ดังคลิปวิดีโอที่ชอบเผยแพร่กันด่าคนว่า
ไอ้ห่า มึงมัน กระจอก รู้มั้ย กระจอก
สุธนเพื่อนแกต้องดิ้นรนมาก
เพราะพ่อแกมีเมียใหม่พร้อมมีลูกอีกโขยง
แกเลยต้องส่งเสียตนเองเรียน
ในยุคนั้นยังไม่มีเงินกู้เพื่อการศึกษา
พอวันเสาร์อาทิตย์สุธน
ก็ต้องหอบหิ้วน้ำมันหมูกับกะทะใบบัว
ไปทอดข้าวเกรียบสงขลาขาย
เป็นข้าวเกรียบปลาหรือกุ้งแบบตากแห้งมา
ที่พี่สาวคนโตแกส่งมาทางรถไฟ
สายสงขลา กรุงเทพ ถึงประมาณ เที่ยงวันวันศูกร์
โดยแอบวางไว้ที่บนที่วางกระเป๋า
ตรงตู้โดยสารชั้น 2 หรือ 3 ตู้คันที่ 5
วางสลับไปมาไม่วางติดกันแบบ 1 2 3
สมัยนั้นขบวนรถไฟวันหนึ่งอย่างมาก
ก็ไม่เกิน 10 ตู้โดยสาร มีชั้น 1 ชั้น 2
ต่อเที่ยวไม่เกินกว่า 2-3 ตู้
ตู้ที่เหลือมักจะเป็นตู้ชั้น 3 ราคาถูกที่สุด
สงขลา มาจากภาษาขอมว่า เสือปลา
ตามคำบอกเล่ามหาแฏง บุญเรือน คชมาย์
ที่หัวเขาแดงก็มีศาลาหลบเสือ
ที่อดีตเจ้าเมืองสงขลาสร้างไว้
ให้คนเดินทางพักผ่อนกับเข้าไปหลบเสือได้
ศาลาหลบเสือ หรือ หราหลบเสือ ที่มา //goo.gl/mnzDKq
ถ้าพี่สาวแกเจอคนรู้จักก็ฝากดูแลด้วย
สินค้าข้าวเกรียบก็เป็นของพื้นบ้าน
มีมูลค่าราคาน้อยมากในยุคนั้น
กับต้องนำมาทอดก่อนจึงจะกินได้
ทำให้เวลาส่งมาของมักจะไม่สูญหาย
คนก็ไม่อยากขโมยเพราะขายก็ยาก
คนไม่ค่อยนิยมกินกันในสมัยนั้น
บางคนเห็นก็ไม่รู้ว่าอะไรแข็ง ๆ
เคี้ยวก็ลำบาก กลิ่นแปลก ๆ ทะแหม่ง ๆ
นายตรวจรถไฟก็ไม่ค่อยสนใจมาก
เพราะเป็นของกินราคาถูกในยุคนั้น
ไม่มีสภาพอันตรายอย่างใด
ของชิ้นเล็ก ๆ ก็จริง
น้ำหนักแม้เพียงหนึ่งกิโลกรัม
แต่เวลาทอดจะฟูฟ่องแผ่นใหญ่มาก
สุธนก็มักจะไปรอรับของที่สถานีหัวลำโพง
โดยขึ้นไปบนตู้คันที่ 5 ตรงเป้าหมายเลย
แล้วค้นหาของที่พี่สาววางไว้บนที่วางของ
พอเจอของที่พี่สาวฝากส่งมาให้
ก็นำขึ้นรถเมล์กลับไปที่กุฏิวัดเลย
รอที่จะนำมาทอดขายในวันหยุด
ทำแบบนี้ก่อนที่จะมีระบบ
หรือการเรียนรู้เรือง Logistics
ในยุคนั้น รถไฟไทยยังใช้ไม้ฟืนอุ่นหม้อไอน้ำ
จำได้ว่าเคยเดินทางจากหาดใหญ่มากรุงเทพฯ
ใช้เวลาเดินทางถึง 22 ชั่วโมง
เรียกว่าออกรถกันก่อนเที่ยงวัน
กว่าจะถึงกรุงเทพ ฯ ก็ราว ๆ 4 โมงเช้า
เผลอ ๆ เที่ยงวันของอีกวัน
เรียกกันว่า ข้ามวันข้ามคืนเวลาไปกรุงเทพฯ
เพราะรถไฟเสียเวลารอสับหลีกกับรถสินค้า
