ความทรงจำเก่า ๆ ก่อนจะลืมเลือนหายไปกับกาลเวลา
Group Blog
 
<<
มกราคม 2559
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
4 มกราคม 2559
 
All Blogs
 

ตำนานเสี่ยโรงเหล้า

ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง
มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา
โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา
ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย

ทำบุญบวชกรวดน้ำขอสำเร็จ
สรรเพชญโพธิญาณประมาณหมาย
ถึงสุราพารอดไม่วอดวาย
ไม่ใกล้กรายแกล้งเมินก็เกินไป

ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก
สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน
ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป
แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืนฯ


นั่งอ่านบทกวีสุนทรภู่เลยจำเรื่องราวนิทานขึ้นมาได้

เช้ามืดวันเสาร์เวลาประมาณหกโมงเช้าเศษ ๆ
ที่วัดโพธิธรรมวรวิหาร กรุงเทพธานี ฯ
ก๊อก ๆ ๆ ๆ เสียงเคาะประตูกุฏิ คณะ ๕ ของวัด

" หลวงพี่ ๆ ๆ ครับ " เสียงเรียกจากภายนอก

" เดี๋ยว ๆ ขอนุ่งจีวรก่อน " เสียงในห้องตอบออกมา

" ครับ ผมเริญจะมาเอารถเข็นขายของครับ " มีเสียงเรียกเข้ามา

" อ๋อ เริญ เหรอ เดี๋ยวหลวงพี่ไปหยิบกุญแจก่อนนะ "
หลวงพี่ตอบพร้อมกับเอามือควานหากล่องกุญแจในห้องนอน
แล้วเดินออกมาหลังจากนุ่งห่มเรียบร้อยแล้ว
พร้อมกับนั่งบนชานพักด้านนอกกุฏิ

เริญ ก้มลงกราบหลวงพี่ก่อน
แล้วเดินตามท่านไปเอารถเข็น

" เป็นไง เริญ เห็นขายมาหลายปีแล้ว รวยแล้วยังละ "
หลวงพี่ถามเริญ

" พอไปได้ครับ หลวงพี่
แต่คงจะไม่มาขายอีกแล้วในเดือนหน้าครับ "
เริญตอบหลวงพี่

"ทำไมละ เบื่อแล้วเหรอ หรือ รวยแล้วซิ "

" เปล่าครับ หลวงพี่ ผมได้งานประจำต้องทำทุกวันถึงวันเสาร์
ส่วนวันอาทิตย์ก็ต้องช่วยพ่อผัดหอยทอด
เป็นงานล้างขวดเบียร์ ขวดเหล้า ที่ร้าน
แล้วนำไปขายโรงงานเหล้าโรงงานเบียร์ครับ "
เริญ บอกหลวงพี่พร้อมกับ
ค่อย ๆ รุนรถเข็นขายของเบ็ดเตล็ดออกมา

" ขยันจริงนะเรา แล้วเมื่อไรจะแต่งงานละ "
หลวงพี่หยอกเย้า

เริญยิ้มอาย ๆ พร้อมกับหน้าแดง บอกว่า
" ยังไม่มีแฟนครับ ใครจะมาแต่งกับผม คนจน ๆ "

" โชควาสนาคนเราไม่แน่หรอก แล้วแต่บุญแต่กรรม
อาตมาดูโหงวเฮ้งเริญ หน้าตาอิ่มเอิบ ถ้าอ้วนกว่านี้
บุคคลิกดี สุภาพเรียบร้อย คนแบบนี้คนรวยชัด ๆ
ลูกศิษย์อาตมาที่รวย ๆ หลายคนก็หน้าตาแบบนี้ละ "
หลวงพี่บอกกับเริญ

"สมพรปากนะครับ หลวงพี่ "
เริญตอบพร้อมกับบอกหลวงพี่ว่า

" เย็นนี้ผมคงไม่เอารถมาฝากหลวงพี่ที่วัดแล้วนะครับ
มีคนเซ้งรถเข็นของผมต่อแล้ว
เห็นว่าจะไปฝากที่วัดพระมหาธาตุศรีวรวิหาร
ที่กุฏิเดียวกับสุธนที่เป้นลูกศิษย์วัดอาศัยอยู่ครับ
ผมขอบคุณหลวงพี่มากที่อนุเคราะห์มาหลายปี
ไว้ผมได้เงินค่าเซ้งจะมาทำบุญให้หลวงพี่นะครับ "
เริญตอบหลวงพี่

