เวลาที่หายไป - บทที่ 27
ตอนนี้แขกเข้ามานั่งตามโต๊ะที่จัดไว้จนเกือบเต็มแล้ว แม้แต่โต๊ะยาวที่จัดไว้สำหรับเจ้าภาพก็มีคนนั่งอยู่หลายคน จอห์น เลย์ตันและภรรยาของเขาเดินไปรอบๆ พูดจาทักทายอย่างเป็นกันเองกับผู้ที่มาร่วมงาน ทิพย์สุรางค์สังเกตว่าแขกทุกคนแต่งตัวหรู ผู้ชายแต่งชุดทักซิโดส่วนผู้หญิงอยู่ในชุดราตรียาวเลิศหรู ประดับเครื่องเพชรกันพรึ่บพรับ เจนนิเฟอร์โบกมือทักทายบิดามารดาของเธอ ซึ่งนั่งอยู่ในกลุ่มพวกนักธุรกิจด้วยกัในโต๊ะที่ไกลออกไปทางหน้าเวที


แล้วจู่ๆเจนนิเฟอร์ก็สะกิดทิพย์สุรางค์ “ทิปปี้ เห็นคริสหรือยัง ? เขาอยู่ตรงโน้นไง ”

หญิงสาวมองตามมือของเจนนิเฟอร์ไปแล้วก็เห็น..เขา แม้ระยะทางจะไกล แต่ก็ไม่มีทางที่เธอจะจำผิด เขาดูสง่าผึ่งผายในชุดทักซิโดกางเกงดำเสื้อเชิร์ตตัวในและเสื้อตัวนอกสีขาว ผูกหูกระต่ายสีดำ เคียงข้างเป็นหญิงสาวร่างโปร่งเพรียวในชุดราตรียาวสีฟ้าจางๆเกือบขาว

ทิพย์สุรางค์มองไม่เห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นถนัดนัก เนื่องจากระยะทางที่ค่อนข้างไกลและเธอผู้นั้นยืนหันข้างให้ แต่ถ้าจะให้เดาทิพย์สุรางค์ก็คิดว่าเดาได้ไม่ผิด ว่าเธอคือคู่หมั้นของผู้ชายคนนั้น ดูจากแขนของเธอที่คล้องอยู่กับแขนข้างหนึ่งของเขาอย่างสนิทแนบแน่น เหมือนเป็นสัญญาณที่แสดงถึงความเป็นเจ้าของซึ่งกันและกัน

หลังจากนั้นอีกประมาณครึ่งชั่วโมงพิธีกรของงานก็ขึ้นไปประกาศชวนเชิญ ให้แขกทุกคนออกไปเลือกตักอาหารในห้องด้านหน้า แล้วนำเข้ามารับประทานในห้องด้านใน อาหารจัดในแบบบุฟเฟ่ต์มีทั้งอาหารฝรั่ง อาหารจีน และที่ขาดไม่ได้คืออาหารไทย ปรากฏว่าแขกส่วนใหญ่ให้ความสนใจอาหารไทย ซึ่งมีหลากหลายชนิดและมีครบทุกรสชาติคือเปรี้ยว หวานเค็มและเผ็ด เจนนิเฟอร์ตักอาหารมาเผื่อทิพย์สุรางค์ด้วย เพราะรู้ว่าเธอคงยังไม่ต้องการให้คริสเห็นเธอ

หลังอาหารจอห์น เลย์ตันและภรรยาซึ่งเป็นเจ้าภาพของงาน ขึ้นไปบนเวที กล่าวถึงจุดประสงค์ของงานปาร์ตี้ครั้งนี้ แล้วก็ประกาศต่อว่า “นอกจากเป็นการสังสรรค์ในระหว่างเพื่อนฝูงเนื่องในเทศกาลคริสต์มาสแล้ว ผมยังมีข่าวดีที่จะประกาศให้ทุกคนได้รับรู้ และร่วมแสดงความยินดีกับครอบครัวของเรา ”

