Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2552
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
19 มิถุนายน 2552
 
All Blogs
 
...เศรษฐกิจไทยมีโอกาสฟื้นตัวเพิ่มมากขึ้น... แต่...

...

เศรษฐกิจไทยมีโอกาสฟื้นตัวเพิ่มมากขึ้น
แต่ยังเผชิญความเสี่ยงจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่

โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

นับตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมา เศรษฐกิจในกลุ่มประเทศชั้นนำของโลกหลายประเทศส่งสัญญาณปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับ โดยเครื่องชี้เศรษฐกิจจีนสะท้อนการเติบโตที่เร่งขึ้นของอุปสงค์ภายในประเทศ จากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภคเพื่อซื้อสินค้าคงทน และการทุ่มงบประมาณลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ขณะที่ภาวะถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และอีกหลายประเทศ เข้าสู่จุดที่มีเสถียรภาพและค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น ตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ที่ทยอยประกาศออกมา ได้ตอกย้ำความเชื่อมั่นมากยิ่งขึ้นว่าเศรษฐกิจโลกกำลังมุ่งไปสู่การฟื้นตัว แม้เส้นทางของการฟื้นตัวนับจากนี้ยังคงมีความเปราะบาง จากปัญหาการว่างงานที่ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ประกอบกับยังไม่อาจละเลยความเสี่ยงของการหวนกลับมาของปัญหาในภาคสถาบันการเงิน แต่ถึงกระนั้น สัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกนี้ก็ได้ทำให้ที่ประชุมรัฐมนตรีคลังของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 8 ประเทศ หรือ G-8 ล่าสุดเริ่มมีการหยิบยกประเด็นเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่อาจจะต้องเตรียมแนวทางที่เหมาะสมสำหรับการถอยออกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่ามหาศาล (เฉพาะมาตรการกระตุ้นทางการคลังของกลุ่มประเทศชั้นนำมีมูลค่ารวมกันกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ฯ) เมื่อเศรษฐกิจโลกกลับสู่การฟื้นตัวอย่างยั่งยืนแล้ว เพื่อไม่ให้ก่อปัญหาโดยเฉพาะเรื่องเงินเฟ้อตามมา แต่ทั้งนี้ ประเทศ G-8 จะยังไม่หยุดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ณ ขณะนี้ เนื่องจากสถานการณ์โดยรวมยังคงมีความไม่แน่นอน สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของไทยต่อจากนี้คงจะมีความเข้มข้นขึ้น หลังจากสภาผู้แทนราษฎรได้ผ่านพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 วงเงิน 400,000 ล้านบาท และร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 วงเงิน 400,000 ล้านบาท ซึ่งเม็ดเงินลงทุนตามแผนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 ที่จะทยอยไหลเวียนสู่ระบบเศรษฐกิจน่าจะเป็นผลดีต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย


เศรษฐกิจไทยเริ่มได้รับผลบวกจากเศรษฐกิจโลกที่ปรับตัวดีขึ้น

ในด้านสถานการณ์เศรษฐกิจไทย แม้เศรษฐกิจยังคงมีแนวโน้มหดตัวในอัตราที่ค่อนข้างสูงในไตรมาสปัจจุบัน เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยตัวเลขเศรษฐกิจในเดือนเมษายนส่วนใหญ่ยังมีอัตราติดลบสูง ขณะที่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนพฤษภาคมยังคงลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 8 ปี อย่างไรก็ดี ก็ยังมีสัญญาณที่ดีให้เห็นจากเครื่องชี้เศรษฐกิจบางด้าน โดยดัชนีพ้องเศรษฐกิจ (Coincident Economic Index) ที่ปรับผลของฤดูกาลแล้ว ที่จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย เริ่มมีระดับค่าดัชนีที่ทรงตัวอย่างมีเสถียรภาพตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา และเริ่มขยับขึ้นเล็กน้อยในเดือนเมษายน เนื่องจากการผลิตในภาคอุตสาหกรรมมีทิศทางที่ดีขึ้นตามคำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น

