เตือนภัยหญิงไทยที่ติดต่อชาวต่างชาติผ่านทางระบบ Internet ระวังถูกหลอกให้เสียเงินจากการรับสินค้า
. . .
กรมศุลกากรเตือนภัยหญิงไทยที่ติดต่อชาวต่างชาติผ่านทางระบบ Internet ระวังถูกหลอกให้เสียค่าภาษีอากรจากการรับสินค้าปลายทางที่ส่งมาเป็นของกำนัลจากต่างประเทศ
นายยุทธนา หยิมการุณ ผู้อำนวยการสำนักบริหารกลาง ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร เปิดเผยว่า ปัจจุบันกรมศุลกากรได้รับแจ้งจากหญิงไทยหลายรายว่า ได้มีการติดต่อกับชายชาวต่างชาติทาง Internet หลังจากนั้นชายชาวต่างชาติผู้นั้นแจ้งว่าจะส่งของกำนัลต่างๆมาให้ เช่น โน้ตบุ๊คส์, สร้อยคอ, หรือเงินสด ฯลฯ และให้รอรับการติดต่อจากบริษัทขนส่งสินค้า จากนั้นไม่นานก็จะได้รับการติดต่อจากบริษัทขนส่งสินค้า ทาง e-mail และโทรศัพท์ โดยให้โอนเงินจำนวนมากไปยังบริษัทขนส่งสินค้าในประเทศมาเลเซีย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายและค่าภาษีอากร ทั้งนี้ ผู้ร้องเรียนทุกรายจะได้รับแจ้งยอดเงินที่ให้โอนจำนวนใกล้เคียงกัน และชนิดของของที่ส่งมาเหมือนกัน
กรมศุลกากรแจ้งว่า พฤติกรรมดังกล่าวน่าจะเป็นการหลอกลวงของมิจฉาชีพ เนื่องจากตามข้อเท็จจริงสินค้าหรือของที่มีปลายทางถึงผู้รับในประเทศไทย เจ้าหน้าที่ศุลกากรที่ปฏิบัติงาน ณ ท่าหรือที่สินค้านั้นๆผ่านเข้ามา จะเป็นผู้เปิดตรวจ และหากเป็นสินค้าหรือสิ่งของที่ต้องเก็บค่าภาษีอากร เจ้าหน้าที่จะเรียกเก็บค่าภาษีอากรตามกฎหมายไทยและดำเนินการในประเทศไทย โดยไม่มีการเปิดตรวจหรือเก็บภาษีที่ต่างประเทศแต่อย่างใด
นอกจากกรณีข้างต้นแล้ว ปัจจุบันมีการประกาศขายสินค้าราคาถูกทางเว็ปไซต์ โดยอ้างว่าเป็นสินค้าจากกรมศุลกากร อาทิ รถยนต์, คอมพิวเตอร์, โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ และให้มีการโอนเงินมัดจำหรือนัดให้ไปชำระเงินส่วนที่เหลือเพื่อรับสินค้า ด้วยวิธีการต่างๆที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งกรมศุลกากรยืนยันว่า การจำหน่ายสินค้าของกลางกรมศุลกากรโดยวิธีที่ถูกต้องจะเป็นการลงประกาศขายทอดตลาดอย่างเป็นทางการเพียงวิธีเดียว และจะรับชำระเงิน ณ ที่ทำการศุลกากร โดยเจ้าหน้าที่ศุลกากรเท่านั้น ไม่มีการบอกขายทางระบบ Internet หรือผ่านบุคคลที่แอบอ้าง และไม่มีการให้โอนเงินค่าสินค้า หรือโอนเงินมัดจำเข้าบัญชีผู้ใดทั้งสิ้น
ทั้งนี้ หากผู้ใดสนใจซื้อสินค้าศุลกากรให้ตรวจสอบข้อมูลที่ถูกต้องทุกครั้ง ทาง //www.CUSTOMS.GO.TH และหากผู้ใดพบเห็นผู้ที่มีพฤติกรรมข้างต้น สามารถแจ้งได้ที่ส่วนสื่อสารและบริการข้อมูล โทร 02-667-7988 หรือสายด่วนศุลกากร โทร 1164
. . .
