างไกล หินตำเจ็บเท้าไปตามๆกันเลย
เจดีย์ชเวดากองและบริเวณรอบๆเจดีย์ทั้งหมดมีพื้นที่กว้างใหญ่นั้นตั้งอยู่บนเนินเขา
ต้องขึ้นลิฟท์แก้วไปที่ด้านบนสุดแล้วจะมีทางเดินไปถึงเจดีย์อีกทีหนึ่ง
ระยะเวลาที่เดินรอบองค์พระเจดีย์ใช้เวลาเดินประมาณ 20 นาทีเดินไปชมความงามไปด้วย
12
เมื่อไปถึงก็พบกับความยิ่งใหญ่สวยงามสมคำร่ำลือ ผู้คนมากมายจนแน่นขนัดทีเดียว
มีประวัติเจดีย์มาฝากให้อ่านกันอีกสักนิดนะครับ...
พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง ตั้งอยู่บริเวณเนินเขาเชียงกุตระ เมืองย่างกุ้ง
ประเทศพม่า โดยชื่อ "ชเว" หมายถึง ทอง "ดากอง" นั้นเป็นชื่อเดิมของเมือง
ย่างกุ้ง เชื่อกันว่าเป็นมหาเจดีย์ที่บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าจำนวน 8 เส้น
บนยอดสุดของพระเจดีย์ มีเพชรอยู่ 5,448 เม็ด ชั้นข้างบนสุดมีเพชรเม็ดใหญ่อยู่
76 กะรัต และทับทิม 2,317 เม็ด มีมรกตเม็ดใหญ่อยู่ตรงกลาง เพื่อรับลำแสงแรก
และลำแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ ผู้ที่เข้ามานมัสการหรือเยี่ยมชมจะต้องถอด
รองเท้าทุกครั้ง
ประวัติ
ตามตำนาน เจดีย์ชเวดากองนั้นสร้างเมื่อ 2,500 ปีที่แล้ว แต่นักโบราณคดีเชื่อกัน
ว่าสร้างระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 6-10 โดยชาวมอญ ตามตำนานนั้นเริ่มจากว่า มีพี่
น้องพ่อค้า 2 คน ได้ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระองค์จึงประทานพระเกศามา 8 เส้น
สำหรับให้พ่อค้าทั้งสองรับไว้บูชา
13
สาธุชนทั้งชาวพม่าและชาวต่างชาติหลั่งไหลกันมาเนืองแน่นจากทุกสารทิศตลอดทั้งวัน
พระเจดีย์ได้ถูกทิ้งร้างจนมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 14 พระเจ้าพินยาอู ได้ทรงสร้าง
พระเจดีย์ใหม่สูง 18 เมตร พระเจดีย์ได้ถูกซ่อมแซมเรื่อยมา จนมามีความสูง 98
เมตร ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 แผ่นดินไหวเล็กๆน้อยๆ เรื่อยมาทำให้พระเจดีย์ได้รับ
ความเสียหาย และเมื่อปี พ.ศ. 2311 (ในสมัยกรุงธนบุรี) ได้เกิดแผ่นดินไหวอย่าง
หนัก ทำให้ยอดของพระเจดีย์หักถล่มลงมา
พิธี
ผู้ที่เข้ามานมัสการหรือเยี่ยมชมจะต้องถอดรองเท้าทุกครั้งเมื่อมาถึงทางเข้า ให้เดิน
