(การเล่าครั้งนี้ ไร้รูปถ่าย เนื่องจากอากาศวันที่เราเดินทางไม่อำนวย และเราต้องดูแลแม่ด้วย จึงไม่มีเวลาบันทึกภาพ ทุกอย่างถูกบันทึกในความทรงจำแทน)
ขสมก.นอกจากจะให้บริการรถประจำทางสาธารณะแล้ว อีกขาหนึ่งที่เขาได้เริ่มต้นมาหลายปีแล้ว คือ พาไหว้พระจังหวัดต่างๆ ทั้งใกล้และไกลจาก กทม.
ส่วนเขาคิฌชกูฎ เราได้ยินมาหลายปีแล้ว เพราะในช่วงหลังปีใหม่ถึงเกือบๆ สิ้นเดือนมีนาของทุกปี จะเห็นป้ายการให้บริการของรถตู้ที่มีให้บริการขึ้นเขาเช่นกัน แต่กับ ขสมก. เรามาได้ยิน จนท. แจ้งให้ทราบตอนเราไหว้พระที่จังหวัดสิงห์บุรีกับ ขสมก.
รถตู้ที่มีบริการนี้ ส่วนใหญ่เราจะเห็นเขาจะให้ไปขึ้นรถตอนดึกๆ ห้าทุ่มเที่ยงคืน แล้วไปถึงที่ทางก่อนขึ้นเขาช่วงเช้า
แต่กับ ขสมก. เดินทางช่วงเช้า เราฟังๆ แล้วก็ว่าสะดวกดี ก็เลยชวนแม่กับลูกชาย เมื่อผู้ร่วมตามรอยพระบาท โอเช
เราก็โทร.จอง (มีเฉพาะบางวัน) เขาจะแจ้งเลขที่นั่งให้เราเลย จากนั้นไปจ่ายเงินที่ธนาคารกรุงไทย ค่าเดินทางคนละ 479 บาท ยังไม่รวมค่ารถขึ้นเขาอีกคนละ 200 บาท เมื่อจ่ายเงินแล้ว จะอีเมล์หรือส่งแฟ็กซ์ไปให้ ขสมก.พร้อมระบุวัน และเลขที่นั่งไปด้วย วันเดินทางให้นำใบที่ส่งแฟ็กซ์หรือที่อีเมลไปติดตัวไปด้วย
หรือจะไปจองที่วันเดินทางเลยก็ได้ เริ่มเปิดจองตั้งแต่ตี 5 เดินทางเวลา 6.20 น.
เราเลือกไปวันพฤหัส หากไปวัน ส.หรือ อ. คนน่าจะเยอะ ขนาดเราเลือกวันธรรมดา รถ ขสมก. ที่ไปก็ 7 คันรถแล้ว มี ขสมก. จากเขต 2 อีกหนึ่งคัน รวมเฉพาะที่เขต 1 ก็สองร้อยกว่าคนแล้ว
การเดินทางจะมีแวะเข้าห้องน้ำ ทานอาหารเช้าก่อน จนท.ของ ขสมก.ประจำรถแต่ละคันจะแจ้งให้เรารู้ว่าหากต้องนั่งรถนานๆ ควรเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยเลย ไม่แวะพัก พร้อมทั้งบอกเล่าการขึ้นเขาคิฌชกูฎ การนัดหมายเวลากัน
ประเด็นที่ จนท.เน้นคือการขอพร ให้ขอเพียงประการเดียว ขอตั้งแต่วัดกระทิงไปถึงเขาคิฌชกูฎ ให้นึกไประหว่างทางเลยว่าพรข้อเดียวนั้นจะขออะไร
ระหว่างทางเราจะได้ไปที่วัดเขาสุกิมขึ้นเขาไหว้สรีระหลวงพ่อสมชาย และพระบรมสารีริกธาตุ และลงมาซื้อของฝาก ผลไม้ ขนมที่ด้านล่างเขาสุกิม น้ำ อาหารเที่ยงไว้ทานบนรถ หรือหลังจากลงเขาคิฌชกูฎ เขาให้เวลาแวะที่นี่ 1 ชม. วันที่เราไป ฝนตกหนักมากที่วัดนี้