ปตท.ประกาศลดราคาขายปลีกดีเซล 60 สตางค์/ลิตร พร้อมปรับขึ้นราคาเบนซินและแก๊สโซฮอล์ 60 สตางค์/ลิตร มีผลวันที่ 22 ม.ค.นี้
บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ประกาศปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลภายในประเทศ ทั้งดีเซลหมุนเร็วและไบโอดีเซล B5 โดยปรับลดลง 60 สตางค์ต่อลิตร ขณะเดียวกันก็ได้ปรับขึ้นราคาขายปลีกกลุ่มน้ำมันเบนซิน และแก๊สโซฮอล์ 60 สตางค์ต่อลิตร ยกเว้นแก๊สโซฮอล์ E85 โดยให้มีผล 5.00 น. วันที่ 22 ม.ค.2552
ส่งผลให้ราคาน้ำมันในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นดังนี้ เบนซิน 91 อยู่ที่ 22.79 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ 18.29 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 17.49 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ E20 อยู่ที่ 16.99 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ E85 อยู่ที่ 18.29 บาทต่อลิตร ดีเซล อยู่ที่ 18.34 บาทต่อลิตร ไบโอดีเซล B5 อยู่ที่ 16.84 บาทต่อลิตร
นายวิทยา หวังจิตรารักษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ตลาดขายปลีกหน่วยธุรกิจน้ำมัน ปตท. กล่าวว่า จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย และข่าวการลงนามข้อตกลงส่งมอบก๊าซธรรมชาติเป็นเวลา 10 ปี ระหว่างรัสเซียกับยูเครน หลังจากที่รัสเซียหยุดส่งก๊าซธรรมชาติเป็นเวลา 2 สัปดาห์ รวมถึงการถอนทหารอิสราเอลเพิ่มเติมจากฉนวนกาซา ทำให้ราคาน้ำมันดิบและน้ำมันดีเซลในตลาดโลกอ่อนตัว
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันเบนซินในตลาดโลกได้ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปีตามความต้องการใช้ในภูมิภาคที่มีอยู่มาก เนื่องจากเป็นเทศกาลวันหยุดต่อเนื่อง ทั้งวันขึ้นปีใหม่และตรุษจีน ส่งผลกระทบต่อต้นทุนขายปลีกในประเทศและค่าการตลาดกลุ่มน้ำมันเบนซินที่เหลือในระดับเพียง 50 สตางค์ต่อลิตร และก่อนหน้านี้บริษัทผู้ค้าน้ำมันบางรายได้ปรับขึ้นราคาขายปลีกไปแล้ว ปตท.จึงจำเป็นต้องนำร่องปรับขึ้นราคาขายปลีกกลุ่มน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์
ทั้งนี้ ในวันที่ 21 ม.ค.52 ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 40.57 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันสำเร็จรูปสิงคโปร์ เบนซินอยู่ที่ระดับ 53.69 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล และดีเซลอยู่ที่ระดับ 54.14 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงผันผวน ตามปัจจัยทางพื้นฐานและจิตวิทยาที่ส่งผลกระทบต่อปริมาณและความต้องการน้ำมัน ทั้งในส่วนของภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังคงชะลอตัว และการที่กลุ่มผู้ค้าน้ำมันโลก(โอเปก) ได้พยายามควบคุมปริมาณน้ำมันให้สมดุลเพื่อพยุงราคาในปัจจุบัน ซึ่งคงต้องติดตามสถานการณ์ต่างๆ ต่อเนื่องในแต่ละวันอย่างใกล้ชิด
. . .
