การพลัดพราก
พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนพุทธะศาสนิกชน ให้หมั่นพิจารณาอยู่เนืองๆ ว่าเราเกิดมาแล้ว ย่อมมีการพลัดพรากจากกันเป็นธรรมดา ล่วงพ้นการ พลัดพรากจากกันไปไม่ได้ นี่คือความจริงของชีวิต ของทุกๆ ชีวิต ไม่ว่าจะสูงจะต่ำ จะรวยจะจน จะฉลาดหรือโง่ จะต้องมีการพลัดพรากจากกันเป็นธรรมดา ถ้าไม่พิจารณาอยู่เนืองๆ ใจจะหลงจะลืมจะคิดว่าจะอยู่ร่วมกันไปเรื่อยๆ ไม่มีวันสิ้นสุด พอถึงเวลาที่จะต้องพลัดพรากจากกันก็จะเกิดความทุกข์ใจเกิดความไม่สบายใจขึ้นมา แต่ถ้าหมั่นพิจารณาอยู่เรื่อยๆ จะไม่หลงจะไม่ลืมจะเตรียมตัวเตรียมใจจะไม่ยึดไม่ติดกับสิ่งต่างๆ กับบุคคลต่างๆ เพราะรู้ว่าไม่ช้าก็เร็วจะต้องจากกันอย่างแน่นอน
นี่คือ ธรรม ที่สำคัญ เพราะจะปกป้องจิตใจไม่ให้ทุกข์กับการพลัดพรากจากกัน จากการสูญเสียสิ่งต่างๆ ไป การพิจารณาก็ควรพิจารณาสิ่งต่างๆ หรือบุคคลต่างๆ ที่เรารัก หรือเราชัง เพราะสิ่งที่เรารักบุคคลที่เรารักหรือสิ่งที่เราชัง สิ่งที่เรารักนี้มีอิทธิพลต่อความรู้สึกของเรานั่นเอง สำหรับสิ่งที่เราไม่รักไม่ชัง บุคคลที่เราไม่รักไม่ชังนี้ไม่ค่อยเป็นปัญหา เขาจะมาเขาจะไปไม่มีปัญหาอะไร แต่คนที่เรารักสิ่งที่เรารักถ้าเขาจากเราไปเราจะเดือดร้อนเราจะวุ่นวายใจ หรือสิ่งที่เราชังบุคคลที่เราชัง เวลาจะต้องอยู่กับเขาเราก็วุ่นวายใจไม่สบายใจ เราต้องพิจารณาว่าไม่ช้าก็เร็วเขาก็ต้องจากเราไปอยู่ดี ในขณะที่เขาอยู่เราไม่สามารถที่จะให้เขาไปได้ เราก็ต้องทำใจ สำหรับคนที่เรารักหรือสิ่งที่เรารัก ถ้าเขาอยู่กับเราเราก็จะดีใจและมีความสุข แต่เราก็จะไม่สามารถสั่งให้เขาอยู่กับเราไปได้ตลอด ไม่ช้าก็เร็วไม่เขาก็เราจะต้องไป ต้องจากกันไปอยู่ดี
นี่คือสิ่งที่เราต้องหมั่นพิจารณาอยู่เรื่อยๆ ถามตัวเราเองว่าเรารักใครเราชอบใคร เราอยากให้เขาอยู่กับเราไปนานๆ ใช่ไหม แต่เขาจะอยู่กับเราไปนานๆ ได้หรือเปล่า หรือเราจะอยู่กับเขาไปนานๆ ได้หรือเปล่า เรากับเขาจะไม่มีวันจะต้องจากกันหรืออย่างไร ถ้ามันมาถึงวันนั้นวันที่จะต้องมีการจากกันเราจะทำใจอย่างไร ถ้าเราคอยหมั่นสอนใจเตือนใจถึงความเป็นจริงอันนี้ว่า จะต้องมีการพลัดพรากจากกันเป็นธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นสามีเป็นภรรยา เป็นบุตรเป็นธิดา เป็นญาติสนิทมิตรสหาย หรือเป็นสิ่งของต่างๆ เช่นลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ทางตา หู จมูก ลิ้นกาย เป็นสิ่งที่จะต้องมีการพลัดพรากจากกันอย่างแน่นอน ช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง ถ้าเราหมั่นพิจารณาอยู่เรื่อยๆ เราจะเตรียมตัวเตรียมใจและตัดใจของเรา หัดอยู่แบบไม่ต้องมีเขาให้ได้ ไม่ต้องมีลาภ ยศสรรเสริญ สุข ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่ต้องมีบิดามารดา ไม่ต้องมีสามีภรรยา ไม่ต้องมีบุตรธิดา ไม่ต้องมีญาติพี่น้อง อยู่ตัวคนเดียวนี่แหละดีที่สุด แม้แต่ร่างกายนี้ก็ต้องจากเราไป การอยู่คนเดียวนี้ก็หมายถึงว่า แม้แต่ไม่มีร่างกายก็ยังอยู่ได้ไม่เดือดร้อน แม้แต่ร่างกายนี้ก็ต้องจากเราไปเช่นเดียวกัน แล้วการที่เราจะอยู่คนเดียวได้โดยที่ไม่ต้องมีบุคคลต่างๆ ไม่ต้องมีสิ่งต่างๆ เราต้องมี "ธรรม" เท่านั้นถึงจะทำให้เราอยู่คนเดียวได้ อยู่ตามลำพังได้
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ เราต้องมีธรรมเป็นที่พึ่ง ถ้าเรามีธรรมเป็นที่พึ่งแล้ว เราไม่ต้องพึ่งสิ่งต่างๆ ไม่ต้องพึ่งบุคคลต่างๆ ไม่ต้องพึ่ง ลาภ ยศ สรรเสริญ ไม่ต้องพึ่งความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่ต้องพึ่งพ่อพึ่งแม่ พึ่งสามีพึ่งภรรยา พึ่งบุตรธิดา พึ่งญาติสนิทมิตรสหาย พึ่งร่างกายของเราเอง เพราะเขาเป็นสิ่งที่ไม่ เที่ยงแท้แน่นอนไม่ถาวร ไม่ช้าก็เร็วเขาก็จะต้องจากเราไป แล้วเวลาที่เขาจากเราไป เราไม่มีที่พึ่งเราจะทำอย่างไร เราก็ต้องเดือดร้อน จนกว่าเราจะหาที่พึ่งใหม่ได้ เช่น สามีจากไปถ้ายังต้องการมีสามีก็ต้องไปหาสามีใหม่ ลูกจากไปถ้ายังอยากจะมีลูก ก็ต้องหาลูกมาใหม่ ถ้าคลอดเองไม่ได้ก็ไปขอเด็กมาเลี้ยงเป็นลูก เพราะเรายังพึ่งสิ่งเหล่านี้เพื่อมาให้ความสุขกับเรานั่นเอง เพราะว่าเราไม่มีธรรมะเป็นที่พึ่ง ไม่มี ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ เป็นที่พึ่ง ถ้าเรามี ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ เป็นที่พึ่งแล้ว เราไม่ต้องพึ่งอะไรไม่ต้องพึ่งใคร ไม่ต้องพึ่งลาภ ยศ สรรเสริญ ไม่ต้องพึ่งความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่ต้องพึ่งทรัพย์สมบัติ ไม่ต้องพึ่งตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่ต้องพึ่งร่างกายคือชีวิตอันนี้ พระพุทธเจ้าทรงสอนให้สละให้หมด สละทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง สละอวัยวะคือความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และให้สละชีวิต สละร่างกายอันนี้ ถ้ามันต้องไปให้มันไป ไม่ต้องไปพึ่งมัน มันไม่ใช่เป็นที่พึ่ง มันเป็น ภารา หะเว ปัญจักขันธา มันเป็นภาระที่ใจจะต้องแบกตั้งแต่วันเกิดไปจนถึงวันตาย
ผู้ฉลาดนี้จึงไม่กลับมาเกิด ไม่กลับมาแบก ภารา หะเว ปัญจักขันธา อันนี้ ไม่มาแบกขันธ์ รูปขันธ์นี้ เพราะว่ามันเป็นทุกข์นั่นเอง.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
.........................
ธรรมะบนเขา
วันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๘
"การพลัดพราก"
ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