" ไม่ต้องหรอกเริญ เก็บเงินไว้เถอะ เธอยังต้องใช้จ่ายอีกมาก
ไว้เริญรวยวันไหน อย่าลืมทำบุญให้คนอื่นที่ตกยาก กับวัดที่ลำบากด้วย

อาตมาพออยู่พอกิน เป็นพระลูกวัดนี่ก็ดีอย่าง
ไม่ต้องปวดหัวกับการบริหารกับพวกลูกวัด
นึกอยากจะไปไหนก็ง่ายไปง่าย ๆ แบบพระสงฆ์
ใครจะนิมนต์หรือเชิญไปทำอะไร ไม่ขัดพระธรรมวินัย
อาตมาก็ยินดีไปทำให้
กะว่าไม่นานอาตมาคงไปธุดงค์วัตร ปลีกวิเวก
เพื่อปฏิบัติธรรมตามพระพุทธศาสนาต่อไป

ขอให้เริญเจริญ ๆ และร่ารวยนะ
ถ้ามาที่วัดวันหลังไม่เจออาตมา
ก็แสดงว่าอาตมาไม่ไปปลีกวิเวก
ก็สิ้นบุญทางศาสนาพุทธก็แล้วกัน (ไม่ตายก็สึก) "

" ผมขอกราบหลวงพี่อีกครั้งนะครับ
เพราะคงจะมาหาหลวงพี่ได้ยากขึ้น
ทั้งเวลากับงานคงมัดตัวมากขึ้นครับ "
เริญตอบพร้อมกับหลวงพี่นั่งให้กราบ
ก่อนแยกย้ายไปทำกิจของแต่ละคนต่อไป

เริญรุนรถเข็นขายของเบ็ดเตล็ดไปที่สนามหลวง
ในยุคนั้นยังเป็นตลาดขายของให้ชาวบ้านเริ่มตั้งแต่เย็นวันศุกร์
พ่อค้าแม่ขายเริ่มมาจับจองสถานที่ได้จับสลากและระบุช่องไว้
มีจุดเขียนไว้บนฟุตบาต กับต้นมะขามสนามหลวงเป็นหลักสังเกต
เริ่มเปิดขายกันจริง ๆ ก็เช้าวันเสาร์อาทิตย์จนตกค่ำมืด

พ่อค้าแม่ขายหลายคนก็นอนค้างกันที่แผงขายของ
ตั้งแต่เย็นวันศุกร์จนถึงค่ำคืนวันเสาร์
พอตกคำวันอาทิตย์ก็ค่อยขยับขยายกลับบ้านกัน
สวนใครมีรถยนต์หรือหารถรับจ้างได้ ก็ขนของไปกลับบ้าน
บางคนก็นำของไปฝากบ้านหรือร้านค้าแถวน้ัน
เลยมีกิจการให้เช่าพื้นที่ฝากสินค้ากัน
ที่ทุนน้อยหรือรู้จักกับพระลูกวัดก็ฝากของไว้ที่วัดแถวนั้น
พอวันเสาร์อาทิตย์ก็ไปเอาข้าวของออกมาขาย
เหมือนเพื่อนสนิทชายอีกคนที่มีชื่อเล่นว่า สุธน

มหาวิทยาลัยสนามหลวง
เป็นมหาวิทยาลัยชีวิตของคนไทย
ที่เคี่ยวกรำสร้างคนเก่งคนแกร่งมามากต่อมาก
หรือต้องล้มหายตายจากไปก็มากมาย
เรียกว่าใครไม่ทันก็เป็นคนล้มตาย

สุธนมาเป็นลูกศิษย์วัดพระศรีมหาธาตุวรวิหาร
เพราะมีเพื่อนมาบวชเป็นพระเรียนเปรียญธรรมที่นี่
เลยได้พลอยอยู่ที่วัดแห่งนี้
แล้วลงเรียนมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง
พร้อมกับทำหน้าที่ในตอนเช้าฐานะลูกศิษย์วัด
กับทำหน้าที่ในวัดให้เสร็จก่อนไปเรียนทุกวัน

