Group Blog
 
<<
กันยายน 2551
 
15 กันยายน 2551
 
All Blogs
 
. . . หุ้นตก-เลห์แมนฯล้มละลาย--แนะซื้อทองต่ำกว่า 13,000.--จำนำข้าว . . .

. . .

หุ้นทั่วโลกร่วงระนาวหลังเลห์แมนล้มละลาย


ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงระนาว หลังเลห์แมน บราเธอส์ล้มละลาย ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ร่วงหนัก ลือกระหึ่ม! เฟดลดดอกเบี้ยอุ้ม

ตลาดหุ้นยุโรปร่วงลงในการซื้อขายช่วงแรกในวานนี้ หลังจากเลห์แมน บราเธอร์ส วาณิชธนกิจรายใหญ่อันดับ 4 ของสหรัฐ เตรียมยื่นเรื่องต่อศาลเพื่อขอการพิทักษ์ทรัพย์จากภาวะล้มละลาย ส่งผลให้เกิดความผันผวนครั้งใหม่ในตลาดการเงิน

ดัชนี FTSE 300 ร่วงลง 3.1 % มาที่ 1,126.08 จากดัชนีปิดบวก 1.9 % เมื่อวันศุกร์
ส่วนที่ตลาดเอเชีย ปรากฏว่า ตลาดหุ้นไต้หวันดิ่งลง 4.09% ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ดิ่งลง 4.2% ตลาดหุ้นซิดนีย์ดิ่งลง 1.8% ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ร่วง 2.26% ในการซื้อขายช่วงเช้า และตลาดหุ้นอินเดีย ร่วงถึง 5.19% หลังเปิดตลาดได้ไม่กี่นาที
ส่วนตลาดหุ้นสำคัญทั้งที่โตเกียว ฮ่องกง เซี่ยงไฮ้ และโซล ปิดทำการเนื่องในวันหยุดเทศกาลไหว้พระจันทร์

. . .



ดอลล์ร่วงหลังลือเฟดลดดอกเบี้ยแก้วิกฤติ "เลห์แมนฯ"


ค่าเงินดอลลาร์ดิ่งลงในการซื้อขายที่ตลาดเอเชียจากข่าวที่บริษัทเลห์แมน บราเธอร์สประกาศว่าจะยื่นเรื่องต่อศาลเพื่อขอรับการพิทักษ์ทรัพย์จากภาวะล้มละลาย ซึ่งข่าวดังกล่าวได้กระตุ้นความกังวลในเสถียรภาพของระบบการเงินสหรัฐ รวมทั้งทำให้เกิดข่าวลือว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ย

ดอลลาร์ดิ่งลง 2.3 % สู่ 105.45 เยนต่อดอลลาร์ จาก 107.86 เยนต่อดอลลาร์ในวันศุกร์ ในขณะที่ยูโรร่วงลงสู่ 152.26 เยนต่อยูโร จาก 153.43 เยนต่อยูโร
ยูโร/ดอลลาร์พุ่งขึ้น 1.7 % จากวันศุกร์ มาอยู่ที่ 1.4479 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อยูโร

เฟดได้ประกาศใช้มาตรการฉุกเฉินเพื่อลดความกังวลในตลาดการเงิน และผ่อนคลายปัญหาใดๆในตลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการล้มละลายของเลห์แมน
หนึ่งในมาตรการสำคัญที่สุดของเฟด คือ การยอมรับหลักทรัพย์ในฐานะสินทรัพย์ค้ำประกันการกู้ยืมเงินสดในโครงการปล่อยกู้พิเศษของเฟด โดยครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 95 ปีที่เฟดอนุญาตให้ทำเช่นนี้

. . .



