The D Train เป็นหนังเล็กๆ เสมือนไว้ปล่อยของ ของดาราตลกชื่อดัง แจ็ค แบล็ค ซึ่งแสดงคู่กับ เจมส์ มาสเดน หนุ่มล่ำ Cyclop แห่ง X Men เรื่องราวของประธานชมรม (แจ็ค) ที่พยายามหาทางรวบรวมเพื่อนฝูงรุ่นมัธยมให้กลับมา Reunion ในงานเลี้ยงรุ่นอีกครั้ง ความพยายามของเขาก็คือหาทางเอาเพื่อนเก่าที่เป็นคนดังมาเป็นแรงดึงดูดในการเรียกเพื่อนฝูงคนอื่นๆ ให้อยากมางานเลี้ยงรุ่น ก็ให้บังเอิญไปพบหนังโฆษณาเรื่องหนึ่งที่เพื่อนร่วมรุ่น (เจมส์) แสดงอยู่ และกำลังออกอากาศ เขาก็เลยหาวิธีสารพัด (แม้กระทั่งหลอกเจ้านายให้ออกเงินค่าตั๋วเครื่องบิน) เพื่อไปชักชวนไอ้หนุ่มคนนี้มาให้ได้ อารามที่อยากได้ตัวเขามากจนมองข้ามความแปลกๆ พิลึกๆ ของบุคลิกเพื่อนตัวเองที่ทำตัวคล้ายๆ สิบแปดมงกุฎ แถมยังสอนให้พี้ยา พากันไประเริงราตรีในแอลเอกันหัวหกก้นขวิด และแล้ว..ให้อารมณ์พาไปจนไปลงเอยกันบนเตียง! ถูกต้องแล้วท่านผู้ชม เพื่อนชายร่วมรุ่นซึ่งในที่สุดต้องมามีอะไรกันเอง ..หนุ่มอ้วนที่ถูกหนุ่มหุ่นล่ำหลอกปล้ำ เออ..สนุกพิลึกละซี
คำโปรยของ The D Train บอกไว้ว่ามันเป็นหนังคอมเมดี้ ดูไปดูมาชักจะกลายเป็น Black Comedy เหมือนนามสกุลของดารานำไปเสียแล้ว ต้องนับถือ แจ็ค แบล็ค ที่เขากล้ามารับบทนี้ เพราะมันไม่ใช่แค่เผลอมีเซ็กซ์กับเพื่อนชายไบเซ็กช่วล แต่มันทำให้เขาสับสนเริ่มคิดถึงมันตลอดเวลาทั้งๆ ที่พยายามลืม กลับไปบ้านของตัวเองก็วางตัวไม่ถูกกับเมีย เบลอๆ เอ๋อๆ แอบคิดถึงเพื่อน(ชาย)โดยไม่รู้ตัว เอาละซี ใครอยากลองกับเกย์ก็กรุณาคิดให้ดีนะจร๊า 555 ซึ่งบทในช่วงนี้เขียนได้ดี ราวกับผู้เขียนบทเคยมีประสบการณ์ซุกซนมาแล้ว (อิอิ) และแจ็คก็เล่นดูเป็นธรรมชาติ ได้เห็นความพยายามในการปฏิเสธตัวเอง แต่ก็ยังอยากเจอและหาวิธีให้ เจมส์ มาพบเขาจนได้ แต่ครั้นเมื่อเจอเข้าจริง ฝันโรแมนติกที่เคยคิดมันกลับกลายเป็นนรก เพราะเจมส์เป็นเพียงผู้ชายเสเพลธรรมดาคนหนึ่งที่นอนกับใครก็ได้ถ้าเขาเกิดอารมณ์ และพร่ำบอกเสมอว่ามันแค่สนุกๆ อย่าได้มาเอาอะไรกับเขาเลย ซึ่งเรื่องพรรค์นี้ในชีวิตจริงก็เคยได้ยินได้ฟังมาไม่น้อย ไม่นึกว่าฝรั่งมันจะจับประเด็นเอามาเขียนได้อย่างละเอียดละออ และในที่สุดแรงกดดันทั้งหมดก็ไปทำให้ความลับแตกดังโพละในงานเลี้ยงรุ่นให้ทุกคนในงานได้ช็อกซีเนม่ากันไปถ้วนหน้า หนังที่ดูเหมือนจะเป็นคอมเมดี้ เลยพลิกผันกลายเป็นดราม่าสุดริดสุดเดชไปได้เหมือนกัน นับเป็นบทที่ท้าทายซึ่ง แจ็ค แบล็ค ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว เพราะส่วนใหญ่เขาจะตีบทดราม่าแบบนี้ไม่ค่อยจะรอด เรื่องนี้ดูเขาเล่นเป็นธรรมชาติดีกว่าที่เคย เอ๊ะ หรือว่าเหมือนชีวิตจริง 555
