Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2551
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
6 ตุลาคม 2551
 
All Blogs
 
ราคาน้ำมันทุกประเภทลดลง 20-80 สตางค์---หุ้นตกต่ำสุดรอบ 5 ปี--กกร.เสนอ 7 มาตรการเร่งด่วน. . .

. . .

ราคาน้ำมันขายปลีกทุกประเภท ลดลงตามราคาในตลาดโลก


ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกในประเทศลดลงวันที่ 7 ต.ค. หลังราคาตลาดโลกลดลงอย่างหนัก โดย ปตท. -เชลล์ และบางจาก นำร่องลดราคาน้ำมันดีเซล 80 สตางค์ต่อลิตร, แก๊สโซฮอล์ 20 สตางค์ต่อลิตร, และ เบนซิน 40 สตางค์ต่อลิตร ทำให้ราคาน้ำมันในวันที่ 7 ต.ค. เป็นดังนี้

เบนซิน 95 ราคา 36.79 บาทต่อลิตร
เบนซิน 91 ราคา 33.79 บาทต่อลิตร
แก๊สโซฮอล์ 95 ราคา 26.89 บาทต่อลิตร
แก๊สโซฮอล์ 91 ราคา 26.09 บาทต่อลิตร
ดีเซลราคา 28.74 บาทต่อลิตร
ไบโอดีเซล บี 5 ราคา 28.04 บาทต่อลิตร

การลดราคาน้ำมันครั้งนี้เป็นไปตามราคาในตลาดเอเชียที่ลดลงแรง หลังจากวิตกกับปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐว่าจะกระทบต่อเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะปัญหาสถาบันการเงินที่ขณะนี้ลุกลามไปยังประเทศในสหภาพยุโรป แม้ว่าสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐจะผ่านกฎหมายฟื้นฟูแล้วก็ตาม โดยการปรับลดราคาครั้งนี้ เป็นการลดราคาลงครั้งที่ 3 ในช่วงเวลาไม่ถึง 1 สัปดาห์

. . .



หุ้นตกต่ำสุดรอบ 5 ปี ลดลง 6.48% มาปิดที่ 551.80 จุด


ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ เมื่อวันที่ 6 ต.ค.ที่ผ่านมา ปิดตลาดดัชนีลดลง 38.25 จุด หรือลดลง 6.48% มาปิดที่ 551.80 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี (จากปี 2546 ที่เคยต่ำสุดที่ 547.31 จุด เมื่อวันที่ 8 ต.ค.2546) ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 14,408 ล้านบาท นักวิเคราะห์ ระบุนักลงทุนยังไม่เชื่อมั่นแผนกู้วิกฤติการเงินสหรัฐฯ

นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับตัวลดลงถึง 38 จุดนั้น มีสาเหตุมาจากปัญหาสถาบันการเงินในสหรัฐฯและยุโรป แต่คงไม่มีมาตรการเข้าไปดูแลในตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากตลาดหลักทรัพย์ได้รับผลกระทบจากตลาดโลกจึงเป็นเรื่องที่ควบคุมได้ยาก ถึงแม้หากมีมาตรการออกมาช่วย คงจะช่วยอะไรไม่ได้มาก

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้คณะกรรมการประสานติดตามแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่มีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน กำลังหาแนวทางช่วยเหลือ โดยเฉพาะการสนับสนุนให้ซื้อกองทุน LTF และ RMF การดูแลเงินของผู้มีเงินออม เพื่อให้เข้ามาลงทุนซื้อหุ้นที่มีศักยภาพ คาดว่าจะเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเร็วๆ นี้ หลังแถลงนโยบายต่อรัฐสภา

ส่วนเรื่องปัญหาสภาพคล่องนั้น รัฐบาลจะเร่งเสริมสภาพคล่องภายในประเทศให้มีอย่างเพียงพอ เพื่อให้เศรษฐกิจมีความแข็งแรง เนื่องจากเชื่อว่าสภาพคล่องทั่วโลกลดลงจะส่งผลกระทบกับธุรกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม หรือ SME ซึ่งอาจทำให้ยอดขายลดลง

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า นักลงทุนยังตื่นตระหนก ประเด็นหลักยังมาจากความกังวลผลกระทบจากวิกฤตการเงินในสหรัฐฯ โดยนักลงทุนต่างชาติ ยังเทขายหุ้นไทยต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยลบจากการเมืองภายในประเทศ

นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการส่วนวิจัยเศรษฐกิจ และกลยุทธ์การลงทุน บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นที่ปรับตัวลดลงเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐ แต่ตลาดหุ้นไทยอาจจะได้รับผลกระทบในด้านปัจจัยการเมืองอีกด้าน ซึ่งมากกว่าตลาดหุ้นในต่างประเทศ

. . .


คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เตรียมเสนอแนวทางแก้เศรษฐกิจเร่งด่วนให้รัฐบาล 8 ต.ค.นี้


นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) ประกอบด้วย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.), สมาคมธนาคารไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ที่ประชุม กกร.เตรียมเสนอความเห็นเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเร่งด่วน 7 ประการ ให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี พิจารณาในการหารือวันที่ 8 ต.ค.นี้
ข้อเสนอดังกล่าว ได้แก่

1. ขยายขอบเขตให้เอกชนเข้าไปมีบทบาทและส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาเรื่องต่างๆ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ในนามของคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) เช่น คณะกรรมการโลจิสติกส์

2. การจัดตั้งกองทุนเพื่อส่งเสริม และผลักดันการเปิดตลาดส่งออกใหม่เพื่อทดแทนตลาดสหรัฐฯ เช่น ให้การสนับสนุนเอกชนในการจัดงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ

3. สร้างกลไกรองรับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก แม้ผลกระทบทางตรงต่อสถาบันการเงินไทยจะมีไม่มาก แต่ก็ต้องเฝ้าระวังผลกระทบต่อยุโรป และญี่ปุ่น ซึ่งสุดท้ายก็จะมีผลกระทบต่อไทย

4. เร่งให้มีการใช้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีที่ได้จากการจัดทำความตกลงความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระหว่างญี่ปุ่น-ไทย(JTEPA)

5. ส่งเสริมอุตสาหกรรมขนาดกลาง ขนาดย่อม และขนาดเล็ก ที่มีความสามารถในการแข่งขันน้อยต้องได้รับการดูแล

6. ให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดภาคใต้ และการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษควรมีความชัดเจน รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือเอกชนของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ขณะนี้ไม่สามารถดูแลได้ จะหาทางช่วยเหลือได้อย่างไร และ

7.เร่งใช้จ่ายงบประมาณปี 2552 เพื่อให้มีเม็ดเงินใหม่เข้ามาในตลาด

นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. กล่าวว่า มีความกังวลเกี่ยวกับคำสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง โดยสินค้าอุตสาหกรรมหดตัวลดลงราว 10-20%
ภาครัฐต้องเร่งสนับสนุนการบุกตลาดใหม่ โดยการจัดตั้งกองทุนระยะสั้น เพื่อสนับสนุนภาคธุรกิจในการจัดแสดงสินค้าไทยยังต่างประเทศ เพื่อลดภาระของภาคเอกชน และให้การสนับสนุนภาคเอกชนที่ขยันทำงานให้มากขึ้น

ทั้งนี้ เชื่อว่าตลาดใหม่คงไม่สามารถทดแทนตลาดหลักอย่าง สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และยุโรปได้ ซึ่งมีส่วนแบ่งการส่งออกถึง 60% แต่การหาตลาดใหม่ๆ มาเพิ่มดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า แม้ปัญหาวิกฤติการเงินในสหรัฐจะไม่ส่งผลกระทบทางตรง แต่ก็มีผลกระทบทางอ้อม ดังนั้นรัฐบาลควรเร่งเข้ามาดูแลเรื่องสภาพคล่อง และจากมาตรการแก้ไขปัญหาก่อนหน้านี้ก็มีส่วนช่วยให้เอกชนไม่ต้องเผชิญปัญหาเร็วเกินไป

นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า อยากให้ภาครัฐเร่งเข้ามาบริหารจัดการภาวะผลกระทบ เพราะมีโอกาสที่สภาพคล่องจะตึงตัวไม่ใช่ปล่อยไปตามธรรมชาติ ภาครัฐต้องเข้ามาดูแลสภาพคล่อง เพราะมีโอกาสสูงที่สภาพคล่องในประเทศไทยจะหายไป เนื่องจากการถอนเงินลงทุนของต่างชาติ
การที่ภาคธุรกิจกู้เงินต่างประเทศไม่ได้ รวมถึงการชำระคืนเงินกู้ต่างประเทศในประเทศไทย จะเป็นเหตุให้สภาพคล่องตึงตัว ทางการจึงต้องเลือกนโยบายที่ใช้เป็นเครื่องมือเติมสภาพคล่องได้ โดยไทยมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศค่อนข้างสูง ขณะที่การเสริมสภาพคล่องของรัฐได้แก่ การเร่งใช้จ่ายงบประมาณ ซึ่งเท่ากับเป็นแรงเพิ่มเม็ดเงินในตลาด การผ่อนคลายนโยบายการเงิน ก็สามารถเติมสภาพคล่องได้

อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนไม่อาจหวังมาตรการของรัฐได้อย่างเต็มที่ เพราะจะติดขัดปัจจัยการเมืองพอสมควร ดังนั้น จึงขอเรียกร้องให้คนไทยสามัคคีกัน ก่อนสึนามิการเงินจะพาเศรษฐกิจไทยพัง

. . .


นายกฯระบุรอแถลงนโยบายก่อนกำหนดโครงการรับจำนำข้าว


นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกำกับนโยบายข้าว (กนข.) กล่าวภายหลังการประชุมพิจารณาโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ฤดูกาลผลิต 2551/2552 ว่า เป็นการพิจารณาเตรียมการรับสถานการณ์ข้าว ทั้งข้าวนาปีที่กำลังจะออก และข้าวที่อยู่ในสต๊อกของรัฐบาลว่าจะดำเนินการอย่างไร

ส่วนที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรต้องการให้รัฐบาลทบทวนราคาจำนำข้าว เกวียนละ 14,000 บาท โดยธกส.ระบุว่า รัฐจะขาดทุนเกวียนละ 2,000 บาท เรื่องนี้ต้องรอให้แถลงนโยบายเสร็จก่อน ซึ่งไม่ได้มีการพูดคุยกันในการประชุม เป็นเพียงการกำหนดนโยบายที่จะขับเคลื่อน ภายหลังจากที่รัฐบาลแถลงนโยบายเสร็จเรียบร้อยแล้ว และทันทีที่แถลงนโยบายเสร็จนโยบายดังกล่าวจะสามารถดำเนินการได้ทันที

นายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกฯ แถลงว่า นโยบายในการดำเนินการรับจำนำข้าวนาปีขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากต้องรอให้รัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาก่อน พร้อมเตรียมจัดตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ขึ้นมา 2 ชุด ประกอบด้วย คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ หรือ กขช. และคณะกรรมการนโยบายและมาตรการการช่วยเหลือเกษตรกร หรือ คชก. สำหรับราคารับจำนำข้าวนั้น ต้องรอการพิจารณาหลังมีการแต่งตั้งคณะกรรมการทั้ง 2 ชุดเป็นที่เรียบร้อยก่อน

ส่วนข้าวในสต๊อกของรัฐบาล 4.3 ล้านตัน คงจะระบายออกตามความต้องการซื้อจากต่างประเทศ ซึ่งการดำเนินการในครั้งนี้จะให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องช่วยกันดูแล พร้อมการดำเนินการยืนยันจะให้เป็นไปอย่างโปร่งใส

. . .


กระทรวงพาณิชย์จะเปิดประมูลขายข้าวในสต๊อค พร้อมเลื่อนเปิดรับจำนำข้าวเปลือกนาปีไปเป็นวันที่ 1 พ.ย.


นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า หลังจากแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภาแล้ว นายกรัฐมนตรีจะแต่งตั้งคณะกรรมการในคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ หรือ กขช. และคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร หรือ คชก. ซึ่งทางกระทรวงพาณิชย์จะเปิดประมูลข้าวในสต๊อกของรัฐบาลทั้งสต๊อกเก่า และข้าวเปลือกนาปรังที่เพิ่มเข้ามา เพื่อให้มีพื้นที่เพียงพอรองรับจำนำข้าวเปลือกนาปีฤดูกาลผลิตปี 2551/2552 ที่อาจจะต้องเลื่อนโครงการในการเปิดรับจำนำไปเป็นวันที่ 1 พฤศจิกายน จากกำหนดการเดิมในวันที่ 16 ตุลาคม เพื่อให้การดำเนินการทั้งในส่วนของงบประมาณและสถานที่ รวมทั้งราคาการรับจำนำได้ข้อสรุปที่ชัดเจน ซึ่งจะต้องรอให้คณะกรรมการ คชก. เป็นผู้อนุมัติ

