Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2551
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
21 สิงหาคม 2551
 
All Blogs
 

. . .ธปท.-คลังน้อมรับกระแสพระราชดำรัส--ส่งออก 7 เดือนโต 26% . . .

. . .

ผู้ว่าฯ ธปท.น้อมรับพระราชดำรัส "ในหลวง" - มีกำลังใจทำงาน


นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้มีพระราชดำรัส เรื่องการใช้จ่ายและดูแลการใช้เงินต่อธนาคารแห่งประเทศไทย นำความปลาบปลื้มมาสู่ตนเอง และเจ้าหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทยทำให้มีกำลังใจในการทำงานมากยิ่งขึ้น โดยพร้อมจะน้อมรับกระแสพระราชดำรัสยึดมั่นในบทบาทหน้าที่และการทำงาน เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ

ส่วนในเรื่องแรงกดดันต่างๆนั้น นางธาริษายืนยันว่าไม่มี เพราะการทำงานของธนาคารแห่งประเทศไทยต้องเที่ยงตรง ห้ามไม่ให้มีแรงกดดันมาทำให้นโยบายไขว้เขว

ทั้งนี้ นางธาริษากล่าวว่า เห็นด้วยที่รัฐบาลแต่งตั้ง 5 หน่วยงานเศรษฐกิจ เพื่อกำหนดเป้าหมายนโยบายการเงิน ซึ่งต้องดำเนินการร่วมกันระหว่างรัฐบาล และกระทรวงการคลัง หากกำหนดเป้าหมายแล้ว ทางธนาคารแห่งประเทศไทยจะดำเนินการตามแนวนโยบายนั้น

ส่วนเรื่องการปรับอัตราดอกเบี้ยนั้น คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. จะพิจารณาข้อมูลล่าสุด จากการคาดการณ์เงินเฟ้อ และปัจจัยทั้งภายใน และภายนอก การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจและความเสี่ยง

นางธาริษา ยังได้กล่าวถึงค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงในช่วง 2-3 วันนี้ว่า อย่าได้มองค่าเงินระยะสั้น เพราะหากมองค่าเงินตั้งแต่ต้นปีแล้วค่าเงินของประเทศไทยเคลื่อนไหวเกาะกลุ่มกับสกุลเงินในภูมิภาค โดยอ่อนตัวลงไปเพียง 1% เท่านั้น ส่วนมาเลเซียอ่อนค่า 0.8% และมีอีกหลายประเทศที่อ่อนค่ามากกว่าเงินบาทไทย เช่น อินเดีย 9% ฟิลิปปินส์ 9% เกาหลี 10% และมีบางสกุลในบางประเทศที่แข็งค่าขึ้น เช่น อินโดนีเซียและสิงคโปร์แข็งค่าขึ้น 1-2% ขณะที่จีนแข็งค่ามากสุดถึง 6% ดังนั้น ค่าเงินบาทของไทยเคลื่อนไหวอยู่ตรงกลาง สบายใจได้ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง

ส่วนกรณีที่มีความกังวลว่า เมื่อเงินบาทอ่อนค่าจะมีเงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นนั้น ภาวะเงินทุนไหลออกเกิดขึ้นในภูมิภาค รวมทั้งตลาดหุ้นไทยด้วย ซึ่งไม่ได้มีสัญญาณอะไรที่ผิดปกติ

. . .



รมว. คลังน้อมนำกระแสพระราชดำรัสดูแลการใช้จ่ายเงิน


นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กรณีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัส ให้ดูแลการใช้จ่ายเงินทุนสำรอง และเงินงบประมาณนั้น ทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่างน้อมรับเพื่อช่วยกันดูแลให้เกิดประโยชน์สูงสุด จึงต้องใช้จ่ายให้เกิดความระมัดระวัง เพราะขณะนี้มีปัญหาเศรษฐกิจโลกชะลอตัว อาจกระทบต่อเศรษฐกิจในประเทศไปด้วย

นพ.สุรพงษ์ ยืนยันว่าการดำเนินนโยบายการเงินการคลัง กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ได้หารือร่วมกันมาโดยตลอด เพื่อทำให้ดีที่สุดและให้เกิดการตัดสินใจที่รอบคอบมากขึ้น แต่ในที่สุดแล้วนโยบายการเงิน ทาง ธปท. และ กนง. ก็จะเป็นผู้ตัดสินใจในขั้นสุดท้าย

นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า การประชุม 5 หน่วยงานด้านเศรษฐกิจในสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่ใช้การยกเลิกเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อ เป็นเพียงการให้ข้อมูล และหารือร่วมกัน

ส่วนการจัดทำงบประมาณขาดดุลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น เมื่อรัฐบาลไม่สามารถจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นมากนัก แต่ต้องการฟื้นฟูเศรษฐกิจ จึงต้องจัดทำงบประมาณขาดดุล ซึ่งขณะนี้ก็อยู่ในกรอบการขาดดุลไม่เกินร้อยละ 2.5 ของจีดีพี และขณะนี้ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะขาดดุลเพิ่มเติมเท่าใดในงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2552 ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับการจัดเก็บรายได้ และสถานการณ์เศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง

ส่วนแนวทางศึกษาของกระทรวงการคลังในการตั้งกองทุนเพื่อความมั่งคั่งแห่งชาติ (Sovereign Wealth Fund, SWF) ด้วยการนำเงินจากกองทุนสำรองฯ ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากมาหาผลประโยชน์เพิ่มเติมนั้น นพ.สุรพงษ์กล่าวว่าเป็นเพียงการศึกษา สำหรับแนวทางในอนาคต คงไม่ดำเนินการในช่วงนี้ แต่หากประเทศมีทุนสำรองจำนวนมากจากการค้าระหว่างประเทศเกินดุล มีเงินสะสมมากก็สามารถทำได้ แต่เห็นว่าขณะนี้ยังไปไม่ถึงจุดนั้น ในการนำทุนสำรองมาหาผลประโยชน์เพิ่มเติม

. . .



นักวิชาการระบุแบงก์ชาติต้องปลอดการเมือง


คณะเศรษฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย จัดเสวนาเรื่อง “มีความจำเป็นหรือไม่ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องเป็นอิสระ” โดยนายอัมมาร สยามวาลา รักษาการประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย กล่าวว่า แบงก์ชาติต้องมีความเป็นอิสระ ปลอดจากการเมือง แต่ต้องกำหนดขอบเขตความเป็นอิสระอย่างชัดเจน ที่สำคัญต้องเป็นอิสระในการกำกับสถาบันการเงิน อย่าให้การเมืองเข้าแทรกแซงเหมือนวิกฤตในปี 2540

ส่วนการกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อ แบงก์ชาติจะต้องทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่น เช่น กระทรวงการคลัง และคณะรัฐมนตรีให้มากขึ้น ไม่ใช่เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กบง.) เพียงหน่วยงานเดียว พร้อมย้ำว่า แบงก์ชาติไม่ควรเข้าแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนวันต่อวัน เพราะมีทั้งผู้ได้ และเสียประโยชน์เหมือนการลอยตัวค่าเงินบาท

นายอัมมารกล่าวว่า มีความเป็นห่วงต่อการตั้งคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย ที่รายชื่อคณะกรรมการส่วนใหญ่ เป็นรายชื่อจากกระทรวงการคลังซึ่งอาจทำให้การทำงานของธนาคารแห่งประเทศไทยขาดอิสระได้

นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้อำนวยการส่วนกลยุทธ์และพัฒนาระบบการเงิน กระทรวงการคลัง กล่าวว่า หลังจากพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย ฉบับใหม่ มีผลบังคับใช้ในปีนี้ การปลดผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย จะทำได้ยากขึ้น โดยจะต้องมีความผิดร้ายแรงเท่านั้น นอกจากนี้ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีอิสระมากขึ้น ไม่มีหน่วยงานอื่นมาคานอำนาจ จึงควรตั้งคณะกรรมการที่มีผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกเข้ามาตรวจสอบการทำงาน รวมทั้งเปิดโอกาสให้หน่วยงานรัฐ มีส่วนร่วมในการตรวจสอบสถาบันการเงิน บริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยน และกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อ เนื่องจากมีหลายครั้งที่แบงก์ชาติดำเนินการผิดพลาด เช่น มาตรการการสำรองร้อยละ30 หรือ การบริหารทุนสำรองจนเกิดวิกฤตในปี 2540

. . .