หรือตอนวิ่งขึ้นทางชันชุมทางเขาชุมทอง
ต้องมีหัวรถจักรอีกคันดันท้ายจึงจะวิ่งผ่านหุบเขาได้
ถ้าไม่มีหัวรถจักรดันหลังก็ต้องรอกว่าจะได้อีกคันมาดัน
ทำให้เสียเวลาในจุดนี้ส่วนหนึ่งมาก
ก่อนที่จะนำหัวรถจักรดีเซลมาใช้เวลาต่อมา
ระบบ Logistics ที่ยอดเยี่ยมของภาคใต้
นักศึกษาและคณาจารย์มักจะไปเยี่ยมชม
เป็นของธุรกิจเบียร์ช้างที่บ้านดอนสุราษฏร์
รถขนสินค้าจากโรงงานในกรุงเทพฯ หรืออยุธยา หรือขอนแก่น
จะรู้หมายเลขรถ ชื่อคนขับ คนติดตาม
ระยะเวลาเดินทางจะมาถึงกึ่โมง บวกลบไม่เกินหนึ่งชั่วโมง
มีอัตราการขับรถยนต์ไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ติดตามด้วยระบบ GPS ดาวเทียมตลอด 24 ชั่วโมง
ทั้งทางต้นทางกับปลายทาง
ทำให้รู้ว่ารถขนส่งอยู่ที่จุดไหนของประเทศ
เมื่อรถบรรทุกมาถึงคลังสินค้าที่สุราษฏร์
คนชับจะรู้ทันทีว่าต้องวิ่งเข้าช่องเก็บของช่องไหน
เพราะจะทราบล่วงหน้าในวันขับรถออกจากที่ตั้ง
รู้ว่าจะใช้เวลาขนสินค้าลงในช่วงเวลากี่นาที
แล้ววิ่งออกทางช่องไหนของโรงงาน
จะต้องไปขนของขาขึ้นกรุงเทพฯ หรือไม่
มักจะเป็นพวกวัสดุโรงงานหรือสินค้าบางประเภท
เช่น ขวดเก่า ถุงปุ๋ย เครื่องจักร อุปกรณ์สำนักงาน
ที่ต้องนำไปใช้งาน ส่งซ่อม หรือ นำไปขาย/ทำลายที่กรุงเทพฯ
เรียกว่า รถขาขึ้น ขาล่อง ไม่มีการวิ่งหลาว
หลาว ภาษาใต้แปลว่า วิ่งรถเที่ยวเปล่า บรรทุกลม
ไม่มีรายได้มีแต่รายจ่ายแต่เพียงอย่างเดียว
เหมือนภาษิตรถสิบล้อที่ว่า
ล้อหมุนจึงจะได้เงิน
แต่วิ่งหลาวได้แต่เสียเงิน
สุธนเพื่อนแกคนนี้ทอดข้าวเกรียบ
จนเป็นมือโปรในสนามหลวง
ต่อมาเรียนจบที่มหาวิทยาลัยแล้ว
แกไปสมัครทำงานเอกชนอยู่สักพักหนึ่ง
ผิดหวังความรักจากคนที่แกชอบ
กับรายได้ที่ทำงานไม่ค่อยพอกับรายจ่าย
เลยหันมาทงานอดิเรกแบบจริง ๆ
ทำโรงงานผลิตข้าวเกรียบตามชื่อเล่นแก
จนเป็นสินค้าโด่งดังไปทั่วประเทศกับต่างประเทศ
แกเคยเล่าว่า แฟนเก่าแกไปหาขอเงินก้อนหนึ่ง
เพราะสามีเดือดร้อนมากตกงานยุด IMF
ไม่มีทุนรอนทำธุรกิจส่วนตัว
แกก็ให้ไปก้อนหนึ่งไม่เคยคิดขอเงินคืน
ฐานะเพื่อนเก่าคนที่เคยรักกันมาก่อน
ยังจำคำหยอกเย้าพระสุธนมโนราห์ได้ว่า
นายหนังโนราห์เติม กับโนราห์วิน วาด โต้กันว่า
โนราห์ติ้งเติม
บ้านเดิมปากพนัง
อยู่หลังคอกหมู
เลยมีคนมาต่อเติมกันเล่นภายหลังว่า