เขามองไปยังโต๊ะที่แขกพิเศษของเขานั่งอยู่ “ ผมขอเชิญคุณปราโมชและคุณลักษณา เพื่อนสนิทของครอบครัวซึ่งกำลังจะกลายเป็นญาติสนิท ขึ้นมาบนเวทีด้วยครับ ”

มีเสียงตบมือเกรียวกราวต้อนรับเมื่อบิดามารดาของลลิตาเดินขึ้นไปบนเวที ไปยืนอยู่ข้างๆจอห์นและคุณธัญญา ด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสบ่งบอกถึงความสุข

“ผมขอแนะนำแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ให้รู้จักสุภาพบุรุษท่านนี้ ” เขาผายมือไปที่บิดาของลลิตา “ ท่านและภรรยาเดินทางมาจากประเทศไทย ซึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของภรรยาผม ท่านผู้นี้ปัจจุบันเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในคณะรัฐบาลชุดปัจจุบันของไทย ท่านและคุณลักษณา ภรรยาคนสวยของท่านเป็นบิดามารดาของลลิตา ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ของผม”

เขาหยุดพูดแล้วพยักหน้าไปที่คริสและลลิตา ซึ่งนั่งอยู่ใกล้กันให้ขึ้นมาบนเวที เมื่อหนุ่มสาวทั้งสองจูงมือกันเดินขึ้นมายืนคู่กันบนเวทีแล้วจอห์น เลย์ตันก็กล่าวต่อว่า “ข่าวดีที่ผมขอประกาศก็คือคริส ลูกชายของผม และลลิตาลูกสาวของท่านรัฐมนตรีปราโมช ได้หมั้นกันแล้วตามแบบอเมริกัน แต่เพื่อเป็นเกียรติแก่ฝ่ายหญิงและบิดามารดาของเธอซึ่งเป็นคนไทย ผมและภรรยายินดีที่จะทำตามขนบธรรมเนียมประเพณีของไทย คือให้ลูกชายผมหมั้นลูกสาวของท่านรัฐมนตรีฯ ต่อหน้าครอบครัวของทั้งสองฝ่ายและแขกผู้มีเกียรติในที่นี้ทุกท่าน อย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง ”

ต่อจากนั้นเขาก็เรียกหนุ่มสาวทั้งสองให้ออกมายืนข้างหน้า คุณธัญญาส่งกล่องแหวนหมั้นที่ถืออยู่ในมือให้บุตรชาย แต่จอห์นคว้ามาก่อน เขาเปิดกล่องออกแล้วชูแหวนเพชรเม็ดงาม ให้แขกทุกคนได้ชมความงามของมัน แล้วจึงส่งต่อให้คริสท่ามกลางเสียงปรบมือดังสนั่น เสียงอุทานและเสียงหยอกล้อจากบรรดาแขกเหรื่อที่มาร่วมเป็นสักขีพยาน และตอนนี้พนักงานเสิร์ฟเครื่องดื่มที่ยืนคอยอยู่ก่อนแล้ว ก็นำเครื่องดื่มซึ่งส่วนใหญ่เป็นเหล้าผสม ขึ้นมาเสิร์ฟให้คนบนเวที

คริสรับแหวนจากบิดาแล้วยื่นมือไปขอมือลลิตา หน้าคมคายของเขามีรอยยิ้มที่บ่งบอกถึงความสุข หญิงสาวซึ่งแต่งกายงดงามในชุดราตรียาวเปิดไหล่สีฟ้าจาง ประดับมุกด์เม็ดเล็กๆเป็นพันๆเม็ดรอบตัวเสื้อ เหลือบขึ้นสบตาเขา ยิ้มอย่างหวานทั้งปากและตา ส่งมือข้างซ้ายของเธอให้เขา ชายหนุ่มจับมือนั้นไว้ บรรจงสวมแหวนหมั้นที่มารดาให้มาลงบนนิ้วนางของลลิตา ที่มีแหวนเพชรเม็ดเล็กๆ ที่เขาให้เธอไว้ก่อนไปราชการที่อิรัคสวมอยู่