ธปท.เผยผู้ประกอบการยังห่วงเงินเฟ้อ - ปัจจัยน้ำมัน การเมืองกระทบเศรษฐกิจ


นายนพดล บูรณะธนัง ผู้บริหารส่วนวิเคราะห์เศรษฐกิจด้านอุปทาน ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากสภาวะเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับค่อนข้างสูง และความไม่แน่นอนทางการเมือง ทำให้ส่งผลกระทบกับภาคเอกชน ซึ่งการส่งออกจะชะลอตัวลง โดยผู้ประกอบการ 60% ยังเห็นว่า อัตราเงินเฟ้อในช่วง 2 เดือนข้างหน้าจะเกิน 6%

อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยช่วยให้ภาวะเงินเฟ้อเบาบางลง เช่น มาตรการจากภาครัฐ ซึ่งนโยบาย 6 มาตรการช่วยลดแรงกดดันจากเงินเฟ้อได้ แต่เป็นเพียงการเลื่อนเวลาเท่านั้น ส่วนราคาน้ำมัน ปัจจุบันที่อยู่ประมาณ 110 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล จะส่งผลโดยตรงกับสภาวะเงินเฟ้อ และจากการที่รัสเซียถอนทหารออกจากจอร์เจียแล้วนั้น ตนมองว่า จะช่วยให้ราคาน้ำมันต่ำลงได้อีก

นายนพดล กล่าวว่าขณะนี้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงในประเทศยังติดลบ (ถึงแม้คณะกรรมการนโยบายการเงินปรับเพิ่มขึ้นอีก 0.25%) ทำให้ยังมีช่องทางที่จะดำเนินนโยบายการเงินตึงตัวเพื่อลดแรงกดดันต่อเงินเฟ้อได้ แต่แนวทางการปรับอัตราดอกเบี้ยควรจะเป็นการทยอยปรับ ซึ่งอาจจะปรับขึ้นไปได้ไม่มากนัก เนื่องจากต้องระวังไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

อัตราดอกเบี้ยถือเป็นต้นทุนทางการเงิน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนไม่มากนักในต้นทุนการผลิตของภาคเอกชน และจากการสำรวจความเห็นของเจ้าหน้าที่บริหารสินเชื่อมองว่าอัตราดอกเบี้ยไม่ได้กระทบต่อความต้องการสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ด้วย แต่อย่างไรก็ตาม นอกจากการใช้นโยบายการเงินเพื่อดูและเงินเฟ้อให้เป็นไปตามคาดการณ์ไว้แล้ว จะต้องดูแลไม่ให้กระทบต่อภาคการออมด้วย

นายนพดล วิเคราะห์ถึงภาพรวมเศรษฐกิจและทิศทางเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย และสภาพคล่องของผู้ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ว่า ภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 1/51 ที่เติบโตได้ 6% มีแรงส่งจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศ และการส่งออกที่เติบโตได้ดี

ส่วนไตรมาส 2/51 เชื่อว่าเศรษฐกิจยังขยายตัวได้ แต่อาจชะลอลงบ้าง ขณะที่ครึ่งปีหลังมองว่าเศรษฐกิจยังฟื้นตัวได้ แต่อาจช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากได้รับแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงความไม่แน่นอนเรื่องการเมือง ซึ่งกระทบความเชื่อมั่นของภาคเอกชน และการขยายตัวของการอุปโภคบริโภคเริ่มแผ่วลง ซึ่งเป็นผลมาจากเงินเฟ้อที่อยู่ระดับสูง แต่การที่รัฐบาลออกมาตรการต่างๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ช่วยลดผลกระทบที่เกิดขึ้น และส่งผลดีต่อเศรษฐกิจช่วงครึ่งปีหลังได้

ขณะที่การลงทุนภาครัฐช่วงครึ่งปีหลัง เริ่มเห็นความชัดเจนมากขึ้น แต่ยังมีความไม่แน่นอนในเรื่องของต้นทุน ส่วนการส่งออกยังมีแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก ทั้งเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในภูมิภาคที่มีสัญญาณการชะลอตัว และแม้เงินบาทที่อ่อนค่าลงที่มองว่าจะเอื้อต่อการส่งออกได้นั้น แต่เงินเฟ้อที่สูงขึ้นจะกระทบต่อความสามารถทางการแข่งขัน เพราะทำให้สินค้ามีราคาแพงขึ้น