จากนั้นแวะที่วัดกระทิง ไหว้หลวงพ่อเขียน ที่นี่จะมี จนท. ทางวัดบอกให้เรารู้ว่าจะต้องกล่าวอย่างไรในการสักการะหลวงพ่อ วัดนี้ หลวงพ่อเขียนเคยกล่าวไว้ว่าไม่ให้สะพายกระเป๋า ถ้ามีกระเป๋าใดๆ ให้ใช้ถือเอา
พอสักการะหลวงพ่อเสร็จแล้ว ก็ออกมาซื้อดอกไม้เตรียมขึ้นเขาคิฌชกูฎชุดละ 100 บาท ในชุดจะมีธูป เทียน ดอกดาวเรืองตัดเป็นดอกๆ ทองเปลว และถุงหินก้อนกรวดเล็กๆ (ใช้โรยรอยพระบาทเมื่อเดินขึ้นไปสุดทางของเขา)
เดินทางไปถึงวัดพลวง ตอนบ่ายโมงนิดๆ พอมาถึงทีนี่ จนท. ขสมก.จะให้จัดแถวๆ ละ 12 คน และเก็บเงินคนละ 10 บาท เด็ก 5 บาทให้กับอุทยานฯ จากนั้นจะมีรถโฟร์วิลล์มารับเราขึ้นเขาเลย (ก่อนขึ้นเขา ขสมก. จะประสานให้ก่อนว่าต้องใช้รถทั้งหมดกี่คัน เขาก็มาตามเวลาที่นัดหมายกันเลย ไม่ต้องเสียเวลารอนานเลย)
สามารถเตรียมน้ำ อาหาร ขนมไปกินระหว่างทาง หรือเมื่อไปถึงยอดเขาแล้วได้ เพราะปีนี้ไม่มีร้านค้าให้บริการเหมือนปีที่ผ่านมา (จนท.เขาเล่ามา)
วันที่เราไป ท้องฟ้าครึ้มๆ มีแต่เมฆ ฝนทำท่าจะตก จนท.ขอให้ปิดมือถือป้องกันไว้ เพราะจะขึ้นเขาสูง อาจจะอันตรายฟ้าผ่าได้
จากนั้นก็ขึ้นเขา เราให้แม่เรานั่งด้านหน้า เพราะระหว่างทาง ขสมก.แจ้งแล้วว่าโค้งขึ้นเขา 102 โค้ง เราอ่ะไหว แต่เราเป็นห่วงแม่ ก็เลยจับไปนั่งหน้าก่อน เรากับลูกนั่งด้านหลัง
เราไปครั้งแรกนะ ในวันที่ไป น่าจะมีฝนตก มีน้ำขังเล็กน้อย ไม่ถึงกับแฉะ แต่ก็ไม่มีฝุ่น เย็นๆ แต่ทางขึ้นเขา ขอบอกว่าสุดยอดมาก หากจะถ่ายรูป หรือบันทึกวิดีโอ เราว่าอาจจะลำบาก เพราะทางคดไปเคี้ยวมา บางคนที่ร่วมรถคันเดียวกับเรา ชอบมาก เขาบอกสนุกดี ระหว่างทางก็จับรถแน่นๆ
ใช้เวลาไม่น่าจะเกินครึ่งชั่วโมงก็ถึงที่ลานพระสีวลี ไหว้พระ วางดอกไม้ ทำบุญก่อนเดินขึ้นเขา ดอกไม้ (ดอกดาวเรือง)ที่ซื้อวัดกระทิง วางที่ลานพระสีวลีส่วนหนึ่ง ส่วนอื่นๆ สามารถนำไปวางระหว่างทางที่ไหว้พระตอนขึ้นเขาไปเรื่อยๆ ได้ แต่เขาไม่ให้จุดธูปนะ นำไปปักได้ พอถึงลานเมตตา (หรือลานพักใหญ่) จุดนี้จะเป็นจุดสุดท้ายของการวางดอกไม้ เลยจากส่วนนี้แล้วจะไม่อนุญาตให้นำดอกไม้สดขึ้นไป นำไปได้ธูป เทียน ทองคำเปลว วันที่ไปคนก็พอสมควร แต่ไม่แน่น กำลังสบายๆ