ในส่วนของการระบายข้าวนั้น กระทรวงพาณิชย์จะร่างสัญญาการประมูลเพื่อให้ผู้ส่งออกได้ร่วมประมูล โดยจะต้องมีเงื่อนไขเพื่อการส่งออกเท่านั้น และการจำหน่ายแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล กระทรวงพาณิชย์จะส่งคณะกรรมการของกรมส่งเสริมการส่งออกออกไปเจรจากับประเทศอิหร่าน ซึ่งมีความต้องการข้าวปีละไม่ต่ำกว่า 9 แสน - 1 ล้านตัน

โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปีฤดูกาลผลิตปี 2551/2552 จะรับจำนำข้าวจำนวน 8 ล้านตันข้าวเปลือก ใช้วงเงินไม่ต่ำกว่า 120,000 ล้านบาท แบ่งเป็นข้าวเปลือกเจ้าราคาตันละไม่ต่ำกว่า 14,000 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลิตันละ 16,000 บาท และข้าวเปลือกเหนียวตันละ 9,000-10,000 บาท

นายไชยากล่าวว่า หากจะปรับลดราคารับจำนำข้าวเปลือกนาปีลงต่ำกว่า 14,000 บาทต่อตัน จะกระทบต่อราคาขายข้าวในสต๊อกเก่าของรัฐบาลที่รับจำนำมาในราคาตันละ 14,000 บาท หากราคารับจำนำข้าวเปลือกนาปีที่เป็นข้าวที่มีคุณภาพดีกว่าข้าวเปลือกนาปรังมีราคาต่ำกว่า จะทำให้รัฐบาลขาดทุนโดยเฉลี่ยตันละ 1,000-2,000 บาท และหากคิดเป็นเม็ดเงินที่จะต้องสูญเสียไปเกินกว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งหากจะปรับลดราคารับจำนำก็ต้องพิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบและเป็นธรรม อย่ามองเพียงว่าราคาตลาดลดลงเท่านั้น

. . .


ผู้ส่งออกข้าว แนะรัฐลดราคารับจำนำข้าวเหลือันละ 11,000 บาท


นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกสมาคมผู้ส่งข้าวออกต่างประเทศ กล่าวว่า อยากให้รัฐบาลทบทวนราคารับจำนำข้าวเปลือกนาปีที่ตั้งไว้ 14,000 บาทต่อตัน เพราะถือเป็นราคาที่สูง สวนทางกับสภาพความเป็นจริงของตลาดโลก และอาจส่งผลเสียหายทั้งต่อการส่งออกข้าว และเงินงบประมาณของประเทศซึ่งเป็นภาษีของประชาชน

นายชูเกียรติ กล่าวว่า ราคารับจำนำข้าวเปลือกที่เหมาะสมน่าจะอยู่ที่ประมาณ 11,000 บาทต่อตัน ซึ่งเชื่อว่าเป็นราคาที่เกษตรกรสามารถอยู่ได้ และไม่สวนกระแสตลาดโลกมาก เพราะขณะนี้ราคาข้าวในตลาดโลกปรับลดลงค่อนข้างมาก

โดยราคาข้าวขาวของไทยอยู่ที่ 700 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ขณะที่ราคาข้าวของเวียดนามอยู่ที่ 500 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว และผลผลิตข้าวของประเทศต่างๆเริ่มออกมามากขึ้น

นายชูเกียรติ์คาดว่าปีนี้ประเทศไทยจะสามารถส่งออกข้าวได้ 10 ล้านตันซึ่งถือว่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์การส่งออกข้าว แต่ปีหน้าคาดว่าการส่งออกจะลดลงเหลือประมาณ 8 ล้านตัน

. . .