นายนพดล มองว่า ทิศทางของอัตราเงินเฟ้อในระยะ 1 ปีข้างหน้า คาดว่าจะทรงตัวอยู่ในระดับสูง เนื่องจากผลสำรวจของ ธปท.พบว่า ผู้ประกอบการภาคเอกชนยังมองว่าอัตราเงินเฟ้อในระยะ 12 เดือนน่าจะอยู่เหนือกว่าระดับ 6%
ทั้งนี้ ธปท.คาดอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ในปีนี้จะอยู่ในช่วง 2.8-3.8% ซึ่งเป็นระดับที่ยังไม่ได้ประเมินผลกระทบจากมาตรการ 6 เดือน ของภาครัฐที่อาจทำให้แรงกดดันของเงินเฟ้อลดลง ส่วนเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) คาดว่าอยู่ที่ 7.5-8.8%

สำหรับปี 52 คาดว่าเงินเฟ้อพื้นฐานจะอยู่ในช่วง 3-4% ส่วนเงินเฟ้อทั่วไป(CPI) คาดว่าจะอยู่ที่ 5.0-7.5%

สำหรับ GDP ปีนี้คาดว่าจะขยายตัวในช่วง 4.8-5.8% และปี 52 จะอยู่ที่ 4.3-5.8%

. . .



กระทรวงพาณิชย์ เผยยอดส่งออก 7 เดือนแรกของปีนี้ ขยายตัวร้อยละ26.1


นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงตัวเลขการค้าระหว่างประเทศในระยะช่วง 7 เดือนของปี 2551 ตั้งแต่ ม.ค. ถึงเดือน ก.ค. ว่าการส่งออกในระยะ 7 เดือน มีมูลค่าถึง 104,170 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.1

ส่วนการนำเข้าในระยะ 7 เดือนมีมูลค่าถึง 106,264 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 36.8 ทำให้การขาดดุลการค้าในช่วง 7 เดือนของปี 2551 ประเทศไทยขาดดุลการค้ากว่า 2,094 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่าจะเร่งทำให้การส่งออกโตตามเป้าที่กำหนดไว้ คือ ร้อยละ 12.5

สำหรับตัวเลขการส่งออกของไทยในเดือน ก.ค. มีมูลค่าถึง 16,597 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้วถึงร้อยละ 43.9

ส่วนการนำเข้ามีมูลค่าถึง 17,984 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 55.1
สินค้าที่มีมูลค่าในการส่งออกมากที่สุด คือ สินค้าในภาคเกษตร และอุตสาหกรรมการเกษตร มีมูลค่าถึง 3,063 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยสินค้าข้าว และยางพารา มาเป็นอันดับที่ 1 และ 2

ส่วนสินค้าที่นำเข้ายังคงเป็นกลุ่มสินค้าพลังงานเชื้อเพลิง ที่มีมูลค่าถึง 4,203 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

. . .



ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมดีขึ้น หลังราคาน้ำมันลดลงและค่าเงินบาทอ่อนค่า


นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงผลสำรวจความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมไทย (Thai Industries Sentiment Index : TISI) ในเดือน ก.ค.51 ซึ่งได้จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,048 ตัวอย่าง ครอบคลุม 39 กลุ่มอุตสาหกรรมของ ส.อ.ท. โดยระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือน ก.ค.51 อยู่ที่ 76.9 เพิ่มขึ้นจากที่อยู่ในระดับ 73.6 ในเดือน มิ.ย.51 เนื่องจากได้รับผลดีจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง และเงินบาทอ่อนค่าลง

ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงส่งผลดีต่อต้นทุนการประกอบการที่ลดลง ด้านยอดคำสั่งซื้อ และยอดขายยังคงมีการปรับเพิ่มขึ้น ประกอบกับเงินบาทที่อ่อนค่าเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกันทำให้ความสามารถในการแข่งขันปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ขณะที่ความเชื่อมั่นคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าที่ปรับเพิ่มขึ้นจากระดับ 77.0 เป็น 82.9 โดยคาดว่าได้รับผลดีจากสถานการณ์ปัจจุบันราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง และเงินบาทที่อ่อนค่าลงเช่นกัน