เพื่อวิเคราะห์โอกาสการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะเดือนข้างหน้า ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้จัดทำดัชนีความเป็นไปได้ของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ (Probability Index for Economic Recovery) ซึ่งความหมายของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในที่นี้คือภาวะที่เศรษฐกิจมีการขยายตัวเป็นบวก ทั้งนี้ โดยปกติ การติดตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมักอิงกับข้อมูลอัตราการขยายตัวของจีดีพี ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แต่เนื่องจากตัวเลขจีดีพีมีการรายงานเป็นรายไตรมาส ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงใช้ดัชนีพ้องเศรษฐกิจ (Coincident Economic Index) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่มีการรายงานเป็นรายเดือน เป็นตัวแปรในการติดตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจแทน โดย “การฟื้นตัว” หมายถึง การที่ดัชนีพ้องเศรษฐกิจมีการขยายตัวเป็นตัวเลขบวกเมื่อเทียบรายปี (Annualized) สำหรับตัวแปรอธิบาย (Explanatory Variables) ที่ใช้ในการพยากรณ์โอกาสการฟื้นตัวของเศรษฐกิจนี้ ประกอบด้วยตัวแปร 3 ตัว คือ ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ (Leading Economic Index) ของธปท. ตัวแปรชี้วัฏจักรเศรษฐกิจ (ว่าอยู่ช่วงถดถอยหรือไม่) และตัวแปรชี้ความเชื่อมั่นโดยรวม โดยตัวแปรอธิบายจะสามารถคาดการณ์โอกาสการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วง 3 เดือนข้างหน้านับจากเดือนล่าสุดที่มีข้อมูล

จากข้อมูลดัชนีชี้นำเศรษฐกิจของธปท. ที่มีการรายงานตัวเลขถึงเดือนเมษายน 2552 ทำให้ ดัชนีความเป็นไปได้ของการฟื้นตัว ที่ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จัดทำขึ้น สามารถประเมินโอกาสการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงระหว่างเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม 2552 และพบว่าโอกาสที่ดัชนีพ้องเศรษฐกิจจะกลับมาขยายตัวเป็นบวกมีเพิ่มขึ้น โดยหลังจาก ดัชนีความเป็นไปได้ของการฟื้นตัว ลงไปแตะร้อยละ 19 ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดของปีนี้เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ดัชนีความเป็นไปได้ดังกล่าวก็เริ่มค่อยๆ เพิ่มขึ้นมาอยู่เหนือระดับร้อยละ 50 ตั้งแต่เดือนเมษายน และล่าสุด ดัชนีความเป็นไปได้ของการฟื้นตัวในระยะ 3 เดือน (พฤษภาคม-กรกฎาคม 2552) มีระดับเฉลี่ยประมาณร้อยละ 61 อย่างไรก็ตาม แม้ว่าโอกาสของการฟื้นตัวจะเพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนหน้า ซึ่งบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว แต่ระดับของความน่าจะเป็นที่ร้อยละ 61 ดังกล่าว ก็ยังคงถือว่ามีความเสี่ยงอยู่พอสมควร ทำให้ทางการไทยยังคงต้องดูแลประคับประคองการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดต่อไป ทั้งนี้ นอกจากประเด็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังคงมีผลต่อการส่งออกของไทย รวมทั้งความเสี่ยงจากสถานการณ์การเมืองในประเทศแล้ว ความเสี่ยงล่าสุดที่กระทบต่อเศรษฐกิจไทยยังได้แก่การแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009


ความเสี่ยงจากโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009

ความเสี่ยงประการหนึ่งที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ คือ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 หรือ Influenza A (H1N1) ในประเทศที่แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว หลังพบการติดเชื้อภายในประเทศในระดับชุมชน จากที่ก่อนหน้านี้ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ได้รับเชื้อมาในช่วงที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ซึ่งก่อนหน้าวันที่ 10 มิถุนายน ที่มีการยืนยันผลตรวจพบผู้ป่วยรายแรกที่มีการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่จากภายในประเทศนั้น ประเทศไทยมีจำนวนผู้ติดเชื้อ 15 ราย ซึ่งติดเชื้อมาจากต่างประเทศ แต่หลังจากนั้น จำนวนผู้ป่วยก็ได้เพิ่มขึ้นทั้งในพื้นที่สถาบันการศึกษาในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ตลอดจนพื้นที่จังหวัดท่องเที่ยว เช่น พัทยาและภูเก็ต จนจำนวนผู้ติดเชื้อล่าสุดในวันที่ 17 มิถุนายน 2552 ตามที่มีการรายงานจากกระทรวงสาธารณสุขอยู่ที่ 405 ราย ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขได้ประเมินว่าความเสี่ยงของการแพร่ระบาดอาจจะมีเพิ่มขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นช่วงที่เชื้อไข้หวัดตามฤดูกาลจะแพร่ระบาดง่ายขึ้น ในด้านจำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกที่มีการยืนยันโดยองค์การอนามัยโลก หรือ WHO (World Health Organization) ณ วันที่ 15 มิถุนายน 2552 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 35,928 ราย จาก 76 ประเทศ มีผู้เสียชีวิต163 ราย หรือคิดเป็นอัตราการเสียชีวิตประมาณร้อยละ 0.45