ตามเข็มนาฬิกา ขึ้นอยู่กับดวงวันเกิดของผู้เข้าที่จะดูตาม 12 นักษัตร รอบๆพระ
เจดีย์ก็มีศาลเจ้าเล็กๆอยู่รายรอบ
14
ไกด์เล่าว่า องค์เจดีย์กำลังบูรณะครั้งใหญ่หลังจากได้รับความเสียหายจากพายุนากิซ
ที่รุนแรงและคร่าชีวิตผู้คนไปมากมายเมื่อหลายปีก่อน
ที่เห็นเป็นโครงไม้ไผ่ที่ช่างสร้างเพื่อปีนขึ้นไปเพื่อนำแผ่นทองคำจากการทำบุญ
บริจาคจากวัดต่างๆในพม่าเพื่อไปบูรณะ ค่อยๆทำค่อยๆซ่อมกันไปเรื่อยๆสม่ำเสมอ
14a
บรรยากาศยามค่ำคืนงดงามด้วยแสงไฟทีส่องมากระทบ
15
ถ่ายภาพหมู่ร่วมกันเป็นที่ระลึกกับความประทับใจ
ภาพมุมสูงเจดีย์ชเวดากองจากโปสการ์ดมองเห็นความยิ่งใหญ่อลังการโดยรอบ
16
เจดีย์โปตาทาวน์ กรุงย่างกุ้ง บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
ในวันรุ่งขึ้นหลังจากออกจากโรงแรมเราก็ได้ไปวัดโปตาทาวน์ที่มีเทพทันใจ
อันศักดิ์สิทธิ์พำนักอยู่ วัดนี้อยู่ในตลาดสดกรุงย่างกุ้งเลยทีเดียว
17
พระพุทธรูปทองคำในวัด โปตาทาวน์ด้านตรง
เป็นพระพุทธรูปทองคำจากพระราชวังกรุงมัณฑะเลย์ย้ายมาอยู่ที่วัดนี้ด้วย
18
พระพุทธรูปทองคำโปตาทาวน์ ด้านข้าง
19
ขอพรจากเทพทันใจอันศักดิ์สิทธิ์ภายในวัดโปตาทาวน์
หนึ่งท่านจะขอพรได้หนึ่งอย่างเท่านั้น
19a
จากนั้นคณะออกเดินทางไกลเพื่อเดินทางไปยังรัฐมอญทางภาพตะวันออกสุดชายแดนของพม่า
เดินทางประมาณ 4-5 ชม.เพื่อไปยังสถานที่สำคัญที่ 2ใน5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์
ที่คณะของเราได้ไปสักการะแม้ว่าจะไกลมากแต่ลูกทัวร์ของเราก็ใจสู้กันทุกคน
แถมตอนปีนขึ้นเขาด้วยรถขนหมูเปิดประทุนหกล้อ เล่นเอาหลายๆคนหน้าซีด
ปากสั่นกันเลยทีเดียวเพราะมีแต่โค้งแบบหักศอก กว่าร้อยศอกได้กระมัง
แถมข้างทางยังเป็นเหวลึกกันสุดๆ คนขับก็ซิ่งทำเวลากันสุดๆ
รอดขึ้นไปได้ก็ยิ้มพร้อมกับโล่งอกเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ 555++^^
ไปถึงประมาณห้าโมงเย็นแล้ว เพราะต้องรอรถสวนทางลงมาด้วยเสียเวลานานพอสมควร
อากาศเริ่มเย็นและมีหมอกลงจัด ภาพถ่ายระยะไกลมากจะถ่ายไม่เห็นเจดีย์
ที่เห็นเป็นภาพแรกที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด
มีประวัติมาให้อ่านสักนิด...
