<<< “ต้องมีความเพียร” >>>










“ต้องมีความเพียร”

ปัญหาของพวกเราส่วนใหญ่

ก็อยู่ตรงที่การไม่มีความเพียรนี้เอง

 เราไม่มีความเพียรพยายาม

เราจึงไม่สามารถที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานกันได้

 ผู้ใดที่มีความเพียรผู้นั้นก็จะสามารถ

บรรลุมรรคผลนิพพานได้ ดังเช่นพระสาวกทั้งหลาย

ท่านเหล่านี้ท่านมีความเพียรพยายามมาก

ท่านทุ่มเทชีวิตจิตใจให้กับการเจริญมรรค

 ท่านมีอะไรสมบัติข้าวของเงินทอง

มีความสุขทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย

 ท่านโยนทิ้งหมดเลยท่านไม่เอา

ท่านเห็นแล้วว่ามันไม่ใช่ทางไปสู่ความสุขที่แท้จริง

 ไม่ได้เป็นทางไปสู่ความดับทุกข์

 แต่เป็นทางไปสู่ความทุกข์

ไปสู่ความสุขที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน

 เป็นความสุขชั่วคราว ท่านจึงสลัดทิ้งหมด

แล้วทุ่มเทชีวิตจิตใจให้กับการสร้างมรรค

เพียรพยายามสร้างมรรคทุกเวลานาที

ตั้งแต่ตื่นจนหลับ บางท่านถึงกับถือข้อเนสัชชิกเลย

คือไม่ยอมนอนเลย กลัวจะเสียเวลา

ถ้าจะนอนจะหลับก็ให้หลับในท่ายืน

 ท่าเดินหรือท่านั่ง แต่จะไม่ยอมเอนหลังลงไปนอน

ถ้าจะหลับก็ให้มันหลับอยู่ใน ๓ ท่านั้น

เพราะมันจะหลับไม่นานนั่งสับปะหงกไปได้สักชั่วโมง

 สองชั่วโมงก็จะตื่น พอตื่นท่านก็จะเร่ง

เจริญความเพียรทันที เจริญสติทันที

เดินจงกรมนั่งสมาธิทันที

แล้วถ้าออกมาจากสมาธิแล้วก็สอนใจ

ให้เห็นไตรลักษณ์อยู่เรื่อยๆ ให้เห็นอสุภะอยู่เรื่อยๆ

นี่แหละผู้ที่มีความเพียรแบบนี้แหละ

จึงสามารถที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานได้

พวกเราถ้าต้องการบรรลุมรรคผลนิพพาน

ก็ต้องมีความเพียรเช่นเดียวกัน

 เพราะความเพียรเป็นเหตุเมื่อมีเหตุแล้ว

 ผลคือมรรคผลนิพพานก็จะตามมาอย่างแน่นอน

 ถ้าไม่มีความเพียรผลก็จะไม่ตามมา

 นี่คือความแตกต่างระหว่างพระอริยบุคคลกับปุถุชน

 แตกต่างกันตรงที่ความเพียรนี่เอง

อย่างอื่นไม่แตกต่าง อย่างอื่นมีเหมือนกันหมด

มีอาการ ๓๒ เหมือนกัน มีตา หู จมูก ลิ้น กายเหมือนกัน

 มีร่างกายมีจิตใจเหมือนกัน ต่างตรงที่ว่า

มีความเพียรหรือไม่มีความเพียร

ถ้ามีความเพียรที่จะเจริญมรรค

มรรคผลนิพพานมันก็จะต้องตามมา

 การบรรลุเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆก็จะตามมา

 ถ้าไม่มีความเพียรมันก็จะวนเวียนว่ายอยู่กับ

การเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ

 ดังนั้นขอให้พวกเราปลุกความเพียรของเราขึ้นมา

ด้วยการระลึกถึงเวลาของเราที่จะมีน้อยลงไปเรื่อยๆ