เหมือนท่านอดีตนายกชวน
สมัยเรียนมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง
ก็เป็นลูกศิษย์วัดมหากัลยาณมิตรวรวิหารที่ฝั่งธน
ตั้งแต่มาเรียนเพาะช่างที่กรุงเทพธานี ก่อน
ทำให้ท่านวาดรูปเขียนรูปได้สวยงามมาก
เคยนำไปประกวดกับให้ประมูลภาพเขียนของท่าน
ต่อมาท่านมาสมัครเรียนนิติศาสตร์
ที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง
ในยุคที่เป็นมหาวิทยาลัยเปิด

เพราะวิชาที่ชื่นชอบกับวิชาทำมาหากิน
มักจะเป็นคนละเรื่องราวเดียวกัน
มีน้อยคนนักที่จะได้เรียนวิชาที่ชื่นชอบ
กับวิชาชีพทำมาหากินในวัยเยาว์ได้พร้อมกัน
สำหรับคนที่ประสบความสำเร็จในวิชาที่ชื่นชอบ
ก็มักจะคุยโวโอ้อวดเสียงดังกว่าคนอื่น
แล้วเที่ยวด่าคนอื่นว่า อ้ายกระจอก
เพื่อยกหางชูชนตนเองว่าเหนือกว่าคนอื่น ๆ
ดังคลิปวิดีโอที่ชอบเผยแพร่กันด่าคนว่า
ไอ้ห่า  มึงมัน กระจอก  รู้มั้ย กระจอก

สุธนเพื่อนแกต้องดิ้นรนมาก
เพราะพ่อแกมีเมียใหม่พร้อมมีลูกอีกโขยง
แกเลยต้องส่งเสียตนเองเรียน
ในยุคนั้นยังไม่มีเงินกู้เพื่อการศึกษา

พอวันเสาร์อาทิตย์สุธน
ก็ต้องหอบหิ้วน้ำมันหมูกับกะทะใบบัว
ไปทอดข้าวเกรียบสงขลาขาย
เป็นข้าวเกรียบปลาหรือกุ้งแบบตากแห้งมา
ที่พี่สาวคนโตแกส่งมาทางรถไฟ
สายสงขลา กรุงเทพ ถึงประมาณ เที่ยงวันวันศูกร์
โดยแอบวางไว้ที่บนที่วางกระเป๋า
ตรงตู้โดยสารชั้น 2 หรือ 3 ตู้คันที่ 5
วางสลับไปมาไม่วางติดกันแบบ 1 2 3

สมัยนั้นขบวนรถไฟวันหนึ่งอย่างมาก
ก็ไม่เกิน 10 ตู้โดยสาร มีชั้น 1 ชั้น 2
ต่อเที่ยวไม่เกินกว่า 2-3 ตู้
ตู้ที่เหลือมักจะเป็นตู้ชั้น 3 ราคาถูกที่สุด

สงขลา มาจากภาษาขอมว่า เสือปลา
ตามคำบอกเล่ามหาแฏง บุญเรือน คชมาย์
ที่หัวเขาแดงก็มีศาลาหลบเสือ
ที่อดีตเจ้าเมืองสงขลาสร้างไว้
ให้คนเดินทางพักผ่อนกับเข้าไปหลบเสือได้



ศาลาหลบเสือ หรือ หราหลบเสือ  ที่มา //goo.gl/mnzDKq


ถ้าพี่สาวแกเจอคนรู้จักก็ฝากดูแลด้วย
สินค้าข้าวเกรียบก็เป็นของพื้นบ้าน
มีมูลค่าราคาน้อยมากในยุคนั้น
กับต้องนำมาทอดก่อนจึงจะกินได้
ทำให้เวลาส่งมาของมักจะไม่สูญหาย
คนก็ไม่อยากขโมยเพราะขายก็ยาก
คนไม่ค่อยนิยมกินกันในสมัยนั้น
บางคนเห็นก็ไม่รู้ว่าอะไรแข็ง ๆ
เคี้ยวก็ลำบาก กลิ่นแปลก ๆ ทะแหม่ง ๆ