พระธาตุอินทร์แขวนหรือ ไจทีโย ในภาษามอญ หมายความว่า หินรูปหัวฤๅษี
พระธาตุอินทร์แขวนตั้งอยู่ที่เมืองไจโท (Kyaikto) อำเภอสะเทิม
เขตรัฐมอญของประเทศพม่า บนยอดเขาพวงลวง เหนือระดับน้ำทะเล 3,615 ฟุต
ลักษณะเด่นของพระธาตุอินทร์แขวนคือ มีลักษณะเป็นก้อนหินสีทองขนาดใหญ่สูง
5.5 เมตร ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงชันอย่างหมิ่นเหม่ เหมือนจะหล่นและท้าทาย
แรงดึงดูดของโลกโดยไม่ตกลงมาอย่างเหลือเชื่อ พระธาตุอินทร์แขวนนับเป็น 1
ใน 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวพม่าต้องไปสักการะ และยังเป็นพระธาตุประจำปีจอ ที่คน
เกิดปีนี้ต้องไปนมัสการสักครั้งหนึ่งในชีวิต
19b
ถ่ายภาพเป็นที่ระลึก เห็นองค์พระธาตุในฝ่ามือเล็กนิดเดียว
20
ก้อนหินรองรับพระธาตุตั้งอยู่บนพื้นลาดเอียง
ดูแล้วน่าหวาดเสียวแต่ก็ไม่ตกลงมา
อนุญาตให้เฉพาะผู้ชายเท่านั้นที่จะเข้าปิดทองคำเพื่อสักการะได้
21
จุดที่ก้อนหินสัมผัสพื้นเป็นพื้นที่เล็กๆตรงกลางเท่านั้น
บริเวณอื่นไม่มีจุดสัมผัสอีกเลย เป็นที่อัศจรรย์ใจมากๆว่าอยู่ได้อย่างไร
22
23
ถ่ายภาพหมู่ร่วมกันเป็นที่ระลึกก่อนเดินทางกลับ
23a
อยู่นานจนพระอาทิตย์ตกดิน
23b
ดื่มด่ำกับความงามในแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์
24
ภาพในแสงสุดท้ายก่อนความมืดจะมาเยือนเป็นภาพแห่งความประทับใจจริงๆ
ภาพเจดีย์ชเวมอว์ดอว์ด้านหน้าบริเวณทางเข้า
วันสุดท้ายเดินทางกลับ แวะไปเมืองหงสาวดีเพื่อไปสักการะพระธาตุมุเตา
เป็นสิ่งสำคัญ 3ใน5 ที่คณะของเราได้ไปสักการะ
ประวัติเจดีย์ชเวมอว์ดอว์หรือพระธาตุมุเตา( Shwe Maw Daw Pagoda )
พระเจดีย์คู่บ้านคู่เมืองมาช้านาน 1ใน5 มหาบูชาสถานสูงสุดของพม่า
เจดีย์ชเวมอดอร์ (พระธาตุมุเตา) เป็นเจดีย์สูงที่สุดในพม่า
สูงถึง 114 เมตร หรือ 374 ฟุต
เจดีย์ชเวมอดอร์ หรือที่เราเรียกกันว่า พระธาตุมุเตา ที่ตั้งตระหง่านโดดเด่นอยู่
ใจกลางเมืองหงสาวดี พระเจดีย์องค์นี้ถือว่ามีความโดดเด่นในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะ
เป็นเก่าแก่กว่า 2,000 ปี ภายในบรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า และยังเป็น 1
ใน 5 มหาบูชาสถานสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญสูงสุดของชาวพม่า นอกจากนี้
เจดีย์ชเวมอดอ ยังเคยผ่านการพังทลายจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่มาแล้วถึง 4 ครั้ง
โดยแผ่นดินไหวครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 5 ก.ค. พ.ศ. 2473 ได้ทำให้ปลียอดของ
เจดีย์องค์นี้หักพังลงมา แต่ว่าด้วยความศรัทธาที่ชาวเมืองมีต่อเจดีย์องค์นี้ พวกเขา
ได้ทำการสร้างเจดีย์ชเวมอดอขึ้นมาใหม่ในปีพ.ศ.2497 ด้วยความสูงถึง 374 ฟุต
(ตอนแรกที่สร้างสูง 70 ฟุต) นับเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในพม่า
ส่วนปลียอดที่พังลงมาก็ได้ตั้งไหว้ที่มุมหนึ่งขององค์เจดีย์เพื่อให้พุทธศาสนิกชน
ได้กราบไหว้บูชาควบคู่ไปกับเจดีย์องค์ปัจจุบัน
25
สำหรับความโดดเด่นอีกอย่างหนึ่งของเจดีย์ชเวมอดอก็คือ เป็นเจดีย์ที่มีลักษณะ
แบบมอญอย่างเด่นชัด คือมีฉัตรแบบเรียบๆและมีองค์ระฆังของเจดีย์มีลักษณะแคบ
เรียว ภายนอกหุ้มด้วยทองจังโก้(ดู*หมายเหตุ*ท้ายบทความ)ภายในเป็นอิฐกลวง
แตกต่างจากเจดีย์ชเวดากองที่เป็นเจดีย์แบบพม่า(อย่างชัดเจน)
พระสงฆ์ในจีวรสีน้ำตาลเป็นพระในมหานิกาย พบเห็นได้ทั่วไปจนชินตา
26
ภาพบริเวณหลังวัดมีต้นโพธ์เก่าอยู่ด้วย
27
ภาพบริเวณหน้าวัดที่ไม่ได้ลงไปถ่ายภาพเห็นตอนขับรถผ่านออกมาทางหน้าวัด
ผมเลยนำภาพจากโปสการ์ดมาให้ชมแทน สวยงามมากๆ
28
วังบุเรงนองด้านหน้า พระราชวังกัมโพชธานี
ใกล้ๆกับพระธาตุมุเตาเป็นพระราชวังของบุเรงนอง ผู้ชนะสิบทิศในนิยายของยาขอบ
นั่นเอง ท่านเป็นกษัติรย์หนึ่งในสามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพม่า มีการบูรณะ
สร้างพระราชวังของท่านเพื่อให้คนรุ่นหลังได้เข้าชมกันด้วย
มีประวัติที่น่าสนใจดังนี้...
