. . . เตรียมประกาศห้ามใช้สารตะกั่วเชื่อมต่อหม้อก๋วยเตี๋ยวเป็นการถาวร . . .

. . .

คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เตรียมประกาศห้ามใช้สารตะกั่วเชื่อมต่อหม้อก๋วยเตี๋ยวเป็นการถาวร


นางรัศมี วิศทเวทย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (คคบ.) วันที่ 13 ส.ค. นี้ สคบ.จะเสนอให้ที่ประชุม ออกคำสั่ง คคบ.ห้ามขายสินค้าเครื่องทำน้ำเย็น และภาชนะสำหรับปรุงหรือบรรจุอาหารที่ใช้ตะกั่วเป็นตัวประสานรอยเชื่อมต่อ โดยเฉพาะหม้อก๋วยเตี๋ยวเป็นการถาวร หลังจากที่พบว่าไม่มีผู้ประกอบการหรือผู้บริโภครายใดแสดงความเห็นคัดค้านหลังจากที่ก่อนหน้านี้ คคบ.ได้ออกคำสั่งห้ามขายเป็นการชั่วคราว เมื่อปลายปี 50 เป็นต้นมา

นอกจากนี้ จะเสนอให้ที่ประชุมพิจารณาจัดสรรเงินงบประมาณให้กับ สคบ.เพื่อนำไปสนับสนุนการจัดซื้อจัดหาหม้อก๋วยเตี๋ยวที่ไม่ได้ใช้ตะกั่วเป็นตัวเชื่อมต่อให้กับโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก

การประชุมในครั้งนี้ ยังมีเรื่องเพื่อพิจารณาอื่นๆ เช่น การเปรียบเทียบความผิดผู้ประกอบธุรกิจโฆษณา, ธุรกิจจำหน่ายสินค้า, ธุรกิจศูนย์บริการรับจัดไฟแนนซ์, ธุรกิจที่จัดทำฉลากสินค้าชุดสังฆทาน และชุดไทยธรรมไม่ถูกต้อง เป็นต้น และการดำเนินคดีกับผู้ประกอบธุรกิจที่ละเมิดสิทธิผู้บริโภคจากการทำสัญญาจะซื้อจะขายอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น

. . .



ไตรมาส 2 ประชาชนใช้บริการสินเชื่อส่วนบุคคล และบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น 2-3%


ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานภาวะการให้บริการบัตรเครดิต และสินเชื่อบุคคล สิ้นไตรมาสที่สองของปีนี้ พบว่า สินเชื่อส่วนบุคลรวมของธนาคารพาณิชย์ และผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (นอนแบงก์) สิ้นเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา อยู่ที่ 11.11 ล้านบัญชี เทียบกับไตรมาสแรกที่มี 10.85 ล้านบัญชี เพิ่มขึ้น 266,137 บัญชี หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.45
โดยมียอดคงค้างสินเชื่อส่วนบุคลรวม 213,643 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกของปีนี้ 7,084 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.42

แบ่งเป็นสินเชื่อส่วนบุคคลของธนาคารพาณิชย์ไทย 98,784 ล้านบาท เป็นสินเชื่อของนอนแบงก์ 92,838 ล้านบาท ขณะที่สินเชื่อส่วนบุคคลของธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศลดลง โดยมียอดคงค้างอยู่ที่ 22,057 ล้านบาท

ทั้งนี้ เมื่อเทียบสัดส่วนการเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของสินเชื่อบุคคลของระบบรวม ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 51 มียอดหนี้เอ็นพีแอลทั้งสิ้น 9,336 ล้านบาท เทียบกับเดือน มี.ค. พบว่า มีหนี้เอ็นพีแอลลดลง 244 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 2.54

สำหรับการให้บริการบัตรเครดิต และสินเชื่อบัตรเครดิตทั้งระบบ สิ้นไตรมาสสองของปีนี้ ผู้ให้บริการบัตรเครดิตทั้งหมดมีบัตรเครดิตอยู่ในระบบทั้งสิ้น 12.36 ล้านบัตร เทียบกับไตรมาสแรกที่มี 12.06 ล้านบัตร เพิ่มขึ้น 294,090 บัตร หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.43 ขณะที่มียอดคงค้างสินเชื่อบัตรเครดิตรวม สิ้นเดือน มิ.ย. มีทั้งสิ้น 179,096 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,331 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.47

