Group Blog
 
<<
มกราคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
15 มกราคม 2552
 
All Blogs
 
ราคาก๊าซรถยนต์(แอลพีจี)อาจเพิ่มขึ้น 2 บาทต่อกก.-กระทรวงแรงงานจัดงาน “ตลาดนัดแรงงาน” ทุกวันเสาร์. . .

. . .

กพช. จะพิจารณาแยก 2 ราคาแอลพีจีเป็น 2 ราคา โดยตรึงราคาก๊าซแอลพีจีภาคครัวเรือน และจะปรับเพิ่มก๊าซแอลพีจีสำหรับภาคขนส่งและอุตสาหกรรม ส่วนการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันแก๊สโซฮอล์และดีเซลตามปกติ ทำให้ราคาจะเพิ่มขึ้นลิตรละ 2.10-3.30 บาท โดยจะทยอยปรับขึ้นราคา 2-3 ครั้ง และจำนำเงินกองทุนน้ำมัน 3,000 ล้านบาทช่วยในการชะลอการขึ้นราคา


นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ยืนยันแยกราคาก๊าซแอลพีจีเป็น 2 ราคา โดยจะปรับราคาก๊าซภาคขนส่งและอุตสาหกรรมขึ้น ส่วนภาคครัวเรือนไม่ปรับขึ้น เสนอให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) พิจารณาในวันที่ 16 ม.ค.นี้ คาดว่าจะปรับขึ้นครั้งเดียวไม่เกิน 2 บาท/กก. ไม่ใช่ทยอยปรับขึ้นตามมติ กพช.ครั้งที่แล้ว เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2551 ที่มีมติให้ปรับขึ้น 6 บาท/กก. โดยให้ทยอยขึ้นเดือนละ 2 บาทในระยะเวลา 3 เดือน

ซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์ราคาก๊าซขณะนี้เปลี่ยนแปลงไป โดยเมื่อเดือน พ.ย.51 ราคาก๊าซแอลพีจีอยู่ที่ 800 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน แต่ขณะนี้ราคาลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 380 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน ในขณะที่ราคาในประเทศซึ่งเป็นราคาควบคุมหน้าโรงกลั่นน้ำมัน และโรงแยกก๊าซธรรมชาติ อยู่ที่ 340 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน คิดเป็นราคาที่แตกต่างกันประมาณ 1.50-2.00 บาท/กก. อย่างไรก็ตาม เกณฑ์ที่จะเสนอให้ กพช. พิจารณา จะนำเกณฑ์ราคาเฉลี่ย 500 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน มาเป็นเกณฑ์พิจารณาด้วย

“เราไม่ใช้ราคาก๊าซแอลพีจีลอยตัว เพราะหากลอยตัวไปแล้วราคาตลาดโลกสูงขึ้น ก๊าซครัวเรือนจะต้องขึ้นราคาไปด้วย ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชน จึงต้องแยก 2 ราคา ส่วนจะขึ้นภาคขนส่งและอุตสาหกรรมเมื่อไรนั้น ต้องขึ้นอยู่กับ กพช.และเงินที่ได้ก็จะนำไปใช้คืนหนี้การนำเข้าก๊าซแอลพีจี ของ ปตท. มูลค่า กว่า 8,000 ล้านบาทด้วย” รมว.พลังงาน กล่าว

รมว.พลังงาน กล่าวว่า หลังแยกราคาแล้ว คาดว่าการลักลอบถ่ายเทก๊าซจากครัวเรือนไปรถยนต์คงไม่เกิดขึ้นมากนัก เพราะราคาแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยไม่เป็นที่จูงใจ โดยจะมีการนำกฎหมายหลายเรื่อง เช่น พ.ร.บ.วัตถุอันตราย มาร่วมกำกับดูแลและประสานงานกระทรวงพาณิชย์ในการตรวจสอบด้วย

ด้านคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) มีมติอนุมัติปรับสูตรราคาไบโอดีเซล บี 100 จากเดิมราคาอิงตลาดโลก บวก 3 บาท/ลิตร เป็นราคาอิงตลาดโลกบวกด้วยราคาส่วนเพิ่มให้เท่ากับราคาแทรกแซงน้ำมันปาล์มของกระทรวงพาณิชย์ ที่ราคา 25 บาท/ลิตร โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 16 - 31 ม.ค. ทั้งนี้ เพื่อให้ราคาบี 100 เท่ากับราคาตลาด เพราะสูตรเดิมนั้น ราคาบี 100 อยู่ ที่ 23.79 บาท/ลิตร ซึ่งไม่ได้ทำให้ผู้ประกอบการน้ำมันได้รับผลกระทบมากนัก เพราะต้นทุนเพิ่มขึ้นประมาณ 2-5 สตางค์/ลิตร เท่านั้น

