<<< "พิจารณาความไม่เที่ยงแท้แน่นอน" >>>









"พิจารณาความไม่เที่ยงแท้แน่นอน"

ถ้าเราพิจารณาความไม่เที่ยงแท้แน่นอน

ของทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในโลกนี้

 มันจะทำให้เราสามารถที่เราจะเลิกทำกิจกรรมต่างๆ ได้

ทุกวันนี้บางทีเราก็อ้างว่าเรามีภาระ

มีความรับผิดชอบกับบุคคลนั้นบุคคลนี้

เพราะว่าถ้าไม่มีเราแล้วเขาจะเดือดร้อนลำบาก

 แต่เราไม่พิจารณาดูว่าเขาจะเดือดร้อนลำบาก

หรือไม่เดือดร้อนลำบาก ในที่สุด

เดี๋ยวเขาก็ต้องตายไปอยู่ดี

แล้วถ้าเกิดเราตายไปก่อนเขา

 เขาก็ต้องมีทางไปของเขาเอง

เขาก็ต้องหาวิธีเลี้ยงดูตัวเขาเองต่อไป

ถ้าเขาเลี้ยงดูตัวเขาไม่ได้ เขาก็ต้องตายไป

หรือถ้าเขาเลี้ยงดูตัวของเขาได้

 เขาก็ต้องตายไปเหมือนกัน

ถ้าเราหมั่นพิจารณาความตายบ่อยๆ

ทั้งของเราเองและทั้งของผู้อื่น

 ของคนที่เราเกี่ยวข้องด้วย

ของคนที่เรามีภาระหน้าที่จะต้องเลี้ยงดูเขา

 ถ้าเรามองเห็นด้วยปัญญาว่าในที่สุดแล้ว

มันก็ต้องตายกันหมดอยู่ดี

แล้วเรามากอดกันตายทำไม

ตายแบบที่จะต้องกลับมาตายอยู่เรื่อยๆ

สู้เราแยกทางกันตายไม่ดีกว่าหรือ

 เราแยกทางกันไปปฏิบัติธรรมกัน

 แล้วเราจะได้ไม่ต้องกลับมากอดกันตายอยู่เรื่อย

 อย่างที่เรากำลังกอดกันตายอยู่ในขณะนี้

 เราปล่อยให้ต่างคนต่างอยู่กันไป

พระพุทธเจ้าท่านถึงสละราชสมบัติได้

ท่านออกบวชได้ เพราะท่านเห็นว่าในที่สุด

ทุกคนก็ต้องตาย แต่อยู่ด้วยกัน

จะช่วยเหลือกันอย่างไรจะดูแลกันอย่างไร

 ดีหรือไม่ดีในที่สุดมันก็ต้องตายอยู่ดี

 ตายแล้วก็ไม่ได้รับประโยชน์อะไร

จากการอยู่ร่วมกันตายร่วมกัน

 เพราะตายแล้วก็จะต้องกลับมาเกิดใหม่

 แล้วก็ต้องมาอยู่ร่วมกันมาดูแลกันมาห่วงใยกัน

อยู่อย่างนี้ไปทุกครั้ง ทุกครั้งที่มาเกิด

เพราะทุกครั้งที่มาเกิดเราจะต้องมีคนที่เกี่ยวข้องกัน

 เช่นมีพ่อมีแม่ มีครอบครัวมีลูกมีอะไร

แล้วมันก็จะทำให้เราต้องมาคอยดูแลกันอยู่

อย่างไม่มีวันสิ้นสุด ถ้าเราไม่พิจารณาความตาย

 เราจะไม่เห็นทางออกจากการที่เราจะต้องอยู่ด้วยกัน

 ดูแลกันช่วยเหลือกันไปจนวันตาย

แต่ถ้าเราคิดว่าถ้าเกิดเราตายไปก่อนเขา

 แล้วเขาจะทำอย่างไร เขาก็ต้องหาทางของเขาไปอยู่ดี

 หาได้ไม่ได้เขาก็ต้องตายอยู่ดีเหมือนกัน

อาจจะดีสำหรับเขาเสียอีก

ที่เขาจะต้องหาทางพึ่งตัวเขาเอง

 นี่เป็นการพึ่งที่ดีกว่าการที่จะต้องคอยพึ่งคนอื่น

 เพราะว่าคนอื่นนี้ไม่แน่นอน แต่ตัวเรานี้แน่นอนกว่า

 เราอยู่กับตัวเรา ตัวเราไม่มีวันจากเราไป

 ถ้าเราพึ่งตัวเราเองได้ เราก็จะสบาย

 ถ้าเราเพิ่งคนอื่นเวลาที่คนอื่นเขาจากเราไป

เราก็จะเดือดร้อน

นี่คือวิธีการของพระพุทธเจ้าและของพระสาวกทั้งหลาย

 ที่จะทำให้ท่านสามารถตัดภาระต่างๆ

 ที่หน่วงเหนี่ยวเหนี่ยวรั้ง

ไม่ให้ท่านได้ออกไปปฏิบัติอย่างเต็มที่

พอท่านพิจารณาถึงความตายของทุกๆ คน

 ทั้งของท่านเองและของผู้อื่น

 ท่านก็จะเห็นว่าการอยู่ร่วมกันเพื่อช่วยเหลือกัน

เพื่อดูแลกัน มันก็เป็นความสุขชั่วคราว

เดี๋ยวก็ตายกันหมดอยู่ดี

ช่วยหรือไม่ช่วยก็ตายเหมือนกัน

 ฉะนั้นมันก็เลยไม่มีผลแตกต่างกันมาก

มันก็เลยจะทำให้ท่านมีเหตุที่จะตัดความผูกพัน

ตัดความรับผิดชอบกับสิ่งต่างๆ ได้

 แล้วก็ไปบำเพ็ญเพื่อที่จะทำให้ได้หลุดพ้น

จากความทุกข์ที่กำลังเป็นอยู่กันในขณะนี้

ที่กำลังมีเพื่อนอยู่ในขณะนี้