โนราห์ตัวใหญ่
ใส่โกเต็กซ์
โนราห์ตัวเล็ก
ใส่เซลล้อกซ์
โนราห์กิ๊กก๊อก
ใช้ผ้าเช็ด
ทั้งสุธนกับเริญทั้งคู่รู้จักกัน
เพราะเริญรุนรถเข็นผ่านบ่อย
มีอัธยาศรัยดี ยิ้มแย้ม สุภาพ
อ่อนน้อมถ่อมตน ให้เกียรติคนซื้อกับเพื่อนมาก
ยุคนั้น คนที่ไม่มีแผงขายประจำ
ก็ต้องรุนรถเข็นเล็ก ๆ ขายไปเรื่อย ๆ
หลบหลีกเทศกิจหรือตำรวจที่จับบ้างปล่อยบ้าง
หรือขอเงินค่าบริการอำนวยความสะดวกบ้าง
สุธนก็มักจะให้เริญชิมฟรี
ในชิ้นที่ทอดแรกเริ่ม
เพราะมักจะไม่สวยหรือฟูฟ่อง
สาเหตุจากความร้อนสะสมในน้ำมันยังร้อนไม่พอ
หรือบางครั้งก็ทอดไหม้หรือทอดออกมาไม่สวย
มาจากกระบวนการผลิต/ความชื้นสะสมในสินค้า
การให้จึงเป็นการผูกมิตรระหว่างกัน
ในยุคนั้นมีเพื่อนร่วมกลุ่มอีกคนชื่อ เสี่ยเหลียว
ที่ขายน้ำดื่มบำรุงร่ายกายตราแรดแดง
แต่เดิมเป็นเซลล์แมนวิ่งขายยาทาซี้มายซินมาก่อน
แล้วเห็นช่องทางทำน้ำดื่มชูพลัง
ราคาถูกแข่งกับเจ้าเดิม
ยี่ห้อ ลิโป้ วีตันไม่ดี
ราคาขวดละสิบสองบาท
จัดว่าแพงมากในยุคนั้น
ตามด้วยกูรอนซานแบบขวด
ต้องใช้ใบมีดตัดขวดแก้วก่อนได้กิน
เพราะทองคำในยุคนั้น
ตกบาทละแปดร้อยบาทเอง
แต่ของเสี่ยเหลียวตกขวดละห้าบาท
กินผัวได้แข็งแรง
กินเมียได้แข็งแรง
ยุคแรก ๆ แกเดินไล่แจก
รถตุ๊ก ๆ กับ รถแท็กซี่รอบสนามหลวง
จนปรับรสชาติที่นิยมกันแล้ว
พร้อมกับคนเริ่มติดใจรสชาติ
กับไม่ง่วงหาวหงาวนอน
เลยต้องซื้อในขวดที่ 2 หลังจากนั้น
ก่อนที่แกจะตั้งโรงงานผลิตน้ำดื่มแรดแดง
แล้วมีฝรั่งมาทำงานประจำในไทย
เที่ยวทั่วไทยแล้วคนรถซื้อมากิน
แกกินแล้วเกิดติดใจ
เลยติดต่อเสี่ยเหลี่ยว
ขอพาไปขายจนดังทั่วโลก
มีป้ายโฆษณากิจกรรมกีฬา Red Rats
เมืองนอกนิยมผสมเหล้าดื่มกัน
กินแล้วตอนเช้าไม่เมาค้าง
ไปทำงานกันไหวเลยนิยมกันมาก
เพื่อนในกลุ่มอีกคนคือ จ่าชัย
เป็นทหารเรืออยู่แถวฝั่งธนบุรี
ที่มายืนทอดไก่เหยง ๆ อยู่
ในสนามหลวงพร้อมกับเมีย
ก่อนต่อมาไปตั้งฟาร์มไก่ระดับโลก
ตัวละครในนิทานจะค่อย ๆ ออกมา
ขอย้ำนิทาน ๆ เรื่องราวในนี้เป็นนิทาน
เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสยมกุ๊ก ๆ
ชื่อฟ้องกับเหมือนชื่อในสยามประเทศ
ไม่เกี่ยวกันกับใคร ใครจะมโนว่าเป็นใคร
ผู้เขียนนิทานเรื่องนี้ไม่ขอรับผิดชอบแต่อย่างใด
ขอเวลาฟื้นความจำก่อนเขียนบทต่อไป