ยา เป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ ซึ่งมีวิธีการใช้ที่แตกต่างกัน เช่น ยาทา ยาฉีด ยากิน เป็นต้น หากเราใช้ยาไม่ถูกต้อง หรือใช้โดยไม่ระมัดระวัง อาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนและทำให้เกิดอันตรายได้ | | ใช้ให้ถูกโรค คือ ใช้ยาให้ตรงกับโรคที่เป็น ไม่ควรซื้อยาหรือตามคำบอกเล่าของคนอื่น หลงเชื่อโฆษณา ควรจะให้แพทย์ หรือเภสัชกรเป็นคนจัดให้ เพราะหากใช้ยาไม่ถูกกับโรค อาจทำให้ได้รับอันตรายจากยา หรือไม่ได้ผลในการรักษา และอาจเกิดโรคแทรกซ้อนได้ | 2. | | ใช้ยาให้ถูกกับคน คือ ต้องดูให้ละเอียดก่อนใช้ ยาชนิดใดกับใคร เพศใด อายุ เพราะร่างกายของคนแต่ละเพศ และวัยมีความแตกต่างกัน เช่น ในเด็กการตอบสนองต่อยา จะเร็วกว่าผู้ใหญ่ สตรีมีครรภ์ยาหลายชนิด มีผลทำให้ทารกพิการได้ ในสตรีที่ให้นมบุตรต้องระวัง เพราะยาอาจถูกขับทางน้ำนม ส่งผลให้ทารกได้ ในผู้สูงอายุการทำลายยา โดยตับและไตจะช้ากว่าคนหนุ่มสาว | | | ใช้ยาให้ถูกเวลา ควรปฏิบัติดังนี้ |
| | การรับประทานยาก่อนอาหาร ต้องรับประทานยาก่อนอาหารอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง ถึง 1 ชั่วโมง เพื่อให้ยาถูกดูดซึมได้ดี ถ้าลืมกินยาให้รับประทาน เมื่ออาหารมื้อนั้นผ่านไปแล้วอย่างน้อย 2 ชั่วโมง เพราะจะทำให้ยาถูกดูดซึมได้ดี | | | การรับประทานยาหลังอาหาร โดยทั่วไปจะรับประทานยา หลังจากรับประทานอาหารแล้ว ประมาณ 15 - 30 นาที | | | การรับประทานยาหลังอาหารทันที หรือพร้อมอาหาร ให้รับประทานยาทันที หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ หรือรับประทานยาในระหว่างรับประทานอาหารก็ได้ ยาประเภทนี้จะระคายเคืองกระเพาะมาก หากรับประทานยาช่วงท้องว่าง ทำให้กระเพาะเป็นแผลได้ | | | การรับประทานยาก่อนนอน ให้รับประทานยาก่อนเข้านอนประมาณ 15-30 นาที | | | การรับประทานยาเมื่อมีอาการ ให้รับประทานยาเมื่อมีอาการของโรค เช่น ยาลดน้ำมูก ยาแก้ไอ และยาลดไข้ แก้ปวด |
| | ใช้ยาให้ถูกขนาด ควรรับประทานให้ถูกขนาดตามที่แพทย์ หรือเภสัชกรแนะนำ ควรใช้อุปกรณ์มาตรฐานตวงยา ไม่ใช้ช้อนทานข้าวหรือช้อนชงกาแฟ เพราะจะทำให้ได้ปริมาณยาที่ไม่ถูกต้อง | | | ใช้ยาให้ถูกวิธี มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ | ยาที่ใช้ภายนอก ได้แก่ ขี้ผึ้ง ครีม ยาผง ยาเหน็บ ยาหยอด มีข้อดีคือมีผลเฉพาะบริเวณที่ให้ยาเท่านั้น มีการดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้น้อย ไม่มีผลต่อระบบในร่างกาย ข้อเสียคือ ใช้ได้ดีกับโรคที่เกิดบริเวณพื้นผิวร่างกายเท่านั้น ฤทธิ์ของยาอยู่ได้ไม่นาน