นายตรวจรถไฟก็ไม่ค่อยสนใจมาก
เพราะเป็นของกินราคาถูกในยุคนั้น
ไม่มีสภาพอันตรายอย่างใด
ของชิ้นเล็ก ๆ ก็จริง
น้ำหนักแม้เพียงหนึ่งกิโลกรัม
แต่เวลาทอดจะฟูฟ่องแผ่นใหญ่มาก

สุธนก็มักจะไปรอรับของที่สถานีหัวลำโพง
โดยขึ้นไปบนตู้คันที่ 5 ตรงเป้าหมายเลย
แล้วค้นหาของที่พี่สาววางไว้บนที่วางของ
พอเจอของที่พี่สาวฝากส่งมาให้
ก็นำขึ้นรถเมล์กลับไปที่กุฏิวัดเลย
รอที่จะนำมาทอดขายในวันหยุด
ทำแบบนี้ก่อนที่จะมีระบบ
หรือการเรียนรู้เรือง Logistics
ในยุคนั้น รถไฟไทยยังใช้ไม้ฟืนอุ่นหม้อไอน้ำ
จำได้ว่าเคยเดินทางจากหาดใหญ่มากรุงเทพฯ
ใช้เวลาเดินทางถึง 22 ชั่วโมง
เรียกว่าออกรถกันก่อนเที่ยงวัน
กว่าจะถึงกรุงเทพ ฯ ก็ราว ๆ 4 โมงเช้า
เผลอ ๆ เที่ยงวันของอีกวัน
เรียกกันว่า ข้ามวันข้ามคืนเวลาไปกรุงเทพฯ

เพราะรถไฟเสียเวลารอสับหลีกกับรถสินค้า
หรือตอนวิ่งขึ้นทางชันชุมทางเขาชุมทอง
ต้องมีหัวรถจักรอีกคันดันท้ายจึงจะวิ่งผ่านหุบเขาได้
ถ้าไม่มีหัวรถจักรดันหลังก็ต้องรอกว่าจะได้อีกคันมาดัน
ทำให้เสียเวลาในจุดนี้ส่วนหนึ่งมาก
ก่อนที่จะนำหัวรถจักรดีเซลมาใช้เวลาต่อมา

ระบบ Logistics ที่ยอดเยี่ยมของภาคใต้
นักศึกษาและคณาจารย์มักจะไปเยี่ยมชม
เป็นของธุรกิจเบียร์ช้างที่บ้านดอนสุราษฏร์
รถขนสินค้าจากโรงงานในกรุงเทพฯ หรืออยุธยา หรือขอนแก่น
จะรู้หมายเลขรถ ชื่อคนขับ คนติดตาม
ระยะเวลาเดินทางจะมาถึงกึ่โมง บวกลบไม่เกินหนึ่งชั่วโมง
มีอัตราการขับรถยนต์ไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ติดตามด้วยระบบ GPS ดาวเทียมตลอด 24 ชั่วโมง
ทั้งทางต้นทางกับปลายทาง
ทำให้รู้ว่ารถขนส่งอยู่ที่จุดไหนของประเทศ

เมื่อรถบรรทุกมาถึงคลังสินค้าที่สุราษฏร์
คนชับจะรู้ทันทีว่าต้องวิ่งเข้าช่องเก็บของช่องไหน
เพราะจะทราบล่วงหน้าในวันขับรถออกจากที่ตั้ง
รู้ว่าจะใช้เวลาขนสินค้าลงในช่วงเวลากี่นาที
แล้ววิ่งออกทางช่องไหนของโรงงาน
จะต้องไปขนของขาขึ้นกรุงเทพฯ หรือไม่
มักจะเป็นพวกวัสดุโรงงานหรือสินค้าบางประเภท
เช่น ขวดเก่า ถุงปุ๋ย เครื่องจักร อุปกรณ์สำนักงาน
ที่ต้องนำไปใช้งาน ส่งซ่อม หรือ นำไปขาย/ทำลายที่กรุงเทพฯ
เรียกว่า รถขาขึ้น ขาล่อง ไม่มีการวิ่งหลาว

หลาว ภาษาใต้แปลว่า วิ่งรถเที่ยวเปล่า บรรทุกลม
ไม่มีรายได้มีแต่รายจ่ายแต่เพียงอย่างเดียว
เหมือนภาษิตรถสิบล้อที่ว่า
ล้อหมุนจึงจะได้เงิน
แต่วิ่งหลาวได้แต่เสียเงิน