พระราชวังกัมโพชธานี พระราชวังแห่งเมืองหงสาวดี (พะโค) ของพระเจ้าบุเรง
นอง เป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่สมพระเกียรติ ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของพระมหาธาตุเจ
ดีย์ชเวมอดอ (พระธาตุมุเตา) สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2109 ซึ่งเป็นปีที่ 15 ของการ
ครองราชย์ของพระองค์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พระองค์เรืองอำนาจสูงสุด พระองค์
ตัดสินพระทัยเผาพระราชวังเก่าไปเนื่องจากมีการกบฏ พระราชวังกัมโพชธานีสร้าง
ขึ้นโดยใช้แรงงานจากประเทศราชต่าง ๆ และพระองค์โปรดให้ใช้ชื่อประตูต่าง ๆ
ทั้งหมด 20 ประตู ตามชื่อของแรงงานประเทศราชที่สร้าง เช่น ประตูทางตอนเหนือ
ปรากฏชื่อ ประตูโยเดีย (อยุธยา) ประตูตอนใต้ชื่อ ประตูเชียงใหม่ อีกทั้งยังมีพระ
ตำหนักของพระสุพรรณกัลยา องค์ประกันที่ตกเป็นเชลยและกลายเป็นมเหสีองค์
หนึ่งของพระองค์ด้วย
พระราชวังกัมโพชธานีถูกเผาจนเหลือแต่เพียงซาก หลังจากการสวรรคตของพระ
เจ้าบุเรงนอง ด้วยกบฏยะไข่ พร้อม ๆ กับอาณาจักรตองอูที่เคยเรืองอำนาจเสื่อมลง
29
จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2533 รัฐบาลพม่าได้ขุดค้นพบซากของพระราชวังที่เหลือ
เพียงแค่ตอไม้ที่โผล่พ้นดินออกมาเท่านั้น และได้มีการเร่งสร้างพระราชวังจำลอง
องค์ใหม่ขึ้นมา ฉาบด้วยสีทองทั้งหลัง ทั้งที่พื้นดินบริเวณโดยรอบได้ขุดพบโบราณ
วัตถุต่าง ๆ มากมาย ซึ่งเชื่อว่ายังมีอยู่อีกจำนวนมากที่ยังไม่ถูกขุดขึ้นมา แต่ได้ถูก
ทางการสร้างพระราชวังทับลงไปแล้ว แต่ซากไม้ที่ใช้สร้างพระราชวังแต่ครั้งอดีตที่
ยังหลงเหลืออยู่ได้ถูกจัดแสดง ซึ่งไม้แต่ละท่อนมีตัวอักษรจารึกอยู่ว่าเป็นผลงาน
ของเมืองใด ภายในพระราชวัง มีพระราชบัลลังก์ที่มีชื่อว่า "บัลลังก์ภุมรินทร์" หรือ
"บัลลังก์ผึ้ง" ซึ่งสร้างขึ้นมาจากคติเรื่องจักรวาลตามความเชื่อของศาสนาฮินดู
ปัจจุบัน พระราชวังกัมโพชธานีเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของหงสาวดีและ
ประเทศพม่า
30
นอกจากพระนอนตาหวานแล้วยังมีพระนอนยิ้มหวานอีกองค์หนึ่งในเมืองหงสาวดีที่มีชื่อเสียง
ว่าเป็นพระนอนที่สวยงามและเก่าแก่ที่สุดในพม่าที่เราได้ไปสักการะมา มีประวัติดังนี้...
