เวลาที่หายไป - บทที่ 23

 

เมื่อออกจากห้องอาหารแห่งนั้นคริสก็ขับรถไปเรื่อยๆ หนุ่มสาวทั้งสองพูดคุยกันอย่างมีความสุขตามประสาคู่รักที่โชคชะตาพัดพา ให้ต้องจากกันไปในช่วงเวลาหนึ่ง เมื่อได้กลับมาพบกันใหม่ก็มีเรื่องต้องทำความเข้าใจกันมากมายหลายเรื่อง ซึ่งแน่ละ..หญิงสาวไม่เอ่ยพาดพิงถึงเวลาเกือบหนึ่งปีนั้นเลย

มิสซิสแอนนา แบรดลี่ย์ หญิงผิวดำวัยกลางคนแม่บ้านของครอบครัวเลย์ตันที่ฟาร์มปศุสัตว์ ยิ้มต้อนรับลลิตาเมื่อคริสพาเธอเข้ามาในบ้าน 

“ สวัสดีค่ะ มิสลิตา ยินดีต้อนรับค่ะ ”

“สวัสดีจ้ะ แอนนา ” ลลิตาทักตอบ แม่บ้านผู้นี้รู้จักลลิตาดีเพราะทำงานที่นี่มานานกว่าสิบปีแล้ว

มิสซิสแบรดลี่ย์ถามลลิตาว่า “ทานมื้อเย็นมาจากข้างนอกแล้วใช่ไหมคะ ? คุณคริสไม่ได้สั่งให้ฉันเตรียมอาหาร ”

“เรียบร้อยแล้วละแอนนา ไม่ต้องห่วง ไปพักได้แล้ว ถ้าต้องการอะไรเดี๋ยวผมจัดการเอง ” คริสเป็นคนตอบ

หนุ่มสาวทั้งสองกลับมาถึงฟาร์มค่อนข้างดึก ขณะนี้ใกล้ยี่สิบสองนาฬิกาแล้ว

“ขึ้นข้างบนเถอะ ” ชายหนุ่มบอก คว้ากระเป๋าเดินทางใบเล็กของลลิตาไว้ในมือหนึ่ง ส่วนอีกมือหนึ่งโอบเอวเธอพาขึ้นบันไดไปห้องนอนบนชั้นสองที่จัดไว้รับรองแขก ห้องนี้อยู่ห่างจากห้องของเขาสองห้อง

คริสเปิดประตูห้องให้ลลิตาเดินเข้าไป เมื่อเห็นเขาหยุดยั้งอยู่เพียงหน้าห้อง หญิงสาวซึ่งผ่านประตูเข้าไปในห้องแล้วก็หันมาถามว่า “ไม่เข้ามาก่อนหรือคะ  ”

“อย่าเลย ลิตาพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้เช้าค่อยเจอกัน ” เขาตอบแล้วทำท่าจะปิดประตูให้เธอ

แต่ยังไม่ทันปิด หญิงสาวก็เข้ามากอดแขนเขา ซุกหน้าเข้าไปที่ต้นแขนแล้วพูดด้วยเสียงที่อ้อนเหมือนเด็กหญิงตัวน้อยๆ 

“ไม่เอา ลิตายังไม่อยากนอนนี่นา พี่ง่วงนอนแล้วหรือคะ ลิตายังไม่ง่วงสักนิด ”

“ยังไม่ง่วงหรอก ลิตามีอะไรกับพี่หรือเปล่า? ” เขามองเธออย่างเอ็นดู บางครั้งเธอก็น่ารักเหมือนเด็กๆ

ลลิตาปล่อยแขนเขา เขย่งตัวขึ้นจูบหยอกๆที่ปลายคาง

“ถ้างั้นพี่ไปอาบน้ำก่อน ลิตาก็จะอาบเหมือนกัน ถ้าอาบน้ำแล้วยังไม่ง่วง ลิตาจะไปคุยกับพี่นะคะ ”