สุธนเพื่อนแกคนนี้ทอดข้าวเกรียบ
จนเป็นมือโปรในสนามหลวง
ต่อมาเรียนจบที่มหาวิทยาลัยแล้ว
แกไปสมัครทำงานเอกชนอยู่สักพักหนึ่ง
ผิดหวังความรักจากคนที่แกชอบ
กับรายได้ที่ทำงานไม่ค่อยพอกับรายจ่าย
เลยหันมาทงานอดิเรกแบบจริง ๆ
ทำโรงงานผลิตข้าวเกรียบตามชื่อเล่นแก
จนเป็นสินค้าโด่งดังไปทั่วประเทศกับต่างประเทศ

แกเคยเล่าว่า แฟนเก่าแกไปหาขอเงินก้อนหนึ่ง
เพราะสามีเดือดร้อนมากตกงานยุด IMF
ไม่มีทุนรอนทำธุรกิจส่วนตัว
แกก็ให้ไปก้อนหนึ่งไม่เคยคิดขอเงินคืน
ฐานะเพื่อนเก่าคนที่เคยรักกันมาก่อน

ยังจำคำหยอกเย้าพระสุธนมโนราห์ได้ว่า
นายหนังโนราห์เติม กับโนราห์วิน วาด โต้กันว่า

โนราห์ติ้งเติม
บ้านเดิมปากพนัง
อยู่หลังคอกหมู

เลยมีคนมาต่อเติมกันเล่นภายหลังว่า

โนราห์ตัวใหญ่
ใส่โกเต็กซ์

โนราห์ตัวเล็ก
ใส่เซลล้อกซ์

โนราห์กิ๊กก๊อก
ใช้ผ้าเช็ด

ทั้งสุธนกับเริญทั้งคู่รู้จักกัน
เพราะเริญรุนรถเข็นผ่านบ่อย
มีอัธยาศรัยดี ยิ้มแย้ม สุภาพ
อ่อนน้อมถ่อมตน ให้เกียรติคนซื้อกับเพื่อนมาก

ยุคนั้น คนที่ไม่มีแผงขายประจำ
ก็ต้องรุนรถเข็นเล็ก ๆ ขายไปเรื่อย ๆ
หลบหลีกเทศกิจหรือตำรวจที่จับบ้างปล่อยบ้าง
หรือขอเงินค่าบริการอำนวยความสะดวกบ้าง

สุธนก็มักจะให้เริญชิมฟรี
ในชิ้นที่ทอดแรกเริ่ม
เพราะมักจะไม่สวยหรือฟูฟ่อง
สาเหตุจากความร้อนสะสมในน้ำมันยังร้อนไม่พอ
หรือบางครั้งก็ทอดไหม้หรือทอดออกมาไม่สวย
มาจากกระบวนการผลิต/ความชื้นสะสมในสินค้า
การให้จึงเป็นการผูกมิตรระหว่างกัน

ในยุคนั้นมีเพื่อนร่วมกลุ่มอีกคนชื่อ เสี่ยเหลียว
ที่ขายน้ำดื่มบำรุงร่ายกายตราแรดแดง
แต่เดิมเป็นเซลล์แมนวิ่งขายยาทาซี้มายซินมาก่อน
แล้วเห็นช่องทางทำน้ำดื่มชูพลัง
ราคาถูกแข่งกับเจ้าเดิม
ยี่ห้อ ลิโป้ วีตันไม่ดี
ราคาขวดละสิบสองบาท
จัดว่าแพงมากในยุคนั้น
ตามด้วยกูรอนซานแบบขวด
ต้องใช้ใบมีดตัดขวดแก้วก่อนได้กิน
เพราะทองคำในยุคนั้น
ตกบาทละแปดร้อยบาทเอง

แต่ของเสี่ยเหลียวตกขวดละห้าบาท
กินผัวได้แข็งแรง
กินเมียได้แข็งแรง
ยุคแรก ๆ แกเดินไล่แจก
รถตุ๊ก ๆ กับ รถแท็กซี่รอบสนามหลวง
จนปรับรสชาติที่นิยมกันแล้ว
พร้อมกับคนเริ่มติดใจรสชาติ
กับไม่ง่วงหาวหงาวนอน
เลยต้องซื้อในขวดที่ 2 หลังจากนั้น
ก่อนที่แกจะตั้งโรงงานผลิตน้ำดื่มแรดแดง