ระยะเวลาการเดินขึ้นเขาจะมีจุดให้เราได้สักการะพระพุทธรูป แวะพักได้เรื่อยๆ แต่ละคนจะใช้เวลามากน้อย ไม่เท่ากัน แล้วแต่ว่ากำลังใครจะไปได้ขนาดไหน หากไม่ไหวจริงๆ ที่ทางขึ้นเขามีบริการแบกหามเที่ยวละ 800 บาทไปกลับ 1600 บาท
เราก็ไปกับแม่เราเรื่อยๆ ลูกชายก็วิ่งไปวิ่งมา เด็กอ่ะเนอะ พลังเหลือเฝือ เดินไปเรื่อยๆ ได้ไม้เท้ามา 1 อันเก็บระหว่างทาง และมี จนท.ของอุทยานเอาอันมาให้ ขึ้นไปถึงยอดเขา ไปนั่งพักกันที่ศาลา เตรียมถวายผ้าป่า
หลังจากถวายผ้าป่าเสร็จ เราก็เพิ่งรู้ว่าพิธีกรรมอย่างนึงที่เขารอกันคือให้หลวงพ่อทำพิธีกับกระเป๋าเงินหรือกระเป๋าสะพาย บางคนเป็นพวงกุญแจรถ เพราะพอหลวงพ่อรับผ้าป่าเสร็จ แต่ละคนก็วางกระเป๋าบนโต๊ะ หลวงพ่อท่านจะหยิบบางใบเท่านั้นมาเขึยนคล้ายๆ ยันต์ให้ บางคนรู้งาน เตรียมตัวมาอย่างดี วางแล้วท่านหยิบมาเขียนให้เลย แต่ใบอื่นๆ ท่านก็จะสวดและพรมๆ ให้ทุกใบ รอซักพักใหญ่ๆ หลังจากเสร็จพิธี จะมีหลวงพี่อีกรูปส่งกระเป๋าให้แต่ละคน ไม่ใช่ให้เรากรูไปหยิบกันเอง ป้องกันการหยิบของคนอื่น
จากนั้นเราก็เดินไปสักการะรอยพระพุทธบาท ในจุดนี้ จะมี จนท.ของที่นั่นบอกวิธีการสักการะ การขอพร หินก้อนกรวดที่ได้มาพร้อมชุดดอกไม้ให้นำไปโรยในรอยพระพุทธบาท
เราไม่ได้ไปถึงผ้าแดงนะ เราถึงแค่รอยพระพุทธบาทเท่านั้น ก็ไหว้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนยอดเขารอบๆ อึ้งทึ่งกับสิ่งที่เห็น เสร็จแล้วเดินลงกัน ขาลงจะไปได้เร็วกว่าขาขึ้นไปนะ
กลับลงมาที่ลานพระสีวลี เช่นเดิมนับจำนวนให้ได้ 12 คนก็ขึ้นรถลงมา รอคนให้ครบเท่านั้น เพราะมีรถมาจอดรถให้สำหรับลูกทัวร์ของ ขสมก. มารับ ระหว่างทางลง ก็มีกลุ่มอื่นๆ ขึ้นไปเรื่อยๆ มีบางคนกำลังจะเดินขึ้น โห เดินขึ้นแทนการนั่งรถนี่แบบอึดสุดๆ ไหนจะต้องเดินขึ้นไปยอดเขาต่ออีก
รถโฟร์วิลล์จะมามาส่งให้ถึงที่ลานจอดรถของ ขสมก.กันเลย ไม่ได้ไปปะปนกับทางของวัดที่มีเต๊นท์อีกชุดนึง
ขากลับเข้า กทม. แวะเข้าห้องน้ำ แวะทานข้าวเย็น พร้อมซื้อของฝาก ขนมอีกเล็กน้อยที่ชลบุรี ถึงอู่บางเขนเกือบๆ สี่ทุ่ม
เหนื่อยนะ แต่รู้สึกดีที่ได้ไปไหว้ ขอพร สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แม้จะไม่เห็นวิว เพราะเมฆบังมิดหมดเลย อยู่ด้านบนเย็นๆ เพราะพัดเอาไปเมฆฝนมาเป็นระยะๆ เย็นๆ ไม่ร้อน แต่ไม่มีเม็ดฝน
เป็นอีกหนึ่งทริปที่ชอบมาก แม่เราก็ชอบนะ แม้จะเหนื่อยมากก็ตาม :)
