|
|
|
- อาทิตย์ จันทร์ เมฆา และวายุ...
- ... กินเจปี’52 ฯ โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ...
- ... ขนมไหว้พระจันทร์ปีนี้ ยอดขายดีกว่าปีก่อน...โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย...
- ... สภาพคล่องในงบดุลของธนาคารพาณิชย์ไทย ส.ค. 52 … เพิ่มขึ้น โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย....
- ... กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ... ผลกระทบต่อธุรกิจกองทุนรวม ...
- บริการคงสิทธิเลขหมาย…กระทบผู้ให้บริการ หลังเปิดใช้ 3G โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
- ภาวะเงินเฟ้อติดลบใกล้สิ้นสุด ...
- ... ส่งออกรถยนต์ไทยครึ่งหลัง 2552 มีสัญญาณดีขึ้น โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ...
- . . . Digital Content Industry . . .โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
- ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 : ผลกระทบต่อหลากธุรกิจ โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
- ... . ตลาดหนังสือปี’52 : อัตราขยายตัวชะลอลง...สำนักพิมพ์ต้องเร่งปรับตัว โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย.
- ...พันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็ง ... ผลต่อสภาพคล่องและดอกเบี้ยแบงก์ โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย...
- ... ยางธรรมชาติครึ่งหลังปี 52 โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย...
- การจัดสรรเงินออม...ภายใต้ปัจจัยเสี่ยงในช่วงครึ่งหลังของปี’52 โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
- ... แนวโน้มธุรกิจครึ่งปีหลัง 2552 ... โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
- ... แนวโน้มเงินบาทครึ่งหลังปี 2552 ...
- ... กรมธนารักษ์เปิดจ่ายแลกเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนชุดใหม่ครบทุกชนิดราคา ...
- ... ท่องเที่ยวครึ่งหลังปี 2552...มีโอกาสฟื้นตัวปลายปี....
- ตัวเลขเศรษฐกิจไทยเดือนพฤษภาคม 2552
- ธนาคารกรุงไทยจัด 2 โปรโมชั่นกระตุ้นการใช้จ่าย
- ...วิกฤตการณ์ทางการเงินของโลก : เงินทุนต่างชาติชะลอตัว... ผลต่ออสังหาริมทรัพย์ไทย...
- ... ส่งออก-ลงทุน-ท่องเที่ยว ไทย-จีน : มีทิศทางปรับดีขึ้น โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ...
- ... ตัวเลขว่างงานเดือนเมษายน 2552 พุ่งขึ้น 49.7% ...
- คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยน่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.25%
- การส่งออกไม่รวมทองคำในเดือนพฤษภาคมหดตัว 27.3%
- ...เศรษฐกิจไทยมีโอกาสฟื้นตัวเพิ่มมากขึ้น... แต่...
- กฎหมายกู้เงินฉุกเฉิน 4 แสนล้านบาท … เปิดทางกระตุ้นเศรษฐกิจ โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
- .... ทำไม ต้องทำประกัน???.... (ด้วยคะ)........
- ราคาน้ำมัน และอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรระยะยาว : ความท้าทายของเศรษฐกิจไทย
- การนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมาใช้
- การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์: ฟื้นตัวแล้ว?
- เงินบาทแข็งค่าสูงสุดในรอบ 8 เดือน
- . . . .กระแสรักสวย-รักงาม...ยังคงทำให้ธุรกิจขยายตัว . . . .
- เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 2/2552 อาจยังคงหดตัวลงอย่างต่อเนื่อง
- เศรษฐกิจไทยอาจฟื้นตัวชัดเจนขึ้นในครึ่งปีหลัง … แต่ยังมีปัจจัยที่ต้องระวัง
- . . .ราคาน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้นลิตรละ 80 สตางค์ ส่วนดีเซลเพิ่มขึ้นลิตรละ 60 สตางค์ วันที่ 21 พ.ค.นี้
- ตัวเลขว่างงานเดือนกุมภาพันธ์ 2552 ... ลดลงเพราะผลจากฤดูกาล
- . ตลาดหุ้นไทยร่วง 26 จุด - บุหรี่ในขึ้น 10-13 บาท บุหรี่นอก 15-17 บาท
- ผู้บริโภคร้องเรียนร้านค้ากักตุนบุหรี่กว่า 200 ราย
- . . . กระทรวงการคลัง เตรียมเสนอ ครม. ตัดสินขึ้นภาษีที่ดิน . . .
- . . . ข่าวดี ที่เกิดขึ้น ก่อนวันพระ หนึ่งวัน . . .
- . . .ขึ้นภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย . . .
- ครม.ไฟเขียวให้ลูกจ้าง-นายจ้างลดส่งเงินสมทบกองทุนประกันสังคมเหลือ 3% จาก 5%
- . . .อัตราเงินเฟ้อเดือนเมษายน52 ...ติดลบเป็นเดือนที่ 4 . . .
- ขึ้นน้ำมันทุกชนิดลิตรละ 1.55 บาท ยกเว้นอี 85 มีผลวันที่ 1 ก.พ.นี้
- ครม.มีมติเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมันทั้งเบนซิน-ดีเซล มีผลวันที่ 1 ก.พ. นี้
- คลังเตรียมพิจารณากฎหมายเพื่อเก็บภาษีที่ดิน-สิ่งปลูกสร้าง รวมถึงภาษีมรดก
- เตือนภัยหญิงไทยที่ติดต่อชาวต่างชาติผ่านทางระบบ Internet ระวังถูกหลอกให้เสียเงินจากการรับสินค้า
- 7 มาตรการทางภาษีเพื่อสนับสนุนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ-- ปิดปั๊มหลังเที่ยงคืน 31 ม.ค.ก่อนขึ้นราคาน้ำมัน
- กรมสรรพากรชี้แจงเงื่อนไขหักลดหย่อนภาษีเบี้ยประกันชีวิต สำหรับกรมธรรม์ที่ทำหลังวันที่ 1 ม.ค.52
- ราคาก๊าซรถยนต์(แอลพีจี)อาจเพิ่มขึ้น 2 บาทต่อกก.-กระทรวงแรงงานจัดงาน “ตลาดนัดแรงงาน” ทุกวันเสาร์. . .
