. . . น้ำมันจะลดลงอีก--ค่าบาทอ่อนสุดรอบ 9 เดือน . . .
. . .
ปตท.เตรียมปรับลดราคาขายปลีก เบนซิน-ดีเซล 40-80 สตางค์ต่อลิตร สัปดาห์นี้
ปตท.เตรียมปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันภายในประเทศ ทั้งดีเซล-เบนซิน ลงอีกลิตรละ 40-80 สตางค์ ภายในสัปดาห์นี้
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกยังทรงตัวอยู่ในระดับนี้ต่อไป คาดว่า ภายในสัปดาห์นี้ ปตท.จะสามารถปรับลดราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศลงได้อีกลิตรละ 40-80 สตางค์
สำหรับสถานการณ์ตลาดน้ำมันภายในประเทศ ปัจจุบัน ผู้ค้ากำหนดราคาขายปลีกน้ำมันหน้าสถานีบริการในกรุงเทพฯ และปริมณฑลไว้ดังนี้
เบนซิน 95 อยู่ที่ลิตรละ 38.69 บาท, เบนซิน 91 อยู่ที่ลิตรละ 36.29 บาท, แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ลิตรละ 28.79 บาท, แก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ลิตรละ 27.99 บาท ดีเซลอยู่ที่ลิตรละ 33.04 บาท นายประเสริฐ กล่าวว่า ปตท.มองแนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลกปีนี้ว่าไม่น่าต่ำกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล แม้จะมีคนคาดว่าราคาจะลงไปต่ำกว่า 90 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ซึ่งราคาน้ำมันระดับนี้จะทำให้ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศทรงตัวในระดับที่ 30 กว่าบาทต่อลิตร และแม้จะครบกำหนด 6 มาตรการ 6 เดือนของรัฐบาลไปแล้ว ก็ยังเชื่อว่าระดับราคาน้ำมันจะยังอยู่ที่ 30 กว่าบาทต่อลิตร ซึ่งถือว่าน่าพอใจ
. . .
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร แนะรัฐส่งเสริมสินค้าเกษตรช่วยผลักดันเศรษฐกิจโตได้อีก 3 ปี
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ปาฐกถาพิเศษ อนาคตเศรษฐกิจไทย ฝ่าวิกฤติได้อย่างไร ในงานครบรอบ 88 ปี กระทรวงพาณิชย์ว่า เศรษฐกิจครึ่งปีหลังต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มถดถอยส่งผลให้เศรษฐกิจญี่ปุ่น และยุโรปเริ่มมีปัญหา จึงต้องติดตามอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะราคาน้ำมันตลาดโลก เชื่อว่าราคาน้ำมันจะอยู่ระดับ 110-120 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพราะความต้องการใช้ทั่วโลกที่ลดลง และหากไม่มีเรื่องสงครามตะวันออกกลาง หรือความขัดแย้งเรื่องนิวเคลียร์อิหร่าน ราคาน้ำมันคงไม่ปรับขึ้นซึ่งมีแนวโน้มว่าน้ำมันจะอยู่ที่ราคานี้ไปอีก 6 เดือนไปจนถึงปีหน้า
แต่ถ้าสถานการณ์รุนแรงจะขยับไปมากกว่านี้ และกระทบต่อเศรษฐกิจโลกรวมถึงไทย
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยครึ่งปีแรกเติบโตได้ดี แต่แนวโน้มครึ่งปีหลังค่อนข้างชะลอตัวลง รัฐบาลจะต้องทำให้ประชาชนมีรายได้ เพราะหากประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้นก็จะทำให้เศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้น
ที่ผ่านมาไทยพึ่งพาการส่งออก ทำให้คาดการณ์ว่าหลังจากนี้ส่งออกจะไม่เติบโตเท่าครึ่งปีแรก เพราะจะชะลอตัวลงตามเศรษฐกิจโลก ดังนั้น รัฐบาลจะต้องวางกรอบพัฒนาการส่งออกและการบริโภคในประเทศ ไม่ควรเน้นจุดใดจุดหนึ่งมากเกินไป โดยสินค้าภาคการเกษตรยังเป็นตัวสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยเติบโต เช่น ข้าว มันสำปะหลัง ยางแผ่นดิบ อ้อย และปาล์ม รัฐต้องมีมาตรการสนับสนุนเกษตรกร เช่น การรณรงค์ใช้เอทานอล เป็นต้น
สำหรับสิ่งที่เป็นห่วง และอยากฝากกระทรวงพาณิชย์ คือ การดูแลราคาข้าว โดยรับจำนำในราคาที่เหมาะสม และอยากให้ภาครัฐแทรกแซงราคาข้าวเพื่อไม่ให้ราคาลดลง แต่จะต้องสมเหตุสมผล
หากรัฐบาลวางกรอบการผลักดันสินค้าเกษตร 5 ชนิดให้มีเสถียรภาพ เชื่อว่าเศรษฐกิจยังจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 3 ปี
ส่วนปัญหาเงินเฟ้อไม่น่าห่วง เพราะมีแนวโน้มลดลงตามสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก แต่รัฐบาลจะต้องดูแล หากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นอาจทำให้เงินเฟ้อขยับขึ้นได้ โดยเงินเฟ้อเดือน ก.ค.ร้อยละ 9.2 แต่หลังจากนี้จะอยู่ประมาณร้อยละ 7-8
ส่วนปัญหาที่หลายฝ่ายมองว่านโยบายการเงิน-การคลังไม่สอดคล้องกันนั้น ม.ร.ว. ปรีดิยาธร กล่าวว่า ไม่อยากออกความเห็น ขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐบาล แต่ขณะนี้คนที่กดดันธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หมดแรงแล้ว ซึ่งคงต้องติดตามว่ากระทรวงการคลัง และ ธปท.จะวางกรอบทำงานร่วมกันอย่างไร
. . .