ยอดคงค้างหนี้เอ็นพีแอลของสินเชื่อบัตรเครดิต ได้ปรับลดลงเช่นเดียวกับสินเชื่อส่วนบุคคล โดยสิ้นเดือน มิ.ย.มีหนี้เอ็นพีแอลรวมทั้งสิ้น 5,497 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสแรก 537 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 8.89

นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สาเหตุที่เอ็นพีแอลของสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลในไตรมาสที่ 2 ปรับลดลง เนื่องจากเป็นช่วงครึ่งปีที่ธนาคารพาณิชย์มีการปิดงวดบัญชีครึ่งปี ซึ่งมีการตัดหนี้สูญออกจากบัญชี และประชาชนมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น

โดยตัวเลขเอ็นพีแอลของสินเชื่อบัตรเครดิต ณ สิ้นเดือน มิ.ย. ลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 3.1 เทียบกับสิ้นเดือน มี.ค.อยู่ที่ร้อยละ 3.5 ของสินเชื่อรวม ขณะที่เอ็นพีแอลของสินเชื่อบุคคลสิ้นเดือน มิ.ย.ปรับลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 4.4 เทียบกับเดือน มี.ค. 2551 ที่ผ่านมา ซึ่งมีเอ็นพีแอลร้อยละ 4.6 ของสินเชื่อรวม

. . .



กระทรวงพาณิชย์เตรียมหารือผู้ประกอบการตรึงราคาสินค้าวันนี้ (13 ส.ค.)


นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าในวันนี้( 13 ส.ค.)จะเชิญกลุ่มผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค อาทิ ผงซักฟอก ยาสีฟัน สบู่ แชมพูกว่า 20 ราย มาหารือถึงต้นทุนสินค้าที่แท้จริง เพื่อพิจารณาทบทวนว่าหากสินค้าใดสามารถปรับลดราคาลงได้ก็ควรปรับลด และสินค้าใดที่ต้นทุนสูง ก็จะขอให้ตรึงราคาสินค้าไว้ก่อน

นายไชยากล่าวว่าขณะนี้ประชาชนได้รับความช่วยเหลือจาก 6 มาตรการ 6 เดือนของรัฐบาลทำให้มีเม็ดเงินมาซื้อสินค้าอุปโภค-บริโภคมากขึ้น จึงอยากให้ตรึงราคาสินค้าต่อไปอีกสักระยะเพื่อให้เข้าสู่ภาวะปกติ

นอกจากนี้ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่าในวันที่ 19 ส.ค. จะนำ พ.ร.บ.กฎหมายค้าปลีก ค้าส่ง เข้าหารือกับที่ประชุมคณะรัฐมนตรี

นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่าในวันศุกร์ที่ 15 ส.ค. จะหารือกับผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร อาทิ ปุ๋ย และยา และในสัปดาห์หน้าจะหารือผู้ประกอบการกลุ่มเหล็ก และปูนซีเมนต์

ด้านการระบายข้าวในสต๊อก นายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เป็นห่วงข้าวนาปีรอบใหม่ ในเดือน พ.ย. เนื่องจากจะออกมามากกว่าข้าวนาปรัง 3-10 เท่า และไม่มีพื้นที่รองรับ จึงจำเป็นต้องระบายข้าว ทั้งข้าวที่รับซื้อใหม่ในปี 2551 และสต๊อกข้าวเก่า 2.1 ล้านตัน

ในเบื้องต้นราคาที่จะขายให้ผู้ค้าข้าวอยู่ที่ 14,000 บาท/ตัน แต่หากไม่มีคนซื้อ ก็จะพิจารณามาตรการอื่นๆต่อไป

สำหรับการจัดงาน เมด อิน ไทยแลนด์ สเปเชียล 2551 ของกระทรวงพาณิชย์ ระหว่างวันที่ 8-17 สิงหาคมนี้ เวลา 10.00-21.00 น. ที่อิมแพ็คเมืองทองธานี

นายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า งานเมดอินไทยแลนด์ได้รับการตอบรับอย่างดีจากประชาชน โดยเฉพาะวันแม่ 12 ส.ค. มีการลดราคาสินค้าของแม่และเด็กเป็นพิเศษ อาทิ นม โดยตลอด 10 วันของการจัดงานจะมีการลดราคาสินค้าหมุนเวียนกันไป

ทั้งนี้ ในช่วง 5 วันที่ผ่านมามีประชาชนเข้าร่วมงานแล้วกว่า 400,000 คน มีเงินหมุนเวียนกว่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าหากครบกำหนด 10 วัน จะได้ตามเป้าที่ตั้งไว้อยู่ที่ 5,000 ล้านบาท

นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ในส่วนของสินค้าธงฟ้าลดราคา 20-50 % สินค้าที่ได้รับความนิยม คือ ข้าวสาร และไข่ไก่ และในวันนี้( 13 ส.ค.)จะลดราคาน้ำมันพืชเป็นพิเศษ โดยราคาอยู่ที่ 41 บาทต่อลิตร จากราคาในท้องตลาดอยู่ที่ 47.50 สตางค์

. . .



ประธานาธิบดีรัสเซีย สั่งยุติปฏิบัติการโจมตีจอร์เจียแล้ว


ประธานาธิบดี ดมิทรี เมดเวเดฟ ของรัสเซีย สั่งยุติปฏิบัติการทางทหารในจอร์เจียแล้ววานนี้ (12 ส.ค.) ภายหลังการสู้รบที่ยืดเยื้อมาถึง 5 วัน ก่อนที่ประธานาธิบดี นิโกลาส์ ซาร์โกซี แห่งฝรั่งเศส ในฐานะประธานสหภาพยุโรป (อียู) จะจัดการเจรจาสันติภาพขึ้นที่กรุงมอสโก

โฆษกพระราชวังเครมลิน ยืนยันว่า ประธานาธิบดี เมดเวเดฟ ออกคำสั่งให้กระทรวงกลาโหม “ยุติปฏิบัติการรุกรานอำนาจของจอร์เจียเพื่อสันติภาพ”
“ผู้รุกรานถูกลงโทษแล้ว” สำนักข่าวอินเตอร์แฟกซ์รายงาน โดยอ้างคำพูดของ ประธานาธิบดี เมดเวเดฟ

จอร์เจีย และ รัสเซีย คืบคลานสู่สถานการณ์ความขัดแย้งในดินแดนเซาท์ออสซีเทีย อันเป็นจังหวัดเล็กๆ ที่ฝักใฝ่รัสเซียตั้งแต่อาทิตย์ที่ผ่านมา ภายหลังจากที่จอร์เจียเปิดศึกขึ้นก่อนเมื่อคืนวันพฤหัสบดี (7 ส.ค.) ด้วยการพยายามใช้กำลังทหารเข้ายึดดินแดนดังกล่าว ที่ประกาศแยกตัวออกจากจอร์เจียในช่วงทศวรรษ 1990

ขณะที่สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ ระบุว่า เหตุสู้รบในจังหวัดเซาท์ออสซีเทีย ส่งผลให้มีผู้ลี้ภัยราว 100,000 คนแล้ว พร้อมกับเรียกร้องให้ทุกฝ่ายอำนวยความสะดวกในการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม
เมื่อวันที่ 12 ส.ค. ประธานาธิบดีซาร์โกซี แห่งฝรั่งเศส ในฐานะประธานอียู เข้าพบ ประธานาธิบดีรัสเซีย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างสันติภาพในจอร์เจีย

ประธานาธิบดีซาร์โกซี แห่งฝรั่งเศส กล่าวว่า เป็นเรื่อง “ธรรมดา” สำหรับรัสเซีย ที่จะปกป้องประชาชนที่พูดภาษารัสเซีย บริเวณพรมแดนที่ติดกับประเทศ ทว่า เอกภาพทางอาณาเขตของจอร์เจียเป็นสิ่งที่ต้องเคารพเช่นกัน

. . .