- กนง. ลดดอกเบี้ยร้อยละ 0.75 เหลือร้อยละ 2.00 -- รมว.แรงงานแจงช่วยค่าครองชีพจ่าย 2,000 บาท ครั้งเดียว
- ครม.อนุมติงบกลางปี 1.15 แสนล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจ 18 โครงการ
- ต่ออายุ 6 มาตรการฝ่าวิกฤติ - นัดพบแรงงานทุกวันเสาร์ - อนุมัติงบช่วยเหลือผู้ว่างงาน
- ขึ้นราคาน้ำมันลิตรละ 60 สตางค์ 7 ม.ค.นี้
- เงินเฟ้อปี 51 - 5.5% --- หุ้นวันแรกบวก 28 จุด -- ตรึงราคาก๊าซแอลพีจี และเอ็นจีวี. . .
- ราคาน้ำมันปีหน้า มีแนวโน้มทรงตัว แต่ค่าไฟฟ้าช่วงครึ่งปีแรกจะปรับขึ้น
- นายกเตรียมปรับลดใช้น้ำฟรีเหลือ 30 หน่วยต่อเดือน - สายด่วนประกันภัย 1186
- ราคาน้ำมันลดลงลิตรละ 60 สตางค์ 26 ธ.ค.นี้
- ราคาที่ดินลาดพร้าวปรับเพิ่ม 65% -- รัฐเตรียมช่วยคนซื้อบ้านใหม่ปีหน้า -- ค่าไฟฟ้าขึ้นหน่วย 14 สตางค์
- ตัวเลขการส่งออกเดือนพ.ย. หดตัวสูงถึง 18.6%
- รถไฟฟ้าบีทีเอสขยายเวลาเปิดให้บริการคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ถึง 02.00 น.
- ธปท.เตือนประชาชนระวังธนบัตรปลอมระบาด--รฟท. เพิ่มขบวนรถไฟ 18 ขบวน
- ปตท.เตรียมขึ้นราคาก๊าซเอ็นจีวีจาก 8.50 บาท เป็น 11 บาท มีผล 1 ม.ค.52--ลดค่าโดยสารขสมก.-บขส.
- ลดราคาดีเซลลิตรละ 0.50 บาท - เก็บเงินเบนซิน 95 เข้ากองทุนน้ำมันลิตรละ 3 บาท - รัฐบาลใหม่
- คาดเฟดลดดอกเบี้ย 0.5% - โอเปกประชุม 17 ธ.ค.นี้ - ราคายางตกต่ำสุดในรอบ 10 ปี
- บขส-รถร่วมเตรียมลดค่าโดยสาร--แบงก์ออมสินลดดอกเบี้ย--ปีใหม่ แบงก์หยุด 5 วัน. . .
- อีก 5 ปี . . . ประชาชนจะกลายเป็นมนุษย์ไฮเทค . . .
- แนวโน้มยอดขายรถยนต์ในประเทศ : ชะลอลงต่อเนื่องถึงปีหน้า
- น้ำมันลดลง 60-80 สตางค์ต่อลิตร--ปีหน้าว่างงาน 9 แสนคน--เบียร์ช้างชะลอเข้าตลาดหุ้น--คลังหนุนปรับภาษี
- เงินบาทแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 22 เดือน ที่ 35.83 / หุ้นปิดที่ 392 แนวต้าน 400 แนวรับ 380
- สุวรรณภูมิพร้อมเปิดเต็นรูปแบบ 5 ธ.ค.นี้ 11.00--บขส.เปิดจองตั๋วล่วงหน้าช่วงปีใหม่-น้ำมันลด 40-60 สต.
- เปิดใช้สนามบินดอนเมือง 4 ธ.ค.-สุวรรณภูมิ 5 ธ.ค.--กนง.ลดดอกเบี้ย 1%--น้ำมันถั่วเหลืองลดราคา 3.50 บาท
- สนามบินสุวรรณภูมิเปิดรับส่งสินค้าทางอากาศได้แล้ว ตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค.
- น้ำมันลดลงลิตรละ 0.40 บาท-- เงินเฟ้อเดือนพ.ย.2.2% ต่ำสุดรอบ 14 เดือน--สนามบินยังปิดอยู่...
- ผลกระทบการปิดสนามบินสุวรรณภูมิ
- ..วิกฤติเศรษฐกิจโลก-วิกฤติเศรษฐกิจไทยปี 2552 - ท่องเที่ยว-โรงแรมยอดขายลด 10-15% -- หุ้นบวก 5.73 จุด.
- ราคาน้ำมันลดลงอีก 60-80 สตางค์ต่อลิตร มีผลวันที่ 25 พ.ย.นี้
- ค่าบาทอ่อน - ตลาดหุ้นแนวโน้มทดสอบ 384 - น้ำมันลด 60-0 สตางค์ -ทองคำพุ่ง 400 บาท -คนตกงานกว่า 4 แสนคน
- ผลการประชุม กรอ.- กระทรวงคลังเตรียมปรับลดภาษี
- จีเอ็มลดคนงาน-คำสั่งซื้อยานยนต์ลดลง-ธกส.พร้อมจ่ายเงินรับจำนำข้าว-หุ้นปิดที่ 408.51 ลดลง 11.46 จุด
- เสนอครม.ลดภาษีนิติบุคคลลง 5% - ขึ้นภาษีสินค้าฟุ่มเฟือย - ปรับเกณฑ์ซีลลิ่ง-ฟลอร์หุ้นใหม่ 2 ธ.ค.นี้
- ราคาน้ำมันลดลงลิตรละ 40-80 สตางค์-ซิตีกรุ๊ปประกาศปลดคนงาน 53,000 คนทั่วโลก
- ก.แรงงานรับวิกฤติคนตกงาน-รถติดตั้งแก๊สลดฮวบ ตามราคาน้ำมัน-เผยแพร่ทีโออาร์เช่ารถเมล์ผ่านเว็ป
- เงินบาทอ่อนค่าลง ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงทั้งสัปดาห์
- ขึ้นราคาก๊าซก.ก.ละ 6 บาท-เตือนธุรกิจเกษตร, ส่งออก, เอสเอ็มอีรับผลกระทบปีหน้า
- ลอยกระทงกันดีกว่า เมี๊ยวๆ...