นอกจากนี้ กบง.เห็นชอบการนำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประมาณ 3,000 ล้านบาท ใช้เพื่อชะลอการปรับขึ้นราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์, ราคาน้ำมันดีเซล บี 2 และ บี 5 หลังจากกลับมาจัดเก็บอัตราภาษีสรรพสามิตเหมือนเดิม ซึ่งทำให้ราคาน้ำมันดังกล่าวจะปรับขึ้นไปอีกลิตรละ 3.30, 2.30 และ 2.10 บาท/ลิตร ตามลำดับ ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 โดยการปรับราคาน้ำมันตามต้นทุนภาษีนั้น จะทยอยปรับ 2-3 ครั้ง หรือครั้งละประมาณ 0.70-1.00 บาท/ลิตร ซึ่งจะเลือกปรับราคาในช่วงที่ราคาน้ำมันตลาดโลกลดลง เพื่อลดผลกระทบของประชาชน

. . .



รมว.คลัง จะเสนอมาตรการภาษีกระตุ้นเศรษฐกิจ เข้าครม.สัปดาห์หน้า


นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เผยเตรียมเสนอมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในสัปดาห์หน้า(20 ม.ค.) ซึ่งเป็นมาตรการเพิ่มเติม หลังจากที่ ครม.ได้อนุมัติการจัดทำงบประมาณกลางปี 1.15 แสนล้านบาทไปก่อนหน้านี้ โดยจะเป็นมาตรการระยะสั้นเพื่อเพิ่มรายได้ และลดรายจ่ายให้แก่ประชาชน

รมว.คลัง กล่าวว่า รัฐบาลจำเป็นต้องใช้กลไกของรัฐเป็นเครื่องมือหลักในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเร่งกระจายงบประมาณลงไปให้ถึงมือประชาชนโดยเร็วที่สุดเพื่อกระตุ้นการบริโภค ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ประกอบการเพิ่มกำลังการผลิต แต่ไม่ใช่มาตรการที่จะไปสนับสนุนให้ประชาชนก่อหนี้เพิ่มมากขึ้น

เมื่อวันที่ 14 ม.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือธุรกิจเอสเอ็มอีและธุรกิจท่องเที่ยว ด้วยการลดต้นทุนทางการเงินให้แก่ผู้ประกอบการ โดยจะผลักดันผ่านสถาบันการเงินของรัฐ เนื่องจากช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ (ม.ค.-มี.ค.52) ยอดจองห้องพักลดลงถึง 50% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวและการปิดสนามบินของกลุ่มพันธมิตร ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

รมว.คลัง เชื่อว่าหลังจากรัฐบาลออกมาตรการต่างๆแล้ว ธุรกิจท่องเที่ยวจะฟื้นสู่ภาวะปกติได้โดยเร็ว ขณะที่สถานการณ์ทางการเมืองเริ่มจะมีเสถียรภาพมากขึ้น

ส่วนกรณีที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.75% มาอยู่ที่ 2.0% นั้น รมว.คลัง กล่าวว่า จะช่วยลดต้นทุนให้แก่ผู้ประกอบการ แต่ปัญหาในขณะนี้เกิดจากอุปสงค์มากกว่าอุปทาน ดังนั้นรัฐบาลจะหามาตรการกระตุ้นการบริโภคและความต้องการสินค้าให้มากขึ้น

ส่วนกรณีถูกวิจารณ์ว่าเงินช่วยเหลือค่าครองชีพ 2,000 บาท ที่ให้กับข้าราชการหรือผู้ประกันตน แต่ผู้ตกงานไม่ได้รับเงินดังกล่าว เรื่องนี้รัฐบาลได้มีมาตรการช่วยเหลือหลายด้านครอบคลุมทุกส่วน โดยเฉพาะผู้ตกงานจะนำมาฝึกอบรมให้มีคุณภาพ และให้มีการเข้าถึงแหล่งเงินกู้ของผู้ว่างงานกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การ เกษตร (ธ.ก.ส.) และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์)

. . .