ราคาน้ำมันลดลงต่อเนื่อง เมินความตึงเครียดรัสเซีย-จอร์เจีย

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่าราคาน้ำมันดิบดิ่งลงต่ำสุดตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคมเมื่อวันจันทร์ (11 ส.ค.) จากความกังวลของตลาดต่อดีมานด์ที่ลดลงกำลังลดลงเรื่อยๆ ทั้งในยูโรโซน และจีน โดยเฉพาะจีนที่ปริมาณการนำเข้าน้ำมันลดลงอย่างมาก

ราคาน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีทครูด ของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนกันยายน ร่วงลง 75 เซนต์ ปิดที่ 114.45 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยช่วงหนึ่งของการซื้อขายราคาดิ่งลงไปถึง 112.72 ดอลลาร์ ซี่งถือว่าต่ำที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม (ในรอบ 3 เดือน)

ขณะที่ราคาปิดของน้ำมันดิบเบรนต์ในลอนดอน งวดส่งมอบเดียวกันตกลงมา 66 เซนต์ ปิดที่ 112.67 ดอลลาร์ หลังจากดิ่งลงต่ำสุดในรอบวัน 111.07 ดอลลาร์

“มีนัยการเปลี่ยนแปลงในตลาด ขณะที่โลกกำลังกำหนดราคาใหม่บนพื้นฐานทางเศรษฐกิจของตนเอง ขณะที่มันยังเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจของสหรัฐฯที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างกะทันหัน” ฟิล ฟลีนน์ นักวิเคราะห์ของ อลารอน เทรดดิงกล่าว

ด้านนักวิเคราะห์ของ บาร์เคลย์ส แคปิตอล กล่าวว่า มีความกังวลต่อเศรษฐกิจอันถดถอยของโลก ซึ่งส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันลดลง ทั้งนี้ นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า ตลาดไม่ใส่ใจต่อปัญหาความรุนแรงที่ขยายตัวระหว่างรัสเซียและจอร์เจียเท่าใดนัก

“ตลาดเพิกเฉยปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อเส้นทางขนส่งน้ำมันสำคัญบากู-ทบิลิซี-ซีฮัน และความขัดแย้งที่ขยายตัวขึ้นระหว่างรัสเซียและจอร์เจีย” นามิต คามาร์ นักวิเคราะห์จากซัคเดน กล่าว

บางส่วนของตลาดพุ่งเป้าที่ข่าวจีน ชาติผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐฯ นำเข้าน้ำมันลดลงถึง 7% ในเดือนมิถุนายน ถือว่าดิ่งลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม นอกจากนี้ ราคาน้ำมันที่ลดลงส่วนหนึ่งมาจากเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นเช่นกัน ขณะที่ค่าเงินยูโรอ่อนค่าที่สุดในรอบ 5 เดือน

ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ปรับขึ้น ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากเงินดอลลาร์แข็งค่ามากที่สุดในรอบ 6 เดือน เมื่อเทียบกับ 6 สกุลเงินหลัก และราคาน้ำมันลดลง รวมทั้งมุมมองในทางบวกต่อตลาดหุ้นทั่วโลกโดยรวม ยกเว้นตลาดหุ้นจีน และฮ่องกงที่ปรับตัวลดลง หลังจากรัฐบาลเผยแพร่ข้อมูลที่ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น

ตลาดหุ้นหลักๆ ของเอเชีย ที่ปรับขึ้น ประกอบด้วย ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อินเดีย สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ไต้หวัน ประเทศไทย

ส่วนตลาดหุ้นในเอเชียที่ปรับตัวลดลงได้แก่ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต ลดลง 5.2% หลังจากดัชนีราคาขายส่งของจีนในเดือนกรกฎาคมพุ่งขึ้นสูงที่สุดในรอบ 12 ปี ทำให้ดัชนีลดต่ำที่สุดในรอบเกือบ 1 ปีครึ่ง ซึ่งดึงดัชนีหั่งเส็งของฮ่องกงลดลงไป 0.12% หลังจากในช่วงแรกดัชนีปรับขึ้น ขณะที่อินโดนีเซียปรับลง 3%

. . .

Create Date : 12 สิงหาคม 2551		4 comments
Last Update : 12 สิงหาคม 2551 19:28:41 น.
Counter : 1536 Pageviews.
Share Tweet