ทุกข์กับคนนั้นทุกข์กับคนนี้

 ทุกข์กับเรื่องนั้นทุกข์กับเรื่องนี้

 เพราะเรายังต้องกลับมาเกิดอยู่เรื่อยๆ นั่นเอง

 ถ้าเราได้ปฎิบัติธรรมแล้ว

เราก็จะได้ไม่ต้องกลับมาเกิดมาพบกัน

 แล้วก็ต้องมาทุกข์ต้องมาห่วงใย

ต้องมาคอยดูแลกันอยู่อย่างนี้ ห่วงใยกันขนาดไหน

 ดูแลกันขนาดไหน เดี๋ยวก็ต้องตายจากกันอยู่ดี

 แล้วก็กลับมาเกิดใหม่มาเจอกันใหม่

 เนี่ยเราทำอย่างนี้มานับไม่ถ้วนแล้ว

ปริมาณน้ำตาที่เราต้องมาหลั่ง

ให้กับความทุกข์ต่างๆ นี้ พามารวบรวมกันแล้ว

มันมากยิ่งกว่าน้ำในมหาสมุทรเสียอีก

นี่คือความทุกข์ซ้ำซากที่พวกเรามาทำกัน

เพราะเรามองไม่เห็นความตายกัน

 ถ้าเรามองเห็นความตายแล้วเราก็จะรู้สึกว่า

มันเป็นเรื่องธรรมดา เกิดมาแล้วก็ต้องตาย

 จะช่วยกันจะดูแลกันอย่างไร

มันก็หนีความตายไปไม่พ้นอยู่ดี

ไม่ช่วยกันก็ตาย ช่วยกันก็ตาย แต่ถ้าไม่ช่วยกัน

 แล้วเราไป มันก็จะทำให้เราได้มีเวลาได้ไปปฎิบัติธรรมกัน

 พอเราได้ปฎิบัติธรรมกันเราก็จะได้หลุดพ้นกัน

 เขาก็จะได้ไปปฎิบัติธรรมได้ ถ้าเราไม่ช่วยเขา

 เขาก็อาจจะไปปฎิบัติธรรมเหมือนเราก็ได้

 แต่ถ้าเราช่วยกันหาความสุขจากลาภยศสรรเสริญ

 จากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะกัน

เขาก็ไม่ไปปฏิบัติธรรม เราก็จะไม่ไปปฏิบัติธรรม

 แต่ถ้าเราไปปฎิบัติธรรม

 เดี๋ยวเขาก็อาจจะตามเราไปก็ได้

 อย่างที่พระพุทธเจ้าหลังจากที่ไปปฎิบัติธรรมแล้ว

 ก็มีผู้ติดตามไปปฏิบัติ แม่ก็ไปขอบวชเป็นภิกษุณี

 ลูกก็ไปบวชเป็นสามเณร

ทำไมเราไม่คิดในทางบวกบ้าง

ทำไมไปคิดแต่ในทางลบว่า

 ถ้าเราไปแล้วเขาจะเดือดร้อน

 เขาจะอยู่ไม่ได้ อยู่ไม่ได้ก็ตาย

เดือดร้อนไม่เดือดร้อนเดี๋ยวถึงเวลาเขาก็ตายอยู่ดี

ตายแบบนี้มันก็ต้องกลับมาตายอยู่เรื่อยๆ

สู้แยกกันไปอยู่ดีกว่า แยกไปปฏิบัติธรรมกันดีกว่า

 พอเราไปปฏิบัติธรรมเขาอาจจะเห็นตัวอย่างที่ดีของเรา

 เขาก็อาจจะตามไปปฎิบัติธรรมกับเราก็ได้

เพราะพวกเราทุกคนนี้มีความสามารถ

ที่จะปฏิบัติทำได้ด้วยกัน

จิตของพวกเราทุกดวงนี้เหมือนกัน

 มีความสามารถที่จะปฏิบัติทำได้กันทุกคน

 อยู่ที่ว่ามีศรัทธาหรือไม่ มีความยินดี

ที่จะปฏิบัติธรรมหรือไม่เท่านั้นเอง

ถ้าเราสามารถสร้างศรัทธาสร้างความยินดี

ให้กับการปฎิบัติธรรมได้

เราก็จะปฏิบัติธรรมได้กันทุกคน

 การที่จะสร้างความยินดีได้ก็ต้องพิจารณา

ตามแบบที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย

ได้พิจารณากันนั่นเอง.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

...........................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๒ กันยายน ๒๕๖๐

"ปฏิบัติธรรมเพื่อการหลุดพ้น"







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 12 กันยายน 2560
Last Update : 12 กันยายน 2560 9:21:18 น.
Counter : 704 Pageviews.

0 comments
เติมให้ความมี เติมให้ความไม่มี ปัญญา Dh
(14 เม.ย. 2567 20:54:29 น.)
: หยดน้ำในมหาสมุทร 35 : กะว่าก๋า
(13 เม.ย. 2567 05:51:40 น.)
: หยดน้ำในมหาสมุทร 34 : กะว่าก๋า
(12 เม.ย. 2567 05:52:40 น.)
: หยดน้ำในมหาสมุทร 31 : กะว่าก๋า
(9 เม.ย. 2567 05:58:44 น.)
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Poungchompoo.BlogGang.com

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]

บทความทั้งหมด