หุ้นไทยดิ่งต่ำสุดรอบ 20 เดือน นักลงทุนวิตกผลกระทบ “เลห์แมน บราเธอร์ส” ล้มละลาย


ภาวะการซื้อขายหุ้นไทยวันที่ 15 ก.ย. ดัชนีเคลื่อนไหวในแดนลบตลอดทั้งวัน เนื่องจากความวิตกข่าวเลห์แมน บราเธอร์ส เข้าสู่ภาวะล้มละลาย โดยระหว่างวัน ดัชนีลดลงไปต่ำสุดที่ 640.03 จุด ก่อนมาปิดตลาดระดับต่ำสุดในรอบ 20 เดือน ที่ 642.39 จุด ลดลง 11.95 จุด หรือลดลงร้อยละ 1.83 มูลค่าการซื้อขาย 7,454 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 296 ล้านบาท

นางวิริยา ลาภพรหมรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน มองว่า ตลาดหุ้นไทยปรับลดลงตามตลาดภูมิภาค ที่มีความกังวลปัญหาวิกฤติสินเชื่อในสหรัฐ กรณีเลห์แมน บราเธอร์ส ส่งผลให้ดัชนีดาวน์โจนส์ล่วงหน้าลดลงถึง 300 จุด ตลาดภูมิภาคจึงปรับลดลงตาม โดยเฉพาะจีน ฟิลิปปินส์ อินเดีย ที่ลดลงกว่าร้อยละ 4

นอกจากนี้ ปัญหาทางการเมืองก็ยังคงเป็นปัจจัยกดดันตลาดอยู่ เพราะการที่พรรคพลังประชาชนเสนอชื่อนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รักษาการนายกรัฐมนตรี เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ก็เป็นไปตามที่ตลาดคาด จึงเชื่อว่ากลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะยังคงมีการชุมนุมต่อไป

ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันที่ 16 ก.ย.นี้ มองว่า การเมืองกับตลาดภูมิภาคยังคงเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นไทยอยู่ แต่ในช่วงนี้อาจให้น้ำหนักกับตลาดภูมิภาคมากกว่า คาดว่าดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 630 -650


นายบันลือศักดิ์ ปุสสะรังษี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัยสายบริหารความเสี่ยง ธนาคารไทยธนาคาร กล่าวว่า ผลกระทบของวิกฤติการเงินสหรัฐจากการล้มละลายของบริษัทเลห์แมน บราเธอร์ส โฮลดิงส์ อิงค์ แสดงให้เห็นว่าปัญหาของเศรษฐกิจสหรัฐมีความรุนแรงกว่าที่หลายฝ่ายคาดคิด แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยโดยตรงเชื่อว่าในระยะสั้นจะยังไม่เห็นชัด แต่อาจจะมีผลกระทบทางอ้อมกับเศรษฐกิจของประเทศไทย ในรูปของการส่งออกที่อาจจะชะลอตัวลงได้ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าผลกระทบดังกล่าวจะไม่ลุกลามมาถึงสถาบันการเงินไทย แต่เชื่อว่าปัญหาดังกล่าวจะต้องใช้เวลาอีกระยะถึงจะคลี่คลาย

. . .



ธนาคารแห่งประเทศไทย คาดว่าปัญหาเลห์แมน บราเธอร์ส อาจส่งผลต่อสภาพคล่อง หากต่างชาติโยกเงินกลับไปแก้ปัญหาในสหรัฐฯ


การล้มละลายของ เลห์แมน บราเธอร์ส โฮลดิงส์ อิงค์ ซึ่งเป็นวาณิชธนกิจใหญ่อันดับ 4 ของสหรัฐฯ เป็นการปิดฉากของเลห์แมนที่มีอายุ 158 ปี โดยบริษัทไม่สามารถอยู่รอดได้ภายใต้ภาวะสินเชื่อหดตัวทั่วโลกในปัจจุบัน ถึงแม้ว่าทางบริษัทเคยรอดพ้นจากสงครามโลก 2 ครั้ง และผ่านพ้นเหตุการณ์การล้มละลายของบริษัทลองเทอมแคปิตัล แมเนจเมนท์

นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงผลกระทบจากกรณีของเลห์แมน บราเธอร์ส ที่กำลังมีปัญหาล้มละลาย เชื่อว่าผลกระทบต่อธนาคารพาณิชย์ของไทยจะมีจำกัด และไม่กระทบต่อฐานะธนาคารพาณิชย์ไทย เพราะว่ามีความระมัดระวังในการลงทุนต่างประเทศ การลงทุนในสินเชื่อและอนุพันธ์ อยู่ในเกณฑ์ต่ำ ผลกระทบทางตรงจึงมีไม่มาก

