"ใช้เวลามาทำลายความอยาก"
ดังนั้นถ้าเราอยากจะต้องการ
ทำความอยากอย่างแท้จริง
ถึงเวลารับประทานอาหาร
ถ้าเป็นร้านอาหารก็เอาอะไรมาก็ได้
เด็กเข้ามาถามพี่จะกินอะไร
เอาอะไรมาก็ได้ ๒-๓ อย่างพอจัดมาเลย
อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าตัดปัญหาเรื่องของความอยากไป
แล้วพอกินเสร็จแล้ววันนั้นก็หมดแล้วเรื่องกิน
เรื่องของที่จะเข้าทางปาก
ของเคี้ยวของขบของฉันนี้ไม่เอาแล้ว
ยกเว้นน้ำที่จะต้องคอยดื่ม น้ำก็ควรจะเป็นน้ำเปล่า
เพราะมีอะไรเข้าไปเดี๋ยวมันก็เป็นรูปเสียงกลิ่นรสอีก
มันก็เป็นกามตัณหาขึ้นมาอีก
แต่ถ้ามีคนเขาเอามาให้เป็นกรณีพิเศษไป
ไม่ได้เป็นกรณีประจำ วันดีคืนดีมีคนมาเยี่ยม
หิ้วกาแฟมาให้สักถ้วยหนึ่ง ก็ดื่มไปก็ได้
อย่างนี้จะไม่เป็นปัญหา แต่อย่าไปสั่งเขา
พี่มาบ่อยๆ อย่าลืมเอากาแฟมานะ
ถ้าอย่างนี้ก็เป็นความอยากอยู่
คือให้ของมันมาเอง อย่าให้มันมาตามใจเราคิด
ถ้าเราคิดถึงมันนี้แสดงว่าใจเราอยากแล้ว
แต่ถ้ามันมาโดย ที่ไม่ได้คิดถึงมัน
คิดว่าเป็นบุญปากของเราไปวันนั้น เขาให้มาก็ดื่ม
แต่ก็ต้องระวังถ้าครั้งหน้าเขามาแล้วไม่ได้หิ้วอะไรมา
แล้วใจรู้สึกหดหู่ก็แสดงว่า ครั้งที่แล้วมันยังอยากอยู่
ถ้ามันไม่อยากแล้วมันจะรู้สึกเฉยๆ
ถ้าจะให้ดีก็คือไม่อยากมันเลย
ถึงแม้เคยชอบเคยอะไรมันมา
พอเขาหิ้วมาให้กินก็ไม่เอา ไม่เอาแล้วเบื่อ เข็ด
กินแล้วเดี๋ยวกลัวจะติดมันอีก อย่างนี้จะดีกว่า
นี่ก็คือเรื่องของการใช้เวลาให้เกิดประโยชน์
กับชีวิตจิตใจของเรา คือใช้เวลามาทำลาย
ความอยากต่างๆ ที่มีอยู่ภายในใจของเราให้หมดไป
อย่าใช้เวลากับการไปสร้างลาภยศสรรเสริญ
สร้างความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย
ที่จะต้องถูกเวลากลืนกินไปหมดในเวลาต่อไป
เรามาสร้างสิ่งที่เวลาไม่สามารถแตะต้องได้ดีกว่า
มาสร้างมรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ กัน
ด้วยการทำทาน ด้วยการรักษาศีล
ด้วยการภาวนากันอย่างต่อเนื่อง
ทำให้มันมากขึ้นไปเรื่อยๆ
จนให้มันเต็ม ๑๐๐ ทุกขั้นตอน
ทานก็เต็ม ๑๐๐ ศีลก็เต็ม ๑๐๐ ภาวนาก็เต็ม ๑๐๐
แล้วมรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑
ก็จะเต็ม ๑๐๐ เช่นเดียวกัน.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
.............................
ธรรมะบนเขา
วันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๖
ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