ชายหน่มไม่ได้ถอดแหวนวงนั้นออกแต่สวมแหวนวงใหม่ซ้อนเข้าไป พอสวมแหวนเสร็จคริสก็โอบร่างลลิตาหลวมๆ จุมพิตแก้มทั้งสองข้างของเธออย่างนุ่มนวลทะนุถนอม หลังจากนั้นจอห์นก็กล่าวเชิญชวนให้แขก ร่วมกันดื่มอวยพรให้คู่หมั้นทั้งสอง

ตลอดเวลาดังกล่าวทิพย์สุรางค์จ้องมองภาพที่เกิดขึ้นบนเวที ซึ่งตอนนั้นสว่างไสวด้วยแสงสปอร์ตไลท์ เธอเห็นคริสและลลิตาที่หน้าตาสดใสมีความสุข คนทั้งสองยืนจูงมือกันอยู่ท่ามกลางบิดามารดาของทั้งสองฝ่าย

ทิพย์สุรางค์ต้องยอมรับกับตัวเองว่าเขาทั้งสองเหมาะสมกัน ราวกับกิ่งทองใบหยก ฝ่ายชายรูปร่างสูงเพรียวองอาจผึ่งผาย หน้าตาคมเข้มและคมคาย ส่วนฝ่ายหญิงก็ร่างโปร่งอรชรอ้อนแอ้น ใบหน้าหวานแฉล้มสวยราวกับตุ๊กตา เธอเพิ่งเห็นเดี๋ยวนี้เองว่าลลิตาเป็นผู้หญิงที่สวยมาก กิริยามารยาทก็แช่มช้อยนุ่มนวล

หญิงสาวไม่เข้าใจว่าทำไมจึงรู้สึกปลาบแปลบในหัวใจ ตอนที่เห็นคริสบรรจงสวมแหวนหมั้นลงบนนิ้วนางของผู้หญิงคนนั้น เธอเห็นสายตาที่สบกันด้วยความรักความเข้าใจ เห็นเขาบรรจงจูบว่าที่เจ้าสาวของเขาอย่างอ่อนโยนทะนุถนอม ท่ามกลางเสียงปรบมือแซ่ซ้องยินดีของแขกในงานที่มาร่วมเป็นสักขีพยาน แม้แต่เธอเองก็ยังพลอยปรบมือตามเขาไปด้วย

แล้วก็เป็นตอนนั้นเองที่ทิพย์สุรางค์คิดว่าถึงเวลาแล้ว ที่เธอจะต้องตัดเขาคนนั้นออกไปจากความคิดคำนึงของเธอเสียที เขากำลังจะมีชีวิตใหม่กับผู้หญิงที่เขารัก เขาหมั้นกันอย่างเป็นทางการแล้วและคงจะแต่งงานกันในไม่ช้า เขามีทางที่ต้องเดินต่อไปกับผู้หญิงคนนั้นที่เขาเลือกแล้ว ส่วนเธอก็ต้องเดินต่อไปตามวิถีทางของเธอเอง ดังนั้น...ตอนนี้คงไม่มีอะไรดีไปกว่าอโหสิกรรมให้เขาเสีย เธอตัดสินใจแล้ว !

หลังจากนั้นก็เป็นการเปิดฟลอร์เต้นรำโดยบิดาของว่าที่เจ้าบ่าวกับมารดาของว่าที่เจ้าสาว เพียงไม่กี่นาทีต่อมาฟลอร์นั้นก็แน่นขนัดไปด้วยคู่เต้นรำ ท่ามกลางเสียงบรรเลงอย่างไพเราะของเพลงในยุคซิกซ์ตี้ เจนนิเฟอร์หายตัวเข้าไปอยู่บนฟลอร์นั้นแล้ว หลังจากพยายามคะยั้นคะยอทิพย์สุรางค์ ให้ออกไปเต้นรำกับชายหนุ่มสองสามคนที่แวะเวียนมาขอเต้นรำด้วย แต่ไม่สำเร็จเพราะทิพย์สุรางค์อ้างว่าเธอไม่ต้องการให้เป็นจุดสนใจของใคร ซึ่งเพื่อนของเธอก็รู้ดีว่าใครที่ว่านั้นจะเป็นคนอื่นไปไม่ได้ นอกจากคริส เลย์ตันซึ่งตอนนี้เขาก็ยังไม่เห็นเธอ