จากการประเมินสถานการณ์ในขณะนี้ที่แม้ว่าการแพร่กระจายของเชื้อเกิดขึ้นรวดเร็ว แต่ความรุนแรงของอาการยังมีไม่มาก และส่วนใหญ่สามารถรักษาอาการให้หายได้ ขณะที่โอกาสการเสียชีวิตค่อนข้างต่ำ จึงทำให้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า การแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ที่เริ่มขยายวงกว้างขึ้นไปสู่พื้นที่หลายจังหวัด ไม่น่าจะส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงเหมือนในกรณีโรคซาร์ส แต่อย่างไรก็ตาม การแพร่ระบาดก็อาจสร้างผลกระทบผ่านการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคในการดำเนินชีวิตและการจับจ่ายใช้สอย เช่น ในด้านสันทนาการและการท่องเที่ยว โดยคาดว่าการแพร่ระบาดภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นของเชื้อไข้หวัดนี้ อาจสร้างความกังวลต่อประชาชน และทำให้มีพฤติกรรมที่จะพยายามป้องกันไม่ให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อ โดยประชาชนส่วนใหญ่คงหันมาดูแลสุขภาพ และดำเนินการตามมาตรการที่ทางการมีการรณรงค์ ขณะที่คงมีประชาชนบางส่วนที่พยายามหลีกเลี่ยงหรือลดการทำกิจกรรมในสถานที่ปิด ซึ่งมีผู้คนแออัด พลุกพล่านรวมกันอยู่จำนวนมาก เช่น ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ โรงภาพยนตร์ ขณะที่สินค้าเพื่อการดูแลสุขภาพ เช่น หน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ และยาฆ่าเชื้อโรค อาจเป็นกลุ่มสินค้าที่ได้รับอานิสงส์จากการตื่นตัวในการระวังรักษาสุขภาพของประชาชน ทำให้มียอดขายเพิ่มขึ้น


ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้วิเคราะห์ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 โดยอยู่ภายใต้ข้อสมมติ กล่าวคือ สถานการณ์การแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วอาจจะยังคงเกิดขึ้นเป็นระยะเวลา 1-2 เดือน จากนั้นมาตรการในการป้องกัน ควบคุม ดูแลของทางการ และการปฏิบัติอย่างถูกต้องของประชาชน ภาคธุรกิจ และหน่วยงานต่างๆ อาจจะทำให้การแพร่กระจายช้าลงมาอยู่ในอัตราที่ต่ำ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นกรณีที่ผลกระทบไม่ยืดเยื้อและรุนแรงมากนัก โดยผลกระทบมีดังต่อไปนี้


โดยสรุป จากสัญญาณเศรษฐกิจในต่างประเทศที่ดีขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีทิศทางค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นกว่าในไตรมาสที่ 1/2552 ที่ผ่านมา ที่เศรษฐกิจไทยหดตัวลงไปถึงร้อยละ 7.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (Year-on-Year) ซึ่งเป็นอัตราติดลบที่รุนแรงที่สุดในรอบ 10 ปี ขณะที่คาดว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะผ่านจุดที่เลวร้ายที่สุดมาแล้ว โดยภาพรวมตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดสะท้อนความถดถอยในอัตราที่ชะลอลง ขณะที่ดัชนีความเป็นไปได้ของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ (Probability Index for Economic Recovery) ที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจัดทำขึ้น ได้บ่งชี้โอกาสฟื้นตัวเพิ่มขึ้นของเศรษฐกิจไทยในระยะเดือนข้างหน้า โดยดัชนีความเป็นไปได้ของการฟื้นตัวในช่วงเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม 2552 มีระดับเฉลี่ยประมาณร้อยละ 61 จากที่เคยลงไปต่ำสุดที่ร้อยละ 19 ในเดือนมีนาคม