ภาพยนตร์อีกเรื่องที่บอกได้ว่าน่าจะคู่กันเพราะออกจะเหมือนในแง่พฤติกรรมของดารานำ นั่นคือ Bessie ซึ่งเป็นหนังเรื่องยาวออกฉายทางทีวีของ HBO ที่เพิ่งคว้ารางวัลหลายสถาบัน รวมทั้งรางวัล Primetime Emmy ภาพยนตร์ที่ฉายทางโทรทัศน์ยอดเยี่ยมปีนี้มาครอง เป็นหนังที่เล่าชีวประวัติของ Bessie Smith ราชินีเพลงบลูส์อีกคนหนึ่งในตำนานเพลงอเมริกัน ซึ่งสวมบทบาทโดยนักร้องนักแสดงร่างอวบ ควีน ลาติฟา โดยเธอเองก็รั้งตำแหน่งโปรดิวเซอร์ใหญ่ของหนังเรื่องนี้อีกตำแหน่ง
Bessie เล่าเรื่องราวของนักร้องสาวที่ดิ้นรนมาตั้งแต่เล็กเพื่อที่จะมีชื่อเสียง เธอฟันฝ่านานาอุปสรรคด้วยความเด็ดเดี่ยวเป็นตัวของตัวเองไม่กลัวใคร จนกระทั่ง Ma Rainey นักร้องสาวใหญ่รุ่นเดอะได้ให้โอกาสเธอออกทัวร์ร่วมแสดง จนแมวมองได้มาเห็นพรสวรรค์เพลงบลูส์จากเธอ และในที่สุดเธอก็ประสบความสำเร็จในวงการเพลงจนดังเป็นพลุแตก (ตามสูตร)
กระนั้น เบซซี่ ยังต้องผ่านอุปสรรคร้อนหนาวเรื่องงานเรื่องส่วนตัวที่ประเดประดังเข้ามา แต่สิ่งที่เธอโชคดีและเธอไม่ค่อยได้มองเห็นคุณค่านั่นคือ ลูซิล เพื่อนสาว หรือน่าจะเรียกได้ว่าแฟนสาวของเธอที่คบหากันมาตั้งแต่ยังไม่เข้าวงการ ลูซิลผู้แสนจะภักดี ติดตามดูแลรับใช้เธอมาตลอด แต่เธอหาได้อยู่ในสายตาของเบซซี่ไม่ ซึ่งวิถีการใช้ชีวิตแบบไบเซ็กช่วลของเธอได้ทำให้เธอมาลงเอยกับไอ้หนุ่มผิวดำซึ่งสร้างปัญหาสารพันให้เธอ ด้วยความไม่สมหวังในสามีตัวแสบ ความเจ้าชู้ของเธอจึงไม่หยุดแค่นั้น เธอหันไปคว้ากิ๊กหนุ่มที่ประมาณเป็นคู่นอนชั่วคราว
แต่ปรากฏว่าในที่สุดคนที่หันกลับมาดีกับเธออย่างจริงใจเหลือเพียง ลูซิล และจะใครซะอีก ก็พ่อกิ๊กหนุ่มคนนั้น และคงพอเดาได้ว่า ลงท้าย เบซซี่ก็ยังเลือกเอาผู้ชายอยู่ดี นี่แหละหนอ..เขาถึงว่าอย่าได้หวังอะไรกับความสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกันมากมาย ไอ้ที่จะอยู่ด้วยกันถือไม้เท้ายอดทองตะบองยอดเพชรน่ะ มีสักกี่เปอร์เซนต์ ถึงแม้ยุคนี้เขาจะให้โอกาสเพศเดียวกันแต่งงานเป็นเรื่องเป็นราวในหลายประเทศก็ตามที
. . . ยินดีในสิ่งที่ตนได้ . . .
. . . พอใจในสิ่งที่ตนมี . . .
. . . เป็นคนโชคดีที่สุดในโลก . . .
..HappY BrightDaY..