มูลค่าส่งออกเดือน ธ.ค. ลดลงร้อยละ 14.55 เป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่สอง
นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า มูลค่าการส่งออกเดือนธันวาคม 51 มีมูลค่าทั้งสิ้น 11,605 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 14.6 ถือเป็นการลดลงต่อเนื่องเดือนที่ 2 โดยมูลค่าส่งออกไทยเดือน พ.ย.51 ติดลบครั้งแรกในรอบ 5 ปี ในอัตราร้อยละ 18.6
ภาพรวมการส่งออกสินค้าเกษตร อุตสาหกรรมการเกษตร ลดลงร้อยละ 16.1 โดยเฉพาะข้าว ยางพารา และมันสำปะหลัง ที่ลดลงทั้งปริมาณและมูลค่า, สินค้าอุตสาหกรรมสำคัญรวมเชื้อเพลิงลดลงร้อยละ 13.9 ถือเป็นการลดลงตามสถานการณ์ตลาดโลกโดยเฉพาะประเทศผู้นำเข้ามีการชะลอนำเข้าสินค้า
ตลาดส่งออกหลักลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ในทุกตลาด โดยตลาดอาเซียน ลดลง 25.9%, สหรัฐ ลดลง 19.3%, สหภาพยุโรป ลดลง 16.3% และญี่ปุ่น ลดลง 11.2% ขณะที่ตลาดส่งออกใหม่นั้นส่วนใหญ่ส่งออกลดลง ยกเว้น อินเดีย, ฮ่องกง และ ออสเตรเลียที่ยังเพิ่มขึ้น
ส่วนการนำเข้าเดือนธันวาคม มีมูลค่าทั้งสิ้น 11,255 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 6.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ไทยเกินดุลการค้าเดือนธันวาคม 350 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยการนำเข้าเดือนพ.ย.เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0
สำหรับยอดการส่งออกทั้งปี 2551 มีมูลค่าทั้งสิ้น 177,841 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.6 เมื่อเทียบกับปี 2550 สูงกว่าที่กระทรวงพาณิชย์คาดการณ์ไว้ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาว่าจะเติบโตร้อยละ 12.5
สำหรับสินค้าส่งออกที่เพิ่มในช่วงปี 2551 ได้แก่ สินค้าเกษตร และอุตสาหกรรมการเกษตร เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 30.1 เนื่องจากมีราคาเพิ่มสูงขึ้น เช่น ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง และสินค้าอาหาร เป็นต้น ส่วนสินค้าอุตสาหกรรมสำคัญรวมเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.1
การนำเข้าปี 2551 มีมูลค่าทั้งสิ้น 178,653 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 27.6 เมื่อเทียบกับปี 2550 ส่งผลให้ทั้งปี 2551 ขาดดุลการค้า 812 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งต่ำกว่าที่หลายสำนักคาดการณ์ว่าปี 2551 จะขาดดุลการค้าสูงถึง 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
นายศิริพล กล่าวว่า การส่งออกปี 2552 กระทรวงพาณิชย์จะพยายามอย่างเต็มที่และทำงานให้หนักกว่าปีที่ผ่านมา แม้การส่งออกในช่วงไตรมาสแรกยังมีทิศทางไม่ค่อยดีนัก จากที่ รมว.พาณิชย์ ระบุไว้ก่อนหน้านี้ว่าหากสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมยังไม่ดีขึ้นก็อาจทำให้การส่งออกของไทยในปีนี้ติดลบ แต่กระทรวงพาณิชย์จะพยายามทำให้ติดลบน้อยที่สุด และหากช่วงครึ่งปีหลังสถานการณ์ดีขึ้นการส่งออกทั้งปีก็อาจจะปรับตัวเป็นบวกได้ ขณะนี้กำลังรองบประมาณกระตุ้นภาคการส่งออกจากรัฐบาล หากมีงบประมาณกระตุ้นภาคการส่งออกเชื่อว่าตัวเลขส่งออกปี 52 ก็อาจบวกได้ร้อยละ 3-5 เชื่อว่าภาพรวมส่งออกปีนี้จะเริ่มชัดเจนในไตรมาส 2 และ 3 ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ คาดการณ์ว่ามูลค่าการค้าโลกในปี 51 จะขยายตัวร้อยละ 5.3 และคาดว่าปี 52 จะขยายตัวร้อยละ 4.4
นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์จะหารือกับนายกรัฐมนตรีกรณีการส่งออกเดือนธ.คที่ลดลงต่อเนื่อง เพื่อชี้แจงว่ากระทรวงพาณิชย์มีความจำเป็นต้องใช้เงินงบประมาณจำนวน 3,000 ล้านบาท มากระตุ้นภาคการส่งออกปี 2552