แล้วมีฝรั่งมาทำงานประจำในไทย
เที่ยวทั่วไทยแล้วคนรถซื้อมากิน
แกกินแล้วเกิดติดใจ
เลยติดต่อเสี่ยเหลี่ยว
ขอพาไปขายจนดังทั่วโลก
มีป้ายโฆษณากิจกรรมกีฬา Red Rats
เมืองนอกนิยมผสมเหล้าดื่มกัน
กินแล้วตอนเช้าไม่เมาค้าง
ไปทำงานกันไหวเลยนิยมกันมาก

เพื่อนในกลุ่มอีกคนคือ จ่าชัย
เป็นทหารเรืออยู่แถวฝั่งธนบุรี
ที่มายืนทอดไก่เหยง ๆ อยู่
ในสนามหลวงพร้อมกับเมีย
ก่อนต่อมาไปตั้งฟาร์มไก่ระดับโลก

ตัวละครในนิทานจะค่อย ๆ ออกมา

ขอย้ำนิทาน ๆ เรื่องราวในนี้เป็นนิทาน
เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสยมกุ๊ก ๆ
ชื่อฟ้องกับเหมือนชื่อในสยามประเทศ
ไม่เกี่ยวกันกับใคร ใครจะมโนว่าเป็นใคร
ผู้เขียนนิทานเรื่องนี้ไม่ขอรับผิดชอบแต่อย่างใด

ขอเวลาฟื้นความจำก่อนเขียนบทต่อไป




 

Create Date : 04 มกราคม 2559
0 comments
Last Update : 1 มีนาคม 2559 21:56:02 น.
Counter : 784 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ravio
Location :
สงขลา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 32 คน [?]




เกิดหาดใหญ่ วัยเด็กเรียนหนังสือโรงเรียน Catholic คณะ Salesian มีนักบุญประจำโรงเรียน Saint Bosco, Saint Savio ชอบอ่านหนังสือ godfather เกี่ยวกับ Mafio ของพวกซิซีเลียน เคยเล่นเกมส์ Mario แล้วได้คะแนนนำเลยนำสระโอมาต่อท้ายชื่อเป็น Ravio ได้กลิ่นอายแบบ Italino เคยเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเรียนวิชาชีพทำมาหากิน แต่ไม่ใช่วิชาที่ชื่นชอบมากนัก เรียนอยู่กว่าเจ็ดปี ต้องกลับมาทำงานเป็นกรรมกรที่บ้านเกิด จนเริ่มเกิดความหลงรักชีวิตบ้านนอก และวิถีชิวิตชุมชนท้องถิ่นที่ตนอยู่และไปร่วมวงเสวนา

เกิดเดือนมีนาคม แต่ลัคนาราศรีตุลย์ ชอบไปทุกเรื่อง สุดท้ายทำอะไรที่ได้เรื่องไม่กี่เรื่อง แต่ส่วนมากมักไม่ได้เรื่อง

ชอบขับรถยนต์ท่องเที่ยวชมภูเขา ป่าไม้ น้ำตก แต่ไม่ชอบทะเลหรือชายหาด เพราะรู้สึกอ้างว้าง โดดเดี่ยว เมื่อคิดถึงชีวิตตนเองที่มาเปรียบเทียบกับสองสิ่งสองอย่างนี้ รู้สึกว่ามนุษย์เป็นเพียงชีวิตที่เล็กน้อยมากที่มาอยู่อาศัยในโลกใบนี้

ชอบอ่านหนังสือ ท่องเที่ยวใน Internet ชอบเดินทางท่องเที่ยวแถว ในละแวกท้องถิ่นบ้านเกิด นาน ๆ ครั้งจะขึ้นไปเยี่ยมเพื่อนที่กรุงเทพฯ หรือไปหาซื้อหนังสือแถวสยามสแควร์ ถิ่นเก่าที่อยู่และที่เรียน






Friends' blogs
[Add ravio's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.