ขณะที่ทิพย์สุรางค์กำลังคิดว่าเมื่อเจนนิเฟอร์กลับมาที่โต๊ะ เธอจะขอตัวกลับก่อน ที่ไม่คิดจะชวนเจนนิเฟอร์ให้กลับด้วยก็เพราะเห็นว่าเธอผู้นั้นกำลังมีความสุขกับการเต้นรำ ซึ่งเป็นสิ่งโปรดปรานอยู่ แต่แล้วโดยไม่คาดฝัน บ๊อบ โฮเวิร์ด บิดาของเจนนิเฟอร์ ซึ่งรู้จักและให้ความเอ็นดูต่อเธอเหมือนลูกสาวอีกคนหนึ่งของเขา ก็เดินลัดเลาะโต๊ะต่างๆเข้ามาถึงตัวเธอแล้วชวนออกไปเต้นรำ ซึ่งทิพย์สุรางค์ไม่สามารถปฏิเสธได้

บริเวณงานไม่ค่อยสว่างนักแต่ไฟบนฟลอร์ยิ่งสลัวกว่า คงเพื่อสร้างบรรยากาศของการเต้นรำ ซึ่งขณะนั้นวงดนตรีกำลังบรรเลงเพลงเก่าๆท่วงทำนองซึ้งๆในจังหวะวอลซ์ ระหว่างเต้นรำอยู่ด้วยกันบิดาของเจนนิเฟอร์ก็ชวนพูดคุยเรื่องทั่วๆ ไปตามประสาคนคุ้นเคย แล้วจู่ๆดนตรีก็เปลี่ยนไปเป็นเพลงในจังหวะสโลว์ บ๊อบส่ายหน้าอย่างขันๆ เขาคิดว่าเพลงจังหวะนี้น่าจะเหมาะสำหรับหนุ่มสาวที่จะเต้นกันมากกว่า

แล้วทันทีที่เห็นคู่เต้นรำที่โฉบเข้ามาใกล้ที่สุด เขาก็สะกิดบ่าผู้ชายคู่เต้นเป็นสัญญาณขอสลับคู่ จับมือทิพย์สุรางค์วางลงในมือของชายผู้นั้น ส่วนตัวเขาเองก็โอบเอวคู่เต้นสูงวัยของอีกฝ่าย พาล่องลอยห่างออกไปในความสลัวของฟลอร์เต้นรำ

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและในแสงไฟสลัว ทิพย์สุรางค์ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองคู่เต้นคนใหม่ เธอเพียงแต่วางมือข้างที่ไม่ได้ถูกจับพาดไว้บนบ่าของเขา แล้วเต้นตามเขาไปโดยอัตโนมัติ แต่แล้วอีกครู่ต่อมาเมื่อเธอเงยหน้าขึ้น พร้อมกับที่คู่เต้นของเธอก้มลงมองผู้หญิงในอ้อมแขน ตาที่สบกันโดยบังเอิญต่างเบิกกว้างด้วยความตกใจ ทิพย์สุรางค์ตกใจที่เห็นคริสอยู่ตรงนั้น แต่คริสมีอาการหนักกว่า เขามองเธออย่างตกตะลึงแล้วหยุดกึกอยู่กลางฟลอร์ ทั้งๆที่ยังโอบเอวเธอเอาไว้ในท่าเต้นรำ หน้าซีดเผือดของเขาจ้องมองเธอนิ่งอยู่หมือนไม่เชื่อสายตาตัวเอง แล้วในที่สุดเขาก็รู้สึกตัว

“คุณหนู ! คุณหนู !” เขาพร่ำเรียกเธออย่างลืมตัว ในระยะประชั้นชิดอย่างนั้น เธอได้กลิ่นเหล้าอ่อนๆและกลิ่นบุหรี่จากลมหายใจของเขา