นอกจากนี้ เลห์แมน บราเธอร์สไม่ได้มีสาขาในไทย อีกทั้งธุรกรรมที่มีกับสถาบันการเงินไทยมีไม่มาก โดยตัวเลขธุรกรรมสินเชื่อ และการลงทุนระหว่างสถาบันการเงินไทยกับเลห์แมน บราเธอร์ส ในเดือน ก.ค. จากธนาคารพาณิชย์ไทย 14 แห่ง มีประมาณ 4,300 ล้านบาท ซึ่งถือว่าน้อยมาก ถ้าเทียบกับเงินลงทุนนอกประเทศของระบบสถาบันการเงินที่ไปลงทุนต่างประเทศ 1.02 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 1.3% ของสินทรัพย์รวมธนาคารพาณิชย์ทั้งหมด

นายบัณฑิต เชื่อว่า วิกฤตครั้งนี้จะไม่กระทบสถานะความมั่นคงของสถาบันการเงินไทย ระบบธนาคารของไทยยังมีความแข็งแกร่งสูง สภาพคล่องในระบบธนาคารส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 70 มาจากเงินฝากในประเทศมากกว่าการกู้เงินจากต่างประเทศ

ในช่วงไตรมาส 1 และ 2 ที่ผ่านมาธนาคารพาณิชย์มีกำไรในระดับสูง หนี้ด้อยคุณภาพ (NPL) ลดลงอย่างต่อเนื่อง เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS) มีความเพียงพอ โดยทั้งระบบอยู่ที่ 12% เทียบกับเกณฑ์ขั้นต่ำที่ 8.5%

สำหรับผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้น คือ การเคลื่อนย้ายเงินลงทุนในตลาดเอเชียกลับไปแก้ปัญหาในสหรัฐฯ คล้ายกับช่วงต้นปีที่มีการโยกเงินกลับไปแก้ปัญหาผลกระทบจากตลาดสินเชื่อจำนองบ้าน (ซับไพรม) ซึ่งอาจทำให้สภาพคล่องในประเทศหดตัวลง

ซึ่ง ธปท.ย้ำให้ธนาคารพาณิชย์ต้องระมัดระวังอย่างต่อเนื่องในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้าต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ธนาคารปรับตัวได้

ส่วนผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจโลกนั้น คงต้องติดตามดูว่าปัญหาสถาบันการเงินสหรัฐฯคงจะยังไม่ยุติ และคงจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และอีกหลายประเทศ ซึ่งจะมีผลต่อการส่งออกสินค้าไทยไปยังตลาดต่างประเทศที่อาจจะชะลอตัวลง ซึ่งคงจะต้องคอยติดตามดูผลกระทบที่จะเกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คงจะสามารถบริหารผลกระทบให้อยู่ในวงจำกัดได้ เนื่องจากที่ผ่านมาได้ทราบฐานะของเลห์แมนฯ มาอย่างต่อเนื่อง ดูได้จากราคาหุ้นเลห์แมนที่ลดลงก่อนหน้านี้ ซึ่งเฟดคงจะดูแลอย่างดี และคงมีการปรับตัวไปก่อนหน้านี้แล้ว

. . .



ประธานสภาธุรกิจฯ “ประเสริฐ บุญสัมพันธ์” ระบุปัญหาการเงินสหรัฐส่งผลกระทบต่อภาวะลงทุนในไทย


นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวถึง กรณีของบริษัท เลห์แมน บราเธอร์ส ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯนั้น เรื่องดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อภาวะลงทุนในประเทศไทยอย่างแน่นอน โดยจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนโดยเฉพาะเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติอาจจะหาได้ยากขึ้น อย่างไรก็ตาม ขณะนี้รัฐบาลสหรัฐฯได้อัดฉีดเม็ดเงินเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว

ส่วนแนวทางการแก้ไขปัญหานั้น ประเทศไทยจำเป็นต้องทำให้สถานการณ์การเมืองคลี่คลายลงโดยเร็ว เนื่องจากจะเป็นปัจจัยที่สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนกลับมาลงทุนอีกครั้ง โดยที่ผ่านมาปัญหาการเมืองส่งผลให้มูลค่าของตลาดหุ้นไทยลดลงถึงร้อยละ 20 โดยในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทยไปแล้วกว่า 100,000 ล้านบาท ทั้งที่หุ้นของไทยราคาถูกเมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐาน แต่นักลงทุนต่างชาติก็ไม่กล้าเข้ามาลงทุนหากสถานการณ์การเมืองไทยยังเป็นเช่นในปัจจุบัน

. . .