ข้าวสารบรรจุถุงเตรียมขึ้นราคาตามราคารับจำนำข้าว


นายกสมาคมข้าวถุงไทย เผย ราคาข้าวถุงยังไม่เปลี่ยนแปลงถึงสิ้นปี เนื่องจากยังเหลือข้าวในสต๊อกแต่เตรียมขึ้นราคาปีหน้า ตามราคารับจำนำของรัฐบาล

นายสมฤกษ์ ตั้งพิรุฬห์ธรรม นายกสมาคมข้าวถุงไทย กล่าวว่า แนวโน้มราคาข้าวสารบรรจุถุงในขณะนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจนถึงสิ้นปี เนื่องจากยังมีข้าวในสต๊อกเหลืออยู่ แต่ในปีหน้า อาจต้องมีการปรับราคาข้าวสารบรรจุถุงเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากราคาข้าวสารที่มีการปรับราคาเพิ่มขึ้น ตามราคารับจำนำของรัฐบาล โดยในขณะนี้ราคาซื้อขายอยู่ที่ข้าวเปลือกเจ้าตันละ 12,000 บาท และข้าวเปลือกหอมมะลิอยู่ที่ตันละ 15,000 บาท และหากโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปีฤดูกาลผลิตปี 2551/2552 เริ่มขึ้น ราคาข้าวเปลือกจะขยับตัวสูงขึ้นตามราคารับจำนำของรัฐบาลโดยข้าวเปลือกเจ้าจะเพิ่มขึ้นอีกตันละ 2,000 บาท และข้าวเปลือกหอมมะลิจะเพิ่มขึ้นอีกตันละ 1,000 บาท

. . .


AIA นำทีมบริษัทในเครือ AIG แถลงข่าวยืนยันฐานะการเงินมั่นคง หลังบริษัทแม่ประกาศขายบริษัทในญี่ปุ่น


บริษัท อเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแล แอสชัวรันซ์ จำกัด (American International Assurance-AIA), ธนาคารเอไอจีเพื่อรายย่อย, และบริษัท นิวแฮมเชอร์ ประกันภัย ซึ่งเป็นบริษัทในเครืออเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป อิงค์ (American International Group, Inc - AIG) แถลงข่าวเกี่ยวกับทิศทางการดำเนินธุรกิจ หลังจาก AIG ประกาศขายบริษัทประกันชีวิตในญี่ปุ่น

เมื่อวันที่ 3 ต.ค.ที่ผ่านมา เอไอจี ได้ออกแถลงการณ์ว่าจะพิจารณาขายกิจการธุรกิจประกันชีวิตในญี่ปุ่นออกไป 3 บริษัท

นายโทมัส เจมส์ ไวท์ รองประธานกรรมการบริหารระดับสูง และ ผู้จัดการทั่วไป เอไอเอ กล่าวว่า บริษัท AIA Holdings Company ที่นิวยอร์ก กำลังประกาศขายหุ้นของบริษัทออกไปบางส่วน ซึ่งเป็นหุ้นส่วนน้อยให้แก่พันธมิตรเพื่อเสริมศักยภาพทางธุรกิจ โดยยังไม่มีการตกลงถึงจำนวน และราคาหุ้นแต่อย่างใด และยืนยันว่าการปรับกลยุทธ์จะช่วยให้บริษัทลดความเสี่ยง และไม่มีผลกระทบต่อดำเนินธุรกิจประจำวันของบริษัท

รายงานข่าวระบุว่า การขายหุ้นบางส่วนของเอไอเอ โฮลดิ้ง คาดว่า จะทำเสร็จภายใน 1 ปี เพื่อนำเงินชำระคืนให้กับธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่เข้ามาเสริมสภาพคล่องให้ก่อนหน้านี้เป็นจำนวน 85,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อที่จะคงสัดส่วนการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทต่อไป


บริษัท อเมริกันอินเตอร์เนชั่นแนล แอสชัวรันส์ จำกัด ( เอไอเอ)

นายโทมัส เจมส์ ไวท์ รองประธานกรรมการบริหารระดับสูง และ ผู้จัดการทั่วไป เอไอเอ กล่าวว่า บริษัทเอไอเอ ยังดำเนินธุรกิจตามปกติ ด้วยความเข้มแข็งทางการเงิน โดยยืนยันว่าผลประโยชน์ของลูกค้ายังคงได้รับการคุ้มครองภายใต้ พ.ร.บ.ประกันชีวิต และยังให้บริการแก่ลูกค้าโดยปฏิบัติตามภาระผูกพันในกรมธรรม์ทุกฉบับ