นายสันติ กล่าวว่า สภาวะแวดล้อมการดำเนินกิจการในเดือน ก.ค. ถือเป็นเดือนแรกของปี 51 ที่ปัจจัยแวดล้อมในการดำเนินกิจการผ่อนคลายมากขึ้น ได้แก่ ราคาน้ำมันปรับตัวลดลง อัตราแลกเปลี่ยนมีเสถียรภาพในทิศทางที่อ่อนค่าเล็กน้อย เศรษฐกิจโลกยังคงขยายตัวได้ ทำให้การปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อลดแรงกดดันเงินเฟ้อมีความจำเป็นน้อยลง

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เห็นว่าภาครัฐควรกำหนดนโยบายพลังงานทดแทนที่ชัดเจน, มีมาตรการส่งเสริมระยะยาวให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมมีเงินทุนหมุนเวียน, ดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ, ส่งเสริมและพัฒนาฝีมือแรงงาน, เพิ่มอัตราค่าจ้างและสวัสดิการเพื่อลดปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และเร่งสร้างเสถียรภาพทางการเมืองเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ

. . .




 

Create Date : 21 สิงหาคม 2551
6 comments
Last Update : 21 สิงหาคม 2551 18:00:44 น.
Counter : 3258 Pageviews.

 

. . .

ตัวเลขส่งออกเดือนกรกฎาคม 2551 ... ขยายตัวสูงเป็นประวัติการณ์ จากการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์
โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย


เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม กระทรวงพาณิชย์รายงานตัวเลขการค้าระหว่างประเทศของไทยในเดือนสิงหาคม 2551 โดยมีประเด็นสำคัญ ดังต่อไปนี้

 จากการรายงานของกระทรวงพาณิชย์ การส่งออกของไทยในเดือนกรกฎาคม 2551 มีอัตราการขยายตัวสูงเกินคาดที่ร้อยละ 43.9 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (จากที่ขยายตัวร้อยละ 27.4 ในเดือนมิถุนายน) และมีมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 16,957.38 พันล้านดอลลาร์ฯ ขณะเดียวกัน การนำเข้าก็ขยายตัวในอัตราเร่งสูงถึงร้อยละ 55.1 (จากที่ขยายตัวร้อยละ 30.7 ในเดือนมิถุนายน) โดยมีมูลค่า 17,984.29 พันล้านดอลลาร์ฯ ซึ่งสูงกว่าการส่งออก ส่งผลให้ดุลการค้าในเดือนนี้ขาดดุล 1,026.91 พันล้านดอลลาร์ฯ จากที่เกินดุล 627.84 พันล้านดอลลาร์ฯ ในเดือนก่อน โดยเป็นการขาดดุลครั้งที่ 4 ของปีนี้

 ทั้งนี้ สินค้าส่งออกสำคัญที่มีอัตราการขยายตัวเร่งสูงอย่างมากในเดือนกรกฎาคม ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป (เพิ่มขึ้นร้อยละ 278.9 ในเดือนก.ค. จากร้อยละ 146.8 ในเดือนมิ.ย.) น้ำมันดิบ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 126.5 ในเดือนก.ค. จากร้อยละ 93.2 ในเดือนมิ.ย.) อัญมณีและเครื่องประดับ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 197.1 ในเดือนก.ค. จากร้อยละ 157.0 ในเดือนมิ.ย. โดยที่สำคัญเป็นผลของการส่งออกทองคำที่ยังไม่ได้ขึ้นรูปที่ขยายตัวสูงกว่าร้อยละ 1,000) ข้าว (เพิ่มขึ้นร้อยละ 212.1 ในเดือนก.ค. จากร้อยละ 201.9 ในเดือนมิ.ย.)

 อย่างไรก็ตาม แม้ไม่รวมสินค้ารายการดังกล่าวข้างต้น การส่งออกของไทยก็ยังมีอัตราการขยายตัวได้ร้อยละ 29.6 โดยสินค้าส่งออกรายการสำคัญมีอัตราการขยายตัวที่สูงขึ้นกว่าเดือนก่อนหน้า ไม่ว่าจะเป็น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.5 ในเดือนก.ค. จากร้อยละ 13.3 ในเดือนมิ.ย.) รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 45.3 ในเดือนก.ค. จากร้อยละ 4.5 ในเดือนมิ.ย.) และยางพารา (เพิ่มขึ้นร้อยละ 59.1 ในเดือนก.ค. จากร้อยละ 26.2 ในเดือนมิ.ย.)