- ราคาน้ำมันเบนซินลด 80 สตางค์--กกร.เสนอลดภาษี--แนวโน้มตกงานเพิ่ม--การใช้พืชพลังงานลดลง
- โอบามา-ผลกระทบต่อไทย
- แก๊สโซฮอล์-เบนซนลด 60-80 สตางค์-
- เงินเฟ้อต.ค.3.9%ต่ำสุดรอบ 10 เดือน--รัฐกู้เงินรับจำนำข้าว--หุ้นฟื้น 32 จุด--จดทะเบียนแรงงานต่างด้าว
- เงินบาทอ่อนค่าสุดในรอบ 19 เดือน-ตัวเลขเศรษฐกิจเดือนก.ย.ส่งสัญญาณชะลอตัว
- เฟดลดดอกเบี้ย 0.5%-- หุ้นขึ้นพ้น 400 --เว้นเกณฑ์ silent period--กองทุนยางพารา
- น้ำมันดีเซลลง 60 สตางค์--หุ้นตก 13 จุด--หม่อมอุ๋ยแนะเอาเงินฝากแบงก์เล่นหุ้น--SMEควบบสย.
- ขยายเวลาค้ำเงินฝาก 3 ปี-จำนำข้าวโพด-มันสำปะหลัง--TDRI--สศค.
- เซอร์กิตเบรกเกอร์ (circuit breaker)หยุดซื้อขายหุ้นครั้งที่ 3 -ดัชนี 387 ต่ำสุดรอบ 5 ปี-ยอกตกงาน 6แสน
- งดขายทองคำแท่งเสาร์-อาทิตย์--โอเปคลดการผลิต--หุ้นต่ำสุดรอบ 5 ปี--คาดเฟดลดดอกเบี้ยอีก
- ข้าวแกงลดราคา -- กบง.เก็บเงินเพิ่มเข้ากองทุนน้ำมัน -- เบียร์ช้างเข้าตลาดหุ้น -- รถไฟฟ้ารอเข้าครม.
- กระทรวงการคลังเสนอแนวคิดขยายเวลาค้ำเงินฝากทั้งจำนวนอีก 3 ปี - กดค่าบาทให้อ่อนลงอีก 5% อุ้มส่งออก
- แนวโน้มอุตสาหกรรมไทยท่ามกลางมรสุมเศรษฐกิจโลก
- น้ำมันลดลง 10%--ค่าโดยสารรถ-เรือเตรียมปรับลงตาม--ยางพาราราคาตก 43%
- ราคายางลดลงเร็วที่สุดเป็นประวัติการณ์ : สาเหตุ ผลกระทบ และทางออก
- วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ - วิกฤติการเงินไทยปี 2540 - ผลกระทบที่แตกต่าง - 6 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไทย
- ราคาน้ำมันดีเซล-เบนซิน-แก๊สโซฮอล์ ลดลงลิตรละ 1 บาท 15 ต.ค.นี้
- ผู้ค้าน้ำมันประกาศลดราคาเบนซิน 40 สต.-ดีเซล 80 สต.พรุ่งนี้
- ไอซ์แลนด์ยึดแบงก์โคปทิง--สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ยืนยันฐานะมั่นคง--ธ.กลางทั่วโลกลดดอกเบี้ย...หุ้นฟื้น 1%
- ทำไมเราต้องดูจิต, วิธีการ "ดูจิต", วงจรกระแสจิต, อานิสงส์ของการแผ่เมตตา, วิธีแผ่เมตตา...
- ลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 60 สตางค์ --หุ้นหลุด 500
- ภาคเอกชนเป็นห่วงสถานการณ์ความรุนแรงทางการเมืองส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทุกภาคส่วน
- ราคาน้ำมันทุกประเภทลดลง 20-80 สตางค์---หุ้นตกต่ำสุดรอบ 5 ปี--กกร.เสนอ 7 มาตรการเร่งด่วน. . .
- ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาด กนง. คงอัตราดอกเบี้ย 3.75%
- รอลุ้นแผนกูวิกฤติการเงินสหรัฐฯ
- ธุรกิจสถานีบริการก๊าซ LPG ปี51--เงินเฟ้อเดือนก.ย.แนวโน้มชะลอลง
- เงินเฟ้อก.ย.6.0%-ปตท.คาดน้ำมันดิบแกว่งตัว 90-100 USD/Barrel. . .
- กินน้อยตายยาก กินมากตายง่าย
- เศรษฐกิจเดือนส.ค.สะท้อนสัญญาณชะลอตัว
- Emergency Economic Stabilization Act of 2008 (link to full and summary in pdf file)
- โครงการที่น่าติดตามภายใต้รัฐบาลสมชาย 1
- วิกฤตการเงินในสหรัฐฯ ... ผลกระทบต่อภาคการเงินไทย
- ความเชื่อมั่นธุรกิจประกันภัยในประเทศไทย--กรุงไทยขายกรมธรรม์ประกันภัยรูปแบบใหม่. . .
- เชลล์ขึ้นราคาน้ำมัน 60 สตางค์--คลัง แบงก์ชาติ คปภ มั่นใจสภาพคล่องการเงิน--รายชื่อครม.สมชาย1. . .
- มาตรการกู้วิกฤติการเงินสหรัฐวงเงิน 7 แสนล้านดอลลาร์
- กระทรวงพาณิชย์อาจนำทองคำเป็นสินค้าควบคุม--กินเจ 29 ก.ย.- 7 ต.ค.ผักแพง--พันธบัตรคลังปี 52. . .
- นักวิชาการเตือนรับมือวิกฤติเลห์แมน--เก็บเงินกองทุนน้ำมันเพิ่ม--ยอดขายรถยนต์ลด--ธอส.ลดดอกเบี้ย. . .
- Resolution Trust Corporations (RTC) โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
- ---ผักแพง-ทองขึ้น-ค่าไฟฟ้า-วิเคราะห์วิกฤติเลห์แมน--กินเจปีนี้---
- . . . น้ำมันลด 60 สตางค์-ทองพุ่ง 13,550 บาท--หุ้นผันผวน--รถไฟหยุดวิ่งน้ำท่วม . .
- . . . เฟดคงอัตราดอกเบี้ยที่ร้อยละ 2.00 และให้ความช่วยเหลือด้านเงินกู้แก่ AIG . . .
- . . . วิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐฯ ... อาจยังไม่ยุติ โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย . . .
- . . . น้ำมันลง 50 สตางค์--
- . . . หุ้นตก-เลห์แมนฯล้มละลาย--แนะซื้อทองต่ำกว่า 13,000.--จำนำข้าว . . .
- . . . คาดเฟดคงดอกเบี้ย 2.00%--รถไฟเปิดให้บริการ 240 ขบวน--ราคาทองกระเตื้องเล็กน้อย. . .
- . . . ทองแท่งเหลือบาทละ 12,650 บาท--ดีเซลลดอีก 60 สตางค์--ดอกเบี้ยพันธบัตร3ปี 4.65% . . .
- ธอส. เชิญชวนเล่านิทานลงเทปหรือแผ่นซีดีมอบให้มูลนิธิช่วยคนตาบอดฯ
- . . . ครม.แต่งตั้งปลัด-อนุมัติ 3 G -งบจัดซื้ออาวุธ-สร้างรัฐสภาใหม่. . .
- . . . แนวโน้มธุรกิจค้าปลีกครึ่งปีหลังชะลอตัว . . .
- . . . อาหารสัตว์เลี้ยง : เติบโตต่อเนื่อง...หลากปัจจัยหนุน . . .
- . . . แนะคลายเครียด เสพข่าวการเมือง . . .
- . . . ข่าววันที่ 4 ก.ย.51 . . .
- ราคาน้ำมันดีเซลลดลงลิตรละ 60 สตางค์ วันที่ 4 ก.ย.
- . . . อนุมัตินมกล่อง-น้ำมันถั่วเหลืองขึ้นราคา--เลื่อนหวยบนดิน--หุ้นตก--บาทอ่อน. . .
- Bangkok under state of emergency
- . . . เงินเฟ้อเดือน ส.ค.ลดลงเหลือ 6.4% จาก 9.2% ในเดือนก.ค. . . .
- --- ทิศทางตลาดหุ้นไทย...ยังเผชิญแรงกดดันจากหลายปัจจัย ---
- --- ภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนกรกฎาคม 2551 ---
- ---กนง.ขึ้นดอกเบี้ยเป็น 3.75%--ธอส.ให้กู้ซื้อบ้าน 1.5 ล้านบาท--บสย.--ไทยแอร์เอเซีย . . .
- . . . ถึงเพื่อนที่มีพันธะ ต่อกัน... ถึง พันธมิตร . . . จาก พรรคพลังไข่. . .
- . . . หุ้นไทยร่วง 2% หลังเปิดตลาดในภาคเช้า . . .
- . . . สภาพัฒน์ฯ คาดเศรษฐกิจปีนี้โต 5.2-5.7% . . .
- . . . พรบ.ผู้บริโภค เริ่มใช้ 25 ส.ค.51--กกร.ประชุมเรื่องราคาสินค้า---บขส.เปิดเส้นทางกทม.-สมุย. .
- . . .ธปท.-คลังน้อมรับกระแสพระราชดำรัส--ส่งออก 7 เดือนโต 26% . . .
- . . . 23 สิงหานี้ บังคับใช้กฎหมายจัดเก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์ --- คาดการณ์เศรษฐกิจไตรมาส 2 โต 5.8% . . .
- . . . น้ำมันจะลดลงอีก--ค่าบาทอ่อนสุดรอบ 9 เดือน . . .
- Rose Rose i love you
- . . . นั่งรถไฟฟรี เชียงใหม่, อุบลฯ, หนองคาย, และสุไหงโกลก----ทองคำขาดตลาด . .
- ...ปลากัดเตือน...
- . . . รถใช้ก๊าซต้องแจ้งตรวจสภาพ--สมัครคนเดินโพยหวยบนดินวันแรก-กราฟราคาทอง. . .
- . . . เพิ่มเงินสมทบกองทุนน้ำมัน--สมัครคนเดินโพย 18 ส.ค.--ราคาทองคำลด--บาทอ่อน . . .
- . . . Storm surge มหันตภัยร้ายแห่งท้องทะเล . . .
- . . . ธุรกิจเดลิเวอรี่สินค้าอาหาร เติบโต 15% . . .
- . . . ตรึงราคาสินค้าถึงสิ้นปี--น้ำมันลดราคา--ทองคำต่ำสุดรอบ 7 เดือน. . .
- . . . เตรียมประกาศห้ามใช้สารตะกั่วเชื่อมต่อหม้อก๋วยเตี๋ยวเป็นการถาวร . . .
- . . . รถติดก๊าซ NGV ต้องมีใบรับรองเติมก๊าซ--ราคาน้ำมันลดลงอีก 60-80 สตางค์. . .
- . . . เงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่อง . . .
- . . . นมกล่อง จะขึ้นราคา อีก 1-2 บาท . . .
- . . . ม.หอการค้าคาดเศรษฐกิจปีนี้ โต 5.5-6.0%---สศช.ระบุสัดส่วนผู้สูงอายุจะเพิ่มเป็น 25%ในอีก 20 ปี .
- . . . ลดราคาดีเซลลิตรละ 1 บาท - เบนซินลิตรละ 50 สตางค์ ---
- . . . ครม.อนุมัติขึ้นภาษีเหล้า-บุหรี่--โครงข่ายโทรศัพท์ 3 จี---กรมศุลการกร เปิดประมูลรถยึด. . .
- . . . หวยออนไลน์ 1 ต.ค.51 . . .
- . . . ลดราคาดีเซลลิตรละ 60 สตางค์ พรุ่งนี้-- คาด FED คงดอกเบี้ย 2.00% . . .
- . . . เงินเฟ้อดือน ก.ค.9.2%--ทีมเศรษฐกิจใหม่--รถเมล์ รถไฟ ฟรี . . .
- . . . 1 ส.ค.เริ่มใช้ 6 มาตรการ 6 เดือน -- ดีเซลลดลง 50 สตางค์ -- เลื่อนพิจารณาราคาสินค้า. . .
- . . . พรบ.สถาบันคุ้มครองเงินฝาก -- กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ - Sovereign Wealth Fund (SWF) . . .
- . . . สรุปผลการสัมมนาทางวิชาการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง 5/2551 . . .
- . . . ลดราคาน้ำมันเบนซิน 91 และแก๊สโซฮอล์พรุ่งนี้(30 ก.ค.) . . .