แล้วเธอก็ดันตัวเขาออกจากประตูแล้วงับให้ปิดเข้ามา โดยที่ชายหนุ่มยังไม่ทันได้พูดอะไร หลังจากนั้นเธอก็เตรียมตัวอาบน้ำ หญิงสาวลงนอนแช่น้ำอุ่นในอ่างอาบน้ำ ระหว่างนั้นก็คิดทนทวนถึงช่วงเวลาที่อยู่กับคริส

ก่อนเดินทางเข้ามาที่ฟาร์ม เขาพูดคุยกับเธออย่างปกติเหมือนเดิมก็จริง แต่มีหลายครั้งที่เธอรู้สึกเหมือนเขาหมกมุ่นอยู่กับความคิดของตัวเอง จนลืมที่จะตอบคำถามเธอ และมีบางครั้งที่เขามองเธออยู่โดยที่เธอรู้สึกว่าเขามองไม่เห็นเธอ คิดไปคิดมาแล้วลลิตาก็ตกใจ เธอเริ่มระแวงเขาอีกแล้วหรือนี่?

 หญิงสาวเตือนตัวเองให้หยุดคิดแล้วรีบขึ้นจากอ่างอาบน้ำ แต่งกายด้วยชุดนอนแพรเนื้อหนักตัวสวย

ขณะยืนแปรงผมอยู่หน้ากระจกเงาลลิตามองตัวเอง เห็นหญิงสาวที่สวยไม่เป็นรองใคร ผมสั้นๆหยิกสลวยปัดเป๋ไปมาทั้งศรีษะ ดูเหมาะเจาะรับกันดีกับใบหน้ารูปหัวใจ ปากนิดจมูกหน่อย คางแหลม ดวงตากลมโตขนตายาวงอน คริส ชอบเรียกเธอว่า “ ตุ๊กตาบาร์บี้แสนสวย ”

หลังจากนั้นลลิตาคว้าเสื้อคลุมตัวหนามาสวมทับชุดนอน เดินออกจากห้อง ผ่านโถงยาวหน้าห้องที่ปูด้วยพรมสีขรึมไปที่ห้องของคริส เคาะประตูห้องตามธรรมเนียมแล้วเปิดเข้าไป ส่วนที่เป็นห้องนอนว่างเปล่า ไฟก็ไม่ได้เปิด หญิงสาวเดินเลยไปที่ประตูบานที่เปิดออกไปสู่ระเบียงกว้าง ที่เธอรู้ว่ามีเก้าอี้นอนตัวยาวและโต๊ะกระจกกลมพร้อมเก้าอี้สองตัวตั้งอยู่

เธอพบคริสซึ่งยังอยู่ในเครื่องแต่งกายชุดเดิมนอนหลับตาอยู่บนเก้าอี้นอน ลลิตาไม่เข้าใจว่าตั้งแต่ที่เขาไปส่งเธอที่หน้าห้องนอนจนถึงเวลานี้ ก็นานเกินหนึ่งชั่วโมงแล้ว เขามัวทำอะไรอยู่โดยไม่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า

แต่เมื่อย่องเข้าไปใกล้ ลลิตาก็มองเห็นว่าบนโต๊ะกลมซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเก้าอี้ที่เขานอนอยู่ มีแก้วเหล้าและขวดวิสกี้ซึ่งพร่องไปแล้วกว่าครึ่งวางอยู่ ซองบุหรี่และไลท์เตอร์วางอยู่ใกล้ๆ ในที่เขี่ยบุหรี่ก็มีก้นบุหรี่อยู่เกือบครึ่ง

หญิงสาวขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด ปกติคริสไม่ค่อยสูบบุหรี่ ยกเว้นบางครั้งที่เขารู้สึกเครียดมากเท่านั้น ส่วนเหล้าเขาก็ดื่มพอประมาณเวลาไปงานเลี้ยงหรือสังสรรค์กับเพื่อนฝูง เธอไม่ได้คิดว่าเพียงชั่วเวลาหนึ่งชั่วโมง คริสจะดื่มเหล้าหมดเกือบครึ่งขวดหรอก เขามาอยู่ที่นี่หลายวันแล้วเขาก็คงดื่มบ้างบางวัน จนมันเหลืออยู่เพียงครึ่งขวดอย่างที่เห็น เขาอาจจะเหงาและกังวลกับเรื่องการสอบสวนที่ไม่รู้ว่าผลจะออกมาอย่างไร จนต้องใช้เหล้าและบุหรี่ช่วยก็เป็นได้ หญิงสาวพยายามคิดในแง่ดี

ลลิตาเดินเข้าไปจนชิดเก้าอี้ที่คริสนอนอยู่ เขานอนหงายแขนทั้งสองประสานกันอยู่บนอก เธอนั่งลงบนเก้าอี้ยาวตัวเดียวกับเขา ก้มลงมองหน้าเขาอย่างใกล้ชิด ในแสงจันทร์สลัวที่สาดส่องลงมาบนระเบียงเธอเห็นคิ้วหนาเป็นปื้น ขมวดแน่นเข้าหากัน สีหน้าของเขาดูหมองเศร้า ไม่ได้สดชื่นรื่นเริงเหมือนเมื่อตอนบ่ายที่ผ่านมาเลย

ทันทีที่มือของเธอสัมผัสใบหน้าเขาคริสก็ลืมตาขึ้น และเมื่อเห็นว่าเป็นเธอเขาก็เหนี่ยวตัวเธอลงไปกอด ร่างกายส่วนบนของเธอตอนนี้ทาบทับอยู่บนอกเขา กอดของเขายังแนบแน่นอบอุ่นเหมือนเดิมก็จริง แต่ลลิตาคิดว่าหูเธอคงไม่ฝาดกับเสียงถอนใจยาว ราวกับหนักในหัวอกหัวใจของคริส

“ลิตา ”
เขาพึมพำเรียกชื่อเธออยู่ข้างหูโดยไม่พูดอะไรต่อ หญิงสาวผงกศีรษะขึ้นมองหน้าเขา ก็เห็นสายตาของคริสจับจ้องอยู่ที่ดวงจันทร์สีซีดๆที่เห็นอยู่ลิบๆ แล้วเขาก็เรียกชื่อเธอซ้ำอีก

“พี่เป็นอะไรหรือเปล่าคะ พี่ไม่สบายใจเรื่องอะไรหรือเปล่า เล่าให้ลิตาฟังได้ไหมคะ ? ” ลลิตาชักร้อนใจ เมื่อสังเกตเห็นอาการแปลกๆของเขา

“เปล่า พี่ไม่ได้เป็นอะไร ลิตายังไม่ง่วงอีกหรือ นี่ก็ดึกมากแล้วนะ”

“ยังไม่ง่วงเลยสักนิด อยากคุยกับพี่มากกว่า พี่มาอยู่ที่นี่คนเดียวไม่เหงาแย่หรือคะ พี่น่าจะอยู่กับคุณป้าในนิวยอร์คมากกว่า เราจะได้พบกันบ่อยๆ ”

คริสนิ่งไปอึดใจหนึ่งก่อนตอบว่า “ลิตาก็รู้ไม่ใช่หรือว่าพี่ชอบที่นี่ ตั้งแต่ทำงานพี่ไม่ค่อยมีเวลามาที่นี่บ่อยนัก แล้วอีกอย่าง พี่ก็อยากอยู่เงียบๆคนเดียวสักพักด้วย ”
ลลิตาผงกหน้าขึ้นมองเขา “พี่มีเรื่องอะไรที่ต้องคิดหรือคะ ถึงได้อยากอยู่เงียบๆคนเดียว? ”