พร้อมกันนี้เอไอเอยังคงเป็นผู้นำธุรกิจประกันชีวิตในเอเชีย และจะยังคงลงทุนเพื่อขยายธุรกิจในภูมิภาคนี้อย่างต่อเนื่อง และถึงแม้ว่าจะเกิดสึนามิทางการเงิน แต่ลูกค้าของเอไอเอกว่าร้อยละ 99 ยังคงถือครองกรมธรรม์ของเอไอเอ และอัตราการเติบโต เอไอเอ ประเทศไทย และเอไอเอ มาเลเซีย มีอัตราเติบโตที่โดดเด่นมาก

สำหรับฐานะของเอไอเอในประเทศไทย ณ 31 กรกฎาคม 2551 มีสินทรัพย์ 383,060 ล้านบาท มีเงินสำรองประกันภัย 286,674 ล้านบาท มีเงินกองทุน 69,241 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1,107 ของเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามกฎหมาย จึงมีความมั่นใจว่าทรัพย์สินดังกล่าวมีเพียงพอหากมีลูกค้าจะมาไถ่ถอนกรมธรรม์ทั้งหมดที่มีอยู่ 2.8 แสนล้านบาท ทั้งนี้ ปัจจุบันมีผู้ถือกรมธรรม์ประกันชีวิต 4.8 ล้านฉบับ และมีผู้ถือกรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุ และสุขภาพจำนวน 6.1 ล้านฉบับ


ธนาคารเอไอจี เพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน)

ธนาคารเอไอจีเพื่อรายย่อย ยืนยัน เอไอจีสหรัฐเตรียมขายกิจการเพื่อปรับโครงสร้างไม่กระทบธุรกิจของธนาคาร ชี้ฐานเงินทุนยังแกร่ง

นายชาลี มาดาน กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารเอไอจี เพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงกรณีที่ บริษัท เอไอจี สหรัฐ จะพิจารณาขายกิจการและสินทรัพย์ เพื่อปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นว่า จะไม่ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติงานในธุรกิจปัจจุบันของธนาคารเอไอจีเพื่อรายย่อย เพราะธนาคารเอไอจีเพื่อรายย่อยมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงถึงร้อยละ 24 ซึ่งสูงกว่าอัตราขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนดไว้ที่ ร้อยละ 8.3 เกือบ 3 เท่า


บริษัท นิวแฮมเชอร์ อินชัวรันส์ จำกัด

นายสตีเว่น บาร์เน็ต กรรมการผู้จัดการและประธานคณะผู้บริหาร บริษัท นิวแฮมเชอร์ อินชัวรันส์ จำกัด และบริษัท เอไอจี ประกันวินาศภัย ( ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริษัทจะยังดำเนินธุรกิจในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยความสามารถในการชดใช้ค่าสินไหมและการรับประกันภัยของบริษัทยังคงมีความเข้มแข็งอยู่ในระดับสูง โดยบริษัทมีเงินทุนสำรองสูงกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ถึง 11 เท่า เมื่อสิ้นปี 2550

. . .


ธปท.การันตีฐานะธนาคารเอไอจีเพื่อรายย่อย มั่นคง แม้บริษัทแม่ต้องปรับโครงสร้าง

นายสรสิทธิ์ สุนทรเกศ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า หลังจากที่บริษัทอเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป อิงค์ หรือ เอไอจี ได้รับเงินช่วยเหลือจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) 85,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ต้องมีการปรับโครงสร้างภายในเอไอจี ซึ่งเอไอจียืนยันยังดำเนินธุรกิจประกัน แต่จะขายกิจการอื่นๆ ซึ่งทำให้ต้องมีการปรับโครงสร้างในกลุ่มธุรกิจสินเชื่อเพื่อรายย่อย เอไอจี คอนซูเมอร์ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป ซึ่งรวมทั้งธนาคารเอไอจีเพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน) และบริษัทเอไอจี การ์ด ประเทศไทย จำกัด นั้น