รมว.คลังส่งสัญญาณแบงก์พาณิชย์ลดส่วนต่างดอกเบี้ยกู้-ฝาก


นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงร้อยละ 0.75 เหลือร้อยละ 2 ว่า จากแนวโน้มดอกเบี้ยที่ลดลง ยังเห็นว่าส่วนต่างดอกเบี้ยของเงินกู้และเงินฝากขณะนี้ยังห่างกันมาก

ดังนั้น ผู้บริหารสถาบันการเงินควรกำหนดดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากให้เป็นธรรม โดยดอกเบี้ยเงินกู้ควรลดลงให้สอดคล้องกับดอกเบี้ยระยะสั้น แม้ว่า กระทรวงการคลังไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้ แต่ย้ำว่า เพื่อความอยู่รอดของทุกฝ่าย ธนาคารควรพิจารณาลดภาระให้กับลูกค้า เพื่อให้ต้นทุนไม่สูงเกินไป เมื่อลูกค้าอยู่ได้ สถาบันการเงินก็ไม่มีปัญหาเอ็นพีแอล ขณะที่ผู้ฝากเงินก็จะมีส่วนต่างในการเสริมสภาพคล่องให้สถาบันการเงิน รองรับการปล่อยกู้ และที่ผ่านมาได้หารือกับผู้บริหารธนาคารไปบางส่วนแล้ว คิดว่าน่าจะเข้าใจเรื่องนี้

นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย ในฐานะประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ในปีนี้มีโอกาสที่บรรดาธนาคารพาณิชย์จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ลงไปอีก หลังจาก กนง.ประกาศลดดอกเบี้ยลง

ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR คาดว่าธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งก็กำลังจะพิจารณาปรับลดลงตาม กนง. ในเร็วๆ นี้ทั้งเงินฝากและเงินกู้ในระดับเดียวกับตลาด

นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า ขณะนี้สภาพคล่องในระบบธนาคารพาณิชย์ยังอยู่ในระดับ 4-5 แสนล้าบาทใกล้เคียงกับช่วงปลายปี 51 ซึ่งถือว่าสูง

สำหรับข้อเรียกร้องของรมว.คลังให้ธนาคารพาณิชย์ปรับลดส่วนต่างอัตรา ดอกเบี้ยเงินฝากและกู้ลงนั้น นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า ขณะนี้สเปรดดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ไทยอยู่ในระดับ 2-3% หากเทียบกับต่างประเทศอย่างสหรัฐก็ถือว่าสูงกว่า เพราะสเปรดของสหรัฐอยู่ในระดับ 0.5%

นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า ธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่พร้อมตอบสนอง แต่คงต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขสำคัญที่ว่า ธนาคารจะต้องอยู่ได้ด้วย เนื่องจากสเปรด 2-3% ยังมีภาระอื่นๆ ทั้งภาษี และค่าใช้จ่าย ค่าบริหารจัดการ 2% และยิ่งขณะนี้เศรษฐกิจชะลอตัว ก็ทำให้เกิดความเสี่ยงในเรื่องหนี้เสียเป็นต้นทุนอีกตัวหนึ่งด้วย

. . .



ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ธ.ค. เริ่มดีขึ้น มหาวิทยาลัยหอการค้าคาดว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัวได้ 2.0-2.5 ขณะที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังลดลงได้อีกร้อยละ 0.5


นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมปรับตัวดีขึ้น จากระดับ 67.1 ในเดือน พ.ย. สู่ระดับ 67.5 ในเดือน ธ.ค. 2551 ซึ่งเป็นการปรับตัวดีขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน นับตั้งแต่เดือน ส.ค. เป็นต้นมา

อย่างไรก็ตาม ดัชนียังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 100 ต่อเนื่องกันเป็นเดือนที่ 56 แสดงว่า ผู้บริโภคยังไม่มีความมั่นใจในสถานการณ์ของเศรษฐกิจ, การหางานทำ, และรายได้ในอนาคต เพราะไทยต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง แม้สถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศเริ่มคลี่คลายลง

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ยังคาดการณ์ว่า การบริโภคยังคงขยายตัวไม่มากนักในปัจจุบัน จนถึงช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ เนื่องจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทุกรายการยังคงทรงตัวต่ำกว่าระดับปกติ โดยผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจ

ดังนั้น รัฐบาลควรกระตุ้นเศรษฐกิจให้ปรับตัวดีขึ้นให้เห็นเป็นรูปธรรม ตั้งแต่ต้นไตรมาสที่ 2 ของปีนี้เป็นต้นไป เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและการลงทุนของภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้นใน ช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เพื่อส่งเสริมให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ในระดับร้อยละ 2 ในปี 2552

นาย ธนวรรธน์ กล่าวว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ในภาพรวม ถือว่าน่าพอใจ เช่น การให้เงิน 2,000 บาท สำหรับผู้มีเงินเดือนไม่เกิน 15,000 บาท ทำให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้เร็วที่สุด และประชาชนจะมีเงินบริโภคมากขึ้น เมื่อรวมกับการขยายเวลา 5 มาตรการ 6 เดือน ทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจมีทิศทางเป็นบวก ในขณะที่ดอกเบี้ยนโยบายยังมีโอกาสปรับลดได้อีกอย่างน้อยร้อยละ 0.5

นอกจากนี้ คาดว่ารัฐบาลจะออกมาตรการเพิ่มเติม เช่น การกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์

สำหรับปัญหาเร่งด่วนขณะนี้ คือ ปัญหาแรงงานที่ยังไม่ชัดเจนว่ามีมาตรการอย่างไร ซึ่งจะเป็นปัญหาใหญ่ช่วงเดือน มี.ค.นี้ เป็นต้นไป

“คาดว่าหลังรัฐบาลดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ จากงบประมาณเพิ่มเติม, การเร่งการเบิกจ่ายงบประมาณท้องถิ่น, และการปล่อยสินเชื่อจากธนาคารเฉพาะกิจของรัฐบาล จะทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 2.0-2.5 จากเดิมที่เคยคาดการณ์ไว้ร้อยละ 0-2” นายธนวรรธน์ กล่าว

นายดุสิต นนทะนาคร รองประธานกรรมการหอการค้าไทย เชื่อว่า เอกชนจะมีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งทำให้นักลงทุนต่างชาติมีความเชื่อมั่นตามไปด้วย หากรัฐบาลยังมีเสถียรภาพ และดำเนินนโยบายเศรษฐกิจต่อไปได้

ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ออกมามีความฉับไวและเห็นผลทันที รวมทั้งเป็นไปตามที่ภาคเอกชนเคยเสนอแก่รัฐบาล เช่น การให้เงินเพิ่ม 2,000 บาท โครงการพัฒนาแหล่งน้ำทางการเกษตร ฯลฯ ทำให้ประชาชนมีเงินจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ทำให้ไตรมาสที่ 2 และ 3 การขยายตัวทางเศรษฐกิจจะเป็นบวก ซึ่งรัฐบาลและเอกชนต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มาตรการประสบความสำเร็จ

. . .



กระทรวงแรงงานจัดงาน “ตลาดนัดแรงงาน” ทุกวันเสาร์เป็นเวลา 3 เดือน เริ่มวันที่ 17 ม.ค. ถึง 28 มี.ค.นี้ เปิดตำแหน่งงานว่างรองรับ 10,000 อัตรา จาก 40 บริษัทชั้นนำ ยืนยันผู้ตกงานจะได้รับสิทธิประโยชน์จากกองทุนประกันสังคม 50% ของค่าจ้าง จาก 6 เดือนเพิ่มเป็น 8 เดือน


นายพิชัย เอกพิทักษ์ดำรง อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวถึงภาวะวิกฤตเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อภาวะการจ้างงาน มีสถานประกอบการปิดกิจการ ลูกจ้างถูกเลิกจ้าง จนล่าสุดอัตราการว่างงานเพิ่มสูงขึ้นเป็นร้อยละ 1.4 ทำให้รัฐบาลต้องเร่งแก้ปัญหาการว่างงานและช่วยเหลือผู้ตกงานโดยเร่งด่วน
กรมการจัดหางาน จึงได้จัดงานตลาดนัดแรงงานทุกวันเสาร์ขึ้น โดยเปิดพื้นที่ภายในกระทรวงแรงงาน ถนนมิตรไมตรี เขตดินแดง ต้อนรับคนหางานที่สามารถมารับบริการต่างๆ มากมาย เริ่มวันเสาร์ที่ 17 มกราคม ถึงวันที่ 28 มีนาคม 2552 ตั้งแต่เวลา 09.00-16.00 น.