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงและความไม่แน่นอน โดยปัจจัยเสี่ยงประการหนึ่งในขณะนี้ คือ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 หรือ Influenza A (H1N1) ในประเทศไทยที่แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว หลังพบการติดเชื้อภายในประเทศในระดับชุมชน จากที่ก่อนหน้านี้ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ได้รับเชื้อมาจากต่างประเทศ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้วิเคราะห์ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 โดยอยู่ภายใต้ข้อสมมติที่คาดว่ามีความเป็นไปได้มากที่สุด คือ สถานการณ์การแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วอาจจะยังคงเกิดขึ้นเป็นระยะเวลา 1-2 เดือน จากนั้นมาตรการในการป้องกัน ควบคุม ดูแลของทางการ และการปฏิบัติอย่างถูกต้องของประชาชน ภาคธุรกิจ และหน่วยงานต่างๆ อาจจะทำให้การแพร่กระจายของโรคชะลอตัวลง ในกรณีดังกล่าวนี้ธุรกิจที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก ได้แก่

 ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติส่วนหนึ่งอาจหลีกเลี่ยงการเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย เนื่องจากกังวลต่อโอกาสการติดเชื้อ โดยเฉพาะจากข่าวที่มีนักท่องเที่ยวติดเชื้อหลังจากมาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำหรับคนไทยที่กังวลต่อการแพร่ระบาดของโรค ก็อาจหลีกเลี่ยงการเดินทางท่องเที่ยวในระยะนี้เช่นกัน โดยเฉพาะการเดินทางที่ต้องใช้บริการโดยสารสาธารณะและเครื่องบิน

 ธุรกิจด้านบริการประเภทต่างๆ ที่ต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีผู้คนจำนวนมาก เช่น ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ ธุรกิจด้านบันเทิง โดยเฉพาะโรงภาพยนตร์และสถานบันเทิง ธุรกิจบริการโดยสารสาธารณะ เป็นต้น

ผลกระทบดังกล่าวจะสร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจรวมมูลค่าประมาณ 9,000-28,000 ล้านบาท โดยประมาณร้อยละ 65 เป็นความสูญเสียที่เกิดขึ้นในภาคธุรกิจท่องเที่ยว ทำให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ หรือ จีดีพีของไทยในไตรมาสที่ 2/2552 อาจลดลงประมาณร้อยละ 0.2-0.3 จากกรณีพื้นฐาน (Base Case) ของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่คาดว่าจีดีพีอาจหดตัวร้อยละ 5.6 ขณะจีดีพีในไตรมาสที่ 3/2552 ลดลงประมาณร้อยละ 0.2-0.9 จากประมาณการกรณีพื้นฐานที่คาดว่าจะหดตัวร้อยละ 4.0 ส่งผลให้ตลอดทั้งปี 2552 อัตราการขยายตัวของจีดีพีโดยเฉลี่ยอาจจะลดลงประมาณร้อยละ 0.1-0.3 จากประมาณการกรณีพื้นฐานที่คาดว่าเศรษฐกิจจะหดตัวร้อยละ 3.5

ทั้งนี้ ผลกระทบจากเหตุการณ์การแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ยังคงมีความเสี่ยงที่อาจจะรุนแรงกว่าการประเมินในเบื้องต้นนี้ โดยขึ้นอยู่กับความรุนแรงและยาวนานของการระบาดของโรค แต่กรอบประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งคาดว่าจีดีพีของไทยในปี 2552 อาจจะหดตัวร้อยละ 3.5-6.0 นั้นเป็นกรอบที่น่าจะสามารถรองรับการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่นี้ในขั้นรุนแรงได้ ขณะเดียวกัน กรอบประมาณการในกรณีเลวร้าย (กรอบล่างที่คาดว่าจีดีพีจะหดตัวร้อยละ 6.0) ได้ผนวกผลของปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ไว้ด้วย เช่น ความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก เสถียรภาพทางการเมือง และการปรับตัวสูงขึ้นของราคาน้ำมันรวมถึงสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ที่อาจเป็นตัวเร่งอัตราเงินเฟ้อ เป็นต้น ทำให้ ณ ขณะนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปรับประมาณการเศรษฐกิจสำหรับปีนี้แต่อย่างใด

สำหรับการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ภาครัฐควรมีการเปิดเผยข้อมูลให้เกิดความโปร่งใส รวมทั้งมีมาตรการรณรงค์สร้างความเข้าใจให้แก่ประชาชนในการป้องกันการติดต่อของโรค เพื่อควบคุมการแพร่กระจายของโรคให้ได้เร็วที่สุด ทั้งนี้เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนและชาวต่างชาติต่อแนวทางปฏิบัติและมาตรการรับมือของประเทศไทย 

...