พระพุทธไสยาสน์ชเตาเลียว เป็นปูชนียสถานศักดิ์สิทธิ์อันดับสองของเมืองหงสาวดี รองจาก
พระมหาธาตุมุเตา และเป็นพระพุทธไสยาสน์ที่มีความยาว 181 ฟุต สูง 50 ฟุต สร้างโดยพระเจ้า
เมงกะติปะ พ.ศ.1537 ในสมัยมอญเรืองอำนาจ มีพุทธลักษณะงดงาม โดยจะวางพระบาทเหลื่อม
พระบาท ต่างจากพระพุทธไสยาสน์ของไทยที่นิยมวางพระบาทเสมอกัน เล่าขานว่าเป็นพระรูปสมเด็จ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในคืนก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน
หลังจากที่พระเจ้าอลองพญาทรงปราบมอญราบคาบ เมืองหงสาวดีก็ถูกทิ้งร้าง พระพุทธไสยาสน์
ไม่ได้รับการดูแลจนกลายเป็นกองอิฐจมอยู่ในโคกดิน จนถึงปี พ.ศ.2424 เมื่ออังกฤษสร้างทาง
รถไฟสายพม่า จึงขุดพบพระนอนองค์นี้ จากนั้นปี พ.ศ.2491 หลังจากพม่าได้รับเอกราช ได้มี
การบูรณปฏิสังขรณ์อย่างจริงจัง และได้ทาสีและปิดทองลงชาดใหม่ อย่างที่เห็นในปัจจุบัน
มีผู้บรรยายถึงความงดงามของพระนอนชเวตาเลียงไว้ว่า "พระนอนองค์นี้ราวกับมีชีวิตจริงๆ"
พระวรกายเป็นสีขาวนวลคล้ายผิวพม่า จีวรที่คลุมพระวรกายนั้นเป็นสีทองสุขปลั่ง พระเกศาดำสนิท
และมุ่นเป็นกระจุกไว้กลางพระเศียร พระเขนยที่ทรงหนุนประดับมุกงดงามมาก พระขนงดำสนิท
และโค้งงามตามธรรมชาติ พระเนตรดำสนิทเหมือนปุถุชน ทรงลืมพระเนตรแต่พองาม พระโอษฐ์
ทรงแย้มน้อยๆ แสดงถึงพระมหากรุณาอันเปี่ยมอยู่ในพระทัย เป็นภาพที่งดงามตรึงตราตรึงใจยิ่งนัก
ถ่ายภาพเป็นที่ระลึก
สาเหตุที่วางพระบาทเหลื่อมพระบาท ต่างจากพระพุทธไสยาสน์ของไทยที่นิยมวางพระบาทเสมอกัน
เล่าขานว่าเป็นพระรูปสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในคืนก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน
ด้านหลังพระองค์มีภาพวาดเล่าขานตำนานว่า มีพระราชาองค์หนึ่งไม่ศรัทธาพุทธศาสนา ทรงลุ่มหลง
บูชายักษ์ตนหนึ่งขนาดปั้นรูปไว้กราบไหว้ วันหนึ่งขณะที่พระราชาเสด็จประพาสป่าพร้อมพระโอรส
และพระโอรสไปพบสาวบ้านกำลังอาบน้ำอยู่ในลำธารก็เกิดความหลงรัก ถึงกับพากลับเข้าวัง แต่สาว
เจ้าอันเชิญพระพุทธรูปไปบูชาในวังด้วย ทำให้พระราชากริ้วมาก ถึงขั้นสั่งให้ทหารจับพระโอรสและ
คนรักมัดรวมกันเพื่อจะประหาร แต่ชาวบ้านได้ตั้งจิตอธิษฐานว่าถ้าพระพุทธเจ้ามีจริงก็ขอให้นาง
แคล้วคลาด ปรากฏว่าเชือกขาดโดยพลัน ขณะที่รูปปั้นยักษ์แตกกระจาย พระราชาถึงกับทรงหัน
กลับมานับถือพุทธศาสนา และขอไถ่บาปด้วยการสร้างพะพุทธไสยาสน์เป็นเครื่องเตือนสติ
ภาพในมุมที่องค์พระท่านมองมาพอดี
บริเวณวัดมีสถานที่จำหน่ายสินค้าพื้นเมืองหลายอย่าง พวกไม้แกะสลัก หินอ่อน หยก
แป้งทานาคา เครื่องเงิน โปสการ์ด เป็นสถานที่แห่งเดียวที่คณะของเราได้ไปช๊อบปิ้งกัน
31
วัดพระเขี้ยวแก้ว (Buddha Tooth Relic Temple)
สถานที่สุดท้ายก่อนจะกลับเมืองไทย อยู่ในกรุงย่างกุ้งนี่เองคือวัดพระเขี้ยวแก้ว
ใหญ่โตสวยงามดูเหมือนจะบูรณะเสร็จไม่นาน แต่มีประวัติยาวนานมากๆ...