สำหรับกิจกรรมภายในงานมีมากมาย ทั้งการให้ผู้ว่างงานพบผู้ประกอบการ นายจ้าง ประมาณ 10,000 อัตรา จากกว่า 40 บริษัทชั้นนำ จะมีกรมสุขภาพจิตมาร่วมให้คำแนะนำกับผู้ตกงานและเกิดความเครียด รวมถึงการให้บริการจากสำนักงานประกันสังคม, กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน การส่งเสริมการประกอบอาชีพที่หลากหลาย โดยมีตำแหน่งงานว่างอีกประมาณ 130,000 ตำแหน่ง อาทิ พนักงานบริการ บริการช่างเทคนิค พนักงานในออฟฟิศ เป็นต้น

ทั้งนี้ ยังมีการคาดการณ์ว่าจากนี้ไปจะมีคนตกงานเพิ่มมากขึ้นหลายแสนคน กระทรวงแรงงานยังคงให้ความมั่นใจว่า ผู้ตกงานจะได้รับสิทธิประโยชน์จากประกันสังคม ร้อยละ 50 ของค่าจ้าง ไปเป็นระยะเวลา 8 เดือน

. . .



“ศุภรัตน์ ควัฒน์กุล” ปลัดกระทรวงการคลังลาพักร้อน 20 วัน “กรณ์” ระบุเสียดายความรู้ความสามารถ


นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณีคณะกรรมการป.ป.ช.สั่งการให้ อกพ. กระทรวงการคลัง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พิจารณาลงโทษนายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง กรณีมีความผิดวินัยร้ายแรงเกี่ยวกับการตั้งรองอธิบดีกรมสรรพากร 4 คน ในช่วงปี 2549 ว่า เรื่องดังกล่าวมีขั้นตอนดำเนินการ ทั้งพิจารณาปลดออก ให้ออก ไล่ออก โดยขณะนี้ปลัดกระทรวงการคลังได้ลาพักร้อน 20 วัน

ซึ่งเมื่อวันที่ 14 ม.ค.ที่ผ่านมาได้มีการพูดคุยกัน ตนรู้สึกเสียดายการทำงานในช่วงที่ผ่านมาของปลัดกระทรวงการคลังโดยเฉพาะในช่วงกำหนดนโยบายแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ถือว่าเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ รวมทั้งกำหนดนโยบายต่าง ๆ ของกระทรวงให้เกิดประโยชน์โดยสามารถทำให้นโยบายของรัฐบาลนำไปสู่การปฏิบัติ ได้

“ความผิดทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน เมื่อประเมินผลงานจากการทำงานตลอดเวลาที่ผ่านมาต่อน้ำหนักการลงโทษปลดออก ให้ออก ไล่ออก ยอมรับว่าขณะนี้ชีวิตราชการของปลัดคงจะหมดลงแล้ว เพราะคำสั่งของ ป.ป.ช.ถือว่าที่สุดแล้ว ซึ่งปลัดก็ยอมรับในการตัดสินของ ป.ป.ช. แต่ระบุว่าการทำงานทุกอย่างหรือการตัดสินใจนโยบายขั้นสุดท้ายขึ้นอยู่กับ นโยบายของรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้กำหนดนโยบาย ส่วนราชการก็เป็นผู้ดำเนินการตาม” นายกรณ์ กล่าว
สำหรับความผิดทางอาญา ต้องอยู่ขั้นตอนการพิจารณาของอัยการ เพื่อนำส่งศาล ซึ่งจะต้องต่อสู้ในชั้นศาลอีกครั้ง ส่วนผู้จะมาดำรงตำแหน่งปลัดแทนนั้น ยังไม่ขอออกความคิดเห็นในช่วงนี้

. . .



ไทยติด 1 ใน 5 “แหล่งท่องเที่ยวที่คุ้มค่าเงินที่สุด”

แม้ว่าในปี2551 จะเกิดอุปสรรคนานับประการแต่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศไทยได้ทุ่มสุด ตัวและแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วที่ซ่อนอยู่โดยการ คว้ารางวัลอันดับต้นๆ จากดัชนีแบรนด์ประเทศ (CountryBrand Index – CBI) ปี 2551 ซึ่งได้ประกาศในงานการท่องเที่ยวโลกหรือ World Travel Mart (WTM 2008)งานส่งเสริมการขายทางการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดงานหนึ่ง จัดขึ้น ณ กรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ ในปลายปีที่ผ่านมา

