. . . หุ้นไทยร่วง 2% หลังเปิดตลาดในภาคเช้า . . .
. . .
หุ้นไทยร่วง 2% หลังเปิดตลาดในภาคเช้า
หุ้นไทยร่วงถึง 2% หลังเปิดตลาดในภาคเช้า จากความกังวลกรณีม็อบพันธมิตรเคลื่อนพลตามยุทธศาสตร์ดาวกระจาย และมีการเข้ายึดสถานีโทรทัศน์ NBT ช่วงเช้าปิดตลาดดัชนีปรับตัวลดลง 15.84 จุด มาปิดที่ 662.36 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายเบาบาง 4,108 ล้านบาท
นายอภิสิทธิ์ ลิมศุภนาค ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายหลักทรัพย์ บล.บีฟิท กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ร่วงลงถึง 2% ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงไปในทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศ ทั้งดาวโจนส์ และภูมิภาค เนื่องจากวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาของสถาบันการเงินในสหรัฐ ทำให้นักลงทุนสหรัฐถอนเงินลงทุนทั่วโลก กลับไปอุ้มพอร์ตในประเทศ ประกอบกับตลาดบ้านเราก็มีเรื่องของการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่เป็นปัจจัยลบภายในประเทศด้วย นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) นครหลวงไทย ระบุว่า ตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบทางการเมืองตามที่ได้คาดการณ์เอาไว้ นักลงทุนชะลอเข้าตลาด เพื่อรอดูสถานการณ์ความชัดเจนอีกครั้ง โดยเฉพาะท่าทีของรัฐบาลที่มีต่อกลุ่มพันธมิตรฯ หลังการใช้ยุทธศาสตร์ไทยคู่ฟ้า กระจายกำลังเข้าปิดล้อมสถานที่ราชการต่างๆ ในช่วงเช้าวันที่ 26 ส.ค.
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวถึงการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจทำให้การลงทุนในตลาดชะลอตัว และคิดว่าไม่มีแรงเทขายหุ้นจนน่าเป็นห่วง โดยตลาดหลักทรัพย์ฯเฝ้าติดตามสถานการณ์การชุมนุมอย่างใกล้ชิด
. . .
เอกชนระบุสถานการณ์การชุมนุมส่งผลกระทบความเชื่อมั่นต่างชาติต่อเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว
นายดุสิต นนทะนาคร รองประธานหอการค้าไทย กล่าวว่าอยากให้ทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาล หรือฝ่ายเรียกร้อง เร่งเจรจาให้ทุกอย่างจบลงโดยเร็วไม่ว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไร ไม่อยากให้ยืดเยื้อไปมากกว่านี้ เพื่อจะได้มองแนวทางการพัฒนาประเทศและสร้างความแข็งแกร่งทางด้านเศรษฐกิจของไทยต่อไป
สำหรับปัญหาทางการเมืองแม้ว่าจะเป็นปัจจัยหลักต่อความเชื่อมั่นการลงทุน แต่ในช่วง 3-5 เดือนที่ผ่านมา การชุมนุมไม่ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยมีปัญหามากนัก เห็นได้จากตัวเลขการส่งออกยังสามารถส่งออกได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง การเติบโตทางด้านเศรษฐกิจยังเป็นไปด้วยดี เพราะหากมองเศรษฐกิจไทยมีความเข้มแข็ง จึงอยากให้ทุกเรื่องที่มีปัญหาอยู่ในขณะนี้จบลงโดยเร็ว
นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า สถานการณ์การชุมนุมประท้วงของกลุ่มพันธมิตรฯ ส่งผลกระทบต่อความมั่นใจของนักลงทุนเป็นอย่างมาก เพราะเป็นสถานการณ์ที่รุนแรงที่สุดใน 3 เดือน โดยนักลงทุนต่างชาติติดตามสถานการณ์มาโดยตลอด และเป็นกลุ่มที่มีความอ่อนไหวต่อสถานการณ์การเมืองค่อนข้างมาก โดยไม่นับรวมนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมของรัฐบาลที่ยังไม่มีความชัดเจน ซึ่งทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ได้ย้ายฐานการลงทุนจากประเทศไทย ไปที่ประเทศเพื่อนบ้านแล้ว รัฐบาลไม่ควรจะปล่อยให้เหตุการณ์นี้ยืดเยื้อ นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. กล่าวว่า การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯในสถานที่ต่างๆ ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศ ซึ่งจะทำให้ต่างชาติขาดความเชื่อมั่นเข้ามาลงทุน ซึ่งทางกระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานต่างๆ ของรัฐที่อยู่ในต่างประเทศ ต้องเร่งชี้แจงให้นักลงทุนและชาวต่างชาติเข้าใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะสื่อทั่วโลกได้มีการนำเสนอเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง จึงอยากให้ทางกลุ่มผู้ชุมนุมและตำรวจอย่าใช้ความรุนแรงในการชุมนุม เพื่อไม่ให้เหตุการณ์บานปลายมากกว่านี้ นายเอนก ศรีชีวะชาติ นายกสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว (TTAA) กล่าวว่า หากเหตุการณ์ชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบานปลายถึงขั้นมีการปะทะกันรุนแรงเกิดขึ้น นักท่องเที่ยวจากประเทศต่างๆ อาจจะยกเลิกการเดินทางมาที่ประเทศไทย หรืออาจเปลี่ยนไปที่ประเทศอื่นแทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีกลุ่มนักท่องเที่ยวอยู่กลุ่มหนึ่งที่ค่อนข้างจะอ่อนไหวต่อเหตุรุนแรง เช่น นักท่องเที่ยวญี่ปุ่น ยุโรป ออสเตรเลีย ซึ่งตามปกติแล้วนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ จะเข้ามาเที่ยวเมืองไทยประมาณเดือนละ 3-4 แสนคน
นายอภิชาติ สังฆอารี นายกสมาคมไทยธุรกิจท่องเที่ยว (ATTA) บอกว่า ต้องดูเหตุการณ์และทำความเข้าใจ ชี้แจงนักท่องเที่ยวที่จะมาเที่ยวไทย เพราะหากเกิดความรุนแรงขึ้นมา จะกระทบและสร้างความเสียหายให้กับธุรกิจการท่องเที่ยว แต่ตอนนี้ยังเร็วไปที่จะให้ประเมินว่าจะเกิดความเสียหายกับภาคการท่องเที่ยวมากน้อยแค่ไหน
นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการสำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ กล่าวถึงผลจากการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ส่งผลกระทบอย่างเห็นได้ชัดใน 2 ด้าน โดยหากมีการปิดสถานที่ราชการก็จะทำให้ข้าราชการไม่สามารถทำงานได้ และหากมีการชุมนุมยืดเยื้อต่อไปก็จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นมากขึ้นต่อเศรษฐกิจของประเทศ
นายอำพน ระบุว่าขณะนี้สิ่งที่เห็นได้ชัดก็คือดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ลดลงไปถึง 15 จุด หรือประมาณ 2% พร้อมกับชี้นำตำรวจให้เร่งเข้าไปแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าว
. . .
Create Date : 26 สิงหาคม 2551 |
|
4 comments |
Last Update : 26 สิงหาคม 2551 15:56:48 น. |
Counter : 741 Pageviews. |
|
|
|
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกสมาคมผู้ส่งข้าวออกต่างประเทศ กล่าว ว่า หากสถานการณ์ยืดเยื้อภาพพจน์ประเทศไทยคงไม่ดีในสายตานักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว การลงทุนในตลาดหุ้นต่างชาติก็จะไม่กล้าเข้ามาลงทุน จึงอยากให้ทุกฝ่ายมองถึงภาพรวมและเห็นแก่ประเทศชาติ หากสถานการณ์ไม่คลี่คลายก็น่าเป็นห่วง
สำหรับสิ่งที่อยากเสนอแนะรัฐบาล นายชูเกียรติ กล่าวว่ารัฐบาลควรอดทนอดกลั้นไม่ทำรุนแรง เพราะหากเกิดความรุนแรงก็จะมีผลในทางลบ
อย่างไรก็ตาม การปิดล้อมของกลุ่มพันธมิตรฯขอให้เป็นเพียงระยะสั้น ไม่เห็นด้วยหากจะปิดล้อมอย่างยืดเยื้อ เพราะจะเข้าข่ายไม่ชอบธรรม ทำให้เกิดความไม่สงบสุข ผลที่ตามมาจะทำให้เศรษฐกิจไทยมีปัญหาและภาพพจน์ประเทศเสียหาย
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ นายกสมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย กล่าวว่า อยากให้ทุกอย่างจบลงเร็ว เพราะปัญหานี้ยืดเยื้อมานาน จะทำให้ประเทศเสียหาย แต่การแก้ไขปัญหาของรัฐบาล และทุกฝ่ายจะต้องแก้ไขบนเงื่อนไขร่วมเจรจา ไม่ควรใช้กำลัง เพราะจะทำให้ประเทศชาติสะดุด ซึ่งเศรษฐกิจไทยยังมีความแข็งแกร่ง หลายด้านยังไปได้ดี แม้จะมีปัญหาการเมือง อยากให้ทุกฝ่ายไม่ควรยืดเยื้อ ขอให้ทุกคนหรือผู้ที่ทำให้ประเทศชาติปั่นป่วนควรมองถึงประเทศชาติและส่วนรวมดีกว่า
นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้ภาคเอกชนกำลังติดตามสถานการณ์การปิดล้อมของกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งไม่รู้ว่าจะยืดเยื้อหรือจบลงเร็วแค่ไหน แต่อยากเห็นสถานการณ์คลี่คลายและจบลงเร็ว เพื่อไม่ให้กระทบภาพรวมเศรษฐกิจไทย ดังนั้น ขอให้ทุกอย่างชัดเจนก่อน ทางหอการค้าไทยถึงจะประเมินสถานการณ์และแถลงท่าทีความคิดเห็นของภาคเอกชนอีกครั้ง
. . .