คำถามโดยซื่อของหญิงสาวทำให้คริสสะดุ้งในใจ รีบปฏิเสธว่า “เปล่าหรอก ไม่มีอะไร ”

ลลิตามองหน้าเขาอย่างสงสัยและยิ่งสงสัยมากขึ้นไปอีก เมื่อเธอจูบเขาแผ่วๆ ที่แก้มแล้วเขายังเฉย ราวกับไม่ได้รู้สึกรู้สมกับจูบของเธอเลย ผิดไปจากแต่ก่อนที่เขามักจะเป็นฝ่ายจูบเธอก่อน เมื่อไรก็ตามที่เธอหยอกเย้าเขาเล่น หรือง้องอนเขาด้วยการเป็นฝ่ายจูบเขาก่อน เขาก็จะไม่มีทางนิ่งเฉยไม่จูบตอบหรอก มีแต่จะพยายามจูบเธอให้มากขึ้นด้วยซ้ำ

ความหวาดระแวงเริ่มกลับมาใหม่ เขาเป็นอะไรไปอีกแล้ว มาแอบนอนซึมอยู่คนเดียวแล้วยังไม่สนใจจูบของเธอ ที่นานๆเธอจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อนเสียอีก

“พี่จะบอกลิตาได้หรือยังคะ ว่าตอนที่พี่หายไปน่ะพี่ไปอยู่กับใครที่ไหน พี่เคยบอกว่ายังบอกใครไม่ได้ แม้แต่กับลิตาพี่ก็บอกไม่ได้หรือคะ ? ” เธอพยายามเลียบเคียงหาสาเหตุความผิดปกติของเขา

ชายหนุ่มอึ้งไปอีกก่อนจะตอบว่า “รอให้ผลการสอบสวนออกมาก่อน แล้วพี่จะบอกทุกอย่างให้ลิตารู้ ตอนนี้พี่ยังพูดอะไรไม่ได้ ” แล้วเขาก็เริ่มระวังตัว ย้อนถามว่า “ลิตาถามทำไมหรือ ? ”

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ลิตาเพียงอยากรู้เท่านั้นว่าพี่ไปอยู่ที่ไหน อยู่กับใคร รู้คร่าวๆ จากคุณป้าเท่านั้นว่านักสืบของคุณป้าพบพี่ที่แม่ฮ่องสอน แต่ไม่รู้ว่าพี่ไปอยู่บ้านใคร แล้วพี่รู้สึกยังไง ลิตาคิดว่า คนอื่นหรือที่อื่นก็ไม่เหมือนคนที่เรารู้จักสนิทสนม ถ้าเป็นลิตาคงกลุ้มใจและอึดอัดมาก ใครที่ไหนเขาจะมาสนใจเราเหมือนครอบครัวของเรา จริงไหมคะ ? ”

คริสไม่ตอบ เขาเริ่มรู้สึกว่าลลิตากำลังพยายามหาข้อมูลจากเขา เธออาจจะสงสัยอะไรบางอย่าง เห็นท่าทางของเขาแล้วหญิงสาวก็ลองทดสอบคริสอีกครั้งหนึ่ง ด้วยการจูบแผ่วๆลงบนริมฝีปากของเขาที่อยู่ใกล้กับแก้มเธอ แต่คราวนี้คริสคงรู้ตัวเขาจูบตอบเธออยู่ครู่หนึ่งอย่างเอาใจ ก่อนจะซุกหน้าลงไปในกลุ่มผมดำสลวยของเธอ

“พี่คริส ลิตารักพี่นะ พี่ล่ะคะยังรักลิตาเหมือนเดิมหรือเปล่า” เธอรู้สึกกังวลกับท่าทางของเขาจนต้องถามเพื่อความมั่นใจ

ลลิตาไม่แน่ใจว่าเขาได้ยินคำถามของเธอหรือเปล่า เพราะเขาไม่ตอบแต่กลับพูดว่า “ ลิตา ถ้าพี่...”