ค่าเงินบาทอ่อนค่าต่ำสุดรอบ 9 เดือน ระยะสั้นอาจอ่อนลงถึง 34.20-34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด รายงานว่า การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท ในวันที่ 20 ส.ค.ที่ผ่านมา อ่อนค่าลงในระหว่างชั่วโมงการซื้อ-ขาย หลังจากเงินบาทได้ร่วงลงอย่างหนักทะลุระดับ 34.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เมื่อวันที่ 19 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยเงินบาทอ่อนค่าลงต่อเนื่องแตะระดับต่ำสุดในรอบ 9 เดือนที่ระดับประมาณ 34.15 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากมีแรงซื้อเงินดอลลาร์ฯอย่างต่อเนื่องของธนาคารต่างชาติในประเทศไทย และจากผู้นำเข้าเนื่องจากเป็นช่วงใกล้สิ้นเดือน
นอกจากนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทยังเป็นไปตามทิศทางของสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค ขณะที่ความเชื่อมั่นต่อค่าเงินดอลลาร์ฯฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งท่ามกลางความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอ
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกมากล่าวถึงประเด็นการอ่อนค่าของเงินบาทว่า เงินบาทที่อ่อนค่ายังคงเกาะกลุ่มกับทิศทางสกุลเงินอื่น ๆ ในเอเชีย ซึ่งเป็นผลมาจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ฯ เป็นหลัก ขณะที่ การเคลื่อนย้ายเงินทุนหลังจากการขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาตินั้น ไม่ได้ไหลออกอย่างรวดเร็ว ซึ่ง ธปท.จะเข้าดูแลเสถียรภาพของตลาดตามความจำเป็น
สำหรับแนวโน้มเงินบาทในระยะถัดไปนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ในระยะสั้น เงินบาทยังคงมีแนวโน้มอ่อนค่าลงต่อเนื่อง โดยอาจมีแนวรับถัดไปที่ระดับ 34.20-34.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ เนื่องจากกระแสความแข็งแกร่งของเงินดอลลาร์ฯ เมื่อเทียบกับเงินสกุลหลัก และสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย ในขณะที่ความไม่ชัดเจนทางการเมืองยังอาจเป็นปัจจัยที่กดดันความเชื่อมั่น และทำให้นักลงทุนประเมินการลงทุนในตลาดการเงินไทยด้วยความระมัดระวัง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่าเงินบาทที่อ่อนค่าได้ช่วยบรรเทาผลกระทบด้านลบต่อภาคส่งออกของไทย ที่กำลังเผชิญความเสี่ยงจากการที่เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักของไทยหลายประเทศ อาทิ อาเซียน ยูโรโซน ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ กำลังตกอยู่ในภาวะชะลอตัว
ในขณะที่ ผลของแรงกดดันต่อระดับราคาในประเทศอาจไม่สูงมากนัก เนื่องจากการอ่อนค่าลงของเงินบาท เกิดขึ้นในจังหวะเดียวกันกับแนวโน้มการปรับฐานครั้งใหญ่ของตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะน้ำมันในตลาดโลก
อย่างไรก็ตาม ทางการไทยคงจะต้องจับตาการเคลื่อนไหวของเงินบาทต่อไปอย่างใกล้ชิด เพราะการเคลื่อนไหวของเงินบาทดังกล่าวอาจมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดเงิน-ตลาดทุน นอกเหนือไปจากผลกระทบที่มีต่อผู้ส่งออกและผู้นำเข้าสินค้า
. . .
Create Date : 20 สิงหาคม 2551 |
|
2 comments |
Last Update : 20 สิงหาคม 2551 19:48:34 น. |
Counter : 515 Pageviews. |
|
|
|
แวะมาส่งความคิดถึงครับผม
..555..
มีความสุขดีอยู่หรือเปล่า
แวะมาทีไรได้อ่านอะไรดีดีทุกที
Geranun