เขาพร่ำเรียกเธออีกหลายครั้ง แขนที่โอบตัวเธออยู่อย่างหลวมๆในตอนแรก กระชับแน่นเข้า ดึงเอาร่างของเธอเข้าไปซบอยู่กับอกเขา ศรีษะของเขาก้มลงแนบอยู่กับผมเธอ ทิพย์สุรางค์รู้สึกตกใจกับอาการของคริส แม้ว่าบริเวณนั้นจะมืดสลัว แต่เธอก็เกรงว่าจะตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่น

หญิงสาวพยายามผลักเขาออกไปแต่ไม่สำเร็จ เมื่อไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปเพื่อให้เขาปล่อยเธอ ในที่สุดทิพย์สุรางค์ก็กระแทกเท้าในรองเท้าส้นสูง ลงไปบนเท้าเขาเต็มแรงจนตัวเขาเซไปหน่อยหนึ่ง เธอรีบฉวยโอกาสนั้นสะบัดหลุดจากคริสผละหนีลงจากฟลอร์ เดินแกมวิ่งในแสงไฟสลัวตรงไปหยิบกระเป๋าถือที่วางทิ้งไว้ที่โต๊ะ ขอเสื้อโค้ตคืนจากพนักงานที่ดูแลห้องเก็บเสื้อโค้ต แล้วรีบรุดออกจากห้องจัดงานไปอย่างรวดเร็ว

ทิพย์สุรางค์รู้ว่าคริสวิ่งตามเธอมาก็ตอนที่มาถึงหน้าลิฟต์ กำลังยื่นมือออกไปเพื่อจะกดเรียกลิฟต์ มือของเธอถูกยึดเอาไว้

“คุณหนูครับ ! อย่าเพิ่งไป ขอเวลาให้ผมสักครู่ได้ไหม? ” เสียงของเขาอ่อนเศร้าแต่เว้าวอน หน้าซีดเผือด

เธอหันขวับไปมองเขาด้วยดวงตาที่วาวโรจน์ กระชากมือของเธอจนหลุดออกจากมือเขา กระแทกเสียงถามว่า “ จะบ้าหรือ ? มาจับมือถือแขนฉันทำไม !!! ”

“โธ่ คุณหนู ! คุณหนูมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ? คุณหนูอยู่ในอเมริกาตั้งแต่เมื่อไร ? ผมเที่ยวตามหา...”

เขาพูดไม่ทันจบ ทิพย์สุรางค์ก็ตวาดค่อยๆว่า “ หยุดพูดเสียที !! ฉันไม่อยากฟัง แล้วก็กรุณาถอยไปให้ห่างฉันด้วย รู้ไหมว่าฉันเกลียดคุณ ขยะแขยงคุณแค่ไหน !!”

สีหน้าของคริสแดงก่ำแล้วก็เปลี่ยนเป็นซีดขาว แววตาของเขาแม้จะเศร้าแต่ก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ “คุณหนูครับ ผมกลับไปหาคุณหนูที่แม่ฮ่องสอนหลายครั้ง เข้าไปที่เวียงพุกามด้วย ไปหาคุณหมอประสพชัยด้วย ไปถามหาที่อยู่ของคุณหนู มีคนบอกว่าคุณหนูไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ แต่ไม่มีใครยอมบอกผมเลยว่าที่ไหน คุณหนูไม่ได้ไปสวิสเซอร์แลนด์หรอกหรือครับ? หรือว่าคุณหนูมาเรียนต่อที่นี่ แต่ทำไมผมถึงไม่เคยเจอคุณหนูที่นี่มาก่อนเลยเล่าครับ ?”