พูดได้แค่นั้นเขาก็กอดเธอแน่นขึ้นกว่าเดิมจนเธอรู้สึกเจ็บ แต่คราวนี้ลลิตารู้สึกได้ด้วยสัญชาติญาณอันฉับไวของผู้หญิง ว่ามันเป็นเหมือนกอดของคนที่กำลังจะจมน้ำ ที่พยายามไขว่คว้าหาที่ยึดเหนี่ยวเพื่อดึงตัวเองให้รอด ไม่ใช่กอดด้วยความเสน่หายาใจที่มีต่อกันระหว่างหญิงกับชาย เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

ในที่สุดเขาก็พูดว่า “เปล่า ไม่มีอะไรหรอก ” พร้อมกันนั้นก็ลุกขึ้นนั่ง รั้งเอาตัวเธอให้นั่งขึ้นมาด้วยกัน

“ไปนอนเถอะ ดึกมากแล้ว พี่จะไปส่ง ”

คริสลุกขึ้นยืน ดึงแขนลลิตาให้เดินตามเขาไป เมื่อถึงหน้าห้อง เขาก็กอดเธอไว้อีกครั้งหนึ่งอย่างหลวมๆ ก้มลงจูบเบาๆที่แก้มข้างหนึ่ง แล้วเปิดประตูให้เธอเดินเข้าห้องไป

“ราตรีสวัสดิ์ ”

เขาพูดกับเธอเป็นประโยคสุดท้ายแล้วงับประตูเดินจากไป ทิ้งให้ลลิตายืนงงอยู่หลังบานประตู ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา ทำไมเขาไม่ตอบคำถามของเธอ อะไรที่เขากำลังจะพูดแล้วกลับหยุดไป ? คืนนั้นทั้งคืนหญิงสาวเกือบจะไม่ได้หลับเลย อะไรบางอย่างในท่าทางของคริสรบกวนจิตใจเธอให้ว้าวุ่น ลลิตาเริ่มรู้สึกกลัวโดยตอบตัวเองไม่ได้ว่ากลัวอะไร ?


ในที่สุดผลการสอบสวนก็ออกมาหลังจากนั้นประมาณหนึ่งเดือน คณะกรรมการสรุปความเห็นโดยอาศัยพยานหลักฐานที่สืบหามาได้ ว่าคริสไม่มีความผิด การหายตัวไปโดยไม่ติดต่อรายงานต้นสังกัด เป็นเพราะเหตุสุดวิสัยที่เขาไม่สามารถควบคุมได้ นอกจากนี้งานที่เขาได้รับมอบหมายให้ไปทำก็บรรลุเป้าหมาย ดังนั้นจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้คริสพ้นข้อหา “หนีราชการทหาร” และให้ถือว่าช่วงเวลาที่เขาหายตัวไปเป็นการปฏิบัติหน้าที่ ทำให้คริสได้รับเงินเดือนย้อนหลังเป็นเงินจำนวนมาก คณะกรรมการมีคำสั่งให้เขากลับไปทำงานในอิรัคต่ออีกสามเดือน หลังจากนั้นให้กลับมาทำงานในกระทรวงกลาโหมต่อไป

หลังจากรู้ผลการตัดสินคริสเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเขา ในช่วงเกือบหนึ่งปีที่เขาหายตัวไปให้บิดามารดาและลลิตาฟังพร้อมๆกัน และสรุปในตอนท้าย ถึงสาเหตุที่ทำให้เขากลับมาไม่ได้ว่า เป็นเพราะเขาสูญเสียความจำไปชั่วคราว จำไม่ได้แม้แต่ชื่อตัวเอง จึงไม่สามารถติดต่อกับใครได้เลย จนกระทั่งได้พบกับนักสืบเอกชน ที่พาเขาเดินทางมากรุงเทพฯแต่ก็เกิดอุบัติเหตุรถคว่ำเสียก่อน