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าการส่งออกในช่วงครึ่งปีแรก าจจะยังคงหดตัวเฉลี่ยเป็นตัวเลข 2 หลัก อยู่ระหว่างร้อยละ 11 - 14 และกว่าที่จะเห็นการส่งออกกลับมาขยายตัวในแดนบวกอีกครั้ง อาจเป็นช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2552 ถ้าเศรษฐกิจโลกเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวจากภาวะถดถอยได้ในช่วงครึ่งหลังของปี สำหรับภาพรวมในปี 2552 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่าการส่งออกของไทยอาจจะหดตัวอยู่ในช่วงระหว่างร้อยละ 3- 7
ประเด็นที่ต้องติดตาม คือ ผลของการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเชิงรุกที่หลายประเทศทั่วโลกผลักดันออกมาใช้อย่างเข้มข้น โดยเฉพาะความคืบหน้าของมาตรการแก้ไขวิกฤติในภาคการเงินและภาคเศรษฐกิจจริงของสหรัฐ ภายหลังจากประธานาธิบดีบารัค โอมาบา เข้าปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นทางการ
ในด้านปัจจัยภายในประเทศ รัฐบาลมีเสถียรภาพทางการเมืองที่ดีขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนต่อการดำเนินนโยบายเชิงรุกเพื่อกระตุ้นภาคการส่งออก ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ก็ได้มีแนวทางผลักดันการขยายตลาดสินค้า โดยมีมาตรการเร่งด่วน อาทิ มาตรการด้านตัวสินค้า, มาตรการด้านราคา ต้นทุน และสภาพคล่อง, มาตรการด้านการตลาด, มาตรการด้านการสื่อสารและสร้างภาพลักษณ์ให้กับสินค้าไทย, และมาตรการช่วยเหลือผู้ส่งออกที่ประสบปัญหา
ซึ่งแม้ว่ารัฐบาลจะมีข้อจำกัดในด้านงบประมาณ แต่หากหลายฝ่ายร่วมมือกันอย่างจริงจัง ก็คาดว่าจะมีส่วนช่วยขยายโอกาสการส่งออกให้กับผู้ประกอบการไทยได้ ที่สำคัญ คือ การเผยแพร่ข้อมูลความต้องการสินค้าในตลาดประเทศต่าง ๆ ซึ่งหน่วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการต่างประเทศที่มีหน่วยงานตั้งอยู่ในต่างประเทศ จะเป็นหน้าต่างเปิดรับข้อมูลได้เป็นอย่างดี หากมีเชื่อมโยงข้อมูลเหล่านี้ไปสู่ผู้ประกอบการที่มีศักยภาพได้มากขึ้น ก็จะเพิ่มโอกาสในการขยายตลาดได้มาก
. . . .
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินเงินสะพัดเทศกาลตรุษจีนปีนี้ 34,700 ล้านบาท เพิ่มจากปีก่อน 3.1%
นางยาใจ ชูวิชา ประธานคณะจัดทำการสำรวจความคิดเห็นประเด็นเศรษฐกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลตรุษจีนและความกังวลประเด็นต่างๆ ระหว่างวันที่ 13-17 ม.ค.ที่ผ่านมา จำนวน 1,216 ตัวอย่างทั่วประเทศเฉพาะผู้ไหว้เจ้า
ผลการสำรวจนะบุว่าในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้จะมีการใช้จ่ายเงินด้านต่างๆ รวม 34,736 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 3.1 โดยการใช้จ่ายช่วงเทศกาลตรุษจีนปีที่ผ่านมามีเม็ดเงินสะพัด 33,698 ล้านบาท เพิ่มจากปี 2550 ร้อยละ 5.74 แสดงให้เห็นว่าประชาชนยังวิตกกังวลปัญหาต่างๆ ด้านเศรษฐกิจโดยเฉพาะราคาสินค้า แม้ภาพรวมราคาสินค้าจะไม่แพงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แต่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย เนื่องจากยังหวั่นวิตกกับภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ (กราฟิค)
ทั้งนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่า การใช้จ่ายในช่วงเทศกาลตรุษจีนจะมีการซื้อของไหว้เจ้าร้อยละ 100, ทำบุญร้อยละ 94.4, ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคร้อยละ 88.1, แต๊ะเอียร้อยละ 83.6, ท่องเที่ยวร้อยละ 48.3, สังสรรค์และจัดเลี้ยงร้อยละ 39.5 (กราฟิค)