มีวิธีการใช้ดังนี้ | | ยาใช้ทา ให้ทาเพียงบาง ๆ เฉพาะบริเวณที่เป็นหรือบริเวณที่มีอาการ ระวังอย่าให้ถูกน้ำล้างออกหรือ ถูกเสื้อผ้าเช็ดออก | | | ยาใช้ถูนวด ให้ทาและถูบริเวณที่มีอาการเบาๆ | | | ยาใช้โรย ก่อนจะโรยยาควรทำความสะอาดแผล และเช็ดบริเวณที่จะโรยให้แห้งก่อน ไม่ควรโรยยาที่แผลสด หรือแผลมีน้ำเหลือง เพราะผงยาจะเกาะกันแข็งและปิดแผล อาจเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคภายในแผล | | | ยาใช้หยอด มีทั้งยาหยอดตา หยอดหู หยอดจมูก หรือพ่นจมูก | ยาที่ใช้ภายใน ได้แก่ ยาเม็ด ยาผง ยาน้ำ ข้อดี คือ สะดวก ปลอดภัย และใช้ได้กับยาส่วนใหญ่ แต่มีข้อเสียคือ ออกฤทธิ์ช้า ปริมาณยาที่เข้าสู่กระแสเลือดอาจแตกต่างกันตามสภาพการดูดซึม มีวิธีการใช้ดังนี้ | | ยาเม็ดที่ให้เคี้ยวก่อนรับประทาน ได้แก่ ยาลดกรด ยาขับลมชนิดเม็ด เพื่อให้เม็ดยาแตกเป็นชิ้นเล็ก จะได้มีผิวสัมผัสกับกรดหรือฟองอากาศในกระเพาะอาหารได้มากขึ้น | | | ยาที่ห้ามเคี้ยวให้กลืนเลย ได้แก่ ยาชนิดที่เคลือบน้ำตาล และชนิดที่เคลือบฟิล์มบางๆ ยาออกฤทธิ์นาน ต้องการให้ยาเม็ดค่อยๆ ละลายทีละน้อย | | | ยาแคปซูล เป็นยาห้ามเคี้ยวให้กลืนเลย ข้อดีคือรับประทานง่าย | | | ยาผง มีอยู่หลายชนิด ใช้แตกต่างกัน โดยน้ำที่นำมาผสมต้องเป็น น้ำดื่มที่ต้มสุกและทิ้งให้เย็น ต้องเก็บในตู้เย็น และหากใช้ไม่หมดใน 7 วันหลังจากที่ผสมน้ำแล้วให้ทิ้งเสีย | | | ยาน้ำแขวนตะกอน เช่น ยาลดกรดต้องเขย่าขวดให้ผงยาที่ตกตะกอนกระจายเป็นเนื้อเดียวกัน จึงทาน ถ้าเขย่าแล้วตะกอนไม่กระจายตัว แสดงว่ายานั้นเสื่อมคุณภาพ | | | ยาน้ำใส เช่น ยาน้ำเชื่อม เขย่าขวดก่อนใช้ ถ้าเกิดผลึกขึ้น หรือเขย่าแล้วไม่ละลาย ไม่ควรทาน | | | ยาน้ำแขวนละออง เช่น น้ำมันตับปลา ยาอาจจะแยกออกให้เห็นเป็นของเหลว 2 ชั้น เวลาจะใช้ให้เขย่าจนของเหลวเป็นชั้นเดียวกันก่อน จึงทาน ถ้าเขย่าแล้วยาไม่รวมตัวกัน แสดงว่ายานั้นเสื่อมคุณภาพ | การเก็บรักษายา | 1. | ควรตั้งให้พ้นมือเด็ก เพราะยาบางชนิดมีสีสวย เช่นยาบำรุงเลือดที่มีเหล็กเป็นส่วนประกอบ | | | ไม่ตั้งตู้ยาในที่ชื้น ควรตั้งอยู่ที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก ควรเก็บยาให้ห่างจาก ห้องครัว ห้องน้ำ | | 3. | ควรจัดตู้ยาเป็นระเบียบ โดยแยก ยาใช้ภายนอก ยาใช้ภายใน และเวชภัณฑ์ เพื่อป้องกันจากการหยิบผิด | | | | | ยาใช้ภายใน ใส่ขวดสีชามีฝาปิด เขียนฉลากว่า "ยารับประทาน" ใช้ฉลากสีน้ำเงิน หรืออักษรสีน้ำเงิน หรือสีดำ พร้อมระบุชื่อยา สรรพคุณ ขนาด วิธีรับประทาน ติดไว้ให้ เรียบร้อย ถ้าเป็นยาน้ำแขวนตะกอน ฉลากต้องมี คำว่า "เขย่าขวดก่อนใช้ยา" | | | ยาใช้ภายนอก ติดฉลากสีแดง มีข้อความว่า "ยาใช้ภายนอก ห้ามรับประทาน" ฉลากระบุชื่อยา สรรพคุณ ขนาด วิธีใช้ให้เรียบร้อย | | | 4. | เก็บรักษายาไม่ให้ถูกแสงสว่าง เพราะยาบางชนิดหากถูกแสงแดดจะเสื่อมคุณภาพ ต้องเก็บในขวดทึบแสง มักเป็นขวดสีชา เช่น ยาหยอดตา ยาวิตามิน ยาปฏิชีวนะ และยาแอดรีนาลิน ที่สำคัญควรเก็บยาตามที่ฉลากกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด | วิธีสังเกตยาเสื่อมคุณภาพ
ยาเสื่อมคุณภาพ ทำให้ไม่ให้ผลการรักษา อาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ได้ การเปลี่ยนสภาพของยา อาจเปลี่ยนจากลักษณะภายนอก ซึ่งสามารถสังเกตเห็นได้ชัด หรืออาจมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในของตัวยา ซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เช่น | | ยาน้ำ จะมีการเปลี่ยนสี กลิ่น หรือมีตะกอนผิดไปจากเดิม | | | ยาหยอดตา จะมีลักษณะขุ่น หรือตกตะกอนของตัวยา เปลี่ยนสี | | | ยาเม็ด จะมีลักษณะเยิ้มเม็ดแตก ชื้น บิ่น แตก เปลี่ยนสี | | | ยาแคปซูล จะมีลักษณะแตกออกจากกัน บวม ชื้น หรือสีของยาที่อยู่ภายในแคปซูลเปลี่ยนไป หรือมีสีเข้มขึ้น | | | ยาขี้ผึ้ง ยาครีม จะมีลักษณะเนื้อยาเยิ้มเหลว แยกชั้น กลิ่น สีเปลี่ยนไปจากเดิม | | | สำหรับยาแผนปัจจุบันทุกชนิด กฎหมายกำหนดให้ระบุวันสิ้นอายุไว้ในฉลาก โดยผู้รับอนุญาตผลิตนำหรือสั่งยาแผนปัจจุบันเข้าในราชอาณาจักร ต้องแสดง วัน เดือน ปีที่ยาสิ้นอายุไว้ในฉลาก | | | สำหรับยาแผนโบราณ ที่เป็นยาสามัญประจำบ้าน ต้องระบุวันสิ้นอายุของยาด้วย ยาที่เป็นยาน้ำจะมีอายุการใช้ 2 ปีนับจากวันที่ผลิต หากอยู่ในรูปอื่นที่ มิใช่ยาน้ำจะมีอายุการใช้ 3 ปีนับจากวันที่ผลิต ส่วนยาที่ไม่ใช่ยาสามัญประจำบ้าน ฉลากยาจะต้อง ระบุวันที่ผลิต จะกำหนดวันหมดอายุหรือไม่ก็ได้ เนื่องจากยาแผนโบราณได้จากสมุนไพรมีการสลายตัวง่าย ควรเลือกที่ผลิตใหม่ๆ | ยาทุกชนิด หากการเก็บรักษาไม่ถูกต้องอาจทำให้ยาเสื่อมคุณภาพก่อนวันที่กำหนดได้ ขอให้เพื่อนทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรง
ขอขอบคุณ เพื่อนๆที่ส่งกำลังใจให้ ข้อมูลจาก Google........... เพลงจาก YouTube........... กรอบภาพจากคุณ KungGuenter ภาพ blog ยายเก๋า(ชมพร),คุณญามี,คุณนุช oranuch_sri
ถ้าชอบ vote หมวดสุขภาพนะคะ
|
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
โอน่าจอมซ่าส์ Pet Blog ดู Blog
pantawan Health Blog ดู Blog
ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 3 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น