อุบัติเหตุครั้งนี้ก็มีผลกระทบต่อสมองของเขาอีก หมอที่รักษาเขาคิดว่าอาจเป็นไปได้ว่า สมองที่ได้รับการกระทบกระเทือนจากอุบัติเหตุครั้งนี้ อาจไปทำให้อดีตที่เขาหลงลืมไปจากการถูกทำร้ายในครั้งแรก กลับคืนมาเป็นปกติก็ได้

ผู้ฟังทั้งสามฟังเรื่องที่คริสเล่าด้วยความสงสาร คุณธัญญาร้องไห้ บิดาของคริสทำตาแดงๆ ตบไหล่บุตรชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามอย่างเห็นใจ

ในขณะที่ลลิตาถึงแม้จะน้ำตาคลอแต่ก็รู้สึกโล่งใจ ที่ไม่มีเรื่องผู้หญิงเข้ามาเกี่ยวข้อง และยิ่งรู้ว่าที่เขาหายไปไม่ติดต่อเธอเลย เป็นเพราะเขาเสียความจำไม่ใช่เพราะเขาลืมเธอ ยิ่งทำให้หญิงสาวสบายใจมากขึ้น หายระแวงคริส เป็นปลิดทิ้ง จนแทบจะลืมท่าทางและคำพูดแปลกๆของคริส ในคืนนั้นที่บ้านในฟาร์มปศุสัตว์ไปเลย

หลังจากทำใจได้แล้วคุณธัญญาก็ซักถามบุตรชายของเธอ ถึงคนที่ช่วยชีวิตและให้ที่พักพิงกับเขานานเกือบหนึ่งปี ทีซักถามไม่ใช่เพราะสงสัยอะไรหรอก เธอเพียงอยากรู้ความเป็นอยู่ของเขาในช่วงที่หายไปว่าเป็นอย่างไร ยากลำบากหรือสุขสบายดีเท่านั้น ซึ่งชายหนุ่มก็เล่าให้เธอฟังถึงเวียงพุกามและคุณดนัย ตลอดจนงานต่างๆที่เขาได้รับมอบหมายให้ทำ เขาจงใจละเว้นชื่อของทิพย์สุรางค์และทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเธอ

คืนนั้นหลังจากร่วมรับประทานอาหารเย็นกับครอบครัว คริสก็ขับรถพาลลิตาไปส่งที่อพาร์ทเมนต์ของเธอและคุยกันอยู่พักหนึ่ง เมื่อกลับถึงบ้านเขาเข้าไปหาบิดามารดาในห้องส่วนตัวของท่าน

“แม่ครับ มะรืนนี้ผมจะไปเมืองไทย ”

เขาพูดยังไม่ทันจบคุณธัญญาก็ถามขัดขึ้นมาอย่างตกใจว่า “จะไปทำไม เพิ่งเกิดเรื่องไม่นานจะไปที่นั่นอีกทำไม ”

“ผมมีธุระครับแม่ ” คริสตอบเรียบๆ ความจริงเขาไม่จำเป็นต้องรายงานเธอหรอก แต่ที่มาบอกเนื่องจากกลัวว่าถ้าเขาหายไปโดยไม่บอกกล่าว มารดาของเขาอาจจะตกอกตกใจ คิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาอีก

“ธุระเกี่ยวกับงานหรือเปล่า ? ” เธอซักอย่างหวาดหวั่น

“ไม่ใช่ครับ ” เขานิ่งคิดแล้วบอกเธอว่า “ผมอยากไปที่เวียงพุกาม ผมมีเรื่องสำคัญจะต้องทำ ”

บิดาของเขาถามว่า “แต่ลูกต้องกลับไปทำงานไม่ใช่หรือ? ”
“อาทิตย์หน้าผมต้องกลับไปที่โน่น ” เขาหมายถึงอิรัค “ แต่ตอนนี้ผมได้พักจนกว่าจะเดินทาง ”