Create Date : 19 มิถุนายน 2552
Last Update : 19 มิถุนายน 2552 0:48:48 น. 2 comments
Counter : 706 Pageviews.

 
...

“Thai Organic Farm" ต่อยอดผักปลอดสาร จับ ‘ข้าวอินทรีย์’ ผลิต ‘น้ำส้มสายชู’ รายแรก


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 มิถุนายน 2552 02:46 น.


“ออร์แกนิค” เป็นอาหารที่ผลิตโดยไม่ใช้สารเคมีในทุกขั้นตอนของกระบวนการผลิต และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทำให้ผลผลิตออร์แกนิคกลายเป็นทางเลือกใหม่ของกลุ่มคนรักสุขภาพในปัจจุบัน ดังนั้น เกษตรอินทรีย์จึงเป็นคำตอบที่ทุกฝ่ายทั้งภาครัฐ และเอกชน พยายามผลักดัน สำหรับตัวผู้ประกอบการอย่าง “Thai Organic Farm” สนใจทฤษฏีดังกล่าว โดยพลิกผืนนารกร้างทำเกษตรอินทรีย์ หวังคนไทยได้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ปราศจากสารเคมี เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง ภายใต้แบรนด์ “ไร่ปลูกรัก” ล่าสุดเพิ่มไลน์ใหม่ พัฒนา “ สูตรน้ำส้มสายชูจากข้าวอินทรีย์ – น้ำจิ้มไก่ออร์แกนิค” ต่อยอดผลิตภัณฑ์สู่มือผู้บริโภคภายใต้การสนับสนุนจากโครงการ iTAP เครือข่าย มจธ.

นายกานต์ ฤทธิ์ขจร ผู้จัดการทั่วไป ไทยออร์แกนิค ฟาร์ม ( Thai Organic Farm ) ผู้ผลิตและจำหน่ายผักสดอินทรีย์ ภายใต้แบรนด์ “ ไร่ปลูกรัก ” กล่าวถึงการทำฟาร์มเกษตรอินทรีย์ว่า เป็นการตอบสนองตนเองในเรื่องความสะอาด ความปลอดภัย ความยั่งยืนไม่เบียดเบียนธรรมชาติมากเกินไป จึงได้ปรับพื้นที่นารกร้างที่มีอยู่ประมาณ 60 ไร่ ใน อ.บางแพ จ.ราชบุรี มาพัฒนาเป็นไร่เกษตรอินทรีย์หรือออร์แกนิคเรียกชื่อว่า “ไร่ปลูกรัก”

“ โดยฟาร์มแห่งนี้ผลิตผักออร์แกนิคภายใต้มาตรฐานไอโฟม ( IFOAM : International Federation of Organic Agriculture Movements ) และมาตรฐานเกษตรอินทรีย์สหภาพยุโรป ( EU REGULATION ) นอกจากนี้ ผลิตผลของฟาร์มฯ ยังได้รับการตรวจสอบและรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์จากสำนักงานมาตรฐานเกษตร อินทรีย์แห่งประเทศไทย(มกท.) ทำให้สามารถจำหน่ายได้ทั้งในและต่างประเทศ ”

นายกานต์ เปิดเผยว่า “ไร่ปลูกรัก” ดำเนินการมาแล้วเป็นปีที่ 10 พบว่า กลุ่มลูกค้าหลักส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่มีศักยภาพในการใช้จ่าย เพราะสินค้าค่อนข้างมีราคาจากข้อจำกัดและขั้นตอนการบำรุงรักษาซึ่งต้องปลูก ตามฤดูกาล อีกทั้งการไม่ใช้สารเคมีในการบำรุงหรือการใช้ฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโตทำ ให้ธุรกิจเกษตรอินทรีย์ไม่สามารถแข่งขันด้านการตลาดมาได้มากนัก


จากปัจจัยดังที่ กล่าวมา “ไร่ปลูกรัก”จึงต้องการขยายตลาดผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์โดยมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ ผักดอง พริกดอง และผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์อื่นๆ ที่ใช้น้ำส้มสายชูหมักเป็นวัตถุดิบ เพราะปัจจุบันยังไม่มี การผลิตน้ำส้มสายชูจากวัตถุดิบเกษตรอินทรีย์ที่ชัดเจน และเป็นการต่อยอดผลผลิตจากผักสด จึงต้องการผลิตน้ำส้มสายชูจากข้าวเกษตรอินทรีย์ขึ้นมาเป็นทางเลือกให้กับ กลุ่มรักสุขภาพเพื่อขยายตลาดและต้องการฐานลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น

