. . . เงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่อง . . .
. . .
เงินบาทอ่อนค่าลงต่อเนื่อง ขณะที่ ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์
โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
ตลาดเงินและตลาดอัตราแลกเปลี่ยน
อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นยังค่อนข้างนิ่ง โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมามีการทยอยไหลกลับเข้ามาของสภาพคล่องหลังจากการเบิกถอนเงินสดของลูกค้าในช่วงสิ้นเดือน ในขณะที่มีการตัดจ่ายเงินภาษีหัก ณ ที่จ่ายผ่านระบบธนาคารในช่วงปลายสัปดาห์ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยอินเตอร์แบงก์ประเภทกู้ยืมข้ามคืน (Overnight) หนาแน่นทั้งสัปดาห์ที่ระดับ 3.49% เทียบกับ 3.48-3.49% ในสัปดาห์ก่อนหน้า ส่วนอัตราผลตอบแทนถัวเฉลี่ยที่ประมูลได้ของธุรกรรมซื้อคืนพันธบัตรแบบทวิภาคี (Bilateral Repo) ระยะ 1, 7 และ 14 วัน ยังคงปรับตัวใกล้ระดับ 3.50% อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ไว้ที่ 2.00% ตามเดิมในการประชุมวันที่ 5 สิงหาคม 2551
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย ประเภทอายุ 5 ปี (TH5YY) ปิดที่ระดับ 4.70% ในวันศุกร์ ขยับขึ้นเล็กน้อยจาก 4.69% เมื่อวันศุกร์ก่อนหน้า ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยระยะกลางและระยะยาวอื่นๆ ปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่อง จากการที่นักลงทุนได้บรรเทาความกังวลลงต่อความเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อหลังจากที่สัปดาห์นี้ราคาน้ำมันในตลาดโลกดิ่งตัวลงค่อนข้างมาก
ด้านตลาดพันธบัตรสหรัฐฯนั้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ประเภทอายุ 10 ปี (US10YY) ปิดที่ระดับ 4.21% ในวันพฤหัสบดี ขยับลงจาก 4.26% เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯปรับขึ้นในวันจันทร์ วันอังคาร และวันพุธ เนื่องจากนักลงทุนยังคงกังวลต่อตัวเลขอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในเดือน ก.ค. ที่เพิ่มขึ้น 0.3% โดยมากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.2% ซึ่งการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อดังกล่าวจะทำให้มูลค่าของพันธบัตรลดลง ยิ่งไปกว่านั้นการที่ตลาดวอลล์สตรีทพุ่งทะยานขึ้นและราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับลดลงก็ทำให้นักลงทุนเทขายพันธบัตรออกมา โดยในวันที่ 5 ส.ค. ที่ผ่านมา เฟดได้ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 2.00%
อย่างไรก็ตาม อัตราผลตอบแทนพันธบัตรได้ปรับลงในวันพฤหัสบดี เนื่องจากกระทรวงแรงงานของสหรัฐฯเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานรายสัปดาห์เพิ่มขึ้น 7,000 ราย สู่ระดับ 4,550,000 จาก 4,480,000 รายในสัปดาห์ก่อนหน้า กอปรกับราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น ก็ทำให้นักลงทุนมีความวิตกต่อภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯและกลับเข้ามาลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลอีกครั้ง
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทในประเทศ (Onshore) อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ฯ ในช่วงต้นสัปดาห์ เงินบาทปรับตัวในทิศทางที่อ่อนค่าลง โดยถูกกดดันจากความต้องการเงินดอลลาร์ฯ ของธนาคารต่างชาติ และความอ่อนแอของสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ปรับตัวแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลัก อย่างไรก็ตาม การอ่อนค่าของเงินบาทเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากยังคงมีแรงขายเงินดอลลาร์ฯ ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่า เป็นการเข้าดูแลเสถียรภาพค่าเงินของธปท. ประกอบกับเงินบาทได้รับแรงหนุนในช่วงกลางสัปดาห์จากแรงขายเงินดอลลาร์ฯ ของผู้ส่งออก ตลอดจนแรงเทขายเงินดอลลาร์ฯ เพื่อทำกำไรของนักลงทุน อย่างไรก็ตาม เงินบาทอ่อนค่าลงอีกครั้งในวันศุกร์โดยถูกกดดันจากแรงซื้อคืนเงินดอลลาร์ฯ ของนักลงทุน ทั้งนี้ เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 33.68 (ตลาดเอเชีย) เทียบกับระดับ 33.53 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (1 สิงหาคม)
ในสัปดาห์นี้ (11-15 กรกฎาคม 2551) ธนาคารพาณิชย์จะมีการปิดสำรองสภาพคล่องรายปักษ์ในวันจันทร์และเข้าสู่ปักษ์ใหม่ในวันพุธ อีกทั้งจะมีการตัดจ่ายเงินภาษีมูลค่าเพิ่มรายเดือนผ่านระบบธนาคารในช่วงปลายสัปดาห์ด้วย ทั้งนี้คาดว่าอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงินน่าจะยังทรงตัวใกล้ระดับ 3.50% อย่างต่อเนื่อง