การวางแผนไปท่องเที่ยวในช่วงตรุษจีน ผลการสำรวจระบุว่ามีผู้วางแผนจะไม่ไปท่องเที่ยวร้อยละ 50.7 และมีผู้วางแผนจะไปท่องเที่ยวร้อยละ 49.3 ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่ไปท่องเที่ยวในภาคกลาง เช่น ชลบุรี, ระยอง, อยุธยา, กาญจนบุรี ร้อยละ 43.0, ภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่, นครสวรรค์, เชียงรายร้อยละ 20.6, ภาคใต้ เช่น สงขลา, ภูเก็ต, ตรัง ร้อยละ 16.4, กรุงเทพและปริมณฑลร้อยละ 12.2 และภาคตะวันออกเฉียงเหนือร้อยละ 7.9 (กราฟิค)
สำหรับทัศนะเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจหลังจากได้รัฐบาลชุดใหม่ ประชาชนส่วนใหญ่มองว่า เศรษฐกิจจะดีขึ้นร้อยละ 73.7 โดยส่วนใหญ่มองว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นในไตรมาส 3 ร้อยละ 52.0, ประชาชนร้อยละ 25.7 มองว่าเศรษฐกิจจะเหมือนเดิม, มีเพียงร้อยละ 0.7 ที่มองว่าเศรษฐกิจจะแย่ลง (กราฟิค)
ส่วนสิ่งที่ประชาชนคาดหวังให้รัฐบาลใหม่แก้ไข คือ ราคาสินค้า, ความเชื่อมั่นผู้บริโภคและนักลงทุน, ราคาน้ำมัน, การศึกษา และเยาวชน
สำหรับ ทัศนคติประชาชนต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล จากผู้ตอบแบบสอบถาม 400 ตัวอย่างทั่วประเทศ ผู้ตอบแบบสอบถามเห็นด้วยกับมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพผู้ที่มีเงินเดือนน้อยกว่า 15,000 บาท จำนวน 2,000 บาท ร้อยละ 30.52 และมีความเชื่อมั่นต่อมาตรการร้อยละ 28.91, ส่วนการต่ออายุ 5 มาตรการ 6 เดือน ช่วยเหลือค่าครองชีพ ผู้ตอบแบบสอบถามเห็นด้วยร้อยละ 44 และมีความเชื่อมั่นในมาตรการร้อยละ 40.14, ขณะที่มาตรการเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงานโดยการอบรมและให้เงินช่วยเหลือเดือนละ 5,000 บาท จำนวน 6 เดือน เห็นด้วยร้อยละ 36.82 และมีความเชื่อมั่นร้อยละ 37.11, มาตรการเรียนฟรี 15 ปี เห็นด้วยร้อยละ 74.65 และมีความเชื่อมั่นร้อยละ 47.27, การให้เบี้ยยังชีพคนชรา 500 บาท เห็นด้วย ร้อยละ 62.50 และมีความเชื่อมั่นร้อยละ 43.33, มาตรการจำหน่ายสินค้าราคาถูก เห็นด้วยร้อยละ 45.99 และมีความเชื่อมั่นร้อยละ 44.18, ขณะที่กองทุนเศรษฐกิจพอเพียง (เอสเอ็มแอล) เห็นด้วยร้อยละ 50.71 และมีความเชื่อมั่นร้อยละ 41.57
ผู้ตอบแบบสอบถามระบุถึงการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้ถูกจุดหรือไม่ ส่วนใหญ่ร้อยละ 48.4 ตอบว่าไม่แน่ใจ, มีจำนวนร้อยละ 28.9 ตอบว่าถูกจุด และร้อยละ 22.8 มองว่าไม่ตรงจุด
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงผลสำรวจการใช้จ่ายเทศกาลตรุษจีนและทัศนะประชาชนต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐว่า ประชาชนยังกังวลใจ แม้รัฐบาลจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้ประชาชนเกิดความมั่นใจด้วยการอัดฉีดงบกลางปี แต่สิ่งที่ประชาชนอยากเห็นคือเม็ดเงินต่าง ๆ จะต้องลงสู่ระบบตามโครงการของภาครัฐเต็มที่และชัดเจน เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชน เพราะหากชัดเจนก็จะทำให้ประชาชนหันมาจับจ่ายใช้สอย ขณะที่ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจฯ มองว่าเศรษฐกิจไตรมาส 2 และ 3 น่าจะฟื้นตัวได้ระดับหนึ่ง และทำให้เศรษฐกิจปีนี้ขยายตัวร้อยละ 2.0-2.5 แต่จะมีการประเมินภาพรวมอีกครั้งหลังจากรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ว่าจะเติบโตได้ถึงร้อยละ 3 หรือไม่
. . .
Create Date : 21 มกราคม 2552 |
Last Update : 21 มกราคม 2552 19:51:47 น. |
|
10 comments
|
Counter : 880 Pageviews. |
|
|
|
ไม่ได้กลัวโดนหลอกค่ะคุณพี่
กลัวน้ำมันขึ้น
แงแง