“โครงการการพัฒนากระบวนการผลิตน้ำส้มสายชูหมักจากข้าวเกษตรอินทรีย์” จึงเริ่มขึ้นจากการความช่วยเหลือและสนับสนุนของโครงการสนับสนุนการพัฒนา เทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย (iTAP) ภายใต้ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี(TMC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยมี รศ.วรวุฒิ ครูส่ง อาจารย์จากคณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เป็นที่ปรึกษาโครงการฯ

นายกานต์ กล่าวว่า การพัฒนากระบวนการผลิตน้ำส้มสายชูจากข้าวเกษตรอินทรีย์ได้ดำเนินการสำเร็จ ลุล่วงด้วยดีได้ผลตรงตามเป้าหมาย ทั้งการออกแบบและวางแผนกระบวนการผลิตตั้งแต่ขั้นตอนการหมักข้าวอินทรีย์ให้ เป็นน้ำตาลด้วยเชื้อรา กระบวนการหมักไวน์ข้าวอินทรีย์ด้วยหัวเชื้อยีสต์บริสุทธ์ และการหมักน้ำส้มสายชูจากไวน์ข้าวเกษตรอินทร์ด้วยหัวเชื้อน้ำส้ม โดยอาศัยระบบการหมักในถังหมักน้ำส้มสายชูต้นแบบ ที่ได้พัฒนาร่วมกันระหว่าง รศ.วราวุฒิ ครูส่ง ในฐานะหัวหน้าโครงการ และบริษัท ไวน์วิเศษ จำกัด

“ ขณะนี้ อยู่ระหว่างขอการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) คาดว่าราวกลางปี 2552 จะสามารถออกสู่ตลาดได้ ซึ่งก่อนหน้านี้เราเคยนำผลิตภัณฑ์น้ำส้มสายชูจากข้าวเกษตรอินทรีย์ที่ผลิต ขึ้นไปโรดโชว์ยังต่างประเทศมาบ้างและได้ผลตอบรับค่อนข้างดีสำหรับผลิตภัณฑ์ น้องใหม่ โดยเฉพาะลูกค้าทางยุโรปตอนนี้ได้มีการสั่งออร์เดอร์เข้ามาบ้างแล้ว เนื่องจากน้ำส้มสายชูจากข้าวเกษตรอินทรีย์ที่ผลิตขึ้น มีรสชาตินุ่มนวลไม่บาดคอเหมือนน้ำส้มสายชูจากองุ่นหรือแอปเปิ้ลที่นิยมผลิต กันอยู่ในปัจจุบัน ” เจ้าของไร่ปลูกรัก กล่าว

นอกจากนี้ นายกานต์ ยังกล่าวถึงสาเหตุที่เลือกข้าวเกษตรอินทรีย์มาเป็นวัตถุดิบในการผลิตน้ำส้ม สายชูว่า เพราะเป็นวัตถุดิบที่มีการเพาะปลูกและหาได้ง่ายในประเทศ ที่สำคัญยังไม่มีใครผลิต อีกทั้งแหล่งเพาะปลูกข้าวออร์แกนิคที่เป็นกลุ่มพันธมิตรมีอยู่จำนวนมาก จึงไม่กังวลถึงปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบในการผลิต


ด้าน นายวรรณภพ กล่อมเกลี้ยง ผู้จัดการโครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย (iTAP) เครือข่าย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า iTAP มีภาระกิจหลักในการให้บริการผู้ประกอบการในการนำเทคโนโลยีเข้าไปปรับปรุง พัฒนากิจการภาคอุตสาหกรรม ในรูปแบบของการจัดหาผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิค เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านพัฒนา และให้คำปรึกษาแก้ไขปัญหาการผลิตในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งที่ผ่านมา iTAP ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของผู้ประกอบการหลากหลายอาชีพ