 สำหรับสินค้านำเข้าที่ขยายตัวสูงขึ้นอย่างมากในเดือนกรกฎาคม ได้แก่ น้ำมันดิบ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 94.5 ในเดือนก.ค. จากร้อยละ 72.8 ในเดือนมิ.ย.) เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 121.2 ในเดือนก.ค. จากร้อยละ 80.6 ในเดือนมิ.ย.) ปุ๋ยและยากำจัดศัตรูพืชและสัตว์ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 272.7 ในเดือนก.ค. จากร้อยละ 112.7 ในเดือนมิ.ย.) ก๊าซธรรมชาติ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 87,371 จากการนำเข้าก๊าซ LPG เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการใช้) เรือและสิ่งก่อสร้างลอยน้ำ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 4,431 ในเดือนก.ค. จากการนำเข้าแท่นขุดเจาะน้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติ)

อย่างไรก็ดี เป็นที่สังเกตว่า การส่งออกและนำเข้าที่เร่งสูงอย่างมากในเดือนกรกฎาคมส่วนหนึ่งเป็นผลของปัจจัยราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก โดยราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกโดยเฉลี่ยในเดือนดังกล่าวเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 70 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เริ่มอ่อนตัวลงในเดือนสิงหาคม คงทำให้การส่งออกและนำเข้าในเดือนถัดๆ ไป มีโอกาสชะลอตัวลงค่อนข้างมาก ประกอบกับแนวโน้มเศรษฐกิจในภูมิภาคสำคัญมีแนวโน้มชะลอตัวรุนแรงกว่าในช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งอาจกระทบต่อความต้องการภายในประเทศผู้นำเข้าสำคัญของไทย อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมิน ณ เบื้องต้นว่า จากการขยายตัวของการส่งออกที่สูงเกินความคาดหมายในเดือนที่ผ่านมาๆ คาดว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตัวเลขการส่งออกของไทยในปี 2551 มีโอกาสที่จะขยายตัวอยู่ในช่วงประมาณร้อยละ 17-20 ส่วนการนำเข้าคงจะขยายตัวอยู่ในช่วงประมาณร้อยละ 26-30 และคาดว่าดุลการค้าจะอยู่ระหว่าง 0.0 ถึง +3.0 พันล้านดอลลาร์ฯ 
. . .

 

โดย: som IP: 58.137.155.65 21 สิงหาคม 2551 18:05:32 น.  

 

ราคาทอง เห็นว่าวันอาทิตย์หมื่นสอง วันนี้จะหมื่นสี่อีกแล้ว
กะว่าเมื่อไหร่ลงถึงห้าพันจะไปซื้อสักสองบาท...



...เอามาเลี่ยมฟัน

 

โดย: AuntieV 21 สิงหาคม 2551 21:40:44 น.  

 




ข่าวเยอะดีนะคะ อ่านเพลินเลยค่ะ

 

โดย: ทิวาจรดราตรี 21 สิงหาคม 2551 22:19:04 น.  

 

แวะมางั้นๆๆ อิอิอิ
จะแวะมาบอกว่า
ของที่แอบไว้น่ะ
ตอนนี้ไม่ได้แอบแล้วน่ะจ๊ะ

 

โดย: ป้าซ่าส์ 22 สิงหาคม 2551 13:31:26 น.  

 

//komn-mrmiddleman.blogspot.com/




 

โดย: http://komn-mrmiddleman.blogspot.com/ IP: 124.120.174.243 23 สิงหาคม 2551 11:37:56 น.  

 

 

โดย: ป้าซ่าส์ 23 สิงหาคม 2551 13:02:38 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


loykratong
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]






ไม่มีอะไรขึ้นตลอด
ไม่มีอะไรลงตลอด
...ไม่มี the end of the world ...

Web Site Hit Counters

ราคาทองคำ
 

ราคาทองคำต่างประเทศ



Friends' blogs
[Add loykratong's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.