พระเขี้ยวแก้วที่ประเทศพม่าได้มาจากศรีลังกาส่วนนอกคือเมืองโคลัมโบ
(ภาษาบาลีเรียกว่า กุลุมพุนคเร)เวลานั้นกษัตริย์โคลัมโบ คือ พระเจ้าธรรมปาละ
ได้มอบพระเขี้ยวแก้วพร้อมพระธิดาให้แก่ กษัตริย์พม่า ชื่อ บุเรงนอง ประดิษฐานใน
วังเมืองหงสาวดี ประเทศพม่า พ.ศ.๒๑๐๖ กษัตริย์บุเรงนองให้ทูตไปขอเจ้าหญิง
ลังกามาเป็นมเหสี พวกทูตมาขึ้นที่เมืองกุลุมพุนครเวลานั้นพระเจ้าธรรมปาละ ได้
มอบพระทันตธาตุหุ้มด้วยทองคำบรรจุในพระเจดีย์ประดับพลอย ทูตก็อ้อนวอนขอดู
อำมาตย์ก็ไม่ค่อยจะยอมนัก แต่เสียอ้อนวอนไม่ได้ก็พาไปดูในเวลากลางคืนทูต
พม่าเห็นเข้าเลื่อมใสนัก รีบสวดมนต์เป็นการใหญ่ แล้วเจรจาขอแลกด้วยทองคำสิบ
หมื่น อำมาตย์จึงยอมตกลง ทูตพม่าจึงอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วแห่แหนมาทางทะเล
พระเจดีย์ประดับพลอยบรรจุพระเขี้ยวแก้ว
ครั้นถึงท่าเมืองหงสาวดี ก็เชิญพระเขี้ยวแก้วใส่มณฑปผูกแพล่องขึ้นมาตามลำน้ำ
สองฝั่งแม่น้ำมีเสียงร้องสาธุการของพม่ารามัญ พระเจ้าบุเรงนองเองรีบเข้าที่สรง
ประพรมด้วยน้ำหอมแล้วแต่งพระองค์ใหม่ เสด็จลงมากราบและเชิญพระธาตุ แล้ว
อัญเชิญมณฑปพระทันตธาตุทูนใส่พระเศียร เสด็จดำเนินไปในกระบวนแห่สู่
พระราชวัง โปรดให้สมโภชถึงสองเดือน แล้วสร้างพระวิหารประดิษฐานพระทันต
ธาตุบูชาไว้ในพระราชฐาน ปัจจุบันชาวพม่าไปสักการะไม่ขาดสาย
32
เจดีย์ขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบกับคนทางด้านซ้ายมือของภาพ
ถ่ายภาพเป็นที่ระลึก
ภาพแสดงประเพณีของชาวพม่าบริเวณสนามบินก่อนเดินทางกลับ
และแล้วก็ได้เวลากลับเมืองไทยไปกับแอร์เอเชียด้วยเที่ยวบินที่ปลอดภัย
มิงกาลาบาเมียนม่าร์ สวัสดีประเทศพม่า เมืองแห่งวัดงดงามและการทำบุญ ^^
ไว้มีโอกาสจะมาเยือนให้ครบอีก 2ใน5 ที่เหลือนะครับ
*หมายเหตุ*
ทองจังโก หมายถึง แผ่นทองที่ผสมโลหะหลายอย่างในบางเอกสารใช้คำว่า ทองจังโกฎก์
ทองจังโกนี้บ้างทำจากทองเหลือง ทองดอกบวบ (ทองที่ราคาไม่แพง มีสีเหลืองอ่อนๆ ปนสีเขียว
อ่อน)ทองแดงปนนาค เป็นทองคำผสมโลหะอื่น เช่น ดีบุก
ซึ่งมักตีเป็นแผ่นบางๆใช้ตะปูเย็บโลหะเย็บติดกับตัวพระธาตุหรือพระเจดีย์
ขอบคุณข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต
ขอบคุณข้อมูลทองจังโกจากคุณฟ้าใสวันใหม่
ขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมที่ตกหล่นผิดพลาดจากน้องชีริว
ขอบคุณเพื่อนๆทุกๆคนที่เข้ามาอ่านและให้กำลังใจกับจขบ.^^
Create Date : 03 มกราคม 2558 |
Last Update : 17 มกราคม 2558 21:56:20 น. |
|
59 comments
|
Counter : 3397 Pageviews. |