มารดาของเขายังข้องใจเรื่องเวียงพุกาม “บอกแม่ได้ไหมว่ามีเรื่องอะไรสำคัญนักหนา ถึงจะต้องกลับไปอีก  “

คริสนิ่ง เขาไม่ได้อยากจะปิดบังเธอ แต่เขาก็ยังไม่สามารถบอกเธอได้ในตอนนี้

“แม่ครับ คนที่นั่นมีบุญคุณกับผมมาก แม่ก็ทราบ ถ้าพวกเขาไม่ช่วยผมเอาไว้ แม่ก็คงไม่ได้พบผมอีกแล้ว เขาส่งผมไปรักษาที่โรงพยาบาลแล้วยังให้ที่พักและให้งานทำอีกด้วย ผมรีบร้อนจากมาโดยไม่ทันได้ร่ำลาใคร ผมควรจะกลับไปขอบคุณและร่ำลาพวกเขาไม่ใช่หรือครับ ที่ผมต้องรีบไปตอนนี้ ก็เพราะมีคำสั่งออกมาแล้วให้ผมไปทำงานที่อิรัคสามเดือน ซึ่งถ้ารอไปจนถึงตอนที่กลับจากที่โน่นมันจะนานเกินไป ผมจึงอยากไปเสียตอนนี้ที่ยังพอมีเวลา ” ชายหนุ่มพยายามอธิบาย

เมื่อฟังเหตุผลของบุตรชายคุณธัญญาก็นิ่งไป แต่แล้วเธอก็คิดขึ้นมาได้ถึงสิ่งที่เธอน่าจะทำ

“ความจริงแม่เองก็อยากไปขอบคุณพวกเขาเหมือนกัน ที่ช่วยลูกเอาไว้ ไปด้วยกันไหมคะ จอห์น ” เธอหันไปชวนสามี

คริสรีบค้านว่า “ไว้ให้ผมกลับจากอิรัคก่อนแล้วผมค่อยพาแม่กับพ่อไปดีไหมครับ คราวนี้ผมควรจะไปคนเดียวก่อน ที่โน่นยังไม่มีใครรู้เรื่องที่ผมจำอดีตได้เลย แม้แต่ชื่อผมเขาก็ยังไม่รู้ ”

จอห์น เลย์ตันถามว่า “อ้าว แล้วตอนอยู่ที่โน่นพวกเขาเรียกลูกว่าอะไรล่ะ ? ”

คริสยิ้ม เมื่อนึกถึงนายแพทย์หนุ่มใหญ่ที่ให้ความเป็นกันเองกับเขา ”เคนครับ พ่อ หมอที่รักษาผมเป็นคนตั้งให้ ”

คุณธัญญาถามถึงเรื่องที่เธอยังขัองใจว่า “ลูกบอกว่าคนที่เป็นเจ้าของเวียงพุกามชื่อดนัยใช่ไหม? ”

“ครับ ” คริสตอบแล้วมองเธออย่างสงสัยว่าทำไมเธอจึงถาม “แม่รู้จักหรือครับ  ”
“ไม่รู้จักหรอก แม่แค่อยากรู้จักคนที่ช่วยเหลือลูกของแม่บ้างเท่านั้นแหละ คุณดนัยนี่อายุสักเท่าไหร่ ?”

ชายหนุ่มนิ่งคิดกะอายุของคุณดนัยแล้วตอบว่า “คงหกสิบกว่าๆครับ หกสิบเท่าไหร่ผมก็ไม่ทราบแน่ ”

จอห์น เลย์ตัน บิดาของคริสพูดขึ้นมาบ้างว่า “คนชื่อดนัยนี่พ่อเคยรู้จักอยู่คนหนึ่ง ไม่รู้ว่าใช่คนเดียวกันหรือเปล่า ”