ชายหนุ่มพูดยืดยาวอย่างร้อนใจใคร่ให้เธอรู้ความจริง ว่าเขาไม่ได้ผิดสัญญา ที่ให้ไว้กับเธอในจดหมายฉบับนั้น แต่ทิพย์สุรางค์ไม่สนใจที่จะฟัง เธอคิดอย่างเดียวว่าเขาพยายามแก้ตัว พอจำอดีตได้ก็กลับไปหาผู้หญิงคนนั้น แล้วเลยลืมเรื่องที่ทำให้เธอเสียหายไปเสียเฉยๆ ไม่เคยคิดจะกลับไปดูดำดูดีผู้หญิงที่เขาทำร้ายอีกเลย ว่าจะเป็นตายร้ายดีประการใด

“ตอนนี้คุณหนูอยู่ที่ไหน ? ขอให้ผมได้พบคุณหนูสักครั้งได้ไหม ผมมีเรื่องจะพูดด้วย ”

“คุณมันเลว เลวที่สุด อย่ามาตีสองหน้า ฉันไม่ต้องการพบคุณอีกแล้ว ฉันคิดผิดที่มาที่นี่ ” ทิพย์สุรางค์ตอบโต้อย่างโกรธจัดแล้วตวาดไม่ดังนักว่า “ ถอยไป!! ฉันจะกลับแล้ว และกรุณาจำเอาไว้ด้วยว่า ชาตินี้อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีกเป็นอันขาด ! ”

คริสไม่ใส่ใจกับเสียงตวาดอย่างเคียดขึ้งของหญิงสาว ยังเอื้อมมือมาพยายามที่จะรั้งตัวเธอเอาไว้ แล้วระหว่างที่กำลังยื้อยุดกันอยู่นั้นเอง ลิฟต์ตัวที่อยู่ตรงหน้าคนทั้งสองที่ลงมาจากชั้นที่เหนือขึ้นไปก็เปิดออก ผู้หญิงวัยกลางคนในชุดราตรียาวหรูหราสีคราม ประดับเพชรวูบวาบทั้งที่ลำคอ หู และนิ้วมือก้าวออกมาพอดี อารามที่จะหนีให้พ้นจากคริส ทำให้ทิพย์สุรางค์ไม่มองหน้าใครทั้งนั้น ทันทีที่ผู้หญิงคนนั้นก้าวพ้นออกมาเธอก็สวนเข้าไป กดลิฟต์ให้ปิดแล้วกดให้ลงไปชั้นล่างสุด เธอวิตกกลัวว่าเขาจะตามลงมา

เมื่อลงมาถึงล้อบบี้เธอขอให้พนักงานโรงแรมที่มีหน้าที่เรียกรถ เรียกแท็กซี่ให้แล้วสั่งให้ไปส่งที่อพาร์ตเมนท์ ระหว่างนั่งไปในรถทิพย์สุรางค์โทรศัพท์ไปหาเจนนิเฟอร์ ฝากข้อความไว้ว่าเธอขอตัวกลับก่อนเพราะมีบางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งจะเล่าให้ฟังทีหลัง ไม่ลืมกำชับเพื่อนสาวไม่ให้บอกคริสเรื่องทั้งหมดที่เกี่ยวกับเธอ ถ้าเขาถาม

ถ้าผู้หญิงที่ก้าวออกมาจากลิฟต์ไม่ใช่คุณลักษณามารดาของลลิตา ชายหนุ่มคงวิ่งตามทิพย์สุรางค์ไปแล้ว คุณลักษณามองหน้าคริสอย่างเคลือบแคลงใจ เธอออกจากห้องจัดงานเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา เพื่อขึ้นไปหยิบผ้าพันคอในห้องชุดบนชั้นสิบสอง ที่ครอบครัวเลย์ตันจัดให้เป็นที่พักของเธอและสามี ระหว่างมาร่วมงานประกาศหมั้นอย่างเป็นทางการของลูกสาวเธอกับคริส ได้ผ้าพันคอแล้วก็กลับลงมาที่ชั้นเก้าซึ่งเป็นสถานที่จัดงาน