- . . . ปตท.-เชลล์ ปรับลดราคาดีเซลอีกลิตรละ 80 สตางค์ . . .
- . . . ราคาน้ำมันลดลงลิตรละ 3.50-4.70 บาท --- ทางด่วนขึ้น 5 บาท ---- น้ำมันพืชขึ้นอีก 5 บาท . . .
- . . . ปรับโครงสร้างราคาก๊าซแอลพีจี ( LPG ) ควรลอยตัว หรือแบ่ง 2 ราคา . . .
- . . . ตัวเลขการส่งออก มิ.ย.51 ขยายตัว 27.4% . . .คาดทั้งปี 15% . . .
- . . . 11 ส.ค. 51 เริ่มใช้ พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝาก . . .
- . . . ลดราคาน้ำมันเบนซินลิตรละ 1 บาท และดีเซลลิตรละ 80 สตางค์ . . .
- . . . ตลาดรถจักรยานยนต์ครึ่งปีแรกขยายตัว 3% . . .
- . . . ทิศทางค่าเงิน และ ตลาดหุ้น สัปดาห์นี้ (21-25 ก.ค.) . . .
- . . . กลุ่มใต้ดินรวมภาคใต้ . . .ประกาศหยุดยิง . . .
- . . . ปตท.ลดราคาน้ำมัน ลิตรละ 60 สตางค์ . . .
- . . . กนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 ตามคาด . . .
- . . . 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤติค่าครองชีพสูง . . .
- . . . รัฐบาลเตรียมแถลงมาตรการช่วยเหลือประชาชน หลังการประชุม ครม. วันที่ 15 ก.ค.นี้ . . .
- . . . กรมสรรพากรเตือนประชาชนระวังถูกมิจฉาชีพหลอก เรื่องคืนภาษีและขอรับบริจาค . . .
- . . . ลดราคาเบนซิน พรุ่งนี้ . . .
- . . . ปตท.ลดราคาเบนซินลิตรละ 60 สตางค์ . . .
- . . . เล่นเกมส์ sudoku กันดีกว่า . . .
- . . . ส่งเสริม E85 เป็นวาระแห่งชาติ . . . /. . . นำเข้า LPG เดือนนี้อีก 1 แสนตัน . . .
- . . . เอ็นจีวี ( NGV ) หรือ แอลพีจี( LPG ) . . .ที่รัฐควรส่งเสริม . . .
- . . . แท็กซี่ยังขึ้นราคาค่าโดยสารไม่ได้ . . .
- . . . เงินเฟ้อ 7.6 ---> 8.9 ---> 9.0 ----> 10 . . .ทั้งปี 2551 เฉลี่ย 8%??...
- . . . เงินเฟ้อเดือน มิ..ย. ... 8.9% . . .
- . . . เด็ดดอกไม้ สะเทือนถึงดวงดาว . . .(อาการภูมิแพ้)
- . . . ลอยตัวราคาก๊าซ LPG วันที่ 1 ก.ค.นี้ . . .
- . . . บางจาก-คาลเท็กซ์-ระยองเพียว ประกาศปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมัน . . .
- . . . หุ้นไทยภาคเช้าดิ่งลงกว่า 20 จุด . . .
- . . .หวั่นการเมืองรุนแรง ตลาดหุ้นร่วง1.04% . . .
- . . . ตลาดหุ้นร่วง กังวลข่าว รัฐประหาร . . .
- . . . หุ้นไทยมีแนวโน้มปรับตัวผันผวน . . .
- . . . อียูเตรียมลดภาษีมูลค่าเพิ่ม ช่วยผู้มีรายได้น้อยจากภาวะน้ำมันแพง. . .
- . . . ชวนคนมีฝีมือ ส่งผลงาน ประกวดออกแบบสลากออมสิน . . .
- . . . เงินบาทอ่อนค่าสุดในรอบ 5 เดือน . . .
- . . . ธ.ก.ส.เผยยอดซื้อสลากทวีสินเดือนเดียว เฉียด 2 หมื่นล้าน . . .
- . . . ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า ทางเลือกใหม่สร้างความมั่นคงเกษตรกร . . .
- . . . เงินบาทอ่อนค่าหลุดแนวรับ 33.00 แตะระดับต่ำสุดรอบกว่า 4 เดือน . . .
- . . . ธนาคารกรุงไทยปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝาก-เงินกู้ร้อยละ 0.375-1.25 . . .
- . . . มาเลเซียประกาศลอยตัวราคาน้ำมันเชื้อเพลิง-ยกเลิกห้ามขายน้ำมันให้ต่างชาติ . . .
- . . . จับ กระเทียม . . .
- . . . NGV ปีหน้าราคาอาจจะขึ้นเป็น 12 บาท . . .
- . . . ธนาคารกรุงไทย เตรียมขึ้นค่าธรรมเนียมกด ATM ต่างแบงก์ . . .
- . . .ธนินท์ เจียรวนนท์ เจ้าสัวใหญ่ ซีพี แนะใช้ทฤษฎี 2 สูง . . .
- . . . เงินเฟ้อเดือน พ.ค. ... พุ่งสูงสุดในรอบเกือบ 10 ปี . . .
- เงินบาทสัปดาห์นี้ยังมีโอกาสอ่อนค่าลงได้อีก
- ...o...
- ... แนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2551 ...
- ... แนะนำงาน Money X-pro ...
- ...อยู่รอดให้ได้...ภายใต้ภาวะผันผวน...
- ...Value Averaging...
- ...ซื้อกองทุนรวมรับของแถม?...
- ...ลงทุนทุกเดือนสม่ำเสมอ...
|
|
|
|
|
--- ทิศทางตลาดหุ้นไทย...ยังเผชิญแรงกดดันจากหลายปัจจัย ---
. . .
ทิศทางตลาดหุ้นไทย...ยังเผชิญแรงกดดันจากหลายปัจจัย
โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
โดยปกติแล้ว ตลาดหุ้นไทยได้รับอิทธิพลมาจากหลายปัจจัยทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการปรับตัวของตลาดหุ้นในภูมิภาคด้วย แต่ในระยะหลังแนวโน้มเริ่มเปลี่ยนแปลงไป โดยหากพิจารณาการเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นไทยกับตลาดหุ้นที่สำคัญ เช่น ดัชนี DJIA ของสหรัฐฯ ดัชนี NIKKEI ของญี่ปุ่นดัชนี HSKI ของฮ่องกง ดัชนีเซียงไฮ้ของจีน และดัชนี TWII ของไต้หวัน นับตั้งแต่ต้นปี 2550 ที่ผ่านมา จะพบว่าดัชนี SET เริ่มแกว่งตัวไปในทิศทางที่ไม่สอดคล้องกับภูมิภาคชัดเจนขึ้นในช่วงปลายเดือน มี.ค. 51 และตั้งแต่กลางเดือน ก.ค. 51 เป็นต้นมา
ทั้งนี้ การปรับตัวของตลาดหุ้นไทยอาจได้รับแรงกดดันจากปัจจัยภายในประเทศมากขึ้น ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้สรุปประเด็นสำคัญ ดังนี้
ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดหุ้นไทยกับภูมิภาคเริ่มลดลงในระยะหลัง โดยความสัมพันธ์ทางสถิติ (Correlations) ของการเคลื่อนไหวระหว่างดัชนีหุ้นไทยกับตลาดหุ้นภูมิภาคหลายตลาดตั้งแต่ช่วงต้นเดือนก.ค.ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน พบว่ามีค่าเป็นลบ ซึ่งหมายถึง การเคลื่อนไหวไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งแตกต่างจากในช่วง 3 ปีก่อนและครึ่งแรกของปีนี้ ที่การเคลื่อนไหวจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันค่อนข้างมาก ทั้งนี้ คาดว่าน่าจะเป็นผลมาจากในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยได้รับแรงกดดันจากปัจจัยภายในประเทศมากขึ้น ทั้งจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมือง โดยเฉพาะคดีทางการเมืองต่างๆ และการชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาลของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นอกจากนี้ ยังรวมถึงการชะลอตัวลงของภาวะเศรษฐกิจ และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนพ.ค.ที่เร่งตัวขึ้นเกินคาดสู่ระดับสูงสุดในรอบเกือบ 10 ปี ที่ร้อยละ 7.6 จากร้อยละ 6.2 ในเดือนเม.ย. โดยล่าสุดพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดที่ร้อยละ 9.2 ในเดือนก.ค. ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ แม้ว่าจะยังสะท้อนความอ่อนแอจากปัญหาซับไพร์มอยู่ แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับยุโรปและญี่ปุ่น ด้วยเหตุนี้ อาจทำให้มีเงินทุนบางส่วนไหลออกจากตลาดหุ้นไทยไปลงทุนในทรัพย์สินสกุลเงินดอลลาร์ฯ มากขึ้น และทำให้ตลาดหุ้นไทยเริ่มไม่ไปในทิศทางเดียวกับภูมิภาคมากเหมือนแต่ก่อน
ข้อมูลในอดีตชี้ว่าปัจจัยการเมืองมีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทย แต่จำกัดเพียงระยะสั้นๆ หลังจากนั้น การปรับตัวของตลาดเป็นไปตามปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ยกตัวอย่างเช่น ในปี 2535 เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ตลาดหุ้นตอบรับทางลบ โดยดัชนีร่วงลงทันที 65.05 จุด หรือร้อยละ 8.88 จาก 732.89 จุด ในวันที่ 17 พ.ค. เหลือเพียง 667.84 จุด ในวันที่ 19 พ.ค. ก่อนจะดีดกลับ 61.30 จุดในอีก 2 วันถัดมา หลังจากนั้น ตลาดหุ้นก็ตกอยู่ในภาวะซบเซาโดยมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันลดลงจากไตรมาสแรกประมาณร้อยละ 50 ในไตรมาส 2 ก่อนที่ สถานการณ์จะคลี่คลายลงและกลับเข้าสู่ภาวะปกติอย่างชัดเจนในเดือนก.ย. ของปีนั้น ในทำนองเดียวกัน ในปี 2549 เหตุการณ์รัฐประหาร 19 ก.ย. ทันทีที่ตลาดเปิดทำการในวันที่ 21 ก.ย. ดัชนีทรุดตัวลงทันที 9.99 จุด หรือร้อยละ 1.42 มาอยู่ที่ 692.57 จุด จากระดับปิดที่ 702.56 จุด ณ วันที่ 19 ก.ย. จากนั้น ดัชนีร่วงลงอีกกว่า 20 จุดในวันที่ 20 ก.ย. มาอยู่ที่ 681.84 จุด ก่อนจะค่อยๆ ปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นเมื่อเข้าสู่เดือนต.ค. ซึ่งจะเห็นได้ว่าดัชนีลดลงน้อยกว่า และจบสิ้นกระบวนการปรับตัวเร็วกว่ากรณีเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ
ดังนั้น ปัจจัยการเมืองจะมีผลกับดัชนีหุ้นไทยมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับความรุนแรงและระยะเวลาของเหตุการณ์ ขณะที่หลังจากจุดสูงสุดของปัญหาการเมืองผ่านพ้นไป นักลงทุนก็จะกลับมาให้น้ำหนักกับปัจจัยพื้นฐานมากขึ้น เช่น ทิศทางเศรษฐกิจที่น่าจะได้รับแรงหนุนจากความเชื่อมั่นการลงทุนที่ดีขึ้น และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดถัดๆ ไป เป็นต้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าดัชนีเฉลี่ยในช่วงปีที่เกิดปัญหาทางการเมืองกลับสูงกว่าช่วงก่อนเกิดปัญหา ขณะที่เหตุการณ์ชุมนุมประท้วงรัฐบาลของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยล่าสุดวันที่ 26 ต.ค. ตลาดหุ้นตอบรับทางลบทันที โดยดัชนี SET ปรับลดลงร้อยละ 1.37 แต่ก็กลับฟื้นตัวขึ้นได้ในวันต่อมา เพราะข่าวถูกรับรู้ไปแล้ว และยังไม่ปรากฏว่ามีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นจนถึงขณะนี้
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในระยะสั้น ยังเผชิญกับปัจจัยท้าทายอื่นๆ โดยนอกเหนือจากเรื่องการเมือง (ซึ่งนักลงทุนคงจะติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด โดยหากสามารถหาข้อสรุปได้เร็วและไม่ได้นำมาสู่เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็น่าจะทำให้ผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยค่อนข้างจำกัด) แล้ว ก็ยังมีปัจจัยลบจากแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่อาจชะลอลงตามการชะลอตัวของการส่งออก อันเป็นผลมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก รวมถึงการใช้จ่ายและการลงทุนในประเทศ ที่อาจได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนของปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ขณะเดียวกัน การที่สถานการณ์ซับไพร์มยังมีแนวโน้มถดถอยลงอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้สถาบันการเงินทั้งในสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ ยังมีภาระการปรับลดมูลค่าทรัพย์สินทางบัญชี (write-down) เพิ่มเติม ซึ่งอาจส่งผลให้สถาบันการเงินเหล่านั้นทยอยระบายการลงทุนในตลาดอื่นๆ ซึ่งรวมถึงไทย เพื่อนำเงินกลับไปชดเชยความเสียหายจากการปรับลดมูลค่าทรัพย์สินทางบัญชีดังกล่าว นอกจากนี้ แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวชัดเจนแต่ข้อมูลเศรษฐกิจที่ผ่านมาก็ชี้ถึงทิศทางเศรษฐกิจที่น่าจะดีกว่าประเทศหลักอื่นๆ ในโลก ดังนั้นจึงน่าจะทำให้นักลงทุนอาจทยอยโยกย้ายเงินลงทุนกลับสู่สินทรัพย์สกุลเงินดอลลาร์ฯ ได้
แต่หากปัจจัยต่างๆ ดังกล่าวคลี่คลายลง ตลาดหุ้นไทยก็ยังน่าจะได้รับแรงหนุนจากความจำเป็นในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงตามแรงกดดันเงินเฟ้อทั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้ต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของภาครัฐ และการตั้งงบฯ ขาดดุลในปีงบประมาณ 2552 มากขึ้น นอกจากนี้ หุ้นไทยยังมีราคาถูก (P/E ต่ำ) เมื่อเทียบกับภูมิภาค และอัตราเงินปันผลยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยเมื่อพิจารณาประเด็นดังกล่าวแล้ว น่าจะหนุนให้ตลาดหุ้นไทยเป็นที่น่าสนใจในสายตาของนักลงทุน และน่าจะมีแรงซื้อเข้ามาในตลาดได้ในระยะถัดไป
โดยสรุป การปรับตัวของดัชนีหุ้นไทยมาจากหลายปัจจัยทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการปรับตัวของตลาดหุ้นในภูมิภาคด้วย แต่ในระยะหลังตั้งแต่ช่วงเดือนก.ค. ที่ผ่านมา การปรับตัวของดัชนีหุ้นไทยไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเหมือนกับในช่วง 3 ปีก่อน ทั้งนี้ คาดว่าน่าจะเป็นผลมาจากในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยได้รับแรงกดดันจากปัจจัยภายในประเทศมากขึ้น ทั้งจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมือง โดยเฉพาะคดีทางการเมืองต่างๆ และการชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาลของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ภาวะเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวลง และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบเกือบ 10 ปี ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ แม้จะประสบปัญหาซับไพร์มแต่ก็ยังอยู่ในฐานะที่ดีกว่าประเทศหลักอื่นๆ โดยเปรียบเทียบ ด้วยเหตุนี้ อาจทำให้มีเงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นไทยไปสู่ตลาดสหรัฐฯ และทำให้ตลาดหุ้นไทยเริ่มไม่ไปในทิศทางเดียวกับภูมิภาคมากเหมือนแต่ก่อน ทั้งนี้ ในขณะเดียวกันข้อมูลในอดีตชี้ว่าปัจจัยการเมืองมีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทย แต่จำกัดเพียงระยะสั้นๆ หลังจากนั้น การปรับตัวของตลาดเป็นไปตามปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ขณะที่ปัจจัยการเมืองจะมีผลกับดัชนีหุ้นไทยมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับความรุนแรงและระยะเวลาของเหตุการณ์ โดยหลังจากจุดสูงสุดของความวิตกด้านการเมืองผ่านพ้นไป นักลงทุนก็จะกลับมาให้น้ำหนักกับปัจจัยพื้นฐานมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่าแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในระยะสั้น อาจยังเผชิญกับปัจจัยท้าทายหลายปัจจัย โดยนอกเหนือจากเรื่องการเมืองแล้ว ก็ยังมีเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มชะลอลง และการที่นักลงทุนต่างชาติอาจยังเคลื่อนย้ายเงินลงทุนออกจากตลาดหุ้นเกิดใหม่ และตลาดโภคภัณฑ์ ท่ามกลางการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ น่าจะยังอยู่ในฐานะที่ดีกว่าประเทศอื่นๆ ในโลก และสถาบันการเงินสหรัฐฯ อาจต้องการเงินทุนเพื่อไปชดเชยการปรับลดมูลค่าทรัพย์สินทางบัญชีเพิ่มเติมตามความเสียหายจากปัญหาซับไพร์ม ซึ่งจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์ต่างๆ ดังกล่าว โดยเฉพาะเศรษฐกิจโลกอาจส่งผลให้ยังคงมีแรงขายหุ้นไทยจากนักลงทุนต่างชาติอีกระยะหนึ่ง ท้ายที่สุดแล้ว บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทยจึงได้ปรับลดเป้าหมายดัชนี ณ สิ้นปี 2551 ลงจาก 900 จุด เป็น 740 จุด
แต่ทั้งนี้หากปัจจัยต่างๆ ดังกล่าวคลี่คลายลง ตลาดหุ้นไทยก็ยังน่าจะได้รับแรงหนุนจากความจำเป็นในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงตามแรงกดดันเงินเฟ้อ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของภาครัฐ รวมทั้งการตั้งงบประมาณขาดดุลในปีงบประมาณ 2552 มากขึ้น นอกจากนี้ หุ้นไทยยังมีราคาถูก (P/E ต่ำ) เมื่อเทียบกับหลายประเทศในภูมิภาค และอัตราเงินปันผล (Dividend Yield) ยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยเมื่อพิจารณาประเด็นดังกล่าวแล้ว น่าจะหนุนให้ตลาดหุ้นไทยเป็นที่น่าสนใจในสายตาของนักลงทุน และน่าจะมีแรงซื้อเข้ามาในตลาดได้ในระยะถัดไป
. . .