นายกสมาคมผู้ค้าทองคำเตือนกู้เงินมาเก็งกำไรทองคำมีความเสี่ยงขาดทุนสูง แนะซื้อที่ระดับต่ำกว่า 13,000 บาท


นายกสมาคมผู้ค้าทองคำ เตือนคนกู้เงินเก็งกำไรทองคำ มีโอกาสขาดทุนสูง แนะการลงทุนระยะสั้น ควรชะลอการลงทุนช่วง 1-2 สัปดาห์นี้ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง เพราะราคาทองคำมีความผันผวนสูง พร้อมส่งสัญญาณซื้อที่ 13,000 บาท หากสูงกว่าให้ขายทำกำไร

ราคาทองคำแท่งวันที่ 15 ก.ย.เพิ่มขึ้นบาทละ 100 บาท ทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 12,750 บาท ขายออกบาทละ 12,850 บาท ทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 12,567.64 บาท ขายออกบาทละ 13,250 บาท

นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมผู้ค้าทองคำ กล่าวว่า แนวโน้มราคาทองคำขณะนี้ยังมีความผันผวนค่อนข้างมาก ซึ่งปกติช่วงวันเสาร์-วันจันทร์ของทุกสัปดาห์ จะไม่มีการเคลื่อนไหวด้านราคา แต่เฉพาะวานนี้( 15 ก.ย.) มีการปรับราคาขึ้นลงถึง 3 ครั้ง ซึ่งผู้ค้ากำไรจากราคาทองคำระยะสั้น คงต้องชะลอการซื้อเพื่อเก็งกำไรช่วง 1-2 สัปดาห์นี้ไปก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงขาดทุน

ทั้งนี้ หากราคาทองคำต่ำกว่า 13,000 บาท นักลงทุนสามารถลงทุนทำกำไรได้ แต่ต้องซื้อในปริมาณไม่มาก และกรณีที่ราคาสูงกว่า 13,000 บาท แนะนำให้ขายทำกำไร สำหรับผู้ที่กู้เงินนอกระบบมาซื้อทองคำเพื่อเก็งกำไรระยะสั้น ถือว่ามีความเสี่ยงขาดทุนสูง โดยราคาทองคำอาจมีความผันผวนต่อเนื่องตลอดทั้งเดือนนี้ ไม่สามารถหาทิศทางที่ชัดเจนได้ จึงต้องพิจารณาให้รอบคอบ

นายจิตติ กล่าวว่า ภาวะการเมืองที่มีปัญหาไม่ได้ส่งผลต่อการซื้อขายทองคำมากนัก เพราะราคาทองขึ้นอยู่กับตลาดโลก โดยการยกเลิก พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน มีส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าค่อนข้างมากทำให้ราคาทองคำถูกลง

อย่างไรก็ตามจากมุมมองของนักธุรกิจมองว่า สถานการณ์การเมืองที่ดีขึ้น ส่งผลให้นักท่องเที่ยวมั่นใจเข้ามาเที่ยวในประเทศไทย และเกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจตามเดิมอีกครั้ง

. . .



ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุมาตรการรับจำนำข้าวช่วยสร้างเสถียรภาพราคา แต่ภาพรวมส่งออกข้าวไม่สดใส


บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ระบุว่าเมื่อวันที่ 9 กันยายนที่ผ่านมาที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเพิ่มปริมาณการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรังอีก 1 ล้านตัน จาก 2.5 ล้านตัน เป็น 3.5 ล้านตัน และขยายเวลารับจำนำไปอีก 3 เดือน จากวันที่ 31 ธ.ค. 2551 เป็นวันที่ 31 มี.ค. 2552 พร้อมอนุมัติวงเงินงบประมาณค่าใช้จ่ายเพื่อรองรับการดำเนินงานส่วนนี้จากเดิม 1,132 ล้านบาท เพิ่มอีก 2,016 ล้านบาท รวมเป็นวงเงิน 3,148 ล้านบาท