|
|
|
โดย: วนารักษ์ วันที่: 3 มกราคม 2558 เวลา:22:39:38 น. |
|
|
|
โดย: กาบริเอล วันที่: 3 มกราคม 2558 เวลา:22:55:35 น. |
|
|
|
โดย: multiple วันที่: 4 มกราคม 2558 เวลา:9:39:46 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 4 มกราคม 2558 เวลา:10:19:27 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 4 มกราคม 2558 เวลา:20:35:48 น. |
|
|
|
โดย: lovereason วันที่: 4 มกราคม 2558 เวลา:21:29:48 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 4 มกราคม 2558 เวลา:23:16:31 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 5 มกราคม 2558 เวลา:6:15:41 น. |
|
|
|
โดย: มี้เก๋ + ป๊าโอ๋ = ซีทะเล (kae+aoe ) วันที่: 5 มกราคม 2558 เวลา:11:34:21 น. |
|
|
|
โดย: เนินน้ำ วันที่: 5 มกราคม 2558 เวลา:16:50:42 น. |
|
|
|
โดย: multiple วันที่: 5 มกราคม 2558 เวลา:18:32:27 น. |
|
|
|
โดย: anigia วันที่: 5 มกราคม 2558 เวลา:22:40:37 น. |
|
|
|
โดย: Sweet_pills วันที่: 5 มกราคม 2558 เวลา:22:58:29 น. |
|
|
|
โดย: SK_KS วันที่: 5 มกราคม 2558 เวลา:23:06:26 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 5 มกราคม 2558 เวลา:23:29:39 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 6 มกราคม 2558 เวลา:6:19:20 น. |
|
|
|
โดย: มี้เก๋ + ป๊าโอ๋ = ซีทะเล (kae+aoe ) วันที่: 6 มกราคม 2558 เวลา:9:04:29 น. |
|
|
|
โดย: Chic Bossy วันที่: 6 มกราคม 2558 เวลา:12:25:57 น. |
|
|
|
โดย: multiple วันที่: 6 มกราคม 2558 เวลา:20:33:19 น. |
|
|
|
โดย: nulaw.m (คนบ้า(น)ป่า ) วันที่: 6 มกราคม 2558 เวลา:21:25:59 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 7 มกราคม 2558 เวลา:6:14:03 น. |
|
|
|
โดย: meddytale วันที่: 7 มกราคม 2558 เวลา:10:02:24 น. |
|
|
|
โดย: Tui Laksi วันที่: 7 มกราคม 2558 เวลา:10:13:55 น. |
|
|
|
โดย: อุ้มสี วันที่: 7 มกราคม 2558 เวลา:10:21:17 น. |
|
|
|
โดย: Kavanich96 วันที่: 7 มกราคม 2558 เวลา:12:56:31 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 7 มกราคม 2558 เวลา:12:58:24 น. |
|
|
|
โดย: tifun วันที่: 7 มกราคม 2558 เวลา:14:59:51 น. |
|
|
|
โดย: Tui Laksi วันที่: 7 มกราคม 2558 เวลา:15:13:35 น. |
|
|
|
โดย: มี้เก๋ + ป๊าโอ๋ = ซีทะเล (kae+aoe ) วันที่: 7 มกราคม 2558 เวลา:15:47:25 น. |
|
|
|
โดย: รุ่งฤดี วันที่: 7 มกราคม 2558 เวลา:16:07:55 น. |
|
|
|