“คงไม่ใช่หรอกค่ะ ” คุณธัญญาให้ความเห็น “ คนไทยชื่อนี้กันเยอะแยะ ” แล้วเธอก็หันไปถามคริสต่อว่า “แล้วครอบครัวเขาล่ะ เขาไม่มีลูกมีเมียหรอกหรือ ”

เธอซัก เพราะไม่ได้ยินคริสพูดถึงคนอื่นเลยนอกจากคุณดนัยคนนี้ เธออยากจะรู้รายละเอียดเกี่ยวกับครอบครัวของเจ้าของบ้าน ที่ลูกชายของเธอไปพักอาศัยอยู่ด้วยเกือบปี โดยคิดว่าอาจจะมีโอกาสได้ตอบแทนเขา หรือคนในครอบครัวของเขาบ้าง

คำถามของเธอทำให้คริสอึ้ง แต่แล้วก็ตัดสินใจตอบเลี่ยงๆว่า “ลูกชายคุณดนัย ดูแลกิจการของครอบครัวอยู่ที่กรุงเทพฯครับ ”

โชคดีที่คุณธัญญาไม่ซักต่อ เธอเปลี่ยนไปถามว่า “แล้วลูกจะกลับเมื่อไหร่”

“คงกลับก่อนกำหนดเดินทางไปอิรัคสักวันสองวัน หรืออาจเร็วกว่านั้น” เขาชี้แจง “แม่ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมจะรีบไปรีบกลับ เพราะยังต้องมาเตรียมตัวอีก”


 


 



Create Date : 25 มีนาคม 2567
Last Update : 25 มีนาคม 2567 21:47:34 น.
Counter : 295 Pageviews.

5 comments
(โหวต blog นี้) 

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณปัญญา Dh, คุณhaiku, คุณSweet_pills, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณหอมกร, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณkatoy, คุณtanjira, คุณปรศุราม, คุณEmmy Journey พากิน พาเที่ยว, คุณeternalyrs, คุณโฮมสเตย์ริมน้ำ, คุณmariabamboo, คุณแมวเซาผู้น่าสงสาร, คุณnewyorknurse, คุณpeaceplay

  
แฟนคลับเยอะอยู่ค่ะคุณตุ้ย

โดย: หอมกร วันที่: 26 มีนาคม 2567 เวลา:7:31:50 น.
  
สวัสดี จ้ะ น้องดอยสะเก็ด

เนื้อหาตอนนี้ กำลังเข้มข้น เลยเนาะ ตอนนี้ สงสาร พระเอกคริสต์
จ้ะ จะแก้ปัญหาอย่างไร หนึ่งชาย สอง หญิง อิอิ รีบ ๆ เขียน จ้ะ จะ
ตามอ่านตอนต่อไป จ้ะ

โหวด หมวด งานเขียน ฯ
โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 26 มีนาคม 2567 เวลา:10:51:56 น.
  
สวัสดีค่ะ
ขอบคุณนะคะที่กดโหวตให้ เดี๋ยวว่างๆจะมาตามอ่าน เวลาที่หายไปค่ะ
โดย: สมาชิกหมายเลข 7915129 วันที่: 26 มีนาคม 2567 เวลา:14:43:18 น.
  
สวัสดีค่ะ

ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่บล็อกนะคะ

โดย: tanjira วันที่: 27 มีนาคม 2567 เวลา:14:12:36 น.
  
แวะเข้ามาเยี่ยมค่ะ อ่านเพลินทุกตอนเลยค่ะ
โดย: Emmy Journey พากิน พาเที่ยว วันที่: 28 มีนาคม 2567 เวลา:12:08:42 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดอยสะเก็ด
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]



New Comments
Group Blog
มีนาคม 2567

 
 
 
 
 
1
2
3
5
6
7
8
10
11
12
13
15
16
17
18
19
21
22
23
24
26
27
28
29
30
 
 
All Blog
Friends Blog
[Add ดอยสะเก็ด's blog to your weblog]
  •  Bloggang.com