ส่วนโครงการรับจำนำข้าวนาปีสำหรับฤดูการเพาะปลูก 2551/52 คาดว่าจะมีข้าวที่รับจำนำปริมาณ 8 ล้านตันข้าวเปลือก โดยมีระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2551-28 กุมภาพันธ์ 2552 ส่วนภาคใต้เริ่มวันที่ 1 กุมภาพันธ์-31 พฤษภาคม 2552

โดยราคารับจำนำข้าวเปลือกหอมมะลิตันละ 16,000 บาท ข้าวเปลือกเจ้านาปีตันละ 14,000 บาท ข้าวเปลือกเหนียวชนิดเม็ดยาว ตันละ 10,000 บาท ข้าวเปลือกเหนียวคละตันละ 9,000 บาท

การประกาศโครงการรับจำนำข้าวครั้งนี้ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อผู้ที่เกี่ยวข้องในวงการค้าข้าว ตั้งแต่ชาวนา โรงสี ตลาดข้าวในประเทศ ผู้ส่งออกข้าว รวมทั้งหน่วยงานรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับโครงการรับจำนำข้าว ตลอดจนถึงการกำหนดท่าทีของประเทศผู้นำเข้าข้าว เนื่องจากการกำหนดราคารับจำนำนั้นมีผลต่อราคาส่งออก ซึ่งประเทศผู้นำเข้าข้าวใช้เป็นราคาเป้าหมายในการเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งขันของไทย

อย่างไรก็ตาม การประกาศมาตรการรับจำนำข้าวของไทยน่าจะถือได้ว่าช่วยพยุงไม่ให้ราคาข้าวทั้งในประเทศและราคาในตลาดต่างประเทศดิ่งลงอย่างแรง อันเป็นผลจากการขยายปริมาณการผลิตข้าวในหลายประเทศ รวมทั้งของไทยด้วย อย่างไรก็ตาม แม้ว่าชาวนาจะได้รับประโยชน์จากมาตรการดังกล่าว แต่ผู้ส่งออกข้าวของไทยอาจสูญเสียตลาดบางส่วน เนื่องจากราคาข้าวของไทยที่สูงกว่าประเทศคู่แข่ง

สำหรับการส่งออกข้าวของไทยในครึ่งหลังปี 2551 คาดว่าปริมาณการส่งออกจะลดลงจากครึ่งปีแรกประมาณร้อยละ 20-30 โดยคาดว่าครึ่งปีหลังปริมาณการส่งออกข้าวอาจจะเหลือประมาณ 600,000 - 650,000 ตันต่อเดือน ขณะที่ปริมาณส่งออกข้าวครึ่งปีแรกเฉลี่ยที่ 900,000 - 1,000,000 ตันต่อเดือน เนื่องจากประเทศผู้ส่งออกข้าวอย่างเวียดนามกลับมาส่งออกข้าวได้อีกครั้ง หลังหยุดส่งออกมาเกือบครึ่งปี และในช่วงเดือน ต.ค.ประเทศอินเดียก็จะกลับมาส่งออกข้าวทุกประเภทเหมือนเดิม ประเทศผู้ซื้อข้าวจึงไม่ได้มุ่งมาไทยเหมือนกับช่วงครึ่งปีแรก อีกทั้งราคาข้าวในตลาดโลกก็มีทิศทางปรับราคาลดลง จากสถานการณ์ข้าวที่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยประเทศผู้ซื้อไม่ได้ต้องรีบซื้อ โดยยอมรับราคาที่ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับในช่วงต้นปี 2551 เนื่องจากเกรงจะเกิดปัญหาขาดแคลนข้าวในตลาดโลก

. . .




Create Date : 15 กันยายน 2551
Last Update : 15 กันยายน 2551 20:03:25 น. 1 comments
Counter : 535 Pageviews.

 
ขอบคุณมากค่ะ เข้ามาอ่านเพราะดิฉันชอบซื้อทั้งหุ้นและทอง ช่วงนี้ไม่รู้จะได้กำไรจากตรงไหนดี


โดย: jomo IP: 125.25.195.95 วันที่: 16 กันยายน 2551 เวลา:12:53:34 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

loykratong
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]






ไม่มีอะไรขึ้นตลอด
ไม่มีอะไรลงตลอด
...ไม่มี the end of the world ...

Web Site Hit Counters

ราคาทองคำ
 

ราคาทองคำต่างประเทศ



Friends' blogs
[Add loykratong's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.