วันเวลาของเราผ่านไปๆเรากำลังเดินเข้าหาความแก่

หาความเจ็บ เข้าหาความตายกัน

 เรากำลังทำอะไรอยู่ กำลังสร้างมรรค

หรือกำลังสร้างลาภ ยศ สรรเสริญ สุข อยู่

ถ้าเราถามอย่างนี้บ่อยๆ เราจะได้รู้ทิศทางของเรา

ว่าเรากำลังเดินไปในทิศทางใด

ถ้าเราเดินไปในทิศทางที่สวนกับ

ทางที่พระพุทธเจ้าทรงดำเนิน

เราก็ควรที่จะยูเทิร์นเลี้ยวกลับ

 ถ้าเรายังเดินไปหาลาภ ยศ สรรเสริญ สุขอยู่

เราก็ควรที่จะยูเทิร์นเลี้ยวกลับมาหาการเจริญมรรค

 เลี้ยวกลับมาหาการทำทานหาการรักษาศีล หาการภาวนา

 แล้วเราจะได้ไปถูกทางแล้ว

เราจะได้ไปถึงจุดหมายปลายทางที่ดี

 ที่แท้จริงไม่ใช่เป็นความสุขปลอม

อย่างทางของลาภ ยศ สรรเสริญ

จะให้กับเราเป็นความสุขปลอม

เป็นความสุขที่เคลือบความทุกข์เอาไว้

 เป็นความสุขชั่วคราวเดี๋ยวเดียว

แล้วก็จะเกิดความทุกข์ตามมา

 แต่ถ้าไปทางมรรคจะมีแต่ความสุขถาวร

แต่จะมีความทุกข์เคลือบไว้อยู่

เพราะเป็นการเดินขึ้นภูเขา การปีนป่ายขึ้นภูเขานี้

มันต้องเป็นเรื่องทุกข์ยากลำบากอย่างแน่นอน

 แต่เมื่อถึงยอดเขาแล้วมันสบาย มันจะสบายไปตลอด

 ทางมรรคนี้เรียกว่าทุกข์ต้นแต่สุขปลาย

ทางลาภ ยศ สรรเสริญ สุข

นี้เรียกว่าสุขต้นแต่ทุกข์ปลาย

เราจะเอาอย่างไหนดี เอาสุขต้นทุกข์ปลายดี

 หรือว่าเอาทุกข์ต้นแล้วสุขปลายดี

 เราจะเอาแบบพระพุทธเจ้าดีหรือเอาแบบปุถุชนดี

ปุถุชนตอนที่เขามีกำลังวังชาเขามีความสามารถ

เขาก็หาความสุขต่างๆผ่านทางลาภ ยศ สรรเสริญ

 ผ่านตา หู จมูก ลิ้น กายได้

แต่พอเวลาที่ร่างกายเขาหมดสภาพไม่

สามารถหาได้ เขาจะหาอะไร

เขาก็จะหาแต่ความทุกข์ใส่ใจของเขาเท่านั้น

 แต่ทางของพระพุทธเจ้านี้

ถึงแม้ว่าร่างกายจะแก่ จะเจ็บ จะตาย

ใจก็ยังเป็นปรมัง สุขังอยู่.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

................................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๗






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 01 ตุลาคม 2560
Last Update : 1 ตุลาคม 2560 9:12:45 น.
Counter : 753 Pageviews.

0 comments
เติมให้ความมี เติมให้ความไม่มี ปัญญา Dh
(14 เม.ย. 2567 20:54:29 น.)
อยาก อยากได้ กฎที่ถูกที่ดี ปัญญา Dh
(14 เม.ย. 2567 05:37:27 น.)
: หยดน้ำในมหาสมุทร 33 : กะว่าก๋า
(11 เม.ย. 2567 05:15:42 น.)
ไม่ควรก่อแผลหรือก่อแผลเป็น ปัญญา Dh
(8 เม.ย. 2567 20:22:02 น.)
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Poungchompoo.BlogGang.com

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]

บทความทั้งหมด