เช่นเดียวกับ ไทยออร์แกนนิคฟาร์ม ทางผู้ประกอบการมีแนวคิดต้องการให้ผู้บริโภคได้รับอาหารที่ถูกสุขอนามัย ปราศจากสารเคมี และเพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตเกษตรอินทรีย์ จึงคิดว่าน่าจะนำพืชผักสดอินทรีย์มาแปรรูปเป็นเครื่องปรุงรสอาหารได้ ผู้ประกอบการจึงได้ขอรับการสนับสนุนจากโครงการ iTAP เพื่อช่วยในการพัฒนากระบวนการผลิตน้ำส้มสายชูหมักจากข้าวเกษตรอินทรีย์ ตั้งแต่ปี 2550 ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ทางผู้ประกอบการยังมีความสนใจและต้องการพัฒนาสูตรน้ำจิ้มไก่ออร์แกนนิก จึงเกิดเป็นโครงการต่อมาคือ“โครงการศึกษาการผลิตน้ำจิ้มไก่อินทรีย์สำเร็จ รูป” ที่เน้นใช้วัตถุดิบที่ปลูกในประเทศไทย โดยเฉพาะผลผลิตจากไร่ปลูกรักมาผลิต ทดแทนการนำเข้าวัตถุดิบบางชนิดจากต่างประเทศ และปรับสูตรรสชาติน้ำจิ้มให้ถูกลิ้นคนไทย สำหรับโครงการนี้มีนางทัศณีย์ ปิ่นแก้ว อาจารย์จากคณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ เป็นที่ปรึกษาโครงการฯ

ไทยออร์แกนิค ฟาร์ม เป็นตัวอย่างเกษตรอินทรีย์ที่ประสบความสำเร็จด้านการผลิตผลิตภัณฑ์เกษตร อินทรีย์ที่ครบวงจร แต่ตั้งกระบวนการตั้งต้นที่ไม่ใช่สารเคมี ( การเตรียมดิน น้ำ และปุ๋ย ) ไปจนถึงการแปรรูปผักอินทรีย์เป็นเครื่องปรุงรส ที่สอดรับนโยบาย “ครัวไทยสู่ครัวโลก” โดยผู้ประกอบการนั้น มุ่งเน้นเรื่องความปลอดภัยสำหรับผู้บริโภค และไม่ทำลายระบบนิเวศน์ทางธรรมชาติ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยการต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค ภายใต้แบรนด์ “ไร่ปลูกรัก” โดยมีโครงการ iTAP และสถาบันการศึกษาให้การสนับสนุน

*****************************************

โทร. (02)-641-5366 แฟ็กซ์ (02)641-5365 หรือที่เว็บไซต์ //www.thaiorganicfood.com

**********************

ข้อมูล โดย โครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย (iTAP)


...


โดย: loykratong วันที่: 19 มิถุนายน 2552 เวลา:1:31:18 น.  

 
ไม่ทราบว่าโครงการต่างๆที่มีอยู่ในเมืองไทยให้ความร่วมมือกันแค่ไหนในเรื่องการส่งออก เพราะเมือ่ไม่นานมานี้ได้อ่านข่าวในหนังสือพิมพ์แบับหนึ่งในสวีเดนที่เขียนเรื่องการค้นพบสาร salmonella ที่ตะไคร้ที่ food chain ในสวีเดนนำเข้าจากประเทศไทย

อยากให้เมืองไทยมีวิธีการเคร่งครัดกับการตรวจสอบสินค้าส่งออกมากกว่านี้ บอกตรงๆค่ะว่าขายหน้าในฐานะที่เป็นคนไทยคนหนึ่งในต่างแดนแต่ไม่สามารถที่จะตอบปัญหากับคำถามที่ถูกถามว่าบ้านเมืองเธอใช้สารเคมีทุกอย่างในการเพาะปลูกพืชผักสวนครัวหรือแล้วทางรัฐบาลไม่มีการออกกฎหมายห้ามหรืออย่างไร

ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรเพราะตัวเองก็ไม่รู้ว่าคนไทยที่อยู่ในเมืองไทยจะให้ความสนใจกับเรื่องนี้มากแค่ไหนคงเป็นแค่ตัวใครตัวมันถ้าเกิดขึ้นกับใครก็คิดว่าเจอดวงซวยก็แล้วกันช่วยไม่ได้



โดย: Mellitus วันที่: 19 มิถุนายน 2552 เวลา:5:39:52 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

loykratong
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]






ไม่มีอะไรขึ้นตลอด
ไม่มีอะไรลงตลอด
...ไม่มี the end of the world ...

Web Site Hit Counters

ราคาทองคำ
 

ราคาทองคำต่างประเทศ



Friends' blogs
[Add loykratong's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.