ส่วนเงินบาทในประเทศอาจมีกรอบการเคลื่อนไหวที่ 33.50-33.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยที่ควรจับตา ได้แก่ ปัญหาทางการเมือง แรงซื้อเงินดอลลาร์ฯ ของผู้นำเข้าและนักลงทุนต่างชาติ ทิศทางของสกุลเงินในภูมิภาค และสัญญาณการเข้าแทรกแซงตลาดของธปท. ตลอดจนทิศทางเงินดอลลาร์ฯ ซึ่งจะขึ้นกับรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญประกอบด้วย ข้อมูลการค้าระหว่างประเทศ ข้อมูลเงินทุนไหลเข้าสุทธิสู่ตลาดการเงินสหรัฐฯ และสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจ เดือนมิถุนายน ดัชนีราคาผู้บริโภค ยอดค้าปลีก ผลผลิตอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังผลิต ดัชนีราคานำเข้าและส่งออกเดือนกรกฎาคม ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ (ขั้นต้น) จัดทำโดยรอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกน และผลสำรวจภาคการผลิตจัดทำโดยเฟดสาขานิวยอร์กเดือนสิงหาคม
ภาวะตลาดทุน
ตลาดหุ้นไทย ดัชนี SET ปิดสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 690.70 จุด ปรับตัวขึ้น 1.77% จาก 678.66 จุดในสัปดาห์ก่อน แต่ร่วงลง 19.51% จากสิ้นปี 2550 ขณะที่มูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสัปดาห์เพิ่มขึ้น 63.69% จาก 48,835.24 ล้านบาทในสัปดาห์ก่อนหน้า มาอยู่ที่ 80,055.03 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่เพิ่มขึ้นจาก 9,767.05 ล้านบาทในสัปดาห์ก่อน มาอยู่ที่ 16,011.01 ล้านบาท ส่วนตลาดหลักทรัพย์ MAI ปิดที่ 250.52 จุด ขยับขึ้น 3.92% จาก 241.06 จุดในสัปดาห์ก่อน แต่ร่วงลง 8.02% จากสิ้นปีก่อน โดยนักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิที่ 3,133.49 ล้านบาท และ 130.38 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิที่ 3,263.88 ล้านบาท
ในช่วงต้นสัปดาห์ตลาดหุ้นไทยได้รับแรงกดดันจากปัจจัยการเมืองในประเทศ รวมทั้งความกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และแนวโน้มราคาน้ำมันที่ผันผวนทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุน หลังจากนั้น ดัชนีฟื้นตัวขึ้นได้ในช่วงกลางสัปดาห์จากแรงซื้อเก็งกำไร ก่อนจะร่วงลงท้ายสัปดาห์
โดยในวันจันทร์ที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงเล็กน้อย หลังเคลื่อนไหวในกรอบแคบตลอดวัน ด้วยมูลค่าการซื้อขายไม่ถึง 6 พันล้านบาท ซึ่งต่ำสุดในรอบกว่า 16 เดือน ท่ามกลางแรงขายในหุ้นกลุ่มแบงก์และอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่มีแรงซื้อหุ้นปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ซึ่งช่วยพยุงตลาดไม่ให้ปรับลงมากนัก อย่างไรก็ตาม ดัชนีปรับตัวลงต่อในวันอังคาร ตามทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศที่ร่วงลง ขณะที่มีแรงเทขายหุ้นในกลุ่มพลังงานออกมามากจากราคาน้ำมันดิบที่ร่วงลง ส่งผลให้ดัชนีปิดที่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 2 สัปดาห์
หลังจากนั้น ดัชนีฟื้นตัวขึ้นได้ในวันพุธ หลังได้รับแรงหนุนจากการอ่อนตัวของราคาน้ำมันที่ช่วยคลายความกังวลต่อแนวโน้มเงินเฟ้อ โดยหุ้นในกลุ่มแบงก์เพิ่มขึ้นกว่า 3% ตามด้วยกลุ่มขนส่ง อสังหาริมทรัพย์ พลังงาน และเทคโนโลยี ส่วนในวันพฤหัสบดี ดัชนีทะยานขึ้น และปิดที่ระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ ด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่น และสูงสุดในรอบกว่า 2 เดือน หลังการกลับเข้าซื้อของนักลงทุนต่างชาติในวันพุธ
นอกจากนี้ ยังได้รับแรงหนุนจากกระแสเงินลงทุนระยะสั้นที่เข้าเก็งกำไรในตลาดหุ้นหลังผลตอบแทนจากสินค้าโภคภัณฑ์มีแนวโน้มให้ผลตอบแทนลดลง ขณะที่มีแรงซื้อหุ้นเข้ามาทุกกลุ่ม นำโดยแรงซื้อในกลุ่มพลังงานและแบงก์ ตามด้วยกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เทคโนโลยี ขนส่ง และวัสดุก่อสร้าง ส่วนในวันศุกร์ ดัชนีปรับตัวลดลง จากแรงขายทำกำไร หลังดัชนีดีดตัวขึ้นแรงในวันก่อนหน้า โดยมีแรงเทขายนำหุ้นในกลุ่มพลังงาน และแบงก์ ตามด้วยอสังหาริมทรัพย์ เทคโนโลยี วัสดุก่อสร้าง และสื่อและสิ่งพิมพ์
สำหรับแนวโน้มในสัปดาห์นี้ (11-15 สิงหาคม 2551) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทยและบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีน่าจะปรับตัวขึ้นต่อ เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยลบใหม่ๆ เข้ามา ขณะเดียวกันน่าจะมีแรงซื้อเก็งกำไรผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนต่อเนื่องในสัปดาห์นี้ โดยปัจจัยที่ต้องจับตาได้แก่ พ.ร.บ. คุ้มครองเงินฝากที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 11 ส.ค. และแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติ รวมทั้งประเด็นทางการเมือง ส่วนปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญในสัปดาห์นี้ ได้แก่ การปรับตัวของตลาดหุ้นในภูมิภาค และการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด คาดว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ 680 จุด และแนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 722 และ 737 ตามลำดับ
. . .
Create Date : 10 สิงหาคม 2551 |
|
4 comments |
Last Update : 10 สิงหาคม 2551 17:17:11 น. |
Counter : 565 Pageviews. |
|
|
|
น่าจะเป็นเรื่องที่ดีนะครับผมว่า