ผลสำรวจนี้จัดทำขึ้นโดยฟิวเจอร์แบรนด์ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างแบรนด์ ร่วมกับบริษัท เวเบอร์ แชนด์วิค ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทประชาสัมพันธ์ระดับโลกโดยจัดการสำรวจติดต่อกันเป็นปี ที่ 4 ซึ่งการสำรวจนั้นครอบคลุมธุรกิจระหว่างประเทศประมาณ 2,700 แห่ง และจากนักท่องเที่ยวจาก 9 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย จีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกาอังกฤษ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บราซิล เยอรมันและรัสเซีย

จากผลการสำรวจ CBI ประเทศไทยได้คว้าอันดับต้นๆของประเทศที่เป็น“แหล่งท่องเที่ยวที่คุ้มค่าเงินที่สุด” ยิ่งไปกว่านั้นประเทศไทยยังติดอันดับที่ 3 ของความมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและความเป็นมิตร และอันดับที่ 4 สำหรับการเป็นแหล่งที่มีความหลากหลายในการช็อปปิ้ง

ประเทศไทยยังติดอันดับ 1 ใน 10 ในอีก 2 ประเภท ได้แก่ ทริปธุรกิจควบท่องเที่ยว (Extend a Business Trip) คือ การเป็นประเทศที่นักท่องเที่ยวมักจะยืดระยะเวลาจากทริปธุรกิจเพื่ออยู่ ท่องเที่ยวต่อ และอีกประเภทได้แก่ มีความต้องการจะมาเที่ยว หรือต้องการจะกลับมาเที่ยวอีกครั้ง (Desireto Visit/Visit Again) คือ การเป็นประเทศที่นักท่องเที่ยวต้องการมาเที่ยว หรือต้องการกลับมาเที่ยวอีก

นายประสาน โอสถานนท์ ที่ปรึกษาอาวุโสและเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสร้างแบรนด์ บริษัท แมคแคน เวิลด์กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด ได้กล่าวว่า “ในที่สุดอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของเราก็ได้รับข่าวดีที่ควรจะได้รับมานานแล้วเสียที สภาวะเศรษฐกิจของโลกที่ตกต่ำและสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศ ทำให้ปี 2551 เป็นปีที่ค่อนข้าง จะยากลำบาก แต่ผมหวังว่ารางวัลที่ได้ซึ่งเปรียบเสมือนความมั่นใจจากต่างประเทศประกอบกับสถานการณ์การเมืองภายในประเทศที่มั่นคงขึ้นจะสามารถทำให้ประเทศไทยกลับสู่ตำแหน่งหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำของโลกได้”

ผู้ที่ร่วมออกความเห็นในการสำรวจในปี 2551 นี้ได้แก่นักท่องเที่ยวและนักธุรกิจที่เดินทางประจำ อายุระหว่าง 21-65 ปีโดยมีจำนวนของชายและหญิงเท่าๆกัน หัวข้อของการสำรวจ ได้แก่การเลือกจุดหมายการเดินทาง ประเทศที่เกี่ยวข้องความรู้เกี่ยวกับประเทศนั้นในภาพรวม การเดินทางครั้งก่อนๆ การเดินทางที่จะเกิดขึ้นและประเทศที่เขาเหล่านั้นเต็มใจที่แนะนำให้กับบุคคล อื่นๆ

นายประสาน กล่าวว่า การสำรวจของ CBI นั้นได้มาจากผลตอบรับจากนักท่องเที่ยวและผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมการท่อง เที่ยวจึงทำให้ผลสำรวจที่ออกมามีความน่าเชื่อถือมากขึ้น



. . .


Create Date : 15 มกราคม 2552
Last Update : 15 มกราคม 2552 19:28:59 น. 2 comments
Counter : 797 Pageviews.

 


โดย: ดราก้อนวี วันที่: 19 มกราคม 2552 เวลา:12:01:16 น.  

 


โดย: กัดหมอน วันที่: 19 มกราคม 2552 เวลา:20:15:49 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

loykratong
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]






ไม่มีอะไรขึ้นตลอด
ไม่มีอะไรลงตลอด
...ไม่มี the end of the world ...

Web Site Hit Counters

ราคาทองคำ
 

ราคาทองคำต่างประเทศ



Friends' blogs
[Add loykratong's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.