<<< "เมตตา" >>>











"เมตตา"

ธรรมที่จะสนับสนุนให้เราคิดดีก็คือ

ความเมตตา ความกรุณา มุทิตา อุเบกขา

 ถ้าเรามีความเมตตาเราก็จะคิดดีกับคนอื่น

 เราจะไม่คิดร้าย

 เช่นเวลาเรารักใครนี้เราจะไม่คิดร้ายกับเขา

เราอยากจะให้เขามีความสุข

 อยากจะช่วยเขา อยากจะดูแลเขา

เราก็จะคิดแต่เรื่องดีๆ สำหรับเขา

 แต่ถ้าเราโกรธใครเกลียดใครเราก็จะคิดร้ายกับเขา

ดังนั้นถ้าเรามีความเมตตาเราก็จะไม่โกรธ ไม่เกลียด

 เพราะความเมตตาก็คือให้อภัย

ใครทำร้ายเรา ใครพูดไม่ดีกับเรา เราก็ให้อภัยเขา

 ไม่ถือโทษโกรธเคือง หรือให้คิดว่า

เขาพูดไม่ดีก็ยังดีกว่าเขาตีเรา

ถ้าเขาตีเราก็ให้คิดว่าดีแล้วที่เขายังไม่ฆ่าเรา

เราก็จะไม่คิดร้ายต่อเขา

ดังนั้นเราต้องมีความเมตตาต้องไม่คิดทำร้ายใคร

 ไม่ว่าเขาจะทำลายเรา เขาจะร้ายกับเราอย่างไร

เราจะไม่ตอบโต้ เราจะยอมแพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร

 พระจะไม่ตอบโต้กับใคร พระจะยอมแพ้

ใครจะด่าพระ พระก็ไม่ตอบโต้ เฉยๆ

 แล้วการที่เรามีความเมตตา

จะทำให้ใจเราเย็นมีความสุข

 เมื่อเรามีความสุขเราก็จะไม่คิดร้าย

คนส่วนใหญ่ที่คิดร้ายกับคนอื่นก็เพราะใจมันทุกข์

 เวลาไม่ได้อะไรดังใจอยากก็โกรธ ก็จะทุกข์

ก็จะคิดร้ายกับเขา เพราะทำให้เราโกรธ

เช่นไปขอเงินเขา เขาไม่ให้ก็โกรธ

 กลับมาปล้นมาจี้มันเลย

 ดังนั้นถ้าอยากจะคิดดีหัดเจริญเมตตาภาวนา

 พยายามมองว่าพวกเราเป็นเหมือนพี่น้องกัน

 เป็นเพื่อนร่วมโลกเป็นญาติกัน

ในการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ควรที่จะมาเบียดเบียนกัน

 ต่างคนต่างอยู่ ให้ความเมตตาต่อกันดีกว่า

คนที่มีความเมตตาก็จะอยู่เย็นเป็นสุข

จะเป็นที่รักของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย

จะอยู่อย่างมีความสุขตื่นก็สุข หลับก็สุข

นอนหลับก็ไม่ฝันร้าย

แล้วก็ไม่ตายด้วยอาวุธด้วยยาพิษต่างๆ

 เพราะจะไม่มีใครเกลียดเราไม่มีใครคิดร้ายกับเรา

 แล้วตายไปก็ไปสู่สุคติไม่ไปอบาย

พยายามมาหัดเจริญเมตตากัน

 บทที่สวดนี้เรายังไม่แผ่เมตตานะ

ตอนที่นั่งสมาธิเสร็จแล้ว

เราสวดบทสัพเพสัตตา อะเวรา โหนตุ

 ตอนนั้นยังไม่ได้เป็นการแผ่ เป็นการศึกษา

เป็นการสอนใจว่าอะเวรา แปลว่าไม่มีเวรกัน

อัพยา ปัฌชา แปลว่าไม่เบียดเบียนกัน

อะนีฆา แปลว่าให้เขาพ้นจากความทุกข์กัน

 สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ แปลว่าให้เขามีความสุขกัน

 ไม่ให้เขามีความทุกข์จากการกระทำของเรา

ทำอะไรก็อย่าทำให้เขาทุกข์

ทำอะไรก็ให้เขามีแต่ความสุข

อันนี้เป็นการสอน เป็นการเตือนใจ

 เวลาจะแผ่จริงๆ ต้องเวลามาเจอกัน

 เวลาเจอกันก็ยิ้มให้กัน ไม่ใช่หน้าบึ้งใส่กัน

หรือด่ากันเลย บางทีเจอกัน

ก็เหมือนปล่อยหมาสองตัวให้กัดกันเลย

 เจอกันก็เอาเลย มึงอย่างโน้น กูอย่างนี้ขึ้นมาเเล้ว

 เวลาเจอกันต้องยิ้มให้กัน ถามสารทุกข์สุขดิบ

 สบายดีหรือเปล่าจ๊ะ หรือถ้ามีขนมเอามาฝาก

มีของมาฝากกัน ไปเที่ยวที่ไหนก็ซื้อของมาฝากกัน

 นี่เรียกว่าแผ่เมตตา

แต่เวลานั่งสวดไม่ได้แผ่

 ไม่มีใครรับจะไปแผ่ให้ใคร

อันนั้นเป็นเวลาเตือนใจสอนใจว่า

เราต้องแผ่ต้องซ้อมก่อนว่า

นึกถึงเวลาแผ่จะเเผ่อย่างไร

 เวลาเจอคนที่เราไม่ชอบ

 ยิ้มได้หรือเปล่า ลองยิ้มให้เขาดูหน่อยซิ

 หรือมีขนมก็เอาไปให้เขาบ้าง แ

ล้วเตรียมตัวเตรียมใจ ถ้ายิ้มให้เขา

 แล้วเขาบึ้งก็เฉยๆ อย่าไปโกรธเขา

ถ้าให้ขนมเขาแล้วเาขาโยนทิ้งก็อย่าไปถือสาเขา

 ต้องทำใจ ต้องเตรียมตัวเตรียมใจซ้อมไว้ก่อน

 ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวมันจะเเผ่ไม่ออก

พอยิ้มให้หน่อยมันหน้าบึ้งมันด่าเรา จะแผ่ไม่ออก

ให้ขนมมันก็โยนทิ้งไป

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

....................................

สนทนาธรรมะบนเขา
วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๙







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อถิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 20 พฤศจิกายน 2560
Last Update : 20 พฤศจิกายน 2560 11:20:24 น.
Counter : 342 Pageviews.

0 comments
: หยดน้ำในมหาสมุทร 29 : กะว่าก๋า
(6 เม.ย. 2567 05:12:09 น.)
คิดดี พูดดี ทำดี นาฬิกาสีชมพู
(6 เม.ย. 2567 17:52:38 น.)
: หยดน้ำในมหาสมุทร 27 : กะว่าก๋า
(4 เม.ย. 2567 05:11:37 น.)
: หยดน้ำในมหาสมุทร 24 : กะว่าก๋า
(1 เม.ย. 2567 04:12:21 น.)
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Poungchompoo.BlogGang.com

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]

บทความทั้งหมด