ภาพที่เธอเห็นตอนที่ประตูลิฟต์เปิดออก คือว่าที่ลูกเขยของเธอกำลังจับมือถือแขนผู้หญิงในชุดราตรียาวคนหนึ่ง ในขณะที่ผู้หญิงคนนั้นก็พยายามผลักไสเขาแล้ววิ่งหนีเข้าไปในลิฟต์ คุณลักษณาจ้องมองผู้หญิงคนนั้นเขม็งแต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร เหตุการณ์ฉุกละหุกนั้นจบลงอย่างรวดเร็ว เพราะทันทีที่เห็นเธอ คริสก็หยุดชะงักปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นลงลิฟต์ไปแต่โดยดี

“ คุณน้าครับ” ชายหนุ่มเรียกขึ้นมาก่อนพร้อมกับมองหน้าเธอ “ ผมอธิบายได้ ”
คุณลักษณายกมือขึ้นห้าม “เอาเถอะ ยังไม่ต้องพูดอะไร วันนี้เป็นวันดีของเธอกับลิตา น้ายังไม่อยากฟังอะไรที่จะทำให้ไม่สบายใจ เอาไว้ค่อยคุยกันทีหลัง ”
“คุณน้าครับ ” เขาเรียกเธออีก

แต่คุณลักษณาเพียงแต่ตบแขนเขาเบาๆ “เข้าไปในงานกันเถอะ ป่านนี้ยายลิตาคงมองหาเธอแย่แล้ว ”


 



Create Date : 16 เมษายน 2567
Last Update : 16 เมษายน 2567 20:17:49 น.
Counter : 272 Pageviews.

7 comments
(โหวต blog นี้) 

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณปรศุราม, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณtoor36, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณสองแผ่นดิน, คุณปัญญา Dh, คุณnewyorknurse, คุณหอมกร, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณแมวเซาผู้น่าสงสาร, คุณ**mp5**, คุณร่มไม้เย็น, คุณผู้ชายในสายลมหนาว, คุณThe Kop Civil, คุณSweet_pills, คุณโอพีย์, คุณpeaceplay, คุณอุ้มสี

  
สุขสันต์วันสงกรานต์ค่ะคุณตุ้ย
บอกแล้วว่าเจอกันหลังสงกรานต์ไงคะ

โดย: หอมกร วันที่: 17 เมษายน 2567 เวลา:7:08:33 น.
  
สวัสดี จ้ะ น้องดอยสะเก็ด

บล็อกนี้ ทำไมลงน้อยจัง แต่ก็ยังดีที่ คริสต์กับทิพย์สุรางค์ได้เจอ
กัน สงสารครสต์จัง อุตส่าห์อธิบายให้เธอฟัง เธอก็ไม่ยอมฟัง ใช้
อารมณ์คุณหนูเหมือนเดิม เฮ้อ! ไม่ไหว อารมณ์เช่นนี้ แต่ก็น่าเห็นใจ
ที่ได้เห็นภาพบาดตาระหว่างคริสต์กัลลิตา เนาะ อิอิ
รออ่านตอนต่าไป จ้ะ

โหวดหมวด งานเขียนฯ
โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 17 เมษายน 2567 เวลา:9:10:02 น.
  
แวะมาเยี่ยมและส่งกำลังใจครับ
โดย: **mp5** วันที่: 17 เมษายน 2567 เวลา:16:30:21 น.
  
ขอบคุณพี่ตุ้ยนะคะ
โดย: Sweet_pills วันที่: 20 เมษายน 2567 เวลา:0:37:05 น.
  
โดย: โอพีย์ วันที่: 20 เมษายน 2567 เวลา:6:57:39 น.
  
แวะมาอ่านต่อค่ะ
โดย: อุ้มสี วันที่: 21 เมษายน 2567 เวลา:1:21:24 น.
  
สวัสดีครับคุณดอยสะเก็ด
โดย: ปัญญา Dh วันที่: 21 เมษายน 2567 เวลา:13:50:09 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดอยสะเก็ด
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]



New Comments
Group Blog
เมษายน 2567

 
1
2
3
4
5
7
8
9
10
12
13
14
15
17
18
19
20
22
23
24
25
26
28
29
30
 
 
All Blog
Friends Blog
[Add ดอยสะเก็ด's blog to your weblog]
  •  Bloggang.com