โดย: multiple วันที่: 7 มกราคม 2558 เวลา:18:03:23 น. |
|
|
|
โดย: Chic Bossy วันที่: 7 มกราคม 2558 เวลา:18:11:27 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 7 มกราคม 2558 เวลา:23:32:51 น. |
|
|
|
โดย: มิลเม วันที่: 8 มกราคม 2558 เวลา:1:58:02 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 8 มกราคม 2558 เวลา:6:21:33 น. |
|
|
|
โดย: kochpon วันที่: 8 มกราคม 2558 เวลา:10:39:01 น. |
|
|
|
โดย: อุ้มสี วันที่: 8 มกราคม 2558 เวลา:13:13:48 น. |
|
|
|
โดย: Chic Bossy วันที่: 8 มกราคม 2558 เวลา:17:18:02 น. |
|
|
|
โดย: ชีริว วันที่: 8 มกราคม 2558 เวลา:23:16:58 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 9 มกราคม 2558 เวลา:6:03:37 น. |
|
|
|
โดย: KeRiDa วันที่: 9 มกราคม 2558 เวลา:9:32:11 น. |
|
|
|
โดย: Tui Laksi วันที่: 9 มกราคม 2558 เวลา:11:06:40 น. |
|
|
|
โดย: พรหมญาณี วันที่: 9 มกราคม 2558 เวลา:14:20:51 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 9 มกราคม 2558 เวลา:16:00:28 น. |
|
|
|
โดย: วนารักษ์ วันที่: 9 มกราคม 2558 เวลา:16:18:49 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
ปราจีนบุรี Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 31 คน [?]
|
ขอต้อนรับสู่บล็อกเล็กๆแห่งนี้มีมิตรภาพและความจริงใจให้กับเพื่อนๆทุกท่านที่แวะเข้ามาทักทายกัน ^^
บทความและรูปภาพนี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่เป็นธรรมทาน พร้อมทั้งขอมอบเป็นน้ำใจกับเพื่อนๆทุกคนที่แวะเข้ามา สามารถคัดลอกนำไปเผยแพร่ได้ ยกเว้นเพื่อประโยชน์ทางการค้าซึ่งต้องขออนุญาตก่อนว่าเหมาะสมหรือไม่
เพื่อนบางคนมาครั้งเดียว นานๆมาที มาไม่บ่อย มาบ่อยๆ บางคนมาเยี่ยมทุกวันให้ชื่นใจ
บางคนเคยมาทุกวัน บางคนเคยมานานแล้ว บางคนหายไปจากบล็อก บางคนก็จะไม่แวะมาทักทายกันอีก
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็จะขอเก็บความรู้สึกดีๆที่มีให้กันไว้ตราบนานเท่านาน เพราะเมื่อรักกันแล้วย่อมเข้าใจกันได้ไม่ยาก
จขบ.เป็นคนซื่อๆง่ายๆจริงใจ ไม่มีเจตนาแอบแฝงในการทำบล็อก แต่บทความหรือรูปภาพก็อาจทำให้ผู้อ่านขัดใจได้ เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการของ จขบ.หรืออาจเป็นเพราะเราไม่เคยรู้จักดีพอ จึงกราบขออภัยมา ณ.ที่นี้ด้วย และขอขอบพระคุณทุกท่านที่แวะมาเยี่ยมเยียนด้วยความจริงใจนะครับ ^^
ฝากข้อความหลังไมค์
|
|
|
|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|