สำหรับแนวโน้มในสัปดาห์นี้ (1-5 กันยายน 2551) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทยและบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด คาดว่า ดัชนีน่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบ เนื่องจากนักลงทุนอาจมีความระมัดระวังในการซื้อขายมากขึ้น ท่ามกลางความกังวลต่อสถานการณ์การเมืองในประเทศ ขณะเดียวกัน นักลงทุนคงจะจับตาปัจจัยอื่นๆ ด้วยเช่นกัน ซึ่งได้แก่ การรายงานตัวเลขเงินเฟ้อเดือนส.ค.ของกระทรวงพาณิชย์ในวันจันทร์ รวมทั้ง การประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของภาครัฐ ส่วนปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ทิศทางของราคาน้ำมันในตลาดโลก และการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ อาทิ ดัชนี ISM ภาคการผลิตและภาคบริการ และตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯ เดือนสิงหาคม ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด คาดว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ 673 และ 660 จุด และแนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 695 และ 706 ตามลำดับ
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท ในสัปดาห์นี้ (1-5 กันยายน 2551) คงจะมีการทยอยไหลกลับเข้ามาของสภาพคล่องหลังจากการเบิกถอนเงินสดของลูกค้าในช่วงสิ้นเดือน ขณะเดียวกันก็จะมีการตัดจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลประจำงวดครึ่งปี 2551 ในช่วงต้นสัปดาห์ด้วย ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นน่าจะยังทรงตัวต่อเนื่องใกล้ระดับ 3.75% จากปลายสัปดาห์ก่อนหน้า ภายใต้ภาวะสภาพคล่องในตลาดเงินที่น่าจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก
ส่วนเงินบาทในประเทศอาจมีกรอบการเคลื่อนไหวที่ 34.00-34.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยที่ควรจับตา ได้แก่ สถานการณ์การเมืองในประเทศ สัญญาณการเข้าดูแลเสถียรภาพตลาดของธปท. แรงซื้อเงินดอลลาร์ฯ ของผู้นำเข้าและนักลงทุนต่างชาติ และทิศทางของสกุลเงินในภูมิภาค ตลอดจนทิศทางค่าเงินดอลลาร์ฯ ซึ่งจะขึ้นกับรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญประกอบด้วย ดัชนี ISM ภาคการผลิตและภาคบริการ และตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯ เดือนสิงหาคม ยอดสั่งซื้อของโรงงาน และรายจ่ายด้านการก่อสร้างเดือนกรกฎาคม รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ (Beige Book) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ ตลอดจนข้อมูลประสิทธิภาพการผลิตและต้นทุนแรงงานต่อหน่วยในไตรมาส 2/2551 ทั้งนี้ ตลาดการเงินสหรัฐฯ จะปิดทำการในวันจันทร์ที่ 1 กันยายนนี้ เนื่องในวันแรงงาน
. . .
Create Date : 31 สิงหาคม 2551 |
|
2 comments |
Last Update : 31 สิงหาคม 2551 16:00:18 น. |
Counter : 957 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|
The bottom 1.4 billion
Aug 28th 2008 | DELHI
From The Economist print edition
The world is poorer than we thought, the World Bank discovers
IN APRIL 2007 the World Bank announced that 986m people worldwide suffered from extreme povertythe first time its count had dropped below 1 billion. On August 26th it had grim news to report. According to two of its leading researchers, Shaohua Chen and Martin Ravallion, the developing world is poorer than we thought. The number of poor was almost 1.4 billion in 2005.
This does not mean the plight of the poor had worsenedonly that the plight is now better understood. The bank has improved its estimates of the cost of living around the world, thanks to a vast effort to compare the price of hundreds of products, from packaged rice to folding umbrellas, in 146 countries. In many poor countries the cost of living was steeper than previously thought, which meant more people fell short of the poverty line.
Ms Chen and Mr Ravallion have counted the worlds poor anew, using these freshly collected prices. They have also drawn a new poverty line. The bank used to count people who lived on less than a dollar a day (or $1.08 in 1993 prices, to be precise). This popular definition of poverty was first unveiled in the banks 1990 World Development Report and was later adopted by the United Nations (UN) when it resolved to cut poverty in half by 2015.
The researchers now prefer a yardstick more typical of the 15 poorest countries that have credible poverty lines. By this definition, people are poor if they cannot match the standard of living of someone living on $1.25 a day in America in 2005. Such people would be recognised as poor even in Nepal, Tajikistan and hard-pressed African countries such as Uganda. But for those who still think a dollar a day has a better ring to it, the authors also calculate the number of people living on less than that at 2005 prices (see table).
The discovery of another 400m poor people will not satisfy some of the banks critics, who think it still undercounts poverty. Its cost-of-living estimates are based on the prices faced by a representative household, whose consumption mirrors national spending. But the poor are not representative. In particular, they buy in smaller quantitiesa cupful of rice, not a 10-kilogram bag; a single cigarette, not a packet. As a result, the poor pay more.
Such concerns prompted the Asian Development Bank (ADB) to carry out its own study of the prices faced by the poor in 16 of its member countries (not including China). Its results, released on August 27th, found that in nine of those countries the poor in fact pay less. Even though they buy in smaller quantities, they save money by buying cut-price goods from cheaper outlets: kerbside haircuts not salons; open-air stalls not supermarkets; toddy not wine.
This penny-pinching adds up. In Indonesia, for example, the poors cost of living is 21% below the World Banks estimate. The survey also shaved more than 10% off the cost of living in other populous countries, such as Bangladesh and India. The difference was narrower in smaller countries, such as Cambodia. This may be because in big countries, such as India, the rich are large in number, though a tiny part of the population. Perhaps their spending has an undue influence on the prices faced by the representative household.
The ADBs findings face an obvious philosophical objection. In theory a poverty count is supposed to calculate how many people fail to meet a certain standard of living. A person eating coarse rice, not fine-grained basmati, dressed in polyester not cotton, has a lower standard of living, even if he eats the same amount of grain and owns the same number of shirts. And when a household buys fruit in a supermarket, its members are buying more than just an apple. They are also enjoying the comfort of air-conditioning, the convenience of a parking space, and the hygiene of airtight packaging. But until such comforts are within the poors reach, the ADB is right to track the prices the poor actually pay. It hopes the next global price survey, due in 2011 and led by the World Bank, will do the same. Then, perhaps, the number of poor will be back to nine digits.
. . .