ทาง ธปท.ได้ติดตามอย่างใกล้ชิดว่า เอไอจี จะขายกิจการทั้งหมดหรือจะทยอยขายเป็นส่วนๆ ทั้งนี้ ธนาคารเอไอจี เพื่อรายย่อย มีอยู่ใน 11 ประเทศทั่วโลก แต่ยืนยันว่า การขายครั้งนี้จะไม่มีผลกระทบต่อการทำธุรกิจในประเทศไทย และไม่กระทบต่อกระแสเงินสด เนื่องจากธนาคารเอไอจีเพื่อรายย่อย มีฐานะที่มั่นคง มีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงสูงถึงร้อยละ 25 สูงที่สุดเมื่อเทียบกับธนาคารพาณิชย์อื่นๆ และสูงกว่าอัตราเฉลี่ยของทั้งระบบที่ร้อยละ 15

นอกจากนี้ ธนาคารยังได้รับเงินทุน และวงเงินสำรอง 14,000 ล้านบาท จากบริษัทแม่เพื่อใช้เป็นเงินสำรอง โดยฝากไว้ที่ ธปท. ซึ่งสามารถเบิกถอนได้ตลอดเวลา หากเทียบกับปริมาณเงินฝากของลูกค้า ซึ่งอยู่ที่ 16,000 ล้านบาท ก็ถือว่าสามารถรองรับได้ถึงร้อยละ 90 สูงกว่าเกณฑ์ที่ ธปท.กำหนดไว้ว่าต้องมีปริมาณเงินฝากกับ ธปท.ร้อยละ 2 หรือประมาณ 3,200 ล้านบาท

สำหรับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ก็ถือว่าต่ำ คือร้อยละ 2 และ พ.ร.บ.สถาบันประกันเงินฝาก ก็ยังคุ้มครองเงินฝากเต็มจำนวน ประชาชนจึงมั่นใจได้ว่า ไม่มีปัญหากับเงินที่ฝากไว้ และยังไม่พบการไถ่ถอนที่ผิดปกติ ขณะเดียวกันเริ่มมีเงินฝากไหลเข้ามาในธนาคารเอไอจีเพื่อรายย่อยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

นายสรสิทธิ์ กล่าวว่า สำหรับผู้ถือหุ้นรายใหม่ หากเป็นต่างชาติ และถือหุ้นไม่เกินร้อยละ 49 ตามที่ ธปท.กำหนด ก็ไม่ต้องขออนุญาตจาก ธปท. แต่ ธปท.ขอทราบข้อมูลว่า ผู้ถือหุ้นใหม่เป็นใคร ดำเนินธุรกิจอะไร มีความมั่นคงหรือไม่ และมีความสามารถในการดูแลสภาพคล่องได้หรือไม่ ส่วนบริษัทเอไอจีการ์ด (ประเทศไทย) ก็ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะไม่ได้ทำธุรกิจรับฝากเงิน เป็นเพียงธุรกิจบัตรเครดิตเท่านั้น

. . .


Create Date : 06 ตุลาคม 2551
Last Update : 6 ตุลาคม 2551 19:54:10 น. 5 comments
Counter : 585 Pageviews.

 
แล้วจะให้ทำไงดีเนี่ย....หุ้นที่ซื้อๆไว้เนี่ย...เฮ้อออ


โดย: ป้าวี IP: 124.120.243.208 วันที่: 7 ตุลาคม 2551 เวลา:15:40:32 น.  

 
. . .

ถึงนาทีนี้คงต้อง "ทำใจ" แล้วล่ะจ้ะป้าจ๋า

ปล่อยวาง ๆ คิดซะว่าเงินทองของนอกกาย มีเรี่ยวแรงค่อยๆหาเอาใหม่เนอะ...

. . .


โดย: ส้มเองค่ะ IP: 58.137.155.65 วันที่: 7 ตุลาคม 2551 เวลา:19:57:01 น.  

 
ทำได้ไง


โดย: SorrY IP: 125.27.145.108 วันที่: 22 กันยายน 2552 เวลา:10:10:52 น.  

 
น้ำมันโคตรแพงเลยครับ


โดย: SorrY IP: 125.27.145.108 วันที่: 22 กันยายน 2552 เวลา:10:12:21 น.  

 
รัฐบาลทำให้นำมันเเพง


โดย: man IP: 125.27.145.108 วันที่: 22 กันยายน 2552 เวลา:10:16:53 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

loykratong
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]






ไม่มีอะไรขึ้นตลอด
ไม่มีอะไรลงตลอด
...ไม่มี the end of the world ...

Web Site Hit Counters

ราคาทองคำ
 

ราคาทองคำต่างประเทศ